Jump to content


MOD_01

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 14 ธันวาคม 2555
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2557 01:56
*****

#608208 สะท้านวงการดงขมิ้น เมื่อการเมืองเข้าไปยุ่มย่าม พระครูปลัดพายัพ ( เยิน )

โดย เด็กปากดี on 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 07:32

มุทิตา หรือ เวทนา " พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณาจารย์ " 
 
ช่วงสองทุ่มเศษ น้องที่ทำงานโทรศัพท์มาหาผม บอกเล่าเรื่องบางเรื่อง เมื่อสิ้นสุดการสนทนาผมมานั่งคิดว่าควรจะเขียนอะไรสักชิ้น ไม่ใช่เพราะจะโหนกระแสนะครับ แต่เพราะบางครั้งบางทีบางคนอาจจะลืมอะไรไปก็ได้ โดยอาจจะถือว่าตนมีอำนาจ วาสนา บารี จะทำอะไรก็ไม่ต้องคำนึงถึงกฎ ระเบียบ จารีต หรือธรรมเนียมปฏิบัติใดๆ จึงทำให้สังคมมองอย่างสงสัยว่าสงฆ์หมู่มากจะเป็นอย่างนี้ด้วยหรือไม่ บทความนี้จึงเป็นความเห็นส่วนของผมทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับหน้าที่การงานหรือองค์ที่ทำผมงานอยู่ 
 
" รอง 1 ถามผมว่าพี่หรือปล่าวที่นักข่าวพูดถึงแหล่งข่าวใน พศ. " นี่คือประโยคคำถามของรุ่นน้องที่โทรศัพท์มาหาผม จริงๆแล้ว ผมอ่านหัวข้อข่าวที่สื่อต่างๆเอามาลงว่ามีแหล่งข่าวจาก พศ.ให้ข่าวกรณีการแต่งตั้ง " สมณศักดิ์ " ของพระครูปลัดฐานานุกรมชั้นเอกสมเด็จพระราชาคณะ ผมเองค่อนข้างจะงงๆนิดหน่อย เพราะว่ามีนักข่าวจากสื่อหนังสือพิมพ์ท่านหนึ่งที่เคารพชอบพอกันโทรศัพท์มาถาม ว่าจริงหรือไม่เรื่องมีการแต่งตั้ง คนในเครือญาติของอดีตนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน เป็น " พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ " ทั้งๆที่บวชได้เพียงวันเดียวและมีกำหนดการลาสิขาบทในวันที่ 11 มีนาคม ที่จะถึงนี้ ผมไม่ทราบข้อมูล จึงได้ตอบท่านไปว่ายังไม่ทราบเลย แต่หากจะให้แสดงความเห็น ก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วก็คุยสนทนาในเรื่องจารีต ขั้นตอน การแต่งตั้งกัน จนกระทั่งข่าวสื่อหนังสือพิมพ์หลายฉบับเอาไปลงว่ามีแหล่งข่าวจาก พศ.ว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนี้ 
 
แม้กระทั่งท่านพระมหานรินทร์ จาก alittlebuddha.com ท่านก็ยังทราบข้อมูลช้ากว่าบรรดาสื่อสิ่งพิมพ์ ในประเด็นที่ใครจะให้ข่าวหรือข่าวจะเร็วจะช้า อย่าไปให้ความสนใจเลยครับ มามองในมุมของผมที่จะนำเสนอดีกว่า จากประเด็นการแต่งตั้ง " สมณศักดิ์ " พระฐานานุกรม ในราชทินนาม ที่ "  พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณาจารย์ "  พระครูปลัดฐานานุกรมชั้นเอกของสมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย ป.ธ.8) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส เจ้าคณะภาค1-2-3-12-13 ( ธรรมยุต ) และกรรมการมหาเถรสมาคม 
 
ก็เป็นที่แน่ชัดแล้ว เพราะจาการให้สัมภาษณ์ของ พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณาจารย์ ( พายัพ เขมคุโณ  ) ทางโทรศัพท์ ท่านยืนยันว่าท่านได้รับการแต่งแต่งให้ดำรงสมณศักดิ์ พระครูปลัดฐานานุกรมชั้นเอกของสมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย ป.ธ.8) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส เจ้าคณะภาค1-2-3-12-13 ( ธรรมยุต ) และกรรมการมหาเถรสมาคม จริง ส่วนจะยินดีหรือไม่ก็แล้วแต่ท่านจะพูดเอา ซึ่งถ้าหากท่านว่าท่านไม่ยินดี แค่รับๆไว้เท่านั้นก็แสดงว่าท่านไม่ได้ไว้หน้า สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย ป.ธ.8) องค์อุปัชฌาย์เลย แม้แต่น้อยเพราะเสมือนหนึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ( สมชาย ) เอาสมณศักดิ์ไปยัดเยียดให้เสียอย่างนั้น ตอนนี้ร้อนไปถึงมหาเถรสมาคมที่เข็น เอา ผอ.พศ.ให้ออกมาชี้แจงแทน มส.แล้ว ซึ่ง ท่าน ผอ.เอง ก็อ้ำๆอึ้ง ตอบอ้อมๆแอ้มๆว่าต้องรอท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย ป.ธ.8) กลับมาจากปฏิบัติศาสนกิจเสียก่อนในวันที่ 23 ก.พ.นี้ จะได้เตี๊ยม เอ้ย สอบถามข้อมูลให้ชัดแจ้ง 
 
สำหรับผม ถ้าถามว่าเหมาะสมหรือไม่ อันนี้ค่อนข้างจะมองได้หลายแง่ หลายมิติ เพราะแง่มุมของคนเรามองไม่เหมือนกัน เหมือนภาพบางภาพเรามองสวยแต่บางคนมองไม่สวย อย่างนี้เป็นต้น ฉันนั้นการแต่งตั้ง พระพายัพ เขมคุโณ ( ชินวัตร ) ขึ้นดำรง " สมณศักดิ์ " ที่ พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณาจารย์ ก็มองได้หลายมุม ในมุมของคนรักใคร่ชอบพอก็บอกว่าเป็นสิทธิ์ของสมเด็จพระธีรญาณมุนี ที่ท่านจะแต่งตั้งใครผู้ใดผู้หนึ่งให้ดำรงตำแหน่งพระครูฐานานุกรม ตามฐานานุศักดิ์ของท่านที่ได้รับพระราชทานมาก็ได้ แต่ทว่าในธรรมเนียมปฏิบัติการแต่งแต่งสมณศักดิ์ฐานานุกรมนั้น ( ต้องเข้าใจนะครับว่า คำว่า ฐานานุกรม นี่คือ คือชื่อเรียกลำดับตำแหน่งสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ไทย ซึ่งภิกษุผู้มีตำแหน่งทางการปกครองหรือมีสมณศักดิ์สูงบางตำแหน่งมีสิทธิ์ตั้งพระรูปอื่นให้เป็นฐานากรมได้ตามศักดิ์ที่ได้รับพระบรมราชานุญาต ไม่ใช่ " ฉายา " อย่างที่ใครออกมาให้สัมภาษณ์จนเสียภูมิหมดเลย ) ก็จะมีธรรมเนียมและจารีตในการแต่งตั้งอยู่ อาทิ 
 
อายุพรรษา
หน้าที่การงาน
การสนองงานคณะสงฆ์
คุณประโยชน์ต่อคณะสงฆ์และพระศาสนา
บุคคลใกล้ชิดสนองงาน
 
เหล่านี้เป็นต้น 
 
แทบจะไม่มีเลยที่จะแต่งตั้งพระบวชใหม่ให้มาดำรง  สมณศักดิ์สูงเช่นนี้ หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมจึงใช้คำว่า สมณศักดิ์สูง ก็ด้วยเพราะการจัดลำดับเรียงสมณศักดิ์ของคณะสงฆ์ไทยที่ปรับปรุงใหม่ พ.ศ.๒๕๔๑ โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๔๑ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ได้จัดเรียงไว้ดังนี้ 
 
ชั้นสมเด็จพระราชาคณะ
 
๑. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
๒. สมเด็จพระสังฆราช
๓. สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ (ตามอาวุโสโดยสมณศักดิ์)
 
ชั้นพระราชาคณะ
 
๔. พระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นหิรัณยบัฏ
๕. พระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร
๖. พระราชาคณะ ชั้นธรรม
๗. พระราชาคณะ ชั้นเทพ
๘. พระราชาคณะ ชั้นราช
๙. พระราชาคณะ ชั้นสามัญ
- พระราชาคณะปลัดขวา-ปลัดซ้าย-กลาง (พระสมุหวรคณิสสรสิทธิการ วัดพระเชตุพนฯเป็นพระปลัดกลาง รูปแรก)
- พระราชาคณะ รองเจ้าคณะภาค
- พระราชาคณะ เจ้าคณะจังหวัด
- พระราชาคณะ รองเจ้าคณะจังหวัด
- พระราชาคณะ ชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
- พระราชาคณะ ชั้นสามัญเปรียญ ป.ธ.๙-๘-๗-๖-๕-๔-๓
- พระราชาคณะ ชั้นสามัญเทียบเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
- พระราชาคณะ ชั้นสามัญเทียบเปรียญ
- พระราชาคณะ ชั้นสามัญยก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
- พระราชาคณะ ชั้นสามัญยก
 
ชั้นพระครูสัญญาบัตร
 
๑๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะจังหวัด (จจ.)
๑๑. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะจังหวัด (รจจ.)
๑๒. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก (จล.ชอ.)
๑๓. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ (จอ.ชพ.)
๑๔. พระครูสัญญาบัตร เทียบเจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ (ทจอ.ชพ.)
๑๕. พระครูปลัดของสมเด็จพระราชาคณะ
๑๖. พระเปรียญธรรม ๙ ประโยค
๑๗. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท (จล.ชท.)
๑๘. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (จอ.ชอ.)
๑๙. พระครูสัญญาบัตร เทียบเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (ทจอ.ชอ.)
๒๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี (จล.ชต.)
๒๑. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท (จอ.ชท.)
๒๒. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก (รจล.ชอ.)
๒๓. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท (รจล.ชท.)
๒๔. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี (รจล.ชต.)
๒๕. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ หรือเทียบเท่า (ผจล.ชพ. หรือทผจล.ชพ.)
๒๖. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ หรือเทียบเท่า (ผจล.ชอ.วิ. หรือ ทผจล.ชอ.วิ.)
๒๗. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก หรือเทียบเท่า (ผจล.ชอ. หรือทผจล.ชอ.)
๒๘. พระครูปลัดของพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ
๒๙. พระครูปลัดของพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร
๓๐. พระครูฐานานุกรมชั้นเอกของสมเด็จพระสังฆราช
๓๑. พระเปรียญธรรม ๘ ประโยค
๓๒. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท หรือเทียบเท่า (ผจล.ชท. หรือทผจล.ชท.)
๓๓. พระเปรียญธรรม ๗ ประโยค
๓๔. พระครูปลัดของพระราชาคณะ ชั้นธรรม
๓๕. พระครูฐานานุกรมชั้นโท ของสมเด็จพระสังฆราช (พระครูปริต)
๓๖. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (รจอ.ชอ.)
๓๗. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท (รจอ.ชท.)
๓๘. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จต.ชอ.วิ.)
๓๙. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก (จต.ชอ.)
๔๐. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นโท (จต.ชท.)
๔๑. พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นตรี (จต.ชต.)
๔๒. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นเอก (จร.ชอ.)
๔๓. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จร.ชท.วิ.)
๔๔. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท (จร.ชท.)
๔๕. พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นตรี (จร.ชต.)
๔๖. พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ (รจร.)
๔๗. พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ (ผจร.)
๔๘. พระเปรียญธรรม ๖ ประโยค
๔๙. พระเปรียญธรรม ๕ ประโยค
๕๐. พระครูปลัดของพระราชาคณะ ชั้นเทพ
๕๑. พระครูปลัดของพระราชาคณะ ชั้นราช
๕๒. พระครูวินัยธร
๕๓. พระครูธรรมธร
๕๔. พระครูคู่สวด
๕๕. พระเปรียญธรรม ๔ ประโยค
๕๖. พระปลัดของพระราชาคณะ ชั้นสามัญ
๕๗. พระเปรียญธรรม ๓ ประโยค
๕๘. พระครูรองคู่สวด
๕๙. พระครูสังฆรักษ์
๖๐. พระครูสมุห์
๖๑. พระครูใบฎีกา
๖๒. พระสมุห์
๖๓. พระใบฎีกา
๖๔. พระพิธีธรรม
 
ลองย้อนขึ้นไปดูในชั้น " พระครูสัญญาบัตร " ลำดับที่ 15 ดูซิครับ อะไรเอ่ย ... นั่นคือ ตำแหน่งสมณศักดิ์พระครูปลัดฐานานุกรมชั้นเอกของสมเด็จพระราชาคณะใช่หรือไม่ ยังสูงกว่า พระมหาเปรียญธรรม 9 ประโยค สูงกว่าพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท ,พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก,พระครูสัญญาบัตร เทียบเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก,พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี ,พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท ดูซิครับ ไม่นับพระครูสัญญาบัตรรองเจ้าคณะอำเภอ,เจ้าคณะตำบลอีกนับสิบๆชั้นนะ ดังนั้นการแต่งตั้งสมณศักดิ์ฐานานุกรมของสมเด็จพระราชาคณะในชั้นนี้จึงจำเป็นต้องรอบคอบกว่านอื่นๆเขา เพราะจะมีเสียงติฉินนินทาทำให้เสื่อมเสียแก่หมู่คณะได้ หรือจะลองมาย้อนดูกัน ว่าตำแหน่งฐานานุกรมพระปลัดในสมเด็จพระราชาคณะ รองสมเด็จพระราชาคณะนั่น จะรุ่งแค่ไหน ก็ดูเอาจากตัวอย่างของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี เองท่านอาจจะรู้ดีที่สุด เพราะท่านเองก็เคยเป็นพระครูปลัดฐานานุกรมในพระสาสนโสภณ ในราชทินนามที่ พระครูปลัดอรรถจริยานุกิจ มาก่อน หลังจากนั้นก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ตำแหน่งพระครูปลัดของสมเด็จพระราชาคณะและรองสมเด็จพระราชาคณะจึงถือเป็นก้าวสำคัญของพระสงฆ์ที่จะข้ามไปสู่สมณศักดิ์พระราชาคณะ การยกให้พระบวชใหม่ที่มีกำหนดสึกแน่นอนแล้วจึงเป็นเรื่องที่ดูขัดหูขัดตา คนวัดนะครับ 
 
ต่อมาเหล่าบรรดากู ( ไม่ ) รู ทั้งหลายต่างพากันมาตีปีกป้องและแสดงความเห็น ผมขออนุญาตหยิบมาวิเคราะห์ดังนี้ 
 
1.คุณนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ให้สัมภาษณ์ กรณีพระพายัพ เขมคุโณ หรือนายพายัพ ชินวัตร ว่า เป็นสิทธิ และอำนาจสมเด็จพระธีรญาณมุนี ไม่เกี่ยวกับ พศ. ส่วนเหตุผลการแต่งตั้งเป็นวิจารณญาณของสมเด็จพระธีรญาณมุนีเชื่อว่าท่านคงมีเหตุผลในการตั้ง ที่ผ่านมาท่านเคยแต่งตั้งพระรูปอื่นเป็นพระฐานานุกรม เพื่อทำหน้าที่เป็นคณะทำงาน แต่ไม่มีใครสนใจ แต่คราวนี้พระพายัพ นามสกุลชินวัตร เลยถูกจับตามองจากสังคม
 
- คุณนิวัฒน์นี่ก็แปลกนะครับ ทำไมไม่พูดให้หมดว่า ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี ท่านตั้งพระครูฐานานุกรมของท่านตาม ฐานานุศักดิ์ที่ท่านได้รับพระราชทานมาทั้ง 10 รูป นั้น ท่านตั้งให้พระบวชใหม่เพียงวันเดียวด้วยหรือ เท่าที่ผมทราบและมีข้อมูลพระฐานานุกรมของท่านประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี ล้วนแล้วแต่รับใช้สนองงานท่านมานานและอายุพรรษาก็เลย นวกะไปหมดแล้วด้วย สำหรับหากคุณนิวัฒน์จะเอาคำอ้างของท่านพระครูปลัดฯพายัพมาอ้างว่าที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี ท่านแต่งตั้งนั้น เป็นกรณีพิเศษที่สมเด็จพระธีรญาณมุนีท่านเห็นว่าพระครูปลัดฯพายัพ สร้างวัดมามาก ทำนุบำรุงศาสนาและปฏิบัติธรรมมาเยอะ ซึ่งเป็นความเสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา ตำแหน่งดังกล่าวก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา อนุเคราะห์หมู่สงฆ์ต่อไป ผมว่าคุณนิวัฒน์คงทราบว่าการปูนบำเหน็จแก่การพระศาสนาแบบนี้ ยังมีอีกทางหนึ่งนั่นคือการขอพระราชทานเสมาธรรมจักรผู้ทำคุณประโยชน์ในกับพระพุทธศาสนา ทำไมไม่ใช้ช่องทางนั้นเล่าครับ ใครจะไปขัดขวาง ก็ในเมื่อคนของท่านคุมกรม กระทรวงที่ดูแลรับผิดชอบไปหมดแล้ว ไม่ใช่หรือ 
 
2.พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้ว่า การแต่งตั้งพระฐานานุกรม มีการกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ 2 ข้อ คือ
1. ต้องอุปสมบทมาหลายพรรษา และ
2.ต้องมีผลงานการสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งก่อนจะให้สัมภาษณ์ เห็นข่าวว่า พระพายัพ มีผลงานในการสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนาหลายประการ อาทิ การสร้างโบสถ์ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง พระพายัพ ก็มีสิทธิได้รับการแต่งตั้งเป็น พระฐานานุกรม ได้ “การแต่งตั้งพระฐานานุกรม เป็นสิทธิของผู้ให้ เมื่อผู้ให้พิจารณาแล้ว เห็นว่า ผู้รับมีสิทธิที่จะได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และที่สำคัญ พระพายัพ ก็บวชไม่นาน พระคู่แข่งในตำแหน่งนี้ ก็ไม่น่าจะมีความวิตกกังวลอะไร" พระพยอม กล่าวย้ำว่า "ปัญหานี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ถ้าพระพายัพ ไม่ได้เป็นน้องชายของ คนชื่อทักษิณ"
 
- ผมค่อนข้างจะทึ่งกับตรรกะของท่านเจ้าคุณพยอม และผมคิดว่าท่านเจ้าคุณพยอมเองอาจจะลืมไปว่า ท่านเองเป็นพระราชาคณะชั้นราช มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 4 รูป ( พระครูปลัด , พระครูสังฆรักษ์,พระครูสมุห์,พระครูใบฎีกา ) ถามตัวท่านว่าท่านตั้งพระแบบไหนเป็นฐานานุกรมหรือครับ ท่านตั้งพระบวชใหม่เป็นฐานานุกรมของท่านหรือ ปล่าว และที่สำคัญวันที่ท่านเข้ารับพระราชทานสมณศักดิ์ พระราชาคณะชั้นสามัญท่านต้องโดนติวเข้มจากคณะสงฆ์แค่ไหน ให้รู้ระเบียบปฏิบัติในการรับพระราชทานสมณศักดิ์ การถวายพระพร การถวายอติเรก เรื่องเหล่านี้ ท่านลืมไปหมดแล้วหรือ ที่ผมพูดเช่นนี้ก็เพราะว่า ท่านพระครูปลัดฯพายัพ ท่านดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์ พระครูปลัดชั้นเอกของสมเด็จพระราชาคณะ แต่ระเบียบปฏิบัติของคณะสงฆ์ท่านแทบจะไม่รู้อะไร อะไรคือเจริญพระพุทธมนต์ อะไรคือสวดพระพุทธมนต์ การให้พร การถวายพระพร ของเหล่านี้ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ต้องทราบ ไม่ใช่หรือ แล้ว พระครูปลัดฯพายัพ ทราบไหมละครับท่านเจ้าคุณพยอม
 
3.ดร.ปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวถึงการแต่งตั้งพระพายัพ (นายพายัพ ชินวัตร) น้องชายของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็น "พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์" ว่า เมื่อฆราวาสไปบวชพระอุปัชฌาย์ที่บวชให้จะให้ฉายา บังเอิญพระพายัพที่ไปอุปสมบท ชื่อของท่านมีตัว พ. เลยเข้าใจว่า ฉายาของท่านเป็นเหมือนสมณศักดิ์ จริงๆ แล้วไม่ใช่สมณศักดิ์ เพราะการจะได้สมณศักดิ์เป็นพระครู จะต้องมีระยะเวลาในการบวชตามกฎเถรสมาคม อย่างพระครูต้องบวช 5 ปีขึ้นไป และต้องทำงานทางด้านเผยแผ่จนเป็นที่ประจักษ์ มีผลงานทางศาสนา ต้องเข้าที่ประชุมเถรสมาคม และเมื่อมีมติต้องมีการนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพราะฉะนั้นสมณศักดิ์ของพระ ไม่ใช่ได้ง่ายๆ ต้องมีการปฏิบัติเหมือนกับครูบาอาจารย์ที่จะได้อาจารย์ 2 อาจารย์ 3 เหมือนกัน กรณีของพระพายัพนั้น พระอุปัชฌาย์ของพระพายัพได้ตั้งฉายาให้เท่านั้น ไม่ใช่การแต่งตั้งเป็น พระฐานานุกรมแต่อย่างใด เหมือนคนทุกคนที่ไปบวช ก็จะได้ฉายาเป็นภาษาบาลีกันทุกคน ยืนยันว่าในกรณีของพระพายัพ ยังไม่มีการดำเนินการตั้งสมณศักดิ์แต่อย่างใด และตำแหน่งสมณศักดิ์ไม่ได้ซื้อกันง่ายๆ
 
- จริงๆผมกับพี่ปรีชาก็พอรู้จักมักคุ้นตามประสาคนวัด ไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ของเจ้ากรมการศาสนาอย่างพี่ปรีชาที่ให้สัมภาษณ์แล้วแทบจะเอาหน้าซุกหนี ผมไม่รู้ว่าพี่ปรีชาคิดอะไรอยู่ แต่งานนี้กรมศาสนามีแต่เข้าตัว ขนาดเจ้ากรมยังไม่รู้เรื่องรู้ราวงานคณะสงฆ์ อันไหนฉายา อันไหนสมณศักดิ์ ก็ออกตัวโดดป้องเสียแล้ว แต่จริงๆผมได้ข่าวมาอีกกระแสหนึ่ง ว่าในวันที่ให้สัมภาษณ์พี่ปรีชาโดนกดดันจากฝ่ายการเมือง เพราะดันไปโผล่ที่ทำเนียบรัฐบาลพอดี ในเมื่อติดต่อ ผอ.พศ.ไม่ได้ ก็เอาเจ้ากรมศาสนาแก้หน้าแทนก็ได้ สุดท้ายตกม้าตายอับอายไปทั้งกรม และพี่ปรีชาเองคงลืมไปว่า ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 128 ตอนที่ 9 ข 1 มิถุนายน 2554 หน้าที่ 5 พระบรมราชโองการประกาศสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะใหม่  สมเด็จพระธีรญาณมุนี ศรีชินทัตตวรางกูร วิบูลสีลาจารวิมล คณโสภณเลขาธิกร สุนทรปริยัติดิลก ตรีปิฎกวิภูษิต ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 10 รูป ดังนี้ พระครูปลัดสัมพิพัฒนญาณาจารย์ สัทธรรมปฏิภาณปริยัติโกศล วิมลญาณนายก ธรรมยุตติกดิลก ปิฎกธรรมรักขิต ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูธรรมภาณโกวิท พระครูคู่สวด ๑ พระธรรมนิติสรภัญญ์ พระครูครู่สวด ๑ พระครูบรรหารสมณกิจ พระครูรองคู่สวด ๑ พระครูพิพิธธุรการ พระครูรองคู่สวด ๑ พระครูสังฆวิสุทธิ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑
 
ชัดเจนครับว่า สมณศักดิ์ฐานานุกรม พระครูปลัดสัมพิพัฒนญาณาจารย์ สัทธรรมปฏิภาณปริยัติโกศล วิมลญาณนายก ธรรมยุตติกดิลก ปิฎกธรรมรักขิต ของพระพายัพ เขมคุโณ นั้นเป็น " สมณศักดิ์ " หาใช่ " ฉายา " หวังว่าพี่ปรีชาคงไม่นอนฝันร้ายกับคำสัมภาษณ์ที่ตามหลอกหลอนตัวเองอยู่ในตอนนี้นะครับ 
 
สำหรับผม หากท่านพระครูปลัดสัมพิพัฒนญาณาจารย์ สัทธรรมปฏิภาณปริยัติโกศล วิมลญาณนายก ธรรมยุตติกดิลก ปิฎกธรรมรักขิต ( พายัพ เขมคุโณ ) มีคุณูปการต่อพระศาสนาจริงๆดังกล่าวอ้าง ผมแนะนำให้ขอพระราชทานเสมาธรรมจักรรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาให้แทน ที่จะหักหาญน้ำใจของพระผู้รับใช้สนองงานใกล้ชิดต่อสมเด็จพระธีรญาณมุนี แม้เขาจะไม่พูด ไม่แสดงความเห็น ก็หาใช่ว่าเขาจะยินดีนะครับ อุส่าสนองงานมานับสิบๆปี มาแพ้สิ่งที่อยู่ในซองแค่ใบเดียว เซ็งเป็ดเลย ( ลูกชายผมมักใช้คำแบบนี้เมื่อเวลาพบอะไรไม่ตรงจริตของตัวเอง )
 
วันนี้ขอพูดเท่านี้ก่อน เมื่อไหร่มีความคืบหน้าก็จะมาบอกเล่ากันให้ฟังอีก - ผมอนุญาตให้แชร์ได้ตามอัธยาศัยนะครับ ....ส.ราชมัล
 

Attached Images

  • page.jpg



#606991 หุๆๆ เข้าใจผวนคำ..."พระพายัพ -พาพระยับ"...

โดย Suraphan07 on 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 09:23

พระพายัพ-พาพระยับ

นายพายัพ ชินวัตร (น้องชายของทักษิณ ชินวัตร) ทำการอุปสมบท ได้รับฉายา “พระพายัพ เขมะคุโณ”

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีข่าวว่าท่านได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส สมเด็จพระธีรญาณมุนี ให้เป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่ง “พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์”  

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อึงมี่ 
 
เนื่องจากพระพายัพเพิ่งจะบวชได้ไม่ถึง 10 วัน ในขณะที่ตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระสงฆ์ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมจะต้องบวชมาแล้วอย่างต่ำ 10 พรรษา          

1) เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2556 สื่อมวลชนโทรศัพท์ไปสัมภาษณ์พระพายัพขณะอยู่ที่ประเทศอินเดีย 

พระพายัพ เขมะคุโณ ให้สัมภาษณ์ว่า “มีความตั้งใจที่จะบวชมานานแล้วแต่ไม่มีเวลาและโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งวันบวชก็ทำพิธีเงียบ ๆ แบบเรียบง่ายทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็ทราบข่าวหลังจากที่บวชแล้วเพราะไม่ได้แจ้งให้ทราบ” 

พระพายัพชี้แจงทางโทรศัพท์ ยืนยันว่าได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งพระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์จริง 

โดยอธิบายว่า “การได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งพระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์นั้น ก็คล้ายกับการรับปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษที่สมเด็จพระธีรญาณมุนีท่านเห็นว่าอาตมาสร้างวัดมามาก ทำนุบำรุงศาสนาและปฏิบัติธรรมมาเยอะ ซึ่งเป็นความเสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา ตำแหน่งดังกล่าวก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา อนุเคราะห์หมู่สงฆ์ต่อไป ดังนั้น จึงเป็นภาระตำแหน่งไม่ใช่ความยินดี ท่านก็มอบภาระนี้ให้อาตมาก็รับไว้ อย่างไรก็ตามวันที่ 23 ก.พ.นี้จะเดินทางกลับประเทศไทยเพราะมีเทศน์ที่สวนอัมพรร่วมกับพระพยอม”
 
2) พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ ให้สัมภาษณ์เห็นดีเห็นงามไปกับพระพายัพ 

อ้างว่า พระพายัพมีผลงานในการสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น การสร้างโบสถ์ จึงมีสิทธิได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมได้ แม้ว่าหลักเกณฑ์การแต่งตั้งพระฐานานุกรมจะต้องบวชหลายพรรษาก็ตาม “อาตมาเห็นว่า เราไม่ควรจะไปยึดเรื่องพรรษากันได้แล้ว เพราะพระบางรูปบวชมานานหลายพรรษา แต่ไม่เคยทำคุณงามความดี หรืออะไรที่เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา ก็ไม่ควรเลื่อนตำแหน่งอะไรให้เลย”

ที่ร้ายกว่านั้น คือ พระพยอมอ้างว่า เรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาเลย หากพระพายัพไม่ใช่น้องชายของทักษิณ
ทำเหมือนกับจะให้เข้าใจว่า คนที่วิจารณ์เรื่องนี้เป็นพวกจะหาเรื่องทักษิณ 

“พระบางรูปบวชมาหลายพรรษา...”
ถ้าพระพุทธศาสนาถือปฏิบัติตามแนวทางที่พระพยอมอ้าง ก็เท่ากับว่า ใครมีเงินมาก ไม่ต้องมีศีลธรรม ไม่ต้องเป็นคนดี ก็สามารถใช้เงินซื้อตำแหน่งในวงการสงฆ์ได้อย่างอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงพระวินัย ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือพรรษาของการบวช 

ประเดี๋ยวคงมีโจรปล้นเงินแผ่นดิน เจียดเงินไปสร้างโบสถ์ วิหาร กุฏิหรูๆ หอระฆังใหญ่ๆโตๆ ยอยกพระสงฆ์ด้วยทรัพย์ แล้วก็บวชสักเดือน พ่วงขอโบนัสเป็นตำแหน่งใหญ่โตในวงการสงฆ์

3) ล่าสุด นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะแก้เกี้ยวกรณีดังกล่าว 

อ้างว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่การแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรม แต่เป็นเพียงการตั้ง “ฉายา” สำหรับพระบวชใหม่  

อธิบายเรื่องใหม่ บอกว่า พระอุปัชฌาย์ของพระพายัพได้ตั้งฉายาให้ว่า “พระครูปลัด” 

ยอมรับว่า การจะได้รับตำแหน่งพระฐานานุกรมนั้น จะต้องผ่านการอุปสมบทมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 พรรษา และเป็นพระที่มีคุณงามความดีเผยแผ่พุทธศาสนา และต้องเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม เพื่อนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา   

น่าคิดว่า นายปรีชามีหน้าที่เป็น “อธิบดีกรมการศาสนา” มิใช่ “โฆษกของพระพายัพ”  

การพยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ทำนองว่า ตำแหน่ง “พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์” เป็นเพียงฉายา จะเป็นการดูถูกสติปัญญาของคนไทยมากไปไหม เพราะในข่าวปรากฏฉายาอยู่ทนโท่ว่า “พระพายัพ เขมะคุโณ”

ยิ่งกว่านั้น พระพายัพยังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจากประเทศอินเดีย ยืนยันว่าตนเองได้รับแต่งตั้งตำแหน่ง “พระครูปลัดฯ” จริงๆ ก่อนหน้าที่อธิบดีจะโผล่ออกมาแก้เกี้ยวเสียอีก! 

ถ้าตกข่าว ก็ขอให้กลับไปอ่านข้อ 1

หรือถ้าอธิบดีกรมการศาสนาจะยืนยันว่า พระพายัพโกหก อวดอ้างว่าตนเองได้รับแต่งตั้งเป็น “พระครูปลัดฯ” ก็พูดออกมาดังๆ ชัดถ้อยชัดคำ!
4) เห็นพฤติกรรมของพระที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้างต้นแล้ว ช่างน่าสลดใจ... 

ดูท่าว่า งานนี้ “พระพายัพ” จะพาพระยับ(เยิน) ไปเสียหรือไม่?
สำหรับพระที่บวชมานาน หากไม่ได้แก่แต่พรรษา หรือมีกิเลสบังตา พึงสังวรว่า ในสมัยพุทธกาล เคยมีพระสงฆ์พยายามประจบเอาใจคฤหัสถ์ เพียงเพราะพึงพอใจในของฉันที่เขาถวาย 

ถึงกับพยายามแสดงความเห็นที่ไม่ถูกต้องต่อคณะสงฆ์
ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าทรงติเตียน แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท มีใจความว่า “ภิกษุประทุษร้ายสกุล (ประจบคฤหัสถ์ ทอดตนลงให้เขาใช้) มีความประพฤติเลวทราม เป็นที่รู้เห็นทั่วไป ภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวและขับเสียจากที่นั้น ถ้าเธอกลับว่าติเตียน ภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศ (เป็นการสงฆ์) ให้เธอละเลิก ถ้าสวดครบ 3 ครั้ง ยังดื้อดึง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.”
นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังเตือนภิกษุที่มาบวชให้สำเหนียกว่า การมาบวชแล้วกลับไปแสวงหากามที่ละแล้ว (คือ รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสที่ทำให้เจริญราคะ) ย่อมเป็นของต่ำทรามและไม่สมควรปฏิบัติ และที่สำคัญคือ พระองค์ได้ตรัสสอนไว้ว่า “พวกเธอ (ภิกษุ) ทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาท (คือรับมรดกธรรม) ของเราเถิด อย่าเป็นอามิสทายาท (คือรับมรดกสิ่งของ) เลย”
สารส้ม

http://www.naewna.co.../columnist/5462

 




#605622 "พระพยอม" ชี้"พระพายัพ"เหมาะสมได้พระครูปลัดฯ อ้างวุ่นเพราะขึ้...

โดย wat on 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 09:01

อ่านไปนิดหน่อยแล้วขี้เกียจ เดี๋ยวอดใจไม่ได้ ไม่อยากไปวุ่นวายกับพระเจ้า เพราะไงเราก็เป็นพุทธ

ยิ่งเป็นชาวพุทธยิ่งต้องสนใจนะครับผมว่า บางครั้งการไม่ตำหนิ ติเตียนในเรื่องที่ไม่สมควร

มันก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมทางอ้อม ในกรณีนี้ผมว่าไม่สมควรครับ

การทำบุญมากๆใช่ว่าจะเป็นการสะสมเหมือนเก็บเงินเข้าบัญชี บวชปุ๊บจะมาถอนบุญมาสมทบผมว่าไม่ใช่

เพราะการบวชก็เหมือนเป็นการเริ่มต้นในอีกมิติหนึ่ง ไม่งั้นเค้าไม่จัดอาสนะตามพรรษาที่บวชมาหรอกครับ !

 

:mellow:  หากยังเคารพศรัทธาพระพุทธองค์, คำสอนของพระพุทธองค์, สาวกของพระพุทธองค์... ต้องทำขอรับ... ไม่งั้นพระสัทธรรมจะเสื่อม ดังคำพระพุทธองค์ตรัสในหลายๆพระสูตรถึงเหตุแห่งความเสื่อมของธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ 1 ในนั้นก็คือคำสอนผิดเพี้ยน, หลงไปเอาความเห็นเหล่าสมณะหมู่อื่นมาใช้... ที่สาวกของพระองค์อย่างแท้จริงจะไม่ปฏิบัติตาม... พระองค์กล่าวถึงด้วยซ้ำไปว่าสงฆ์สาวกใดที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระองค์ ก็ไม่ใช่สาวกของพระองค์ เป็นแค่มหาโจรขโมยธรรมของพระองค์ไปใช้หากินแล้วบอกเป็นธรรมของตนบ้าง, เป็นพวกที่เปรียบดัง "กูเป็นโค" คือลาที่อยู่ในฝูงวัวแล้วก็ร้องว่ากูเป็นวัวๆๆบ้างขอรับ...

 

...อยู่ที่พวกเรานี่แหละขอรับ... หากเราไม่โจษ หรือละการให้ทานกับคนเหล่านี้ ก็จะทำให้พวกมันเติบโต, เข้มแข็งขึ้น ทำให้สงฆ์สาวกของพระองค์จริงๆ ต้องนั่งนิ่งคอตกซบเซาในหมู่พวกทุศีลนี้ ตามที่พระตถาคตเคยกล่าวไว้นั่นแหละขอรับ...

 

 

"พระพยอม" ชี้ พระพายัพ มีได้สิทธิ์รับตำแหน่งพระครูปลัดฯ หากข่าวเคยสร้างโบสถ์เป็นเรื่องจริง

โอดแทนปัญหานี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ถ้าพระพายัพไม่ได้เป็นน้องชายของคนชื่อทักษิณ

พร้อมแนะเลิกยึดติดกับเงื่อนเวลาได้แล้ว อ้างพระบางรูปบวชมานานหลายพรรษา

แต่ไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ศาสนา ก็ไม่ควรเลื่อนตำแหน่ง

 

พระบางรูปถึงบวชมานานหลายพรรษา

 

แต่ยังมองเหตุการณ์ไม่ออกว่าเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆหรือเรื่องปกติ

 

ก็ควรลาสิกขาบทซะ ศาสนาจะได้ไม่เสื่อม

ท่านกุ๊กไก่

ศาสนาและธรรมวินัย ไม่เสื่อมหรอกครับ ที่เสื่อมคือคนที่มาอาศัยศาสนา แต่ยังมีกิเลสบังตา ตัณหา บังใจ  :(

 

ขอถกมองต่างสักครั้ง

 

ศาสนาเปรียบดังธรรมชาติ คือมีอยู่แล้ว พุทธองค์แค่มองเห็นและเอามาบอก

 

เมื่อมนุษย์เราช่วยกันทำลาย ของดีที่มีอยู่ก็หมดหรือเสื่อมไป

 

เมื่อทุกคนต่างช่วยกันทำลาย อนาคตเราจะมีธรรมชาติแบบนี้อยู่อีกหรือ

 

^_^  ถูกแล้วขอรับ... เพราะคนเหล่านี้ใช้เครื่องแบบของพระตถาคต แต่ไม่ใช้ธรรมของพระตถาคตมาประพฤติปฏิบัติให้รู้แจ้ง แล้วเผยแผ่ธรรมที่ถูกที่ควรแก่มหาชนต่อไป... แต่กลับใช้เครื่องแบบของพระองค์เป็นเครื่องแสวงหาอามิสทาน สั่งสม, สะสมทานเหล่านั้น แล้วเผยแผ่แต่สิ่งผิดๆให้แก่มหาชน ก็เพื่อเพียงหวังแต่อามิสทานทั้งหลายนั่น...

 

...หากเรายังไปสนับสนุนคนเหล่านี้ต่อไปในทางใดทางหนึ่ง... มันก็เท่ากับทำลายแก่นของพระศาสนา คือพระธรรมวินัยอันแท้จริงของพระองค์ให้หมดสิ้นไปขอรับ...




#605571 "พระพยอม" ชี้"พระพายัพ"เหมาะสมได้พระครูปลัดฯ อ้างวุ่นเพราะขึ้...

โดย kokkai on 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 07:19

"พระพยอม" ชี้ พระพายัพ มีได้สิทธิ์รับตำแหน่งพระครูปลัดฯ หากข่าวเคยสร้างโบสถ์เป็นเรื่องจริง

โอดแทนปัญหานี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ถ้าพระพายัพไม่ได้เป็นน้องชายของคนชื่อทักษิณ

พร้อมแนะเลิกยึดติดกับเงื่อนเวลาได้แล้ว อ้างพระบางรูปบวชมานานหลายพรรษา

แต่ไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ศาสนา ก็ไม่ควรเลื่อนตำแหน่ง

 

พระบางรูปถึงบวชมานานหลายพรรษา

 

แต่ยังมองเหตุการณ์ไม่ออกว่าเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆหรือเรื่องปกติ

 

ก็ควรลาสิกขาบทซะ ศาสนาจะได้ไม่เสื่อม




#601694 เพราะนโยบายกำปั้นเหล็กแบบบ้าๆ จึงนำมาซึ่งหยดเลือดและหยาดน้ำตาที่ไม่สิ้นสุด

โดย Ricebeanoil on 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 20:26

สำหรับผม มันก็ผิดกันทั้ง 2 ฝ่ายนั้นละ

ฝ่ายแรก ทางราชการก็ไม่เข้าใจเค้า ไปทำรุนแรงแล้วก็ไม่ขอโทษ เรื่องก็เลยบานปลาย

ฝ่ายหลัง แค้นมากจนสิ้นคิด ไปลงกับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไฟแค้นอีกฝ่ายก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ สิ่งที่ในหลวงมีพระราชดำรัสไว้นั้นละ "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา"

เริ่มที่ข้อแรก เข้าใจ

มีใครเข้าใจเค้าบ้างไหมละ หลังเกิดเหตุที่ตากใบ สิ่งที่เค้าเรียกร้องคืออะไร เงินหรือ ผมว่าไม่ใช่มั่ง

เค้าเรียกร้องกับทางการว่าคนทำผิดคนสั่งการต้องได้รับการลงโทษ แล้วตอนนี้คุณให้เค้าได้หรือไม่ ตอบคำถามตัวคุณเองเถอะ

คนทำผิดยังลอยนวล คนสั่งการได้อวยยศให้ยิ่งๆ ขึ้น แล้วคุณจะให้เค้าคิดอย่างไร

 

ดังนั้นเมื่อข้อแรกยังให้ไม่ได้ ข้อหลังๆ คงไม่ต้องพูดถึง คุณไม่เข้าใจเค้า แล้วเข้าถึงได้อย่างไร จะพัฒนาอะไร

พัฒนาทางวัตถุเหรอ เค้าเรียกร้องอย่างนั้นเหรอ เค้าเรียกร้องความเป็นธรรมต่างหาก

ชีวิตชาวบ้านเค้าไม่ต้องการอะไรมากหรอก นอกจากกินอิ่มนอนหลับ ถ้าใครไม่ไปเบียดเบียนเค้า เค้าก็อยู่กับวิถีชีวิตที่ผูกพันธ์กับศาสนาเช่นนั้น

เรื่องมันจะไม่บานปลายแน่นอน




#601070 ประกาศๆ วันที่ 29-30-31 เดือนนี้ เว็บบอร์ดเสรีไทยปิดทำการครับ

โดย ทัชชี่ on 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 11:13

ไม่เชื่อ ถามม้อดได้เลยครับ...

 

-_- -_- -_-




#599920 ทำไมต้องโกง ทำไมต้องหลอก กับรถแท็กซี่ไทย

โดย wat on 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 11:00

555928_511136795604758_154740551_n.jpg

 

วันก่อนคนขับแท็กซี่ สอนให้ดูมิเตอร์ค่าโดยสารถ้าปกติต้องเป็นแบบนี้...เวลารถติดจุดในช่องแรก(ตรงเลข1) จะกระพริบ ส่วนเวลารถวิ่งจุดในช่องที่2 (เลข2) จะกระพริบ...ถ้าจุดทั้ง 2 ช่อง กระพริบพร้อมกันให้หาวิธีลงรถอย่างนิ่มนวล เพราะคุณกำลังโดนโกงแล้ว ;) ขอบคุณแท็กซี่ดีดี ที่มีข้อมูลดีดีมาแบ่งปัน ^__^

thank Or Siriporn
 
^_^   ได้มาจากเฟสบุกขอรับ อาจจะเป็นประโยชน์ ส่วนแท๊กซี่โกงทุกวันนี้ก็เหมือนซื้อหวยนั่นแหละขอรับ... คือเจอนิสัยดี ไม่พูดมาก ลากการเมือง แล้วก็ตรงไปตรงมา ก็เหมือนถูกเลขท้ายสองตัวแบบซื้อทุกงวด ถูกสองสามปีครั้งนึงนั่นแหละขอรับ... มันคือสันดานขอรับ...



#599870 ทำไมต้องโกง ทำไมต้องหลอก กับรถแท็กซี่ไทย

โดย raffy on 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 09:57

คือผมอยากจะตั้งกระทู้นี้ไว้จะเป็นการประจานอะไรก็ตามแต่

แต่สิ่งหนึ่งที่รับไม่ได้ ก็คือรถแท็กซี่ไทยบ้านเราเนี้ยละครับ

 

คือผมมีธุรกิจอีกอันที่ทำอยู่ก็คือ ธุรกิจที่พักให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแบบเล็กๆ (อยู่ไม่ไกลจากสนามบินดอนเมือง)

ซึ่งเมื่อนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาพักก็คือรถแท็กซี่จากสนามบิน(ทั้งสุวรรณภูมิ และดอนเมือง)

สิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนรับทราบมาจากข้อมูลที่ได้รับมาคือ(นี้คือคำพูดของนักท่องเที่ยว ทั้งยุโรป และเอเซียที่เขาอ่านจากในหนังสือท่องเที่ยว)

แท็กซี่ไทย หลีกเลี่ยงที่จะขึ้นได้ก็หลีกเลี่ยง เพราะแท็กซี่ไทยขี้โกง

เราก็พยายามอธิบายว่ามันไม่ใช่ทั้งหมด แท็กซี่ดีๆ ก็ยังมีอีกเยอะ

แต่การอธิบายของเราก็กลับกลายไปเป็นแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

เพราะเมื่อเขาเข้าพักแล้ว วันรุ่งขึ้นก็จะเดินทางไปเข้าเมืองเพื่อท่องเที่ยวในกทม.

ผมก็จะมีการอธิบายเส้นทางต่างๆ ว่าที่พักเราอยู่ตรงไหน แล้วเราจะเดินทางไปที่ไหน ต่อรถไหนอะไรได้บ้าง

ทั้งรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน พร้อมทั้งให้แผนที่แบบง่ายๆ ให้กับแขกทุกๆ คน (แถมมีภาษาไทยให้แท็กซี่อ่านด้วยว่าที่พักเราอยู่ตรงไหน)

 

เชื่อไหมครับกับสิ่งที่ลูกค้าและผมได้รับมา มีทั้งทิ้งเขาไว้หน้าปากซอย ขับรถอ้อมบางละ ไม่คิดราคาตามหน้ามิเตอร์ จะเอาราคาเท่านั้นเท่านี้

ถ้าผมอยู่ ผมจะเอาเรื่องให้แขกทันที ถามเขาทันทีว่าเราจะแจ้งตำรวจจับไหม แขกก็จะไม่ค่อยจะเอาเรื่องแต่ผมจะไม่ยอมกับเรื่องแบบนี้

เพราะขายขี้หน้าแทนคนไทยมากกับนิสัยแย่ๆ ของแท็กซี่บ้านเรา

ยกตัวอย่างเช่นมาจากบีทีเอส หมอชิต มิเตอร์มาเกือบ 200 บาท แต่จะเรียกเอาลูกค้า 400 บาท

ผมก็จะถามว่าถ้าคุณจะตี่ราคาเหมามา แล้วคุณกดมิเตอร์ทำซากอะไร เขาไม่ได้ตาบอดนะเว้ย

ตัวเลขเขาก็เห็นว่าราคานั้น แต่จะมาเก็บราคานี้ ถ้าเจอกับผมแบบนี้แท็กซี่จะยอมซึ่งเมื่อแขกเห็นอย่างนี้

ไอ้ประเภทขับอ้อมอีก มีไปยันรังสิต ไปลำลูกกา ลูกค้าฟ้องผมเพราะเขารู้ดูในแผนที่ว่าที่พักเราอยู่ตรงไหน

แท็กซี่มันว่าไงไหมครับ มันบอกมันไม่รู้จักทาง(ทั้งๆ ที่ก็มีแผนที่ที่ผมให้กับลูกค้าไว้)

ก็คงจะจำฝังใจไปอีกนานกับแท็กซี่ไทย ที่ขี้โกงจริงตามที่เขาร่ำลือ

 

ส่วนประเภทโกงมิเตอร์มาจับได้ก็เพราะว่ามีลูกค้าจากสุวรรณภูมินั่งแท็กซี่มา(แท็กซี่ป้ายแดงซะด้วย)

เราก็ดูมิเตอร์เขา แค่ 300 กว่าบาท เราก็ถามว่า พี่วิ่งเส้นไหนมาละทำไมถูกจัง

เพราะปกติบางคันมา 500 ก็มี 400 กว่าก็มี 

เขาบอกว่าไงไหม "ก็มาทางปกตินี้ละ ยังไม่มีเวลาไปเขี่ยมิเตอร์เลย" 

โอว...พระเจ้างั้นทุกวันนี้ที่เราขึ้นแท็กซี่มิเตอร์ร้อยทั้งร้อยมันคงเขี่ยมิเตอร์กันหมดแล้วซินะ

 

อนาจใจกับแท็กซี่เมืองไทยบ้านเราจริงๆ

 

ปล.มีนักท่องเที่ยวเขาจดเลขทะเบียนแท็กซี่เพื่อให้ผมแจ้งร้องเรียนให้ที ย้ำนะครับว่าชาวต่างชาติ

เขาก็จดได้แค่เลข 4 ตัวหลังเท่านั้น ผมก็แจ้งร้องเรียนไปยังขนส่งพร้อมเลข 4 หลัก

ขนส่งบอกว่าดำเนินการไม่ได้เพราะจดมาไม่ครบ 

ก็สรุปว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจดมาไม่ครบก็ร้องเรียนไม่ได้ ตรูจะทำไงดีเนี้ย งง งง

 

อนาจใจกับขนส่งอีกรอบครับ




#597945 สุดยอด! “เฉลิมลั่น” ตำรวจเรียกรับแต๊ะเอียไม่ผิด อ้างเป็นประเพณีช่วงตรุษจีน

โดย คนกรุงธน on 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 18:37

427183_499064910140243_1616890069_n.jpg
คุณเฉลิมแกไม่เข้าใจ แกไม่ได้มีเชื้อจีน ไอ้ผมมันเด็กเยาวราช
ตรุษจีนเขาต้องรับ "อั่งเปา" อั่งเปาก็คือ "ซองแดง"
ตามธรรมเนียมจีนผู้ใหญ่เขาให้ "อั่งเปา" กับผู้น้อย คือ ให้ลูกหลาน หรือบริวาร ถ้าเป็นระดับเดียวกันเมื่อเขาให้อั่งเปาเราก็ต้องให้อั่งเปากลับเป็นธรรมเนียมประเพณี ปีนึงมี 1 ครั้ง พูดง่ายๆว่า "แต๊ะเอีย" ก็คือ "โบนัส" ของฝรั่ง หลังจากทำงานตรากตรำมาก็ให้แต๊ะเอีย เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ

ทีนี้มาพูดถึงที่คุณเฉลิมบอกว่า ตำรวจรับอั่งเปาไม่ผิด คุณเฉลิมเอาที่ไหนมาพูด เพราะว่าตำรวจมีเงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชน จะเที่ยวไปเดินเร่รับอั่งเปามันไม่ถูกเรื่อง ตำรวจไม่ได้เป็นบริวาร ลูกหลาน ญาติสนิท จะมาเที่ยวอ้างข้างๆคูๆว่าเป็นธรรมเนียม ก็เพราะคุณเฉลิมแกเป็นตำรวจเก่า เลยติดอยู่กับธรรมเนียมที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง อันนี้เป็นธรรมเนียมจีนแท้ๆ ส่วนเรื่องส่งส่วยมันคนละเรื่องกับอั่งเปา คุณเฉลิมเอามาพูดลิ้นพันกันมันไม่ถูก เป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างนี้คนจีนเขาเรียกว่าพวก "เฉ๊าฉุ่ย" (พวกปากเหม็น) แล้วถ้าไม่รู้ธรรมเนียมจีนแต่สะเออะไปพูด เขาเรียกว่าเป็นพวก "ฮวงกุ้ย" (พวกหลังเขา) เป็นพวกห่างไกลความเจริญ พอเห็นเขาตั้งโต๊ะมีซาลาเปาก็สะเออะไปหยิบกินก่อนเจ้าของบ้าน แบบนี้มันผิดธรรมเนียม อ้างเอาว่าตัวเองเป็นพวกหลังเขาไม่รู้ธรรมเนียม ท้องหิว หน้ามืดตาลาย ก็หยิบกินเอา อ้างข้างๆคูๆแบบนี้แหละครับ

ธรรมเนียมไทยเขาเรียบร้อยสงบเสงี่ยม หากมีคนเขาจะให้ก็ยกมือไหว้รับ คนให้ก็ภูมิใจ อวยพรให้มั่งมีศรีสุข แต่ถ้าลองตำรวจไปขอซองแบบนี้สิครับ ไอ้คนให้ ลับหลังไปมันจะอวยพรหรือด่าว่าเป็นพวก "เก๋าเจ้ง"? (พวกชิงหมาเกิด)