วันที่สิบสี่ เดือนตุลาคม ปีนี้ถือเป็นปีที่ครบรอบ สี่สิบปี ที่บรรดาประชาชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา รวมตัวกันเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ที่ปกครองโดยทหารในยุคนั้น สี่สิบปีที่แล้วที่แม่มะนาวยังอยู่ในวัยละอ่อน
ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งในเหตุการณ์ รู้แค่ว่าประชาชนทนไมได้กับรัฐบาลทหารที่ปกครองขณะนั้น ความจริงบ้านเมืองเรามิใช่ไม่เคยปกครองโดยทหารมาก่อน เช่น จอมพลสฤษดิ์ นั่นก็เคยปกครองอยู่
แม้จะมีเรื่องอื้อฉาว แต่คงยังไม่ถึงจุดแตกกระมัง เพราะอย่างน้อยก็มีความดีในหลายอย่างบ้าง แต่พอถึงรัฐบาลในยุคต่อมาอะไรล่ะ คือชนวนที่ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นมาของประชาชน ที่มีนักศึกษาจากหลายสถาบันเป็นแกนนำที่เริ่มไม่ยอมรับกับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ถือเป็นการปกครองในระบอบเผด็จการทหาร การลุกขึ้นมาต่อสู้อาจเป็นเพราะรัฐบาลขณะนั้นมัวเมาอำนาจ ประชาชนอาจเริ่มรู้สึก
ไม่พอใจขึ้นมา จุดแตกหักคงเป็นการจับตัวแกนนำไปขัง ซึ่งเป็นนิสิต นักศึกษา ที่กล้าออกมาต่อต้าน เลยมีการรวมตัวไปประท้วงเพื่อให้ปล่อยแกนนำออกมา
ยอมรับว่าตัวเองในตอนนั้นไม่ค่อยได้สนใจนัก จะว่าสนใจแต่ตัวเองก็คงได้ ก็ตั้งหน้าเรียนหนังสืออยู่แหละ จะได้รีบจบมามีงานทำ ไม่ต้องเป็นภาระของครอบครัวอีกต่อไป ก่อนเกิดเหตุแม่มะนาว
เคยยืนมองดูเด็กนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ เดินพูดคุยหัวเราะกันมาตามทาง เพี่อจะไปร่วมการชุมนุม ถามตัวเองว่า เด็กเหล่านี้รู้หรือไม่ว่ากำลังเดินไปร่วมเพื่ออะไร แล้วก็มาย้อนถามตัวเองว่า แล้วเราล่ะ
ต่างคนก็ย่อมต่างความคิด ประเทศรอบบ้านเราขณะนั้นตกอยู่ในระบอบการปกครองแบบคอมมูนิสต์ไปแล้ว เหตุการณ์ภายในประเทศไทยเองใช่ว่าจะสงบ มีกลุ่มคนไทยที่นิยมลัทธิคอมมูนิสต์ก็มีอยู่ไม่น้อย ประเทศไทยเป็นประเทศเดียว ที่ยังเหลือรอดจากการถูกครอบงำด้วยลัทธิคอมมูนิสต์ ถ้าประเทศเราถูกล้มล้างการปกครอง นั่นหมายถึงว่าซีกโลกทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นคอมมูนิสต์ไปหมด
ความสมดุลย์ในการต่อสู้ระหว่างกลุ่มประเทศคอมมูนิสต์และประเทศที่เป็นเสรี ก็คงจะเปลี่ยนไป และก็มีการต่อสู้กับทหารอยู่ ในหลายพื้นที่ ในหลายภาค เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรามิได้กำลังตกเป็นเครื่องมือของพวกคอมมูนิสต์ที่ต้องการเปลี่ยนระบบการปกครองของเรา อย่างน้อยที่สุด ทหารในสมัยนั้น ยังยึดถือองค์พระมหากษัตริย์ เป็นพระประมุขของประเทศอย่างแท้จริง แต่เอาเถอะรูปการณ์มันออกมาว่าระบอบทหารทำตัวเป็นเผด็จการ ก็ต้องยอมรับกันไป ก็ไปร่วมกับเขาเหมือนกัน ทั้งที่ยังมีคำถามคาใจอยู่ ออกจากมหาวิทยาลัย ร่วมขบวนไป จัดให้ผู้หญิงเดินรอบนอก ผู้ชายอยู่ข้างใน นี่คือจุดเปลี่ยนในใจของตัวเอง และเพื่อนอีกสองสามคน ทุกชีวิตควรมีความสำคัญเท่ากันซิ พวกเรามองหน้ากันก็มันผู้หญิงกันทั้งนั้น ก็ไม่ว่าอะไร เดินไปเรื่อย จนถึงสีแยกคอกวัว ก็เพราะจัดให้เราเดินริมนอกแหละ พวกเราเลยค่อยๆแยกตัวออกมาจากขบวน เมื่อใกล้ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ออกทางบางลำพู แยกกันกลับบ้าน ชืวิตเรา ก็มีความหมายนะ ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นมาต้องโดนก่อนหรือ ถ้าจะสู้ก็ต้องสู้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย จะเป็นกลยุทธ์อะไรก็แล้วแต่ เราเดินไปมือเปล่าเลยนะ การที่แม่มะนาวไม่ออกไปร่วมชุมนุมจนถึงที่สุด ไม่ได้แปลว่าไม่รักประเทศ แต่ด้วยมุมมองส่วนตัว
และเหตุผลส่วนตัว แต่นับแต่วันนั้นตั้งปณิธานกับตัวเองว่าต้องรีบเรียนให้จบ ออกมาทำงานทำประโยชน์ให้สังคม ถ้าต้องไปรับราชการก็จะตั้งใจรับใช้ประเทศจะไม่โกงกิน ไม่ทุจริตใดๆ จะเป็นน้ำดีที่ค่อยๆดันน้ำเสียออกไปจากสังคม จะไม่ทำตัวเป็นขยะของสังคม
สี่สิบปีที่ผ่านมาแล้ว ที่หลายชีวิต หลายครอบครัว ได้รับความสูญเสียจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ปราศจากจากการร้องเรียน เรียกร้องชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ทุกคนที่ยังอยู่พยายามที่จะดำเนินชีวิตไปข้างหน้า แม้จะสูญเสีย แต่ก็ได้ชัยชนะ ที่สามารถขับไล่รัฐบาลทหารออกไปได้สำเร็จ แต่ขณะนี้ จากสีสิบปีที่แล้ว แม่มะนาวกลับมองเห็นเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น
คล้ายกับเอาหนังเก่ามาทำใหม่ น่ากลัวชั่วช้ากว่าเดิม แนบเนียนขึ้น เพราะใช้ความใสแบบกระจกมาสร้างภาพลวงตา เผด็จการ ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ถูกนำมาห่อหุ้มด้วยแพกเกจใหม่ กับคำว่า "ประชาธิปไตย" แกนนำบางคนที่เคยเข้าร่วมในเหตุการณ์ หลายคนละทิ้งอุดมการณ์ออกมาร่วมด้วยช่วยโกง บางคนก็หอบเงินบริจาคหนีไปด้วย ใครเป็นใคร พวกเราคนที่อยู่ในเหตุการณ์ยังจำได้
แค่อยากบอกว่าคุณไม่แค่ละทิ้งอุดมการณ์ของคุณ ทิ้งคนที่ร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์ครั้งนั้น คุณยังทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในตัวคุณออกไปด้วย
คนไปร่วมชุมนุมเสียชีวิต แต่แกนนำยังอยู่ ได้กลับมาเล่าเรื่อง สัจธรรมของการชุมนุม ผู้ชุมนุมตาย แกนนำยังอยู่ คุณอาจเห็นภาพใหญ่ แต่แม่มะนาวเป็นแค่คนธรรมดา เลยมองเห็นภาพอีกแบบ แกนนำทุกคนในมหาลัย แม่มะนาวเจอมาหมดแหละ เจอพฤติกรรมหลายอย่าง บางอย่างเจอเอง บางอย่างเขาเล่าว่า อันนี้จะเฉยๆ เพราะรู้ไม่จริง นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้แม่มะนาวและเพื่อนตัดสินใจไม่เข้าร่วม
พวกนักการเมืองที่กล้าเรียกตัวเองว่า คนสิบสี่ตุลา ที่หลายคนตาย หลายคนบาดเจ็บ อีกหลายคนสูญเสียคนอันเป็นที่รัก คนที่ออกไปต่อสู้เผด็จการทหาร แต่คุณเอง คุณกลับมาเป็นนักการเมือง
ทำตัวเป็นพวกเผด็จการเสียเองในคราบคำว่าประชาธิปไตย คำที่ว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย แต่ที่จริงมันคือประชาธิปไตยในคราบเผด็จการ แม่มะนาวเห็นเพื่อนจากรุ่นเดียวกัน หรือจากสถาบันเดียวกัน ยอมเป็นขี้ข้าคนโกง และที่เลวร้ายกว่าเผด็จการทหารเมื่อสี่สิบปีก่อน พวกคุณต้องการล้มล้างสถาบัน ช่างน่าไม่อาย ยังจำได้หรือไม่ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเปิดประตูวังสวนจิตรลดา รับคนที่หนีการปราบปราม ให้เข้าไปหลบภัย และคนที่ปราบปรามขณะนั้นก็ยังมิกล้าอาจเอื้อมที่จะกระทำการใดที่ล่วงละเมิด นี่คือความจริงที่ใครก็มาเปลี่ยนแปลงไม่ได้
- chackrapbong and Navatnakhon like this