Super@2

อากาศร้อนป่าว คิดไปเองน่ะซิ

ครั้งแรกที่ผมประจานมัน โดนด่าจากแฟนคลับ และ ลูกหาบ ซะเละเทะเลย

แต่มีพี่ท่านหนึ่งสงสัย และพบข้อพิรุธของมันเหมือนกัน เลยติดต่อมาขอข้อมูล

ตามแฉมันจนเรื่องดัง และ เสธ.อ้าย นัดมาพบปะพูดคุยกันที่สนามม้านางเลิ้ง

จนในที่สุดก็จับได้ว่ามันแค่ ไอ้โหนอาศัยหากินกับม๊อบ

ป.ล.ผมเคยบอกในนี้ว่าให้สงสัย และระวังในการบริจากผ่าน"คนอาสาในม๊อบ เสธ.อ้าย" แต่โดนด่าหูตูบเลย

ขอนอกเรื่อง 

 

เห็นบางคนที่สนใจเรื่องรถ เครื่องยนต์กลไก บอกว่า น้ำมันยี่ห้อนี้คุณภาพไม่ดี

พวกรถ supercar เค้าไม่ค่อยปลื้มกันเท่าไรนะ

 

เมื่อก่อนก็เข้าร่วมขบวนเดินขับไล่ ทักษิณ อีนี่มันก็เหมือนๆไอ้เหวงนั่นหละ 

 

อันนี้ไม่เคยทราบมาก่อนว่าหล่อนเคยร่วมไล่แม้วด้วยครับ

 

แหม...เรื่องนี้จะเล่าไปมันก็ไม่มีหลักฐานประกอบ มันเป็นเรื่องที่ "เค้าเล่าว่า"(ด่าเสื้อแดงไว้เยอะ เดี๋ยวจะเข้าตัว)

หาอ่านได้ตาม เว็บเสื้อแดง เพจเสื้อแดง มีแฉ มีด่ากันเละเทะ อ่านฆ่าเวลาเอาฮาได้ สนุกดีครับ

.....................

แล้วก็มีนี่ด้วย

นับวันดูเหมือนว่าประเทศไทยจะไร้กฎ ไร้ระเบียบ และปราศจากความเกรงอกเกรงใจต่อกันและกันมากยิ่งขึ้นทุกขณะ ถามจริงๆ เถอะว่า คนไทยต้องการให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพอนาธิปไตยกระนั้นหรือ เราพอใจที่จะอยู่กันเช่นนี้ใช่ไหม เราไม่จำเป็นต้องเคารพกันและกันอีกต่อไปใช่ไหม หรือเราจะคิดสั้นๆ และตื้นๆ แค่เพียงว่า เมื่อกูพอใจจะทำอะไร กูก็จะทำ ทำทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่เหมาะไม่สม

ประเด็นการนำศพคนคนหนึ่ง (ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อคนตาย เพราะไม่มีคุณประโยชน์อันใดในเชิงคุณค่าสังคม) ไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ริมถนนหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก คือสิ่งที่เราทุกคนต้องร่วมกันคิดว่าเหมาะสมหรือไม่ หากคิดว่าเรื่องนี้เหมาะสมแล้ว ทำไมจึงไม่นำศพนักโทษทุกคนไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่หน้าศาลอาญาบ้าง เหตุใดจึงจงใจเลือกนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นการเมือง

ถามต่อไปว่า ทำไมคนบางกลุ่มจึงไร้ความละอาย แล้วนำเอาศพของคนไปเล่นเกมการเมืองได้โดยไม่ให้ความเคารพต่อศพ ต่อลูกเมียและญาติพี่น้องของผู้เป็นศพ และต่อความเป็นมนุษย์ของคนที่กลายเป็นศพ

ประเด็นต่อไปที่น่าศึกษาคือ การกระทำต่อศพเช่นนี้เป็นการประจานคนตาย ประจานผู้นำศพไปเล่นเกมการเมือง ประจานระบบกฎหมายไทย ประจานรัฐบาลไทย ประจานสังคมไทย และประจานคนไทยทุกคนใช่หรือไม่ หรือว่าสังคมไทยว่างเปล่าและไร้สาระจนเกินไป เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องนำเรื่องที่ไร้สาระขึ้นมาขยายเพื่อจะให้เป็นเรื่องเป็นราวให้จนได้ น่าสังเวชจริงๆ ที่คนบางกลุ่มจงใจเล่นการเมืองแบบไม่สร้างสรรค์เพียงเพื่อจะเอาผลประโยชน์เข้าตนเองและพวกพ้องของตนโดยไม่คำนึงถึงความฉิบหายของเพื่อนร่วมสังคมและชาติบ้านเมือง

จริงอยู่ที่ลูกเมียคนตายอาจจะโกรธแค้นไม่พอใจที่ผัวและพ่อของตนต้องป่วยตายในคุก แต่เคยมีการตั้งคำถามบ้างไหมว่า แล้วเหตุใดพ่อและผัวของตนจึงต้องก่อเหตุจนต้องกลายเป็นคนคุก หรือจะยังยืนยันแค่เพียงว่าพ่อและผัวตนเองบริสุทธิ์ผุดผ่องเพียงคนเดียว ส่วนระบบศาลไทยนั้นเลวร้ายสิ้นดี

ส่วนพวกที่เล่นกับศพโดยไม่ให้ความเคารพต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้น ก็ต้องตอบสังคมให้ได้ว่า ทำด้วย
ความสุจริตใจหรือทำด้วยความอยากดัง หรือทำแล้วได้ผลประโยชน์อันใดตอบแทน หากยังเชื่อว่าเรื่องที่กำลังกระทำเป็นสิ่งดี ก็ควรจะต้องให้พ่อแม่ปู่ยาตายายของตนรวมถึงตัวเองลงมือทำในสิ่งที่คนซึ่งกลายเป็นศพไปแล้วเคยกระทำมาก่อนด้วย จงอย่าใช้เล่ห์หลอกลวงคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่กล้าทำ จงเลิกหากินกับศพ เลิกหากินกับนักโทษ และเลิกหากินกับเหยื่อทุกราย แล้วจงรู้ไว้ด้วยว่า คนที่หากินกับสิ่งเหล่านั้นมิสมควรจะเรียกตนเองว่าเป็นมนุษย์ และยิ่งถ้าหากมนุษย์คนนั้นยังหากินด้วยการสอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยด้วยแล้ว ก็ควรจะต้องสำเหนียกบทบาทและสถานภาพของตนให้มากขึ้น ลองส่องกระจกแล้วถามตัวเองอีกครั้งซิว่า หากมิได้มีหัวโขนของการเป็นคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยที่ตั้งมานานนมแล้ว ตนเองจะยังมีคุณค่าและมีความน่าเชื่อถือสักกี่มากน้อย

ถ้าหากคนพรรค์นี้ยังยืนยันว่าตนเองทำในสิ่งที่ประเสริฐและงดงามสูงสุดแล้ว ครั้นเมื่อญาติพี่น้องและพ่อแม่ของตนหมดลมก็ขอให้นำศพของคนดังกล่าวไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่ริมถนน แล้วนำศพไปแห่ประจานตามสถานที่ต่างๆ ด้วย หรือถ้าหากเก็บสะสมเงินทองได้มากพอก็ขอให้นำศพดังกล่าวไปแห่ประจานยังดาวอังคาร ดาวพลูโต และดาวทุกดวงในระบบสุริยจักรวาลด้วย

แน่นอนว่าคนตายรายนี้มีปัญหาโรคมะเร็ง ถ้าเช่นนั้นก็ต้องถามว่าแล้วเหตุใดก่อนที่จะตาย ทำไมญาติพี่น้องและคนที่เอาศพๆ นี้ไปแห่ประจานจึงไม่เรียกร้องให้นำคนป่วยรายนี้ไปดูแลรักษา ทำไมจึงพากันหุบปากเงียบ หรือจงใจหุบปากเพื่อรอให้เขาตาย เพราะเมื่อตายแล้วจะได้สมใจ เพราะจะได้มีอุปกรณ์หรือของเล่นชิ้นใหม่เพื่อนำไปประกอบการเล่นเกมการเมือง

หวังเหลือเกินว่า ญาติพี่น้องคนตาย และคนที่นำศพไปแห่ประจานคงจะไม่ตอบว่า ไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนตายป่วยเป็นโรคมะเร็ง หากตอบเช่นนั้นก็เท่ากับไม่เคยดูดำดูดี และไม่เคยให้ความสนใจในเรื่องราวใดๆ ของคนตายมาก่อน ขอถามด้วยว่าก่อนที่คนผู้นี้จะตายนั้น พวกที่เล่นเกมแห่ศพประจานรอบเมืองเคยไปเยี่ยม และเคยไปให้ความสนใจกับคนตายมาก่อนบ้างไหม หากไปเยี่ยมไปเยียนกันมาบ้างก็น่าจะรู้ว่าคนผู้นี้ป่วยด้วยโรคอะไร ถ้าหากรู้ว่าป่วยด้วยโรคมะเร็ง แล้วทำไมจึงไม่ทำเรื่องเพื่อขอให้ทางการรักษาตัวอย่างเคร่งครัด แล้วที่มากกว่านั้นก็คือ คนพวกนี้เคยสนใจบ้างหรือไม่ว่านักโทษรายอื่นต้องประสบปัญหาอะไรบ้าง หรือจงใจจะรอแค่เพียงว่าเมื่อไรจะตาย เมื่อตายแล้วจะได้นำศพไปเล่นเกมการเมือง

ขอบอกตรงๆ ว่าผู้เขียนรวมถึงคนทุกคนในสังคมมิปรารถนาจะให้คนซึ่งกำลังกลายเป็นศพรายนี้ต้องตาย และก็เห็นตรงกันว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ และแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ที่ไม่ดูแลสวัสดิภาพของผู้ต้องขังให้ดี แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ต้องตำหนิคนที่ใกล้ชิดกับคนตายด้วยว่า เหตุใดจึงไม่นำเสนอเรื่องอาการป่วยของคนตายให้สังคมทราบก่อน หรือเอาเข้าจริงๆ แล้วคนที่อ้างว่าใกล้ชิดก็ไม่เคยสนอกสนใจสวัสดิภาพของคนตายเช่นกัน

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากคำพูดของนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ที่ชี้แจงว่าคดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษาไปแล้ว จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาและยื่นขอประกันตัวชั้นศาลอุทธรณ์ ศาลอาญาส่งคำร้องขอประกันตัวให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งว่าจะอนุญาตหรือไม่ แต่ระหว่างการพิจารณาในชั้นอุทธรณ์ จำเลยได้ยื่นขอประกันตัวต่อศาลฎีกาอีก โดยศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวไปเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2555 จำเลยคงคิดว่าไม่มีโอกาสได้ประกันอีกแล้ว จำเลยจึงได้ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2555 เนื่องจากจำเลยประสงค์จะใช้สิทธิ์ยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะจะยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษได้ต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาศาลอาญาออกหมายคดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2555 ดังนั้นเมื่อคดีถึงที่สุด จำเลยก็ไม่สามารถยื่นประกันตัวอีกได้ และกล่าวว่า กรณีนี้ตัวนายอำพล ตั้งนพกุล จึงอยู่ในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งมีการให้การรักษาพยาบาลนักโทษอยู่แล้ว หากจะนำตัวไปรักษาข้างนอกก็อาจทำได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ควบคุม ต่อมาเมื่อนายอำพลเสียชีวิตไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ก็ถือว่าตายในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงาน ซึ่งตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150-156 กำหนดให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องไต่สวนชันสูตรพลิกศพ เพื่อหาสาเหตุการตาย ซึ่งอาจจะมีการพิจารณาคดีนี้ในศาลอาญาอีกครั้ง

ส่วนกรณีที่จักรภพ เพ็ญแข ซึ่งกำลังหลบหนีคดีอาญาของไทยอยู่นั้น แต่ได้ส่งหรีดไปแสดงความไว้อาลัยต่อคนตาย รวมถึงกรณีที่สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล คนสอนหนังสือคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปร่วมรดน้ำศพคนตายรายนี้ ก็เป็นเรื่องที่วิญญูชนเห็นตรงกันว่า แค่สร้างภาพเพื่อให้ราคากับตนเองเท่านั้น

สำหรับกรณีที่สุดา รังกุพันธุ์ คนสอนหนังสือในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในอดีตเคยเอาตัวเข้าไปร่วมกับกลุ่มขับไล่ทรราชทักษิณ ชินวัตร แต่บัดนี้ สุดา ประกาศว่าสนับสนุนทักษิณสุดใจขาดดิ้น ก็เป็นเรื่องตลกร้ายของสังคม คนที่รู้จักตัวตนของสุดาดี ก็ได้แต่ยิ้มที่มุมปาก และไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นแต่อย่างใดกับพฤติกรรมของสุดาในการเล่นเกมแห่ศพรายนี้ ขณะเดียวกันคนที่รู้จักเบื้องหน้าเบื้องหลังของสุดาก็ตั้งคำถามว่าสุดาเคยรู้บ้างไหมว่าคนตายรายนี้ป่วยเป็นโรคอะไรมาก่อน หรือเพิ่งจะมาเต้นแร้งเต้นกาเมื่อความตายของเหยื่อมาถึง

สำหรับการนำศพคนตายรายนี้เคลื่อนผ่านไปหน้าบ้านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น ก็มีคำถามว่า ทำไมไม่นำศพไปผ่านหน้าบ้านยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือบ้านจันทร์ส่องหล้าของทักษิณ ชินวัตร บ้าง อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ตั้งคำถามนี้คงไม่ได้ต้องการให้เคลื่อนศพไปยังบ้านสองหลังดังกล่าวจริง แต่เพียงตั้งคำถามเพื่อหยั่งสติปัญญาและหยั่งวุฒิภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้อยู่เบื้องหลังแผนการพิสดารนี้เท่านั้น

จริงๆ แล้วสังคมไทยน่าจะใช้อุทาหรณ์จากการตายครั้งนี้เพื่อเข้าไปยกระดับการทำงานของกรมราชทัณฑ์เป็นอันดับแรก และต้องเร่งเข้าไปดูด้วยว่ายังมีนักโทษรายอื่นที่มีอาการเจ็บป่วยอีกหรือไม่ แล้วคนเจ็บคนป่วยเหล่านั้นได้รับการดูแลดีมากน้อยและทันการเพียงใด หรือว่าผู้ต้องการหาเหตุทางการเมืองไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่สนใจเพียงว่าต่อไปนักโทษรายใดจะตายในคุกอีก แล้วก็จะได้เอาศพไปแห่ประจานรอบเมืองเพื่อสร้างมูลค่าการเมืองให้กับผู้แห่

ตกลงว่าเราจะปล่อยให้สังคมไทยตกอยู่ในความระยำตำบอนเช่นนี้ต่อไปกระนั้นหรือ หรือว่าความระยำตำบอนเช่นนี้มันฝังอยู่ในหัวจิตหัวใจคนไทยเสียแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ขอให้ทุกคนช่วยกันแห่ศพเมืองไทยด้วยก็แล้วกัน

http://www.naewna.co.../columnist/1316

เมื่อก่อนก็เข้าร่วมขบวนเดินขับไล่ ทักษิณ อีนี่มันก็เหมือนๆไอ้เหวงนั่นหละ 

 

“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” เผยแผนลงทุนเอสซีฯปี 57 เปิด 7 โครงการ มูลค่ารวม 10,560 ล้านบาท สวนกระแสการเมืองร้อนระอุ เป็นบ้านแนวราบ 6 โครงการ คอนโดฯ ระดับซูเปอร์ ลักซ์ชัวรี่ ย่านศาลาแดงอีก 1 โครงการ ตั้งเป้าโต 20% รายได้ 12,000 ล้านบาท

 

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในปี 2557 ว่า วางแผนพัฒนาโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,560 ล้านบาท โดยยังคงให้ความสำคัญกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน ประกอบด้วย โครงการแนวราบ 6 โครงการ มูลค่ารวม 7,560 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ชะอำ-หัวหิน 1 โครงการ

 

ในกรุงเทพฯ อีก 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม โครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม โครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ศรีสมาน โครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด วงแหวน-พระราม 9 รวมถึงโครงการ โฮมออฟฟิศ เวิร์ค เพลส ราชพฤกษ์-จรัญฯ พร้อมกับโครงการแนวสูง คือ โครงการคอนโดหรูในระดับซูเปอร์ ลักซ์ชัวรี่ บริเวณศาลาแดง ภายใต้แบรนด์ใหม่ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท

 

 โดยในปี 2014 เอสซีฯ ตั้งเป้าการเติบโตทางรายได้ที่ 12,000 ล้านบาท หรือ 20% โดยมีความมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย เพราะในปีนี้บริษัทฯ มียอดขายที่รอรับรู้รายได้ หรือ Backlog สูงถึง 40% ซึ่งสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มธุรกิจมา

 

    ไพร่ , รากหญ้า อดนะคร๊าบบบ ​เค้ามองไม่เห็นหัวเอ็งหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า....

วันที่ อังคาร กันยายน 2554

 นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ นั่นคือข่าวนายกฯ แต่งตั้งศาสตราจารย์อุกฤษ มงคลนาวิน (เขียนตามประกาศฉบับจริง) เป็นประธานกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ เมื่อ 14 ปีที่แล้ว  (ไม่ทราบ คุณสามวา สองศอก มาทำงานที่นี่หรือยัง) ผมได้ร่วมกับ คุณเปลว สีเงิน จัดการ กำจัด ดร.อุกฤษ ออกไปจากวงการเมืองไทยสำเร็จ 
 ที่จริง ดร.อุกฤษ ท่านไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ท่านเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานวุฒิสภา ประธานรัฐสภา แต่ท่านหมายปองตำแหน่งสูงกว่านั้น แต่เผอิญรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นอุปสรรค ท่านจึงคิดเข้ามาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และคาดว่าจะได้เป็นประธานด้วย
 ใน รธน. 2540 กำหนดคุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไว้หลายข้อ  ในกรณีเป็นข้าราชการต้องเป็นซี 10 ถ้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยต้องเป็นศาสตราจารย์ บรรดาลูกศิษย์จึงส่งชื่อท่านเข้าประกวด ในฐานะศาสตราจารย์ทางกฎหมาย
 ทีนี้เผอิญผมไปรู้ข้อมูลซึ่งไม่ใช่ความลับ เพราะพิมพ์เผยแพร่ในจุลสารภายในของจุฬาฯ ราวๆ ปี 2534 ว่าในการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์กลุ่มหนึ่งนั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) อุกฤษ ได้ขอเลื่อนเป็นศาสตราจารย์ (ศ.) เลย โดยไม่ขอเป็นรองศาสตราจารย์ (รศ.) ก่อน ซึ่งทำได้ถ้าผลงานวิชาการที่เสนอมานั้นมีคุณภาพสูงมาก 
 แต่ปรากฏว่า "ไม่ผ่าน" มีผลทำให้ได้เลื่อนแค่เป็น รศ. รับเงินเดือนระดับ  9 (ซี 9) หลังจากนั้น รศ.ดร.อุกฤษก็ลาออกจากราชการไปเปิดสำนักงานกฎหมาย แต่ก็ยังมาสอนที่จุฬาฯ ในฐานะอาจารย์พิเศษ
 ต่อมาลูกศิษย์ของท่านซึ่งเป็นเนติบริกร ได้ร่วมร่าง รธน. 2540 ได้ระบุตำแหน่งศาสตราจารย์ เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  แล้วได้จัดการให้สภาจุฬาฯ แต่งตั้ง รศ.ดร.อุกฤษเป็น "ศาสตราจารย์พิเศษ"  (เป็นตำแหน่งที่ตั้งบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัย ไม่ได้มีฐานะเป็นข้าราชการแล้ว) 
 แต่เจ้าตัวมักไม่เขียนคำว่า "พิเศษ" คนทั่วไปจึงเข้าใจว่าเป็นศาสตราจารย์ธรรมดา (ซึ่งจริงๆ กว่าจะได้เป็นก็แทบกระอักเลือด เพราะต้องมีทั้งงานวิจัยและตำราที่มีคุณภาพชั้นเลิศ) เมื่อ รธน. 2540 มีผลบังคับใช้ ดร.อุกฤษจึงถูกเสนอชื่อเข้าไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยคุณสมบัติว่าเป็น  "ศาสตราจารย์" 
 ผมจึงเขียนมาบอกคุณเปลวว่า ดร.อุกฤษไม่ได้เป็นศาสตราจารย์ตามนัยแห่ง รธน. 2540 ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ คุณเปลวก็รับลูกโดยพิมพ์จดหมายของผม เรื่องก็ฮือฮามากมีการตั้งกรรมการพิจารณากันเอิกเกริก  
 ในที่สุดก็เป็นอย่างที่ผมต้องการ คือตีความว่า ดร.อุกฤษนั้นเป็นเพียงอดีตข้าราชการซี 9 ขาดคุณสมบัติ และตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษนั้นก็เป็นการยกย่องในเชิงเกียรติคุณ ไม่ใช่ตำแหน่งทางราชการ (ซึ่งผูกพันกับการขึ้นเงินเดือน)
 หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ดร.อุกฤษก็เงียบหายไปจากแวดวงการเมือง  ผมก็คิดว่าเป็นการจบไปด้วยดี เพราะท่านก็เคยเป็นถึงประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว น่าจะพอแล้วกับชีวิตนี้
 14 ปีผ่านไป ศาสตราจารย์พิเศษอุกฤษ มงคลนาวิน ในวัย 76 ปี ได้กลับมารับใช้ระบอบทักษิณอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่น่าจะมาเสียคนเอาในบั้นปลายของชีวิตเลยจริงๆ
 แอบกระซิบเบาๆ ว่าจะมีการออกกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษให้ผู้ที่มีโทษเหลือไม่เกิน 2 ปี และอายุตัวเกิน 60 ปี ซึ่งอานิสงส์จะตกไปถึงทักษิณด้วย  ถึงวันนั้น คุณสามวา สองศอก จะไปร่วมตั้งแถวต้อนรับมหาราษฎร์ทักษิณด้วยกันไหมครับ
       ขอแสดงความนับถือ
             ผู้อ่านประจำ
ตอบ คุณผู้อ่านประจำ
 ขอบคุณที่ช่วยฟื้นความหลัง ให้แฟนไทยโพสต์รุ่นใหม่ได้รู้จัก ดร.อุกฤษ  มงคลนาวิน 
   ดิบ เถื่อน ถ่อย

โดย แก้วตาดวงใจ

แหม...เรื่องตะกวดเลวๆนี่เยอะครับ อ่านเรื่องนี่แล้วอยากแบ่งปันครับ

    หลายท่านคงทราบดีว่า กฏหมายห้ามเรื่องติดฟิมล์กรองแสงนั้นยกเลิกไปแล้ว จะมีห้ามแค่ฟิมล์ฉาบปรอดสะท้อนแสงเท่านั้นที่ห้าม

เรื่องมีอยู่ว่า ผมขับรถไปรับแฟนกลับบ้าน ช่วงเวลา 2ทุ่ม ถึง3ทุ่ม ผ่านถนนเส้นนึงในกรุงเทพฯ ก็ไปเจอด่านตรวจ มีตำรวจอยู่ประมาณ 8-10 คน

สังเกตได้ว่า เรียกรถทุกคนที่ผ่าน ทั้งรถยนต์ และมอเตอร์ไซ คิดว่าคงน่าจะตรวจหายาเสพติด

   พอรถผมเคลื่อนมาถึงด่าน ก็โดนตำรวจเรียกให้จอด ผมก็ชิดซ้ายเข้าจอดโดยดี ลดกระจกลง ตำรวจก็เดินมา ถามผมว่า

        "ไปไหนมา แล้วจะไปไหนต่อ"

ผมก็ตอบไป

        "ไปรับแฟนจากที่ทำงาน กำลังจะกลับบ้าน"

ตำรวจก็มองๆ ทั่วรถแล้วก็บอกผมว่า

        "ทำไมฟิมล์มืดจัง"

ผมก็งง ๆนึกในใจว่า "มันจะเอาไงกับตรูวะ"

แล้วตำรวจก็บอกให้ผมลงจากรถ เพื่อตรวจค้น ผมกับแฟนก็ลงจากรถโดยดี แต่ก็มองดูการค้นอย่างใกล้ชิด(เสียวๆเรื่องมันจะยัดยาเหมือนกัน)

การตรวจค้นมีตำรวจ 2 นาย มาช่วยเปิดดูรถแบบหยาบๆทั่วรถ ประมาณ 5 นาทีค้นไม่เจออะไร ตำรวจที่มาช่วยค้น 2นายก็เดินจากไปไม่พูดอะไร

 แต่ไอ้ตัวแสบ ที่เรียกให้จอดนี่ซิ เดินมาบอกผมว่า

        " รถติดฟิมล์ดำเกินมาตราฐานนะ ต้องโดนปรับ"

ห่ะ...เอากรูแล้วไง แต่ยากส์ส์ ผมไม่ยอมหรอกครับ ผมก็ตอบกลับไป

       "แล้วยังไง ล่ะ"

พี่แกก็พล่ามเรื่องติดฟิมล์ดำเกินไป ผิดกฏหมายโดยตำรวจขู่ว่าจะโดนปรับ 3,000 จะเขียนใบสั่งแต่ก็ไม่เขียน ซะที พูดวกไป วนมาอยู่นั่นหละ

แฟนผมเดินมากระซิบผมให้ยัดเงิน แต่ผมขยิบตาให้ บอกให้แฟนผมเฉยๆ แล้วถามกลับไป

      "กฏหมายมันยกเลิกไปแล้วนี่ เค้าห้ามแต่รถที่ติดฟิมล์ฉาบปรอด"

แหม..เท่านั้นหละ ตะกวดไทยออกลายทันที ตะคอกผมว่า หัวหมอเรอะเดี๋ยวเจอดี ผมก็เถียงคอเป็นเอ็นล่ะไม่ยอมลงให้ด้วย แรงมาก็แรงกลับ

ขึ้นมึงขึ้นกู กับผม ผมก็มึงกูกับมันบ้าง บอกให้มันเขียนมาเลยใบสั่ง

  ขณะนั้นแฟนผมยกโทรศัพย์ขึ้นถ่ายวีดีโอ มันก็ชี้หน้าว่าอย่าถ่าย ห้ามถ่าย ผมก็บอกมันว่าต้องถ่ายซิไว้เป็นหลักฐาน พูดไม่พูดเปล่ามันเดินเข้าหาแฟนผม

ผมก็เข้าขวาง เลยเกิดยื้อยุดฉุดกระชากกันนิดหน่อย โดยมีตำรวจอีก 2 นายเข้ามาห้ามปรามและแยกออกจากกัน

     โดยพาตะกวดตัวแสบแยกไปอีกทาง กันผมออกมาอีกทางและให้ผมไปได้ ตอนขับรถออกมายังฉุนไม่หาย อยากจะทุบมันซักตุบสองตุบจริงๆ   

....................................................................................

ปล.ตอนที่ตำรวจเข้ามาห้าม มันได้โอกาศชกหน้าผมเต็มๆทีนึง แต่ไม่เจ็บซักนิด หมัดเบายังกับนุ่น (น้องที่เล่น GYM ด้วยกันยังหมัดหนักกว่าเลย)

ถ้าชกกันจริงๆเสร็จผมแน่ แค่กระชากที่เดียวปลิวติดมือมาเลย นึกขึ้นที่ไรหมั่นเขี้ยวทุกที  

ตละกูลไอ้เหลี่ยมมันขี้เหนียวจะตาย5 ดูอย่างตอนฝากเงินออมสินช่วยชาวนานั่นปะไร

เผลอๆตอนโอ๊คแต่งงาน เจอเจ้าภาพบังคับใส่ซอง ใส่ไม่ถึงเกณฑ์ที่ตั้งห้ามเข้างาน

ว่าแต่โอ๊คจะแต่งแน่เรอะ แล้วจะเป็นเจ้าบ่าว หรือเจ้าสาวล่ะ 

"ขายนา..ส่งควายเรียน" เอวัง...ด้วยประการฉะนี้แล 

คนที่พูดกลับไปกลับมา ผมว่ามันมีคำเรียกคนแบบนี้นะ

เสื้อแดงนี่มันเป็นยังไงกัน อะไรที่เน่าๆเหม็นๆ ขยะบ้าง ขี้บ้าง ชอบเอามาเล่นกันจัง   

การประณามเป็นบทลงโทษทางสังคม สำหรับคนที่มียางอาย มีสำนึกในบาปเท่านั้น

เอามาใช้กับนักการเมืองไทยไม่ได้หรอกครับ ทำผิดเห็นๆมันยังแถไปได้ว่า ไม่ได้ทำผิดกฏหมาย แต่ทำในสิ่งที่กฏหมายห้าม

ไม่มีไรเกิดขึ้นหรอก คนไทยขี้ลืม เดี๋ยวพอลางว่าจะแพ้ออกมาชัดๆ มันก็โดดหนี

กบดานเงียบ ซักพัก พอรัฐบาลใหม่ออกมา ก็คลานเข้ามาเลียตีนรับใช้เค้าต่อไป

ป.ลิง ตอนที่มันเส้นเลือดในสมองแตกใกล้ตาย สารภาพแบบไม่อายเลยว่าดีใจอิบอ๋าย

แต่โครตเหลือเชื่อ มันไม่ตาย แถมกลับมาปากดีขู่ศาลอีก ดูมันเด่ะหนังเหนียวจริงๆ

ผมเห็นด้วยในการใช้ข้อมูลจริงที่หนักแน่น เข้าตอบโต้

คำพูดที่จริง ข้อมูลจริง จะทำพวกนี้ดีดดิ้น อย่างมาก

เพราะส่วนใหญ่คนพวกนี้คิดว่า ตนเองฉลาด รู้มากกว่าคนอื่น

มันจะทนไม่ได้ เมื่อมีคนที่รู้มากกว่ามา บลัฟด้วยข้อมูลที่มันเถียงไม่ได้