Andiond Thunder

เห็นรูปราตรียิ้มร่าเข้าไปหาปู....นายกจากพรรคที่แก๊งเหลืองเคยเกลียดเยี่ยงขี้

ภาพชวนอ้วกพอๆกับที่เห็นกอนกดไปกดไลค์เฮนไต

 

ทีตอนมาร์คร่วมมือกับเนวินตั้งรัฐบาล ด่าแทบสิ้นชีวากันไปเลยทีเดียว

ทีตอนตัวเองผสมพันธุ์ หาเหตุผลล้านแปดมาสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง

นี่ยิ่งสรุปได้ชัดเจนครับ ว่าอุดมการณ์ ไม่มีในตัววีระ และ ราตรี

 

เริ่มตั้งแต่วางแผนไปให้เขาจับตัว เพื่อสร้างสถานการณ์ จะขออภัยโทษตอนนั้น ก็หน้าบางเกิน จำต้องตกกระไดพลอยโจน

 

พอเปลี่ยนรัฐบาลมาสองปี เพิ่งจะได้ปล่อยตัว ถ้าแน่จริง เปลี่ยนปุ๊บต้องปล่อยปั๊บแล้ว

 

พอออกมา แทนที่จะที่เรียกร้องเรื่องเขาพระวิหารต่อ

 

เปล่าเลย ไม่พูดถึงซักคำ ด่า ปชป. เป็นชุด ทั้งๆที่เคยหลอกพนิชไปติดคุกจนต้องโกนหัว

 

แถมยังมีหน้ามาเรียกร้องให้ ปชป. ต้องไปขอขมาอีก หน้าด้านหน้าทนจริงๆ

 

รู้ทั้งรู้ว่าไอ้แม้วและอิปูจะยกเขาพระวิหารประเคนให้เขมร ก็ยังมีหน้าไปขอบคุณมันอีก

 

สมคบคิดกับพวกขายชาติ ยังมีหน้าไปด่าคนอื่นเขาขายชาติอีกหรือ

 

 

ขนาดเอาคลิปแปะให้ดูอีกกระทู้ว่าใครชวนคุณวีระไป ยังมาบิดเบือนกล่าวหาคุณวีระต่ออีกอย่างหน้าด้านๆ

 

อ้าวๆ อย่าโมเมสิครับ ผมก็มีคลิบที่แปะเอาไว้ว่า วีระ เดินนำลิ่วเข้าแผ่นดินเขมรแถมรู้ว่าต้องโดนจับแน่ๆ เหมือนกัน

 

และที่แน่ๆ วันนี้อุดมการณ์ของ ราตรี หายไปไหน

 

ดูกันชัดๆ การเข้าพบนายกมันต้องนัดหมายล่วงหน้า แถมรู้ว่าต้องโดนออกสื่อ แต่เจ๊แกไม่แคร์

 

 

ยิ้มระรื่นทีเดียวเชียว ก็เข้าใจนะ ว่าอุดมการณ์ มันกินไม่ได้

 

อิปูและพวกพ้อง = กราบไข่ฮุนเซน ยกแผ่นดินให้เขมร

 

ราตรี ขอบคุณอิปู = ยอมรับพวกขายชาติ

 

ราตรี และ อิปู = พวกเดียวกัน พวกขายชาติ

 

ราตรี เป็นคนของ พธม. = พธม. สมคบ กับ รัฐบาล ขายชาติขายแผ่นดิน

 

ไอ้พวก แป๊ะ พธม. ขายชาติ !!!!!

เรายังไม่รู้กฏหมายที่จะสามารถใช้ เพื่อ ปกป้องตัวเองได้ครับ

 

ที่ตะกวด กร่าง อยู่ทุกวันนี้ เพราะเรา ยอม มันนั่นเอง

 

ยกตัวอย่าง มันตั้งด่านเรียกไถเงิน แล้วยัดข้อหาส่งเดชมาให้ ถ้าเราไม่รู้ว่าข้อหานี้มีบัญญัติเอาไว้หรือเปล่า ก็เสร็จมัน

 

แต่ถ้าเรารู้  เราเถียงได้ ถ่ายสำเนาใบสั่งร้องเรียนได้ครับ

 

แล้วอีกอย่าง เวลาตะกวดจับข้อหาใดก็ตาม เรามีสิทธิ์เรียกทนายนะครับ อย่าไปยอมมันหมด ให้หาทนายมาพูดแทนได้เลย

 

พวกตะกวดจะกลัวทนายครับ เพราะรู้ข้อกฏหมายดีกว่ามัน และสามารถเอาพวกมันติดคุกได้

 

 

ห้ามรื้อ ทุบทิ้งอาคารเดิม ....

 

แล้วใครไปรื้อ ทุบทิ้ง ทำไม ?

 

ใครเป็นคนบริหารโครงการ ระหว่างก่อสร้าง

 

และขยายระยะเวลาให้ผู้รับจ้าง

 

 

 

อย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน

 

 

 

30 กันยายน 2553 

 

 

 

จากเพจสายตรงภาคสนาม

เปิดหลักฐานตีแสกหน้า “ธาริต”
พงศพัศ การันตี ประมูลก่อสร้างโรงพักฉาวถูกต้อง ชง ผบ.ตร.เสนอ สุเทพ

หลังจากที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์อธิบดีดีเอสไอ ออกมาแถลงข่าวปกป้อง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่า กทม.พรรคเพื่อไทยว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการร่างทีโออาร์ที่กำหนดการจัดจ้างโครงการเป็นสัญญาเดียว แต่เป็นผู้ร่างทีโออาร์ในขณะที่ยังเป็นสัญญาเดิมที่เป็นรายภาคจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการทิ้งงานของบริษัทเอกชนทำให้การก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งทั่วประเทศไม่แล้วเสร็จนั้น

เพจสายตรงภาคสนามได้ตรวจสอบความเกี่ยวข้องในเรื่องโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 หลัง พบว่า พล.ต.อ.พงศพัศ รับผิดชอบโครงการนี้โดยตรงและได้ทำบันทึกข้อความที่ 0008.322/1231 ลงวันที่ 30 กันยายน 2553 เพื่อเสนอ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิศรี ผบ.ตร.ในขณะนั้น ลงนามให้ความเห็นชอบเรื่อง “ขอรับความเห็นชอบราคาและขออนุมัติจ้างก่อสร้างโครงการอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 หลัง โดยวิธีประกวดราคาด้วยวิธีการทางอีเล็กทรอนิกส์” 

โดยในเอกสารดังกล่าวมีการลำดับเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงโครงการนี้อย่างละเอียดจนกระทั่งถึงการประกวดราคาซึ่งมีผู้สนใจซื้อแบบรูปรายการและเอกสารการปรกวดราคาจำนวน 10 ราย แต่มีผู้ยื่นซองเอกสารประกวดราคา 5 ราย ประกอบด้วย บริษัทซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) บรษัทพีซ๊ซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามประสิทธิ์ บริษัทเพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) และ บริษัทเบญจมาศ จำกัด พร้อมกับรายงานผลการเสนอราคาด้วยวิธีการทางอีเล็กทรอนิกส์ในวันที่ 29 ก.ค.2553 ซึ่งบริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุุดคือ 5,848 ล้านบาท 

ในบันทึกข้อความดังกล่าวยังอ้างถึงความเห็นชอบของคณะกรรมการประกวดราคาพิจารณาว่าราคาที่บริษัทพีซีซีฯเสนอเป็นราคาที่เหมาะสม ไม่เกินราคากลางของทางราชการและวงเงินงบประมาณที่จัดสรร โดยสำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นชอบด้วย ซึ่งในบันทึกฉบับนี้ยังยืนยันด้วยว่าคณะกรรมการประกวดราคาได้ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549 และระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้วจึงเสนอให้ ผบ.ตร.ให้ความเห็นชอบราคาการก่อสร้างโครงการดังกล่าว เพื่อเสนอต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี

ที่น่าสนใจคือผู้ที่ลงนามเป็นต้นเรื่องในบันทึกข้อความดังกล่าวคือ พล.ต.ท.พงศพัศ (ยศขณะนั้น) ในฐานะ ผู้ช่วย ผบ.ตร.(บร.11) เสนอต่อ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิศรี ผบ.ตร. โดยเกษียรหนังสือด้วยลายมือมีข้อความว่า “เรียนผบ.ตร. พิจารณาแล้วเห็นควรให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอ สกบ.ข้อ 4.1 และลงนามในหนังสือนำเรียนท่านรอง นรม.ที่ได้แนบมาพร้อมด้วยแล้ว จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา” ลงชื่อ พล.ต.ท.พงศพัศ 30 ก.ย.53 ขณะที่พล.ต.อ.วิเชียร ลงนามให้ความเห็นชอบท้ายหนังสือลงวันที่ 1 ตุลาคม 2553 ตามที่ พล.ต.ท.พงศพัศ เสนอมา

อ่านแล้วสรุปได้ว่า

1. คนใช้จ่ายเพื่อการบันเทิงลดลง

2. ทำนาไม่ได้เงินเหมือนที่อีปูตอแหล

ผมดูคลิปคุณพนิชแล้วเศร้าใจจริงๆ

 

มันทำให้ผมรู้สึกว่า เสื้อเหลืองบางคนก็มีสติและวุฒิภาวะที่ไม่ได้แตกต่างจากเสื้อแดงเลย

 

ใช้แต่อารมณ์ ไม่ได้มีเหตุผล ไม่ฟังอะไรเลย เทียนแห่งธรรมนำชีวิตสงสัยจะดับ

 

ส่วนพวกควายแดงที่หนุน สส ควายไปกราบไข่ฮุนเซน กล้าเอาคลิปนี้มาหากิน

 

บอกได้คำเดียว หน้าด้าน ว่ะ

ยิ่งสอบ ยิ่ง ถูกใจขา  ซาดิส..

 

"พงศพัศ"  "พงศพัศ" "พงศพัศ"

คนนึง เซ็น จ้าง

อีกคนนึง ต่อสัญญาให้ ตั้งสามหนนะ

เพรียวพันธ์ เป็น ผบ.ตร. มีการอนุมัติขยายระยะเวลาการก่อสร้างโรงพักทดแทนถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 60 วัน

 

มันคน  เพื่อไทย ทั้งน่าาานนน 

 

จตุพรทำให้อายหมามาแล้ว นี้ ไรอะ อีกแล้วรึ

หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 00:00:38 น.


 

ดูไบ *  เดอะเนชั่นแนล สื่อของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลอาญานครดูไบ ในชั้นอุทธรณ์ มีคำตัดสินให้ เค.เอ็ม. อายุ 45 ปี หุ้นส่วนของบริษัทกฎหมายชื่อดังในนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีความผิดในข้อหาทำผิดหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องกรณีการขายสโมรสรแมนเชสเตอร์ซิตี ทีมฟุตบอลในประเทศอังกฤษ ส่วนข้อหายักยอกทรัพย์และข้อหาฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร ให้ยกฟ้อง ยืนตามศาลชั้นต้น

ตามเอกสารคำฟ้อง ทนายคนดังกล่าวซึ่งเป็นตัวแทนทางด้านกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในกรณีการตกลงซื้อขายสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี ถูกกล่าวหาว่าได้ยักยอกเงินจำนวน 60 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท จากจำนวนทั้งสิ้น 150 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 7,500 ล้านบาท ที่ฝากไว้ในบัญชีบุคคลที่สาม การยักยอกเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 18 กันยายน ถึง 27 ตุลาคม 2552

 

อัยการยังได้ตั้งข้อหาอีกว่าทนายผู้นี้ยักยอกเงิน 15 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 750 ล้านบาท หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณได้ขอรับเงิน และให้นำไปฝากในบัญชีในประเทศมอนเตเนโกรในชื่อของโจทก์ ทว่าจำเลยได้บอกให้โจทก์เก็บเงินไว้ในบัญชีของบริษัทกฎหมายของทนายก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันทางการเมือง และได้ฝากเงินจำนวนดังกล่าวในบัญชีของจำเลยเสียเอง

 

อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ได้ยืนตามศาลชั้นต้นว่าคำแก้ต่างของจำเลยในข้อหายักยอกทรัพย์นั้นฟังขึ้น รวมทั้งข้อหาที่ว่าเขานำเงิน 39,495,926 เออีดี หรือประมาณ 320 ล้านบาท ไปซื้อบ้านพักตากอากาศเอมิเรตส์ฮิลส์ และข้อหาปลอมแปลงลายเซ็นของผู้บริหารหลายบริษัทเพื่อซื้อเครื่องบินบอมบาดิแอร์โกลบอล เอ็กซ์อาร์เอส ที่มีมูลค่า 48 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 1,400 ล้านบาท ล้วนไม่พบว่ามีความผิด.

 

โกงชาติบ้านเมืองมา ก็สมควรโดนโกงบ้าง ฟ้องทนายแขกก็แพ้คดี ไม่กล้าด่าศาลดูไบว่า 2 มาตรฐาน กลัวไม่มีแผ่นดินให้อยู่ โสะนะหน้า

งานนี้ คารวะชูวิทย์

แปลกตรงที่ว่าน่าจะเป็นข่าวใหญ่

แต่ทำไมเงียบหาย

 

ต่อสัญญา เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับ

 

งานนี้ผ่านมติครม.

เขียนบันทึกไว้เลยว่า งานนี้มีรมต.ที่เข้าประชุมติดคุกแน่นอน

ยิ่งอ่านยิ่งฮา

 

อภิสิทธิ์ส่อเจตนาขายชาติ (ไม่รู้ขายอีท่าไหน ฮุนเซนมันถึงจองล้างจองผลาญไม่เลิก) กอด MOU แน่น ไอ้แป๊ะและสาวกก็นั่งด่า มาปิดถนนเย้ว ๆ รักชาติกันสุด ๆ

 

ตอนนี้อภิสิทธิ์พ้นตำแหน่งไป แต่ MOU ก็ยังอยู่ ฮุนเซนก็จ้องจะฮุบดินแดนอยุ่ รัฐบาลก็ซูเอี๋ยกับเขมรอยู่ แต่ที่หายไปคือไอ้แป๊ะและสาวก

 

สงสัยจะรักชาติกันแบบชั่วคราว เป็นงานอดิเรก หรือเป็นงานหารายได้พิเศษหรือก็ไม่รู้

เอาล่ะ มาถึงขั้นนี้ แล้วผมขอ ออกความเห็นเรื่องนี้ ก็แล้วกัน

 

แต่ออกตัวก่อน ว่าเป็นความเห็นส่วนตัว ล้วน ๆ ไม่มีข้อเท็จจริง แต่อย่างใด

 

 

ผมเชื่อโดยบริสุทธิใจ ว่า คุณ วีระ และ คุณ ราตรี ไม่ได้ ลุกล้ำดินแดนเขมร แต่อย่างใด

 

และผมก็เชื่อโดยบริสุทธิ ใจว่า ปชป ไม่มีเจตนา ยกดินแดน ให้เขมรแต่อย่างใด

 

และก็เชื่อด้วยว่า คุณ อภิสิทธิ ไม่มีเจตนา กลั่นแกล้ง คุณวีระ และ คุณ ราตรี แต่อย่างใด

 

 

ถามว่า แล้วทำไม จึงเกิดเหตุการณ์ เช่นนั้น

 

ผมว่า ออกตัว แรง ๆ เลยละกัน

 

คิดว่า ต้องมีไส้ศึก ของ แม้ว อยู่ในทีม รัฐบาล อภิสิทธิ แน่นอน

 

ผมว่าคงไม่ต้องบอก นะ ว่า พรรคไหน เชื่อว่า หลายคนเดาได้ (คนที่แสร้งทำเป็นหักหลังนาย นั่นล่ะ)

 

ร่วมมือกัน กับ พวกเขมร เพื่อทำการนี้ โดยเฉพาะ

 

โดยรู้แล้ว ว่า วันหนึ่ง คุณวีระ และคุณ ราตรี ต้องไปดูสถานที่

 

และ ก็ให้มีการจับกุม เกิดขึ้น

 

หลังจากนั้น ก็ทำการปั่นหัว คนใหญ่ ในรัฐบาล ที่มาจาก ปชป (ไม่ต้องบอกว่าใครแล้วกัน)

 

และว่า หาก ไม่มีการจับกุม จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต หลังจากที่มีความพยายาม จะพากัน ไปไกล่เกลี่ย กับ คนใหญ่ ของ เขมร มาก่อนหน้านี้

 

แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจาก คนใหญ่ ของเขมร มีคำตอบในใจ ตัวเอง อยู่แล้ว

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่มีใครอยากให้เกิด ทั้ง พันธมิตร และ ปชป

 

เพราะมันไม่เป็นผลดี ต่อใครทั้งนั้น

 

แต่ สำหรับ ไส้ศึกแล้ว ครั้งนี้ ยิงทีเดียว ได้นกสองตัว

 

ตัวแรก ได้แก้แค้นให้ นายใหญ่

 

ตัวที่สอง ได้สร้างปม แตกหัก อันไม่มีวันเชื่อมต่อ

 http://www.thaipost....ws/250113/68602

 

 หมอชนบทหนุนปรับค่ารักษาพยาบาล ติงต้องคิดตามต้นทุนที่แท้จริง ไม่ควรปรับโอเวอร์ยกแผง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบทั้งระบบ บริษัทยาและเวชภัณฑ์อาจฉวยโอกาสขึ้นราคาตามไปด้วย แนะ สธ.ควรหารือกับ รพ.โรงเรียนแพทย์ กรมบัญชีกลางและ 3 กองทุนสุขภาพ ด้าน รพ.รามาฯ ปรับราคาค่าบริการแน่ เพราะค่อยๆ ทยอยปรับทุกปี แต่ปีนี้เจอพิษค่าแรง 300 ทำให้ต้องควักกระเป๋าปีละเกือบ 130 บาท แถมยังสูญเสียรายได้จากการคุมเข้มห้ามใช้ยานอกของรัฐด้วย

    นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการพิจารณาปรับค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ว่า ยังไม่เสร็จ หากเสร็จแล้วจะเสนอให้ปลัด สธ.ลงนาม เรื่องนี้เคยทำมาตั้งแต่ปี 2547 แล้ว โดยการคิดราคาค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน สำหรับค่ารักษาพยาบาลใหม่ก็มีทั้งตัวที่เพิ่มและลดลง เพราะมี 8 กลุ่มย่อยที่ช่วยกันทำ ทั้งคิดเรื่องค่าห้อง คิดค่ายา ค่าผ่าตัด คิดเรื่องเอกซเรย์ ห้องปฏิบัติการกายภาพบำบัด คือการรักษาพยาบาลทั้งหมด เป็นเล่มหนาเลย

    นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า การจะปรับค่ารักษาพยาบาลเพิ่มหากเป็นการคิดตามต้นทุนจริงคงไม่มีปัญหา เพราะปัจจุบันค่าบริการบางอย่างต่ำกว่าต้นทุน บางอย่างสูงกว่าต้นทุน บางรายการขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี สธ.ต้องคุยกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย และต้องคุยกับกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือกรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม และ สปสช. ถ้า 3 กองทุนให้การยอมรับก็ได้เงินเพิ่ม

    “ถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ ผมเห็นด้วย เพราะจะได้สะท้อนข้อมูลที่เป็นจริง แต่อยากให้ทำราคาภายใต้ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม ไม่ใช่ตั้งราคาเวอร์เกินไป หากกำหนดราคาที่สูงเกินไป บริษัทยาและเวชภัณฑ์ก็จะขายในราคาที่สูงตาม เป็นผลกระทบเชิงระบบ เพราะบางครั้งการคิดค่าแรงอาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เช่น หัตถการบางอย่าง ต้นทุนที่เหมาะสมใช้เจ้าหน้าที่ 1 คน แต่ถ้าเอาบุคลากรไปใส่มากกว่า 1 คน ถามว่าใครเดือดร้อน กองทุนที่ดูแลก็เดือดร้อน” นพ.เกรียงศักดิ์กล่าว

    ด้าน นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การปรับค่ารักษาพยาบาลของ สธ.คงจะถูกนำไปใช้คำนวณในการตั้งของบประมาณของ สปสช. ถ้าปรับปีนี้แล้วไปใช้ปีหน้าไม่กระทบต่อตัวระบบ หากงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวที่กำลังขอไปไม่โดนสำนักงบประมาณตัด เพราะงบประมาณที่ขอไปมีการรวมค่าตอบแทนพิเศษของโรงพยาบาลสังกัด สธ. และคิดค่าอะไรต่างๆ หมดแล้ว

    ทางด้าน รพ.รามาธิบดี รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผอ.รพ.รามาฯ กล่าวว่า กรณีที่มีโรงเรียนแพทย์จะปรับขึ้นอัตราค่าบริการทางการแพทย์นั้น ในส่วนของ รพ.รามาธิบดีได้พิจารณาปรับทุกปีอยู่แล้ว โดยคำนึงต้นทุนค่าใช้จ่าย แต่ไม่ได้ปรับทั้งหมด จะพิจารณาเป็นรายการไป และต้องต่ำกว่าค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน 30% แต่ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบกับผู้ป่วยในทุกระบบ เพราะว่าตรงนี้จะคิดตามดีอาร์จี หรือรหัสโรคร่วม แต่จะมีผลบ้างกับผู้ป่วยที่ใช้เงินสด

    "อย่างค่าหัตถการ ค่าบริการ ค่าห้องแล็บ ค่าอาหาร เราก็ต้องดูเป็นรายการๆ ไป อย่างห้องผู้ป่วยก็ไม่ได้ปรับหมด ห้องเก่าก็คงราคาเดิมไว้ ปรับแค่ห้องที่ทำใหม่ โดยดูจากต้นทุน แต่อยู่ในขอบเขตที่ต่ำกว่าโรงพยาบาลเอกชน 30%" ผอ.รพ.รามาฯ กล่าว

    รศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่านโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท และเงินดือน 15,000 บาทสำหรับผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีนั้น ส่งผลกระทบให้ต้องใช้เงินบำรุงของทางโรงพยาบาลเองไปจ่ายประมาณปีละ 30-40 ล้านบาท ให้กับคนที่ทำงานมาก่อน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม

    ในขณะที่นโยบายลดค่าใช้จ่ายจากการใช้ยา ที่ห้ามใช้ยานอกบัญชีและต้องใช้ยาที่ผลิตภายในประเทศเท่านั้น ส่งผลให้โรงพยาบาลมีรายได้ลดลงประมาณเดือนละ 10 ล้านบาท หรือปีละเกือบ 130 ล้านบาท แต่เนื่องจากเป็นนโยบายใหญ่ของรัฐบาล เราก็ต้องทำตาม.

ผมว่า คนเขมร เกลียดคนไทย มากกว่า เกลียดฮุนเซนอีกนะครับ ไม่ต้องกลัวว่าคนเขมรจะไปเข้าข้างฮุนเซนหรอกครับ เพราะยังไงซะ คนเขมรก็ไม่ได้ชอบคนไทยหรอก ตอนไทยรบกับเขมร เรื่องเขาพระวิหาร เขมรอเมริกันที่เป็นทหารรับจ้างของสหรัฐ ยังกลับมาเขมร เพื่อรบกับทหารไทยเลย

ผมดูคลิป ดูเวปเขมร ตามอ่าน เขมรที่อพยพไปอยู่ประเทศต่างๆ รุมด่าประเทศไทย ผมยังรู้สึกว่า เขมรมันมีเลือดรักชาติ มากกว่าคนไทยซะอีก 

ดูไอ้ปึ้ง อีปู ไอ้แม้ว ไอ้เหล่ และพวกควายแดงแต่ละตัว แทบจะยกดินแดนไทยให้เขมรเลย ยิ่งอีพวงดอกทอง กับไอ้โล้นพิษ แดงควายด้วยแล้ว แสดงอาการเข้าข้างเขมร ซะออกนอกหน้า ผมเห็นแล้ว สุดจะทนจริงๆ 

เหอ เหอ เหอ  ผมว่า เสื้อแดงเจ้าของจดหมาย กับเสื้อเหลืองที่ขับรถชนตำรวจ

ไม่น่าจะใช่ เหยื่อ ทางการเมืองหรอกครับ เพราะเขามีความคิด เพียงแต่ว่าคนเรา

เมื่อต้องประสบปัญหาใหญ่ในชีวิตขึ้นมา เรามักจะไม่โทษตัวเอง แต่จะมองว่าเพราะ

ไอ้นั่นเพราะไอ้นี่อยู่เสมอ โดยไม่ได้ดูว่าตัวเขาเองเป็นอย่างไร  555

 

เสื้อแดงนั้น ผมไม่รู้ว่าโดนคดีอะไร แต่ดูจากจดหมายแล้วน่าจะโดนคดี หมิ่น ซึ่งถ้า

เป็นคดี หมิ่น จริง เขาก็เป็นเหยื่อความคิดตนเองของตนเองนั่นแหละครับ ความคิด

ของเขานำพาให้เขาต้องรับโทษ

 

ส่วนเสื้อเหลืองนั้นเป็นเหยื่อทางอารมณ์ของตนเอง ที่เห็นเพื่อนถูกกระทำจากตำรวจ

ก็โกรธ จึงขับรถชนตำรวจ ตำรวจที่ถูกขับรถชนก็ไม่น่าจะใช่ตำรวจที่ไปกระทำเพื่อนเขา

ตำรวจคนนี้ก็เป็นเหยื่ออารมณ์โกรธของเสื้อเหลืองด้วย อารมณ์ของเขานำพาให้เขา

ต้องรับโทษ

 

เหยื่อทางการเมืองตัวจริงเสียงจริง น่าจะเป็นเสื้อแดงในคุกที่ยังกร่าง ยังทำตัวเป็นนักเลง

มากกว่า เพราะขนาดรับโทษติดคุกติดตารางอยู่ ยังคิดอะไรไม่ได้เลย ชีวิตยังคงหลงใหล

กับนักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่ตัวเองชอบจนมองเห็นคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูที่

เจอหน้าก็ต้องเข้าห้ำหั่นกัน เขาไม่เคยรู้ว่าความต่างทางการเมืองมันเป็นแค่เรื่องของ

อุดมการณ์ ความคิด แต่เขาถูกชักนำว่าความแตกต่างทางการเมืองคือ ศัตรู ของเขาเท่านั้น

ผมจึงมองว่า เขาคือเหยื่อทางการเมือง ตัวจริงเสียงจริง  ครับ   5555