หลังจบการสนทนาบนเวทีปราศรัยตั้งแต่ตีสี่ครึ่งถึงหกโมงเช้า ก็ลงมาช่วยแจกอาหารเช้าที่ "ครัวระนอง" สายๆ เริ่มง่วง เพราะคืนก่อนนอนเที่ยงคืนครึ่ง ตื่นตีสาม เพื่อมาให้ทันเวลานัดที่หลังเวทีปราศรัย จึงกลับไปนอนที่ "สตีฟ" เกสต์เฮ้าใกล้วังเทเวศร์ 1 ชั่วโมง เพื่อรอให้น้องมารับกลับบ้าน
ตามแผนเดิม จะให้น้องเอาเป้ และกระเป๋าอีกสองใบใส่รถ ส่วนผมจะปั่นจักรยานมาจอดไว้ที่ครัวระนอง แล้วค่อยให้น้องมารับแถวๆ คุรุสภา แต่พอดีเธอหงุดหงิดอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ขับรถไปๆ มาๆ เหมือนคนบ้า โทรศัพท์หาก็พูดเหมือนคนไม่อยากจะพูด เลยบอกว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่กลับแท็กซี่ก็ได้"
กะว่า เอาจักรยานไปฝากครัวระนองตามแผนเดิม ครั้นโผล่มาถึงหน้าวัดมกุฏกษัตริย์ฯ รถติดมาก เรียกแท็กซี่มาลาดพร้าวคงไม่มีใครมา และเวลา 16.00น. ต้องมาจัดรายการวิทยุที่บ้านให้ทัน จึงตัดสินใจปั่นจักรยานพร้อมสัมภาระทั้งหมด มุ่งหน้ากลับลาดพร้าว
แดดร้อน ง่วงนอน อ่อนเพลีย...
จึงใช้วิธีปั่นไป พักไป มีกล้องถ่ายรูปติดกระเป๋ามาด้วย ก็ถ่ายนั่นถ่ายนี่ไปให้เพลินเพื่อลืมความล้า
มาถึงเชิงสะพานเกษะโกมล ถนนอำนวยสงคราม รู้สึกไม่ค่อยดี จึงพักในร่มไม้ มีน้ำดื่มติดกระเป๋าก็เอาออกมาดื่ม อมลูกอมเพิ่มน้ำตาล และนั่งเล่นเฟซบุ๊คเพื่อให้ผ่อนความเพลียลง
ลุงคนหนึ่งเดินมาถามทางไป "หมอชิต" จึงชี้มือบอกทาง ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเหนื่อย 555...
สักพักก็ปั่นต่อ ถนนพระราม 5 เลียบคลองมา ต้นประดู่ให้ร่มเงาร่มรื่น มาถึงกรมสรรพาวุธทหาร ก็หยุดถ่ายรูปดอกประดู่เหลือง เจอลุงคนเดิมอีก ก็ยิ้มให้ แล้วบอกว่า เดินตรงไป ถึงสะพานบางซื่อ ให้เลี้ยวขวา
เริ่มสังเกตแกมากขึ้น แกใส่กางเกงขาสั้นลายทหาร เสื้อยืดสีเขียวขี้ม้า สะพายเป้ มีห่อข้าวเหนียวห้อยอยู่ที่เป้เหมือนเป็นเสบียง
ถ่ายรูปเสร็จ ก็นั่งพัก ก่อนจะปั่นต่อมาถึงใกล้ๆ สะพานบางซื่อซึ่งต้องเลี้ยวขวา เห็นลุงแวะถามแม่ค้า ซึ่งเขาก็บอกทางทางเดียวกับที่ผมบอก
รถติด รอเลี้ยว ลุงเดินตัดหน้ารถไป
ผมเห็น "นกหวีดและสายคล้องลายธงไตรรงค์" พาดอยู่กับเป้เก่าๆ ของเขา รู้สึกจุกที่อก
ปั่นจักรยานผ่านลุงไป แล้วจอดรอใต้ร่มไม้ข้างหน้า
เมื่อลุงเดินมาถึง แกก็ทักผมว่า "หยุดถ่ายรูปอีกเหรอ"
ผมบอกว่า "เปล่าหรอกครับ หยุดรอบอกทางให้ เดี๋ยวลุงเดินตรงไป เจอสะพานดำๆ ให้เลี้ยวซ้ายนะครับ แล้วทางจะบังคับไป จากนั้นจะมีป้ายบอกทางไปหมอชิต" ลุงพยักหน้ารับ
"ลุงจะไปไหนเหรอครับ" ผมถาม
"กลับบ้าน" ลุงตอบ
"บ้านอยู่ไหนล่ะ"
"ตากครับ"
"อำเภออะไรหรือลุง"
"อำเภอเมือง"
ผมควักเงินจากกระเป๋าสตางค์ ที่มีแบงค์ร้อยอยู่สามใบ แบงค์ยี่สิบประมาณ 4 ใบ
"ลุงครับ ผมช่วยค่ารถลุง 300 บาทนะ นี่ถ้าลุงเดินต่อไม่ไหว เรียกแท็กซี่ก็ได้ จากนี่ไปไม่น่าเกิน 60 บาทหรอกครับ"
ลุงยิ้มอย่างเกรงใจ รับสตางค์ไปแล้วอวยพรผมสารพัดเลย
ไม่ได้ถามไถ่ว่าลุงมาชุมนุมใช่มั้ย ลุงเงินหมดเหรอ ลุงจะกลับมาอีกหรือเปล่า...
รู้สึกนับถือในความเด็ดเดี่ยวของลุง
คิดไปเองว่า ลุงอาจจะเหลือเงินจำกัด ที่หากอยู่ต่อ ลุงอาจไม่มีเงินพอเป็นค่ารถกลับบ้าน อะไรทำนองนี้มั้ง เลยต้องกลับเสียก่อน ในขณะที่ค่ารถยังพอ
จากนั้นปั่นจักรยานจากมา พร้อมกับความรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย
ลุงคงลำบากน้อยลงนิดหนึ่ง และอุ่นใจขึ้นที่พบ "เพื่อนร่วมทาง" แม้ได้ร่วมทางกันเพียงไม่กี่นาทีของชีวิต
ส่วนผม พบใจตัวเอง พบว่าผมยังรักและนับถือตัวเองได้เต็มเปี่ยม
นึกถึงประโยคประทับใจในหนังสือที่อ่านมานานหลายสิบปี
"คนบางคนมีน้อย แต่ให้หมด
คนบางคนมีมาก แต่ให้ได้ครึ่งเดียว"
โชคดีนะครับลุง บางทีเราอาจได้เจอกันอีก ผมจดจำใบหน้าคล้ำแดดและแววตาที่เด็ดเดี่ยวของลุงได้อย่างแม่นยำทีเดียว
แล้วเจอกันอีกนะครับ....
- Abraxas, สมชายสายชม, ปุถุชน and 24 others like this