เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2549 นายนวมทอง ไพรวัลย์ ที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล จากการประท้วงขับรถพุงชนรถถังของคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 30 กันยายน เสียชีวิตลง ด้วยการผูกคอตาย เพื่อเป็นการประท้วงการทำรัฐประหาร
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม2551 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าพรรค ปชป นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยการโหวตจากสภา หลังจากรัฐบาลที่ชนะเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากอย่างแท้จริงถึงสองรัฐบาล ต้องถูกล้มล้างไปด้วยอำนาจแห่งองค์กรอิสระ พรรคการเมืองถูกยุบเพิ่มจนเกือบหมด นักการเมืองพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลถูกตัดสิทธิไปทั้งหมด 109 คน ไปบวกรวมกับพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบและตัดสิทธิไปก่อนหน้านั้นอีก 111 คน พร้อมๆกับการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับประชาขนฉบับแรก ปี 2540 ทิ้ง แม้กระนั้น นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป ก็ยังไม่สามารถชนะได้ด้วยตนเอง ยังต้องขอยืมเสียงจาก สส พรรคฝั่งตรงข้ามที่ตัวเองป่าวประกาศมาตลอดว่าต่อต้าน ว่าพวกเขาเป็นคนเลว เพื่อมาช่วยโหวตในสภา ให้นายอภิสิทธิ์ ที่ไม่เคยนำพรรคชนะเลือกตั้งใหญ่ นาย อภิสิทธิ์ ที่พาพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยประท้วงไม่ลงเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ที่ขอพระราชทานนายกฯ มาตรา 7 โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู้หัวต้องเสร็จออกมาตรัสว่า ไม่สามารถประทานให้ได้ นาย อภิสิทธิ์ ที่น้อมรับรัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหาร ปี 2550 อย่างไม่มีเงื่อนไข พร้อมประกาศบอกคนไทยทั้งประเทศว่า ให้รับๆไปก่อน แล้วค่อยมาแก้ที่หลัง ทั้งๆที่ตอนนั้นร่างรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยคนแค่ไม่กี่คนยังพิมพ์ออกมาแจกให้ประชาชนอ่านยังไม่เสร็จด้วยซ้ำ
นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องใช้ต้นทุนทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อเข้าสู่อำนาจนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประเทศไทยโดยการนำของเขาได้มีการปราบปรามประชาชนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ที่นาย อภิสิทธิ์ จนบัดนี้ ก็ยังไม่เคยกล่าวคำขอโทษใคร
ประชาชนไทยที่รักในเกียรติ ศักดิ์ศรี และสิทธิพื้นฐานของตน ถูกบีบให้ไม่มีทางเลือกใดแล้วนอกจากการช่วยกันรุมซ้อม อดีตนายกฯนอกระบบที่ไม่รู้จักถ่อมตน ฆาตกรเลือดเย็น ที่ไม่รู้จักมีจิตสำนึก ให้อยู่อย่างสาหัสปางตาย ทั้งนี้ เพื่อจะได้ให้ร่างกายที่มีชีวิตแต่ไร้จิตวิญญาณ ของ นาย อภิสิทธิ์ เป็นอนุสรณ์เตือนใจให้ใครก็ตามที่คิดจะฉวยโอกาศลักขโมยมาซึ่งอำนาจที่ตนเองไม่มีสิทธินี้ จำไปอีกนานๆ จำไปให้นานพอที่จะไม่ทำให้ประเทศต้องลุกเป็นไฟอีก
ขอให้จุดจบของ นาย อภิสิทธิ์ คือ จุดเริ่มต้นใหม่สำหรับพวกเราชาวไทย จุดเริ่มต้นใหม่ที่จะทำให้เราได้ปรับความเข้าใจให้ตรงกันว่า ธงชาติไทยอันมีสามสีหมายถึง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์นั้น จะไม่มีวันพัดปลิวอย่างสงบร่มเย็นได้ ถ้าหากคำว่า ชาติไม่ได้หมายรวมถึงประชาชนไทยทุกคนและการให้เกียรติซึ่งระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้ออกเสียงอย่างถูกต้องตามกติกาเพื่อให้ทุกคนรับรู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องตามกติกาที่พวกเขาเลือกมาคืออะไร
ขอให้จุดจบของนายอภิสิทธิ์ คือ จุดจบ ของการใช้ความกลัวในการฉวยโอกาส เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจอันไม่ชอบธรรม อำนาจแห่งความเป็นโมฆะที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกเหยีบย่ำสิทธิศักดิ์ศรีอันเป็นพื้นฐาน ขอให้มันเป็นจุดจบของคำกล่าวหาว่า "ล้มล้าง" และเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่จะทำให้เราเข้าใจตรงกันว่า ไม่มีใครสามารถ"ล้มล้าง" ใครได้จริง นอกจากตัวเอง
ทุกสิ่งในโลก ที่มีความรัก มีความเคารพ และให้เกียรติซึ่งชีวิตเพื่อนมนุษย์ เกิดขึ้นและเติบโตยิ่งใหญ่ได้ ด้วยความสามารถในการยอมปรับ และเปลี่ยนแปลง สิ่งใดที่เอาแต่ตนเป็นที่ตั้ง และไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ก็จะไม่สามารถเติบโตต่อไป มีแต่รอวันเสื่อมสลาย และเป็นเครื่องมือ ของความทะเยอทะยานที่ไม่มีจิตวิญญาณ เช่นของคนอย่าง นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ประเทศไทยในวันนี้ไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลืออยู่อีกแล้วนอกจากการให้ความเชื่อใจในประชาชนไทยกันเองว่า เสียงของประชาชนไทยในสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน คือเสียงของจุดเริ่มต้นใหม่ที่จะแก้ไขทุกสิ่ง ทีผิดพลาด บูดเบี้ยว หงิกงอ ให้กลับเข้ามาสู่รูปรอยที่ถูกต้อง
ขอให้ความตาย ของ นาย นวมทอง ไพรวัลย์ คือความตายและจุดจบของความขลาดกลัวในเสียงของประชาชน
และเช่นเดียวกัน
ขอให้การมีชีวิตอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี และจิตวิญญาณ ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคือความตายและจุดจบของความขลาดกลัวในเสียงของประชาชนค่ะ
ด้วยความเคารพ
มล มิ่งมงคล โสณกุล
30 กันยายน 2556