Jump to content


คนกรุงเต้บ

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 30 ตุลาคม 2556
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2556 14:36
-----

Topics I've Started

ไชโย!

11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 20:24

ไชโย! 4.6 ตร.กม. เป็นของไทยอย่างชัดเจนแล้ว 

มาดีใจกันหน่อยครับ

 

 

 

 

 


"สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคย"

11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 11:42

1384103466-1384102136-o.jpg

 

เอ่อ...


เสียงนกหวีด สงครามใหญ่ และสิ่งที่มองไม่เห็น

8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 21:22

เสียงนกหวีด สงครามใหญ่ และสิ่งที่มองไม่เห็น
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
-----------------------------------------------------------

เมื่อคุณเป่านกหวีดเสียงดัง
รัฐบาลจะต้องฟังเพราะ
เสียงอันดังของนกหวีดประชาชน

แต่ในทางกลับกัน
คุณจะไม่มีทางได้ยินเสียงอื่น
นอกจากเสียงนกหวีด
ซึ่งจะดังมากเสียจนคุณต้องอุดหู

ยิ่งเป่าให้ดังยิ่งต้องอุดหูให้แน่น
ในภาวะเช่นนั้น จึงเป็นธรรมดาอยู่
ที่จะมีบางเสียงที่คุณไม่ได้ยิน

เมื่อคุณร่วมชุมนุมอยู่หน้าเวที
ภาพที่คุณเห็นย่อมเป็นภาพของแกนนำ
ที่พูดจาตอกย้ำความเลวร้ายของฝ่ายตรงข้าม
น่าแปลก ภาพที่คุณมองข้ามก็คือ ภาพของแกนนำผู้นั้น
ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งก็เคยถูกกล่าวหา
ในข้อหาที่เลวร้ายพอกัน

ท่ามกลางอารมณ์ที่คุกรุ่น ท่ามกลางเสียงกลองรบ
จึงมีบางเสียงที่คุณอาจไม่ได้ยิน
และมีบางภาพที่คุณอาจมองไม่เห็น
เมื่อฝ่ายหนึ่งเล่นหนัก อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องรุกกลับ

จากการชุมนุมคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมคนทุจริต
แต่เมื่อมวลชนจุดติด จึงเป็นการง่ายเพียงนิดที่ผู้นำ
จะเคลื่อนมวลชนเข้าสู่สงครามการเมืองเต็มรูปแบบ

สิ่งที่คนนั่งรถไฟฟ้าไปเป่านกหวีดตามสี่แยกไม่ได้ยิน
คือสิ่งที่คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างพาคนไปชุมนุมจะได้ยิน

สิ่งที่อาจารย์มหาวิทยาลัยหน้าใสบางส่วนไม่ได้ยิน
คือสิ่งที่แม่บ้าน คนขับรถ และคนงานในมหาวิทยาลัย 
ผู้ไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกอธิการและคณบดีใดๆ จะได้ยิน

สิ่งที่นักธุรกิจน้อยใหญ่ไม่ได้ยิน 
คือสิ่งที่คนงานผู้รับค่าแรง 300 บาท จะได้ยิน
สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ใหญ่ไม่ได้ยิน 
คือสิ่งที่ชาวนาที่ขายข้าวได้ราคาจะได้ยิน

สิ่งที่คนกรุงเทพฯ บางสายและฝ่ายต้องการล้มล้างรัฐบาลยังไม่เห็น
คือพลังของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลว่ามีมากขนาดไหน 
ทั้งๆ ที่รัฐบาลหักหลังพวกเขาได้ขนาดนั้น

สิ่งที่เราและท่านยังไม่ได้ยิน 
คือสิ่งที่เขาจะปราศรัยกันให้ได้ฟังเต็มหูดังๆ 

เมื่อต่างฝ่ายไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้
คงมิต้องบ่งชี้ว่านี่เราอยู่ในสถานการณ์ใด

ว่ากันให้ชัด การเมืองไทยนับจากนี้
มิใช่แค่เรื่องพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
หากแต่เป็นการเปิดหน้ากันออกมา
ของตัวละครใหญ่ในสงครามชิงเมือง
โดยมีอารมณ์มวลชนเป็นเชื้อเพลิงในการเคลื่อนขับ
ให้สงครามชิงเมืองขยับเข้าใกล้สงครามกลางเมืองไปทุกขณะ

และไม่ว่าฝ่ายใดจะได้รับชัยชนะในเกมอำมหิตนี้
ไม่มีใครรู้ว่า จะต้องมีอีกกี่วีรชนพลีชีพบนท้องถนน
แน่นอน ย่อมไม่ใช่คนที่อยู่บนเวทีและคนที่ออกเดินหน้า
หากแต่คือคนธรรมดาที่เดินตามมา
และถูกดันไปข้างหน้าบนถนน

ในสภาวะที่ทั้งสองฝ่ายปลุกเร้าให้ไม่ยอมจำนน
ใครเลยจะคาดเดาได้ว่า ถนนแห่งการต่อสู้นี้
จะพาผู้คนเรือนแสนไปหยุด ณ จุดใด

แม่ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายส่งสัญญาณรบแล้ว
ลูกขุนและผู้ห้อยโหนต่างรีบเคลื่อนขบวนออกหน้า
จนไม่ทันเตรียมแผ่นผ้าให้ได้ตรรกะประชาธิปไตย

แม้มหาวิทยาลัยใหญ่ยังอุตส่าห์เรียกหาทหาร
แม้ตุลาการก็ยังถอดครุยออกมาเป็นคนเดินลุยดิน
เหล่าดาราพากันอินกับบทวีรบุรุษวีรสตรีศรีรัตนโกสินทร์
ท่ามกลางควันไฟที่ถูกจุดขึ้นตามเวทีน้อยใหญ่
ท่านได้ยินเสียงของฝ่ายตรงข้ามหรือไม่

ก่อนจะถึงชัยชนะไม่ว่าของฝ่ายใด
ท่านเห็นหรือไม่ว่าสงครามใหญ่รออยู่เบื้องหน้า
และใช่จะมีแต่ทัพของท่านที่ดาหน้า
เสียงกลองที่ดังมาแต่ไกลๆ ทั่วนครา
คือการยาตราทัพใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม

“สงครามไม่ใช่สิ่งพึงปรารถนาของผู้ใด
เนื่องจากมันคือกองไฟที่อาศัยชีวิตมนุษย์เป็นฟ่อนฟืน”
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้นำนักศึกษา 14 ตุลา เคยกล่าวไว้

ถึงวันนี้ต้องถามใจแม่ทัพและมวลชน
ว่าประเทศไทยพร้อมเข้าสู่สงครามบนท้องถนนหรือไม่
ดังคำปราชญ์ที่กล่าวว่า 
เมื่อตัดสินใจ
ให้คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมา

https://www.facebook.com/openbooks2

1467462_10151486660334364_1824647597_n.j

Picture:

Civil War reënactments: Fredricksburg #3, 2012
by Richard Barnes


ทำผิดเมื่อยึดติดความดี

1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 10:40

ทำผิดเมื่อยึดติดความดี
พระไพศาล วิสาโล
๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
 
 
ยุคนี้เป็นยุคที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย หลากหลายแตกต่างทั้งในแง่วิถีชีวิต ทัศนคติ มุมมองและผลประโยชน์ เป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นไม่จำเพาะระหว่างคนที่มีฐานะหรือเศรษฐกิจต่างกันเท่านั้น แม้คนที่มีฐานะหรือเศรษฐกิจเหมือนกัน ก็ยังมีแง่รสนิยม การดำเนินชีวิต และมุมมองที่ต่างกัน คุณค่าบางอย่างที่เราเห็นว่าสำคัญอย่างแน่แท้ เป็นอื่นไปไม่ได้ แต่คนอื่นกลับไม่เห็นเช่นนั้น กลับชื่นชมยึดถือสิ่งที่เราเห็นว่าไร้คุณค่า ไม่น่ายึดถือเลย กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้ เห็นเป็นเรื่องผิดเพี้ยนหรือวิปริตไป ถึงกับทับถมดูถูกกัน 
                
ความหลากหลายแตกต่างดังกล่าว คือความจริงอย่างหนึ่งของโลกทุกวันนี้ที่เราควรเปิดใจยอมรับ เช่นเดียวกับที่ต้องยอมรับว่าความแก่ ความเจ็บ ความพลัดพรากและความตายเป็นความจริงของชีวิตที่เราหนีไม่พ้น หากเราปฏิเสธความจริงแห่งชีวิตดังกล่าว เราก็จะถูกความจริงนั้นตามล่าหลอกหลอนจนหาความสุขได้ยาก ฉันใดก็ฉันนั้น ความจริงของโลก ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องเปิดใจยอมรับและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ ไม่ใช่ปฏิเสธผลักไสต่อต้านมัน 
 
อย่างไรก็ตาม การยอมรับความหลากหลายหรือความเห็นต่างของผู้อื่น จะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อเราวางใจอย่างถูกต้องต่อคุณค่าหรือความคิดที่เรายึดถือด้วย  ถ้าหากเรายึดติดถือมั่นมากเกินไป เห็นว่าเป็นความจริงแท้ เราย่อมอดไม่ได้ที่จะดูถูกคนที่ไม่ได้ยึดถือหรือคิดเหมือนเรา ใช่แต่เท่านั้น เมื่อใดที่เราเห็นเขาไม่เคารพสิ่งที่ยึดถือเทิดทูน เราก็จะรู้สึกว่าตัวตนถูกกระทบ หรือรู้สึกถูกละเมิดลบหลู่ จึงง่ายที่จะเกิดความรู้สึกโกรธเกลียดคนผู้นั้น ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้พูดร้ายหรือจ้วงจาบสิ่งที่เราเคารพเลย ดังที่ชาวพุทธหลายคนอาจจะเคยรู้สึกไม่พอใจเมื่อเห็นเพื่อนชาวคริสต์หรือมุสลิมไม่กราบไหว้พระพุทธรูป ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้แสดงอาการดูหมิ่นเหยียดหยามเลย แต่แค่เขาไม่กราบไหว้นอบน้อมเหมือนเรา ก็ทำให้เราขุ่นเคืองใจหรือรู้สึกถูกละเมิดเสียแล้ว
 
อาการเช่นนั้นเกิดจากอะไร หากไม่ใช่เป็นเพราะเราเอาอัตตาไปผูกติดกับสิ่งเหล่านั้น หรือพูดอีกอย่างคือ ยึดติดถือมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นอัตตาหรือตัวตนของเรา  เมื่อคนอื่นไม่แสดงอาการเคารพเชิดชูสิ่งนั้น เราจึงรู้สึกว่าตัวตนถูกกระทบ จึงเกิดความทุกข์ ตามมาด้วยความไม่พอใจ ซึ่งหากไม่มีสติรู้ทัน ก็สามารถลุกลามเป็นความโกรธและเกลียด และอาจส่งผลให้มีการกล่าวร้ายหรือทำร้ายกัน
 
สิ่งที่ดี มีคุณค่า หากเรายึดติดถือมั่น ก็อาจส่งผลร้ายได้ ดังหลวงพ่อเฟื่อง โชติโก อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมสถิต จ.ระยอง ได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “ถึงความเห็นของเราจะถูก แต่ถ้าเรายึดเข้าไว้ มันก็ผิด” ตัวอย่างเช่น คนที่ทำความดีแล้วยึดติดในความดีนั้น ง่ายมากที่จะเกิดความหลงตนว่าดีกว่าคนอื่น เกิดอาการยกตนข่มท่านและชอบเอาความดีของตนไปตัดสินผู้อื่น เมื่อใดก็ตามที่เห็นคนอื่นไม่ดีเหมือนตนหรือไม่ดีเหมือนที่ตนคิด ก็จะไม่พอใจเขา เห็นเขาเป็นลบทันที คนดีที่ยึดติดความดีของตน จึงกลายเป็นคนที่น่าระอา ไม่น่าคบ หรือเบียดเบียนคนอื่นได้ง่าย  
 
ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยเรื่องราวของการทำร้ายผู้อื่นในนามของคุณธรรมความดี  ยิ่งมีการตีตราหรือแขวนป้ายใครว่าเป็นคนเลว ประพฤติผิดศีลธรรม ด้วยแล้ว ผู้คนก็รู้สึกว่ามีความชอบธรรมที่จะกำจัดเขา หรือใช้วิธีการใด ๆ กับเขาก็ได้ แม้จะเป็นวิธีการที่ฉ้อฉล ทั้งนี้เพื่อเป็นการปกป้องความดี การยึดติดความดี จึงสามารถผลักให้ “คนดี” ทำชั่วได้ง่ายมากในนามของความดี ซึ่งแท้จริงก็คือการทำชั่วเพื่อสนองอัตตาของตนมากกว่า ซองซาร์ จัมยัง เคียนเซ ภิกษุชาวภูฏาน กล่าวเตือนใจได้ดีว่า “ศีลธรรมคืออาหารของอัตตา ทำให้เรากลายเป็นพวกเคร่งศาสนา และตัดสินผู้อื่นซึ่งมีศีลธรรมแตกต่างจากเรา การยึดมั่นในศีลธรรมในแบบฉบับของตนทำให้เราดูถูกผู้อื่น และพยายามจะยัดเยียดศีลธรรมของตนแก่เขาเหล่านั้น แม้มันจะหมายถึงการฉกฉวยเสรีภาพไปจากเขาก็ตาม”
 
ความดีที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น ไม่จำต้องเป็นความดีตามหลักศาสนาก็ได้ แม้แต่ความดีตามมาตรฐานของอุดมการณ์ทางโลก ไม่ว่า ชาตินิยม ประชาธิปไตย หรือคอมมิวนิสต์ หากยึดติดถือมั่นก็สามารถผลักดันหรือสนับสนุนให้เราทำสิ่งเลวร้ายได้ ช่วงที่มีการปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีน ผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกตราหน้าว่าเป็นศัตรูของการปฏิวัติ เพียงเพราะเห็นต่างจากเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ ผลก็คือคนเหล่านี้กลายเป็นคนเลวของรัฐไปทันที ดังนั้น “คนดี” จึงสามารถทำอะไรกับเขาก็ได้ เช่น รุมซ้อมทุบตีเขาก็ได้ ภรรยาของประธานเหมา กล่าวสนับสนุนการกระทำดังกล่าวว่า “เมื่อคนดีทุบตีคนเลว นั่นเป็นสิ่งที่คนเลวสมควรได้รับ”
 
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่ตัดสินว่าใครเป็นคนเลว นั่นคือการออกใบอนุญาตให้คนดีมีสิทธิทำอย่างไรกับเขาก็ได้  คนเลวคนผิดจึงมีสิทธิเป็นศูนย์เมื่ออยู่ในมือของคนดี นี้เป็นสิ่งที่ชาวพุทธพึงตระหนักเอาไว้  ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเมื่อจะตัดสินใครว่าเป็นคนเลว คนไม่ดี โดยใช้มาตรฐานทางศีลธรรมของตน เพราะนั่นอาจเปิดช่องให้กิเลสหรือทิฐิมานะครอบงำได้ง่าย กลายเป็นว่าแทนที่จะปกป้องความดี กลับส่งเสริมความชั่วแทน
 
การตัดสินว่าใครเป็นคนเลวนั้น มักจะเริ่มต้นจากการแบ่งเขาแบ่งเรา แล้วตีตราแขวนป้ายให้เขา เช่น ทีแรกก็เป็น “แดง” เป็น “เหลือง” จากนั้นก็มีสมญานามอื่น ๆ ตามมาจนสุดท้าย กลายเป็น “ควายแดง” กับ “แมลงสาบ” หรือ “ทุนนิยมสามานย์” กับ “ศักดินาล้าหลัง” ตราหรือป้ายเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ถ้อยคำที่ใช้แสดงความดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อทัศนคติของผู้เรียก ทำให้เห็นแต่ด้านที่เลวร้ายของเขา หรือหลงติดอยู่กับภาพที่ตนเองสร้างขึ้น จนมองไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของเขา ถึงตรงนั้นแล้วก็ไม่ยากที่จะทำอะไรกับเขาก็ได้ แม้จะใช้วิธีการที่เลวร้าย ก็ไม่รู้สึกผิด เพราะ “มันเลว จึงไม่สมควรที่จะทำดีกับมัน” หรือเพราะว่า “มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว”
 
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ชื่อย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งขึ้นไปกว่าชื่อไม่มี สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือ ชื่อ” ท่านที่ศึกษาธรรมย่อมตระหนักดีว่า ชื่อที่ใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ นั้น แม้เป็นสิ่งสมมุติ แต่ก็สามารถลวงให้เราเชื่อว่ามีตัวตนตามชื่อนั้น หรือมีตัวตนชื่อนั้นจริง ๆ ชื่อหรือสมมุติทำให้เรามองไม่เห็นธรรมชาติแท้จริงของสิ่งต่าง ๆ ที่ไร้ตัวตน ในทำนองเดียวกันเมื่อเราตีตราแขวนป้ายให้แก่คนใดหรือคนกลุ่มใดก็ตาม เราก็มีแนวโน้มที่จะถูกตราหรือป้ายนั้นครอบงำใจ คือเห็นเขาตามชื่อเรียกนั้น จนมองไม่เห็นว่าเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา รักสุขเกลียดทุกข์เช่นเดียวกัน และสมควรได้รับการปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์เช่นเดียวกับเรา
 
ความขัดแย้งจะไม่สิ้นสุดหากต่างฝ่ายต่างมองแบบแบ่งข้างแยกขั้ว ว่า “ฉันดี แกเลว” “ฉันถูก แกผิด” การมองเป็นขาวเป็นดำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้เกิดการจองเวรไม่หยุดหย่อน แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายหันมาตระหนักว่า ความจริงไม่ได้แบ่งเป็นขาวและดำชัดเจนอย่างนั้น เราก็มีส่วนผิด และเขาก็มีส่วนถูก ความโกรธ เกลียด และกลัว ก็จะลดลง และหันหน้าเข้าหากันได้ง่ายขึ้น แต่จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องคลายความยึดติดถือมั่นในความคิด ความเชื่อ หรือความดีของตน เพราะหากยังยึดติดถือมั่นอย่างเหนียวแน่น ก็จะยอมรับความเห็นต่างได้ยาก และจะรู้สึกขุ่นเคืองใจเพราะตัวตนถูกกระทบ เมื่อพานพบหรือรับรู้ว่ามีคนที่ไม่เห็นดีเห็นงามกับความคิดความเชื่อของเราหรือสิ่งที่เรายกย่องเทิดทูน

ปชป.รบแบบแทงกั๊กใจตุ๊ด ไปปูพรมแดงรับ “แม้ว”ดีกว่า

31 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 09:36

โดนค่อนแคะกันเยอะว่าดีแต่ปากไม่สามารถสลัดคราบผู้ดีลงมาเดินบนท้องถนนแบบเป็นจริงเป็นจังได้ ในที่สุด “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ก็คลำนกหวีดที่โวเอาไว้ว่าจะเป่ามานานสองนานออกมาเป่าจนได้
       
       ได้ฤกษ์เป่านกหวีดเปิดฉากการคัดค้านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับทะลุซอยกันไปแล้วที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยขนเอาบรรดาส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กว่า 50 ชีวิตโหมโรงแต่งดำยืนทะมึนกันขึงขังอยู่ข้างหลังเพื่อลั่นกลองรบ
       
       แถมมีการข่มขวัญกันแบบโหดๆให้รู้ว่าฝ่ายค้านพร้อมสู้ถวายหัวแบบไม่มีชนักปักหลังโดยให้รองหัวหน้าพรรคที่รับผิดชอบในแต่ละภาคไขก๊อกจากตำแหน่งเพื่อป้องกันการยุบพรรคในอนาคต
       
       ไม่ว่าจะเป็นในรายของนายถาวรเสนเนียม ส.ส.สงขลา ที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ดูแลรับผิดชอบภาคเหนือ นายอิสระสมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ภาคอีสาน และนายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่กทม.
       
       ประกาศก้องจะค้านแบบสุดลิ่มทิ่มทวารพร้อมทั้งเชื้อเชิญเพื่อนพ้องน้องพี่ทุกสาขาอาชีพมาร่วมชุมนุมกันที่สถานีรถไฟสามเสนในวันที่ 31 ตุลาคมนี้กันให้หนาตา จะขึ้นรถไฟพุ่งชนรัฐบาลกันหรือไร
       
       กระนั้นก็ตามถือว่าผิดคาดเล็กๆกับการเคลื่อนพลของพรรคประชาธิปัตย์ที่มาเร็วกว่ากำหนดหลังก่อนหน้านี้ตัดไม้ข่มนามเอาไว้ว่าจะเป่านกหวีดต่อเมื่อผ่านวาระ 3 เท่านั้น แต่ ณ ปัจจุบันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยเพิ่งจะเริ่มเข้าวาระ 2“เทพเทือก” ก็คว้านกหวีดมาเป่ากันเสียแล้ว
       
       แม้แต่พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ที่รัฐบาลไว้วางใจให้สืบสภาพแนวร่วมฝ่ายตรงข้ามยังออกลูกเบลอกับท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ที่มาก่อนกำหนดในครั้งนี้
       
       แต่หากมองกันตามสภาพคิวนี้ของพรรคประชาธิปัตย์จริงๆก็ไม่ได้ฉับไวอะไรเป็นพิเศษ ที่ต้องออกมาตีฆ้องร้องป่าวกันเร็วเพราะถูกบีบด้วยเกมของฝั่งนักโทษหนีคดี ทักษิณ ชินวัตร ที่มาเหนือเมฆกว่า
       
       ด้วยการลักไก่ดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับทะลุซอยที่เพิ่งการหักดิบในผ่านชั้นกรรมาธิการมายังไม่พ้นวันยัดเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯเลยทันที โดยมีเวลาให้หายใจหายคอกันแค่ 1- 2 วันเท่านั้น
       
       ทำเอาตั้งตัวกันไม่ติดคิดกันไม่ถึงว่าลิ่วล้อของพ.ต.ท.ทักษิณจะใจกล้าหน้ามืดอาศัยช่วงที่ประชาชนกำลังไว้อาลัยกับการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราชมาคลอดกฎหมายล้างโกงกันแบบหน้าด้านๆ ไม่ละอายใจตัวเอง
       
       บ่งบอกกันชัดๆ นายใหญ่ อยากกลับบ้านใจแทบขาด เบื่อนั่งตรอมใจอยู่เมืองนอกเต็มแก่แล้ว
       
       ด้วยความมั่นอกมั่นใจในทุกอย่างที่วางไว้หมดแล้วว่าทางโล่งไม่ว่าจะเป็นปัญหาส.ส.เสื้อแดง ที่ทำออกมาตีโพยตีพายจะไม่ยกมือสนับสนุนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยเพราะทนเห็นคนฆ่าพี่น้องประชาชนกำลังจะพ้นความผิดไม่ได้แต่สุดท้ายอ้าปากเห็นลิ้นไก่เป็นแค่ละครตบตาหลอกมวลชน เห็นแล้วน่าสมเพชสิ้นดี
       
       เพราะเอาเข้าจริงส.ส.เสื้อแดงก็เป็นแค่สมุนผู้จงรักภักดีต่อ “นายใหญ่” ไม่กล้าหืออืออย่างที่ทำปากกล้าขาสั่น ลองฮึดฮัดโหวตสวนโดยไม่ได้รับอนุญาตฝันไปเถอะว่าจะกล้างัดกล้าลองดี วันนี้ผลประโยชน์ต่างๆ มันมัดตัวจะเดินหลุดออกจากรั้วพรรคเพื่อไทยก็มีแต่จะแห้งเหี่ยว กลายเป็นเด็กเหลือขอไม่มีทั้งทุนทั้งกำลังคนหรือจะทำอุดมการณ์สูงสุดลาออกจากพรรคเพื่อไทยไปเลือกตั้งสู้ก็รับประกันซ่อมฟรีไม่ได้ส.ส.แม้แต่คนเดียว เห็บสลัดตัวหนีหมาก็มีแต่รอวันตายลูกเดียว
       
       อยู่กับเงินกับอำนาจ แล้วจะไปอดตายให้โง่ทำไม!!
       
       ขณะที่นักวิชาการและกลุ่มคนเสื้อแดงที่ออกมาดักหน้าดักหลังไม่ให้พิจารณาก็เป็นพวกไม่มีราคาไม่มีมวลชนจะแหกปากตะโกนร้องก็ไม่ได้มีผลอะไรประเมินแล้วว่าไม่สั่นสะเทือน เหมือนหมาเห่าใบตองแห้ง
       
       ด้านม็อบฝ่ายต้านบรรดาลิ่วล้อขี้ข้าคงประเมินแล้วว่าหากเล่นเกมเร็วแบบนี้ น่าจะขนมวลชนระดมพลกันมาคัดค้านไม่ทันเลยชิงจังหวะทีเผลอรีบยัดวาระมาพิจารณากันแบบน่าเกลียดในวันที่ 31 ตุลาคมนี้กันเสียเลย
       
       เมื่อ “นายใหญ่” ลุยแหลกกันแบบหน้ามืดนาทีนี้ก็คงต้องหันไปจับตากันที่พรรคประชาธิปัตย์ว่าจะวางแผนรบแก้เกมแก้ทางกันอย่างไร เพราะดูจากจังหวะเป่านกหวีดชุมนุมในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ยังไม่ใช่ประเภทแตกหักวัดใจกันเลยโดยรวมแล้วยังเป็นแค่การส่งสัญญาณตอบโต้คู่ต่อสู้
       
       ลั่นกลองรบให้พรรคเพื่อไทยรับรู้ว่ากำลังฝ่ายต้านที่ถูกประเมินว่าอ่อนแอและไม่มีปัญญาเขย่ารัฐบาลถือเป็นการคาดคะเนที่ผิดมหันต์เลยเป่าเรียกระดมพลเฉพาะแค่ในกทม.ให้เห็นกันเลยว่ามีจำนวนไม่น้อยหากดื้อด้านดันทุรังต่อยังมีก๊อกสองจากต่างจังหวัดขนมาเพิ่มได้อีกเพียบ
       
       ประชาธิปัตย์วัดใจเพื่อไทยกล้าหรือไม่!!
       
       กระนั้นก็ตามเสียงนกหวีดของ “เทพเทือก” รอบนี้ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยขนลุกขนพองได้หรือไม่เพราะ “นายใหญ่” ก็อยู่ในอาการหน้ามืดตามัวไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอยากกลับบ้านจนเนื้อตัวสั่นเต็มแก่วิธีไหนบล็อกม็อบบล็อกฝ่ายค้านได้คงมีการวางหมากรับมือกันไว้แล้วโดยเฉพาะอำนาจรัฐและกฎหมายติดดาบที่คิดว่าจะเอาอยู่
       
       หากพรรคประชาธิปัตย์ยังสู้แบบแทงกั๊กแค่ให้รองหัวหน้าพรรคแต่ละภาคลาออกเพื่อเป็นการข่มขู่ว่ากล้าสู้แบบถวายหัว หรือการเป่านกหวีดลงมาสู้กันบนถนนทั้งที่ยังอยู่ในสภาพส.ส.นั้นคงไม่พอ
       
       แต่ต้องลงมาสู้กันแบบเต็มตัวสลัดคราบผู้ดีเสีย แล้วโยนสูทส.ส.ทิ้งไปขจัดข้อครหาให้คนอื่นสู้แล้วตัวเองได้ดีด้วยการลงมาถือธงนำในฐานะแกนนำประชาชนแบบเต็มขั้นเพื่อท้ารบกับระบอบทักษิณ
       
       ไม่ใช่ห่วงหน้าห่วงหลังทั้งงานในสภาและนอกสภาฯถ้าทำได้แบบนี้โอกาสได้ใจมวลชนมันก็พอมี
       
       ทว่า หากยังแทงกั๊กแบบเดิมๆ ไม่กล้าได้กล้าเสียก็ไม่ต้องไปพึ่งหวังอะไรมวลชนมาฟรีเจ็บฟรีแน่ คงเป็นได้เพียงแมลงสาบที่ไร้ประโยชน์ สังคมรังเกียจและต้องคอยวิ่งหนีตีนทักษิณเหมือนเดิม
       
       ก็แนะนำให้เอาเวลาไปหาซื้อพรมแดงไว้ปูรอ“น.ช.ทักษิณ” ที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อต้อนรับการกลับบ้านกันเลยดีกว่าฮ่วย

 

http://manager.co.th...D=9560000135714