Jump to content


wincha

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 16 ตุลาคม 2551
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2557 20:09
-----

#889975 "หลายคนรักผม แต่รักอยากให้อยู่เมืองนอก รักไม่อยากให้กลับ เพราะกลัวผมกลับไ...

โดย wincha on 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 21:28

13836476191383651626l.jpg

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปรากฎตัวอีกครั้งในการขึ้นกล่าวปราศรัยในงานชุมนุมคนรักประชาธิปไตย ที่ประเทศนอร์เวย์โดยใช้เวลากว่า 40 นาที เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น

 

โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวถึงกรณีร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย รวมทั้งความขัดแย้งของแกนนำเสื้อแดง และที่มาที่ไปของการผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ รวมทั้งความไม่เข้าใจบางส่วนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ขัดแย้งกันเองด้วย

 

 

โดยช่วงหนึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ชีวิตตนเองอยู่นอกประเทศมา7ปีแล้ว อยู่ไปอยู่มาชักชิน และเฉยๆกับการกลับบ้าน บางช่วงพ.ต.ท.ทักษิณก็พูดในทำนองประชดนิดๆว่า มีคนรักตนเองเยอะ แต่ก็ไม่อยากให้กลับบ้าน เป็นต้น หรือบางช่วงก้พูดถึงการ"ให้อภัย"กัน พูดถึงเรื่องการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

 

"บางคนก็ยังไม่อยากให้ผมกลับบ้าน หลายคนรักผม แต่รักอยากให้อยู่เมืองนอก รักไม่อยากให้กลับ เพราะกลัวผมกลับไปแล้วตกงาน ก็มีหลายแบบ"

 

ขณะที่บางช่วงก็กล่าวโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ด้วยถ้อยคำรุนแรง ทั้งเรื่อง ที่ออกมาต่อต้านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ โครงการ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

 

ช่วงสุดท้าย พ.ต.ท.ทักษิณยังกล่าวว่าจะต้องเดินทางไปเยี่ยมคนไทยอีกหลายประเทศ ทั้งที่ เบอร์ลิน เยอรมนี ฟินแลนด์ สวีเดน โดยบอกว่าจะรีบใช้หนี้ต่างประเทศก่อนกลับไปใช้หนี้เมืองไทย

 

"ผมมั่นใจ ว่ายังไงก็ได้กลับ" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

 

ท้ายสุดพ.ต.ท.ทักษิณยังร้องเพลง "คิดฮอดบ้านแฮง" ซึ่งเป็นเพลงที่พ.ต.ท.ทักษิณ บอกเล่าชีวิตในต่างแดนและอยากจะกลับมาเมืองไทยด้วย

 

ทั้งนี้คลิปดังกล่าวมีการบันทึกก่อนที่จะมีการชุมนุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์และประชาชนเพื่อต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย เมื่อวันที่ 4 พ.ย. และรุ่งขึ้นวันที่ 5 พ.ย. รัฐบาลยิ่งลักษณ์จัดแถลงข่าวแสดงท่าทีของรัฐบาลต่อกรณีของร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ดูเหมือนว่าจะถอยแล้ว เนื่องจากระบุชัดว่าให้วุฒิสภาพิจารณาเรื่องดังกล่าวได้อย่างเต็มที่

 

ซึ่งวันเดียวกัน นายนิคม ไวยพานิช ประธานวุฒิสภา พร้อมด้วยส.ว.ส่วนหนึ่ง ก็ออกมาแถลงในทำนองว่าจะยับยั้งร่างดังกล่าว โดยจะคำนึงถึงเสียงประชาชน คำนึงถึงความคิดเห็นที่มีความหลากหลาย  และจะมีการประชุมวิปในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ

 

ที่มา http://www.matichon....atid=&subcatid=

 

 

 

 

clip http://www.youtube.c...h?v=d-kZf43oJXA




#887622 นายกฯ ให้สัมภาษณ์ น้ำตาคลอ วอนทุกฝ่ายให้อภัย

โดย wincha on 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 15:07

NNA NEWS >>

 

 

https://www.facebook...57630350937292 




#886793 หลวงตามหาบัวเทศน์ไว้ตั้งแต่ปี 48 แต่อ่านแล้วเหมือนท่านเทศน์เมื่อวาน

โดย wincha on 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 20:52

http://www.manager.c...D=9480000132575




#878013 ตบกะเจ๊กุมะ

โดย wincha on 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 10:31

1374992_363668733769136_775936425_n.jpg




#841683 10 เหตุผลที่คุณควรเลือก "สมศักดิ์ เจียมฯ" เป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์

โดย wincha on 12 กันยายน พ.ศ. 2556 - 01:46

เห็นเขาแชร์กันในเฟซบุ้คเลยเอามาให้อ่านกันครับบบ

 

 

1. สมศักดิ์ เจียมฯ ไม่เคยแพ้ใครในใต้หล้า เพราะไม่ว่า ศาสดา จ่าพิชิต หรือนักวิชาการอย่าง ส.ศิวรักษ์ นิธิ เกษียร ภควดี พวงทอง ยุกติ ชัยวัฒน์ เดชา ฯลฯ ก็ล้วนแต่โดนสมศักดิ์เจียมไฝ้ว์มาหมดแล้ว

2. สมศักดิ์ เจียมฯ เป็นตัวอย่างของข้าราชการไทยที่ดี เพราะทุกลมหายใจ สมศักดิ์ เจียมฯ จะขอทุ่มเทเพื่อสถาบันฯเท่านั้น เคยมีการทำสำรวจแบบไม่เป็นทางการว่าสมศักดิ์จะพูดเรื่องสถาบันฯไม่ต่ำกว่า 500 ครั้งในแต่ละเดือน 

3. ทุกคนรู้ว่าสมศักดิ์ เจียมฯ จบประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และรัฐศาสตร์จากออสเตรเลีย แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสมศักดิ์เจียมเคยจบแพทย์ศาสตร์ระดับปริญญาเอก สาขาการจัดกระดูก(สันหลัง) ที่มหาวิทยาลัยเปียงยาง 

4. สัตว์ที่สมศักดิ์ เจียมฯ รักที่สุดคือหมา ลูกศิษย์ลูกหามักจะเรียกว่า "มูมู่" 

5. สมศักดิ์ เจียมฯ เป็นคนที่มีหลายฉายา ตั้งแต่ เสด็จพ่อ บาร์โฟ สศจ. SJ จนไปถึง หัวโต และอาจารย์หงอก ล่าสุดกลุ่มลูกศิษย์มีความพยายามจะตั้งฉายาใหม่ให้ว่า "เจียมมี่" เพราะมองว่าฉายาเก่าโหดเกินไป 

6. สมศักดิ์ เจียมฯเคยได้รับการยกย่องจากคณะบัญชี เพราะสามารถบวกลบคูณหารงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ของสถาบันกษัตริย์ได้ถูกต้องแม่นยำทุกปี โดยไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลข 

7. เด็กภาคประวัติศาสตร์เคยลือกันว่าถ้าสมศักดิ์ เจียมฯเป็นคณบดี TKNS จะกลายเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับวิชา EL171 และ EL172

8. สมศักดิ์ เจียมฯ เคยมีผลงานชื่อ "ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง" ทุกวันนี้กลายเป็นหนังสือหายากในตำนาน และมีคนพยายามไปขโมยจากห้องสมุดมหาวิยาลัยต่างๆอยู่เสมอๆ

9. เมื่อหลายปีก่อน สมศักดิ์ เจียมฯ เคยได้รับพระราชทานข้าวขาหมูจากพระเทพฯจำนวน 1 ห่อ และได้รับเชิญให้ร่วมโต๊ะเสวย ลูกศิษย์สมศักดิ์ทุกคนที่ได้รับฟังเรื่องนี้ต่างก็ตกใจ และซาบซึ้งจนน้ำตาไหลไปตามๆกัน 

10. สมศักดิ์ เจียมฯ มักจะไปปรากฏตัวในทุกที่ที่มีการอภิปรายเรื่องสถาบันกษัตริย์ แม้ว่าการอภิปรายนั้นจะเกิดขึ้นในพื้นที่ลับแลมากแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะในทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค เว็บบอร์ด หรือในพื้นที่ทุรกันดารใดๆ สมศักดิ์เจียมก็สามารถใช้วาร์ปโผล่ไปได้เสมอๆ ประหนึ่งว่า "ที่ใดมีสถาบันฯ ที่นั่นมีสมศักดิ์ เจียมฯ"

 

จาก Page ศาสดา




#839118 สถิติบินไปต่างประเทศเป็นอันดับสามของโลก

โดย wincha on 9 กันยายน พ.ศ. 2556 - 22:45

2 ปี เดินทาง 52 ครั้ง 42 ประเทศ เป็นรองแค่ โอบาม่า กับ จอร์จ บุช

 

นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข้อมูลว่าตั้งแต่เดือนกันยายน 2554 – สิงหาคม 2556 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนต่างประเทศทั้งหมด 42 ครั้ง โดยแบ่งเป็น

เยือนอย่างเป็นทางการ 26 ประเทศ


เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศ 19 การประชุม
การเยือนอย่างเป็นทางการนอกอาเซียน

เอเชีย: อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี จีน บังคลาเทศ มองโกเลีย ศรีลังกา ทาจิกิสถาน ปากีสถาน มัลดีฟส์
ยุโรป: เยอรมนี ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สวีเดน เบลเยียม โปแลนด์ ตุรกี
ตะวันออกกลาง: บาห์เรน กาตาร์ คูเวต
อาฟริกา: โมซัมบิก แทนซาเนีย ยูกันดา
เอเชียแปซิฟิก: ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี

 


การประชุมระหว่างประเทศ

อาเซียนซัมมิท
การประชุม GMS
การประชุม WEF
Nuclear Security Summit 2012
การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น
US ASEAN Business Forum
ประชุมผู้นำ APEC
UNGA
ACD Summit
ASEM
Bali Democracy Forum
ASEAN-India Summit
ACMECS
Community of Democracy
NIKKEI Forum: Future of Asia
International Conference on Water Cooperation


นายธีรัตถ์ชี้แจงว่า การเดินทางในอาเซียน ถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ประเทศสมาชิกต้องแลกเปลี่ยนการเยือนรวมถึงแนะนำตัวหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ส่วนการเดินทางไปประเทศต่างๆ ยังเป็นการเปิดความสัมพันธ์ เปิดโอกาสความร่วมมือ ตลาดการค้า การลงทุน รวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับเศรษฐกิจไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ที่รายงานว่าในปี 2555 ที่นายกรัฐมนตรีร่วมในกิจกรรมโรดโชว์ในประเทศที่เยือน สามารถชักชวนนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ถึง 31 โครงการ มูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนกว่า 137,770 ล้าน

 

ที่มา http://www.oknation....3/09/03/entry-1




#833992 ซีเรียไม่หวั่นโอบามารุกกล่อมนานาชาติหนุนโจมตี กร้าวพร้อมเข้าสู่'สงครามโลก...

โดย wincha on 5 กันยายน พ.ศ. 2556 - 02:21

  เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการ - รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศซีเรียเมื่อวันพุธ(4) ประกาศกร้าวจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่ถล่มทางทหารของสหรัฐฯ แม้อาจจุดชนวน "สงครามโลกครั้งที่3" พร้อมยังเชื่อมั่นต่อรัสเซีย พันธมิตรสำคัญว่าจะไม่เปลี่ยนจุดยืน แม้ ปูติน เสียงอ่อนอาจไม่ขวางตะวันตกหากมีข้อพิสูจน์ว่ารัฐบาลซีเรียเป็นฝ่ายใช้อาวุธเคมี ขณะที่ โอบามา เริ่มเดินสายขอเสียงสนับสนุนจากนานาชาติ โดยกล่าวเตือนที่สวีเดนว่าโลกเสี่ยงสูญเสียความน่าเชื่อถือหากไม่ดำเนินการใดๆต่อดามัสกัส
       
       ระหว่างให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวเอเอฟพี นายไฟซาล มักดัด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศซีเรีย ระบุว่ารัฐบาลของเขาจะใช้ทุกมาตรการตอบโต้ความพยายามเข้าแทรกแซงใดๆที่มีเป้าหมายโค่นล้มระบบการปกครองของนายบาชาร์ อัล-อัสซาด ฐานต้องสงสัยใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าพลเรือน "รัฐบาลซีเรียจะไม่มีวันเปลี่ยนจุดยืนแม้ว่าจะมีสงครามโลกครั้งที่ 3 ซีเรียไม่ควรต้องถูกสังเวยจากความเป็นเอกราชของตนเอง ซีเรียจะใช้ทุกมาตการตอบโต้ต่อการรุกรานใดๆ" เขากล่าว โดยไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะใช้วิธีการใด
       
       วอชิงตัน กล่าวหาว่ามีการใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าพลเรือนในย่านชานกรุงดามัสกัสเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,400 รายและกล่าวโทษไปที่รัฐบาลนายอัสซาด โดยเวลานี้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ กำลังล็อบบี้สภาคองเกรสอย่างหนักเพื่อให้สนับสนุนแผนโจมตีตอบโต้การใช้อาวุธนี้ ส่วนรัฐสภาฝรั่งเศส ก็กำลังถกเถียงในประเด็นดังกล่าว
  556000011698201.JPEG ประธานาธิบดีโอบามาแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีสวีเดน เตือนโลกว่าอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือหากไม่โจมตีซีเรีย blank.gif        ขณะเดียวกันในส่วนของวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ชาติพันธมิตรของซีเรีย ซึ่งคัดค้านแผนใช้กำลังทหารต่อซีเรียมาตลอด ในวันพุธ(4) ก็เสียงอ่อนก่อนรับบทเจ้าภาพประชุมซัมมิตกลุ่มจี20 ระบุรัสเซียจะดำเนินการอย่างเฉียบขาดหากตะวันตกมีข้อพิสูจน์ชัดเจนว่า รัฐบาลซีเรียเป็นฝ่ายใช้อาวุธเคมีโจมตีปลายเดือนที่แล้ว ในเรื่องนี้นายมักดัด เชื่อว่าจุดยืนของพันธมิตรรัสเซียไม่ได้เปลี่ยนไป "จุดยืนของรัสเซียไม่เปลี่ยน มันเป็นจุดยืนแห่งความรับผิดชอบของเพื่อนที่ฝักใฝ่ในสันติภาพ"
       
       อีกด้านหนึ่งประธานาธิบดีโอบามาได้เดินทางถึงสวีเดนแล้วในวันพุธ(4) ในโปรแกรมเยือน 2 วัน ส่วนหนึ่งในความพยายามของเสียงสนับสนุนจากโลกต่อปฏิบัติการโจมตีทางทหารต่อซีเรีย โดยเขากล่าวที่กรุงสตอกโฮล์ม ระหว่างแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีสวีเดนว่าโลกได้ขีดเส้นตายสำหรับซีเรียไปแล้วและความเชื่อน่าของประชาคมนานาชาติกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงหากไม่ดำเนินการใดๆต่อระบอบการปกครองที่ใช้อาวุธเคมี
       
       "เส้นตายนี้ไม่ใช่ของผม แต่โลกเป็นผู้กำหนด" โอบามากล่าว อ้างถึงกฎนานาชาติเกี่ยวกับการห้ามใช้อาวุธเคมีแม้แต่ในกรณีของสงคราม "ความน่าเชื่อถือของผมไม่ได้อยู่บนเส้นด้าย แต่เป็นความน่าเชื่อถือของประชาคมนานาชาติต่างหาก ขณะเดียวกันความน่าเชื่อถือของอเมริกาและสภาคองเกรสก็อยู่บนเส้นด้ายด้วย เพราะพวกเราเอาแต่พูดว่าบรรทัดฐานสากลนี้เป็นสิ่งสำคัญ" โอบามากล่าว
  556000011698202.JPEG พลเรือนซีเรียที่อ้างกันว่าเสียชีวิตจากการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์เมื่อเดือนก่อน blank.gif        โปรแกรมเดินทางครั้งนี้ของโอบามา ยังรวมไปถึงการเข้าร่วมประชุมจี20ที่เซนต์ปีเตอร์เบิร์กของรัสเซีย ซึ่งคาดหมายกันว่าเขาจะใช้เวทีนี้ขอเสียงสนับสนุนหรืออย่างน้อยก็รับรองความเคลื่อนไหวลงโทษรัฐบาลของนายอัสซาด
       
       เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเผยว่านายโอบามา จะหารือนอกรอบการประชุมจี 20 กับประธานาธิบดีฝรั่งเศส ผู้สนับสนุนหลักสำหรับการใช้กำลังทหารโจมตีซีเรีย เช่นเดียวกับเหล่าผู้นำจีนและญีปุ่น ขณะเดียวกันแม้ไม่มีแผนเจรจาแบบทวิภาคีกับปูติน แต่ก็แย้มว่ามีความเป็นไปได้ที่จะพูดคุยกันในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
       
       ในคำแถลงที่สตอกโฮล์ม ประธานาธิบดีโอบามา ยังบอกด้วยว่าประชาคมนานาชาติไม่ควรเงียบงันต่อการตอบโต้รัฐบาลซีเรียที่ใช้อาวุธเคมีกับพลเรือนของตนเอง พร้อมให้คำรับประกันว่าปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรียจะไม่ซ้ำรอยความผิดพลาดในอิรัก และเชื่อมั่นว่าจะได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรส "ผมเป็นหนึ่งคนที่ต่อต้านสงครามอิรัก และผมจะไม่ผิดพลาดซ้ำสองต่อการตัดสินใจบนข้อมูลข่าวกรองผิดๆ"
       
       ทั้งนี้ในช่วงค่ำวันพุธ(4) โอบามา ยังมีกำหนดรับประทานอาหารค่ำกับนายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ เดนมาร์กและไอซ์แลนด์ รวมถึงประธานาธิบดีฟินแลนด์ด้วย

 

 

 

ที่มา http://www.manager.c...D=9560000111460




#826858 ตึงเครียดหนัก! ปูตินสั่งส่งเรือรบรัสเซีย 2 ลำมุ่งหน้า “ชายฝั่งซีเรีย” คาด...

โดย wincha on 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 - 18:17

http://www.manager.c...D=9560000108469




#776498 ความจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่พวกล้มเจ้าชอบเอามาบิดเบืิอน

โดย wincha on 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 - 22:51

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" กับ "ทรัพย์สินราชวงศ์จักรี" กับ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์

ก่อนอื่นเราต้องแยกระหว่างคำว่า "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" กับ "ทรัพย์สินราชวงศ์จักรี" กับ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" ให้เข้าใจเสียก่อน จึงจะได้ไม่สับสน

1.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

คือ ทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึงสถาบันฯ ที่ไม่ใช่ตัวบุคคลที่ดำรงพระยศเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์สินที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ต้นราชวงศ์จักรี พูดง่ายๆก็คือเป็นสมบัติของชาติชนิดหนึ่ง หมายถึงเป็นสมบัติของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีมาตั้งแต่เริ่มตั้งราชวงศ์จักรีสืบทอดเรื่อยมา

ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรัพย์สินส่วนนี้จึงตกเป็นของแผ่นดิน แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติ์ราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นเจ้าของเดิม จึงตั้งชื่อเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้น ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังอีกที

ส่วนพระมหากษัตริย์ ก็ได้รับพระเกียรติ์ให้ทรงสามารถแต่งตั้งคณะกรรมไปช่วยดูแลการทำงานได้ 4 คน โดยมีรมต.กระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้บริหาร แต่ทั้งหมดนี้ต้องนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเท่านั้น

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ได้นำทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปใช้ในเรื่องส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์เลย แต่นำไปใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนและสังคมทั้งหมด

แต่ถ้าสำนักงานทรัพย์สินฯ อยากจะบริจาคเงินให้มูลนิธิต่างๆ ของในหลวง ก็ย่อมทำได้ และตามกฏหมายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินจึงไม่ต้องเสียภาษี แต่ส่วนเงินปันผลที่ได้จากการถือหุ้นบริษัทต่างๆก็มีการหักภาษีณ.ที่จ่ายตามปกติ (ข้อมูลทั้งหมดจากเว็บสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และสามารถติดตามการทำงานต่างๆของสำนักงานฯได้เช่นกัน)

ส่วนรายได้ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็จะนำไปลงทุนในกิจการต่างๆเพื่อออกดอกผล แต่ทั้งหมดเมื่อได้มาก็เพื่อนำไปส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมต่อไป 

แต่จะมีเงินส่วนหนึ่งที่จะถวายให้ในหลวงในแต่ละปี เพื่อไปใช้ตามพระราชอัธยาศัยบ้างตามสมควร (ก็อาจถือว่าเป็นเงินเดือนโดยตำแหน่งก็ได้ เราต้องไม่ลืมนะครับว่า เดิมทรัพย์สินตรงนี้เดิมเป็นของราชวงศ์จักรีมาก่อน พอเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ไปขอของๆพระองค์ ให้มาเป็นสมบัติชาติ )

2.ทรัพยสินส่วนพระองค์ 

อันนี้แปลง่ายๆ ก็คือทรัพย์สินส่วนตัวของในหลวง ซึ่งต้องเสียภาษีอากรให้แก่รัฐ และมูลนิธิตางๆที่ในหลวงทรงริเริ่มตั้งก็จะนำมาจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ก่อตั้งทั้งสิ้นครับ เช่น

มูลนิธิอานันทมหิดล จุดประสงค์เพื่อมอบทุนให้แก่นักเรียนเรียนดีไปศึกษาต่อต่างประเทศในสาขาวิชาสำคัญๆที่ขาดแคลนในประเทศ 

มูลนิธิชัยพัฒนา เป้าหมายที่สำคัญคือ เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุข และอยู่ดีกินดี อันจะนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศ คือ “ชัยชนะแห่งการพัฒนา (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บมูลนิธิชัยพัฒนา) และยังมีอีกหลายๆมูลนิธิเช่น มูลนิธิราชประชาสมาสัย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อนและญาติ เป็นต้น

3. ทรัพย์สินของราชวงศ์จักรี

อันนี้เป็นทรัพย์สมบัติที่อยู่ภายใต้การดูแลจากรมธนารักษ์ เช่นสิ่งของมีค่าทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ของในหลวงรัชกาลต่างๆที่ผ่านมา เช่นเหรียญกษาปณ์ เครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือจะเป็น
สำนักพระราชวัง รัฐบาลให้งบประมาณปีละประมาณ 2,000 ล้านบาทแก่สำนักพระราชวังซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีโดยตรง และมีเลขาธิการพระราชวังบริหาร ส่วนหน้าที่ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งจัดการงานคลังหรืองานอื่นๆอีกมากมาย (ไปดูได้ที่เว็บสำนักพระราชวัง)

ฉะนั้นใครที่กล่าวหาว่า ในหลวงทรงได้เงินงบประมาณมาก จงรู้ไว้ด้วยว่า งบประมาณที่ได้จากรัฐบาลไม่ใช่จะใช้ส่วนพระองค์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเงินที่จะต้องถวายให้พระบรมวงศานุวงศ์ด้วย รวมทั้งเป็นงบใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนข้าราชการ ค่าน้ำมัน ค่าน้ำ ค่าไฟค่าซ่อมแซมของพระราชวังที่ยังใช้งานอยู่ทั้งหมดด้วย 

ถ้าจำไม่ผิดเงินที่ถวายส่วนตัวที่รัฐถวายให้ในหลวงเป็นส่วนพระองค์จริงๆเดียวน่าจะอยู่ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์แต่ละพระองค์ได้น้อยกว่านี้มาก (ข้อมูลตรงนี้เคยได้อ่านจากนิตยสารสกุลไทย) ซึ่งเงินส่วนนี้ที่ได้รับก็จะถูกแยกนำไปเข้าสู่ทรัพย์สินส่วนพระองค์อีกทีหนึ่งครับ และรายได้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายก็จัดอยู่รวมในทรัพย์สินส่วนพระองค์เช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องเสียภาษีด้วย (มีนักกีฬาเหรียญโอลิมปิคหรือนักกีฬาเทนนิสชื่อดังอย่างภราดร ก็ยังเคยได้รับการงดเว้นภาษีรายได้จากเงินรางวัลครับ)

ถามว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์สามารถตรวจสอบได้มั้ย?

ตอบว่า ได้ครับ เพราะเป็นทรัพย์สินของรัฐประเภทหนึ่งตามที่ได้อธิบายไปแล้ว จึงสามารถตรวจสอบได้ตามกฏหมายครับ ซึ่งเรื่องนี้ในเว็บของสำนักพระราชวังก็มีบอกไว้ ดูได้จากเว็บสำนักพระราชวัง เรื่อง สิทธิของประชาชน หรือหากใครคิดว่าสงสัยเรื่องความโปร่งใสเรื่องใดที่เกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ทำเรื่องร้องเรียนได้ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้เลยครับ 

แต่ถ้าถามว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีหน้าที่ต้องเปิดเผยการใช้เงินมั้ย? 

ต้องตอบว่าไม่มีหน้าที่ แต่ถึงไม่มีหน้าที่ต้องเปิดเผย แต่ในทางปฏิบัติก็มีการเปิดเผยอยู่เพื่อทำเป็นบัญชี แต่ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศทั่วไป แต่ถ้าใครอยากรู้เรื่องไหนก็ไปขอดูได้ แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามระเบียบ อย่าลืมว่า ทรัพย์สินส่วนนี้แม้ยกให้แผ่นดินก็จริง แต่ถือว่าเดิมเป็นทรัพย์สินส่วนที่ได้มาจากราชวงศ์จักรี ไม่ได้เกิดจากการเก็บภาษีจากประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยและไม่ใช่จากงบประมาณแผ่นดินนะครับ

ถามว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์สามารถตรวจสอบได้มั้ย? 

ตอบว่า ไม่ได้ครับ ก็เพราะมันเป็นทรัพย์สินส่วนตัว 
ชาติ (ประกอบด้วย 3 สถาบัน) คนไทยทกคนต้องจ่ายภาษีให้สถาบันฯชาติทุกคน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม แล้วทำไม แค่เงินงบประมาณที่รัฐบาลให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์เพียงปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างตามข้างต้น กลับมีคนจ้องโจมตี ก็เพราะคนที่จ้องโจมตีมันไม่ต้องการให้มีสถาบันฯอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงล้วนผิดหมด 

เงินส่วนพระองค์จริงๆปีละประมาณแค่ 100 ล้าน ซึ่งพระองค์ก็นำไปช่วยเหลือประชาชนอีกต่อหนึ่ง กลับโดนพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯจ้องโจมตี แต่ผู้บริหาร ปตท. มีเงินเดือนๆละ 13 ล้านบาทยังไม่รวมโบนัส กลับไม่มีใครสนใจ ทั้งๆที่ ปตท.ก็เป็นของประชาชนแท้ๆ แต่ถูกนักการเมืองนำไปแปรรูปฯ
ฉะนั้นการที่ FOBES นำเสนอว่า ในหลวงเรารวยที่สุดในโลกจึงไม่เป็นความจริง แต่ถ้านำเสนอว่า ในหลวงคือกษัตริย์ที่มีจำนวนประชาชนร่วมถวายทรัพย์แด่พระองค์ เพื่อให้พระองค์นำไปพัฒนาช่วยเหลือความเป็นอยู่ให้ประชาชนดีขึ้นมากที่สุดในโลกอย่างนี้ ถึงจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดครับ
พวกที่ไม่จงรักภักดียังโจมตีเรื่อง รถพระที่นั่งยี่ห้อมายบัค (may Bach) ขอตอบว่า เป็นรถที่บริษัทเดมเลอร์ไครสเลอร์ ได้ทูลเกล้าถวายให้เนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองการครองราชครบ 60 ปีเป็นจำนวน 2 คัน ฉะนั้นใครไม่เชื่อก็ไปถามบริษัทเบนซ์ได้เลย 

สมัยรัฐบาลทักษิณก็ได้ซื้อถวายเพิ่มอีก 2 คันเพื่อใช้ทดแทนรถพระที่นั่งชุดเก่าที่ทรงใช้มากว่า 30 ปี ส่วนรถยี่ห้ออื่นไม่ว่าจะเป็นบีเอ็มหรือโตโยต้าและเบนซ์ล้วนแต่เป็นรถที่ทูลเกล้าถวายฯจากบริษัทรถเป็นส่วนใหญ่ (บริษัทเดมเลอร์มีแผนจะยุบผลิตภัณฑ์ may Bach อีกภายใน 2 ปีข้างหน้า)
(แต่พวกชั่วคิดล้มเจ้ายังจะโทษเรื่องการใช้รถราคาแพง ก็น่าจะไปโทษทักษิณมากกว่า เพราะในหลวงท่านไม่เคยรับสั่งว่าต้องซื้อให้ท่าน)
และเราต้องเข้าใจคำว่า ร.ย.ล. หรือ ราชยานหลวง เสียก่อนว่า เป็นรถสำหรับใช้ในราชการของสถาบันฯ ไม่ใช่รถส่วนพระองค์ ร.ย.ล. อาจเป็นได้ตั้งแต่รถกระบะที่ใช้งานในวังไปจนถึงรถพระที่นั่งของพระราชวงศ์ ส่วนรถมายบัคที่เป็นรถพระที่นั่งก็เปรียบ เสมือนรถประจำตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่รถส่วนพระองค์ของในหลวงนะครับ โปรดทำความเข้าใจด้วยครับ

ส่วนเรื่องพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพพระพี่นาง ที่โดนโจมตีจากพวกไม่จงรักภักดีฯ ข้อนี้ผมไม่อยากเถียง เพราะคนที่รักก็มองอีกมุมหนึ่ง คนที่ไม่รักไม่ภักดีย่อมต้องมองอีกมุมหนึ่ง เถียงไปก็ไร้ประโยชน์ รังแต่จะสร้างความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทไปเปล่าๆ และจะเป็นการเข้าทางพวกไม่จงรักภักดีได้ฯ เพราะพวกนี้เป็นฝ่ายอยู่ในที่มืด พวกนี้ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว แต่เราผู้จงรักภักดีฯอาจกลายเป็นเหยื่อเอง

ผมบอกได้แค่เพียง งบประมาณที่ซื้อโน้ตบุ้คใหม่ๆเจ๋งสุดๆให้พวกบรรดาสส.และ สว.รวมถึงคณะรัฐมนตรีทั้งสภา รวมกับงบซื้อรถหรูๆประจำตำแหน่งรัฐมนตรีที่เปลี่ยนก็ออกบ่อยๆ เป็นเงินมากมายก็ยังไม่เห็นมีใครโวยกันเลย ฉะนั้นการเถียงกันเรื่องแบบนี้จึงยากที่จะจบ มันขึ้นอยู่กับมุมมองและความรู้สึกด้วย

(แต่ถ้าเรามองโลกในแง่ดี ก็จะรู้ว่า ช่างฝีมือทุกแขนงอยากมีที่ที่ได้แสดงฝีมือเพื่อเป็นการฝึกฝนและเป็นการเรียนรู้เพื่อสืบสานงานศิลปะชั้นสูง ที่ยากนักจะได้มีโอกาสได้ฝึกฝนอย่างเห็นเป็นรูปธรรมและใช้งานได้จริงๆ ศิลปะจากงานสร้างพระเมรุบางอย่างกำลังจะสูญหายไป เหลือแต่ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนั่นหมายถึงศิลปะที่ตายแล้ว และศิลปกรรมในการสร้างพระเมรุนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งที่เก่าๆที่สืบทอดมาเท่านั้น แต่ได้มีการประยุกต์และคิดค้นใหม่เพิ่มเติมเข้าไปด้วยหลายอย่าง ศิลปกรรมบางอย่างไม่อาจพบเห็นได้จากงานทั่วไป จะมีให้ได้เห็นเฉพาะงานพระราชพิธีเท่านั้น "ศิลปะบางครั้งวัดกันไม่ได้ที่ราคา แต่มันอยู่ที่คุณค่ามากกว่า" หากผมอยากจะมองในแง่ร้ายก็สามารถคิดได้สามารถหาเหตุผลมาโจมตีได้เหมือนกัน แต่ผมเลือกที่จะอยู่ฝั่งเข้าใจเหตุผลในแง่มองโลกในแง่ดีมากกว่า และในฐานะคนไทยคนนึง ผมยินดีที่ถวายให้พระองค์อย่างสมพระเกียรติ)

อย่าลืมนะครับว่า ในหลวง ร.9 คือบุคคล ไม่ใช่สถาบันฯ แต่ในหลวง ร.9
คือส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ การที่ FOBES จัดอันดับเป็นเรื่องของทรัพย์สินที่รวมส่วนของสถาบันฯ เข้าไปคิดด้วย และไม่ใช่เงินสดทั้งหมด เป็นเพียงค่าประมาณการว่าถ้ามีการขายจะมีมูลค่าประมาณนั้น แต่ในความเป็นจริง แทบไม่มีการขายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เลยน้อยมาก เช่นที่ดินก็มีแต่ให้เช่าเป็นส่วนใหญ่ และให้เช่าในราคาถูกกว่าราคาตลาดหลายเท่ามาก

แต่ทั้งหมดที่เขียนมา พวกไม่จงรักภักดีเขาไม่เชื่อผมหรอก พวกนี้ก็ยังคิดโทษอยู่อย่างเดียวว่า คนไทยจน คนไทยไม่เจริญเท่าญี่ปุ่นเพราะสถาบันฯเป็นต้นเหตุทั้งหมด เหตุผลอื่นๆเป็นเรื่องรองๆและไม่สำคัญไปหมด 
หากผมจะถามเล่นๆว่า จะมีใครกล้าเอาหัวและตระกูล 7 ชั่วโคตรของตัวเองเป็นประกันได้บ้างว่า หากไม่มีสถาบันฯแล้ว ไทยเราจะเจริญแบบญี่ปุ่นกับสิงคโปร์ จะไม่เป็นแบบพม่าหรือฟิลิปปินส์ จะมีนักการเมืองที่โกงกินกันน้อยลงจากการจัดอันดับของต่างประเทศ และคนไทยจะรักกันไม่แตกแยกไม่ฆ่ากันเพื่อชิงอำนาจ?

ขอย้ำจุดประสงค์ของผมอีกครั้ง ผมไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกไม่จงรักภักดีสถาบันฯเลยแม้แต่คนเดียว แต่ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเป็นภูมิต้านทานทางความคิดให้แก่คนที่จงรักภักดีสถาบันฯ และให้คนไทยได้รับรู้ว่า ประเทศไทยมีผู้คิดล้มล้างระบบสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่จริง 

"การจ้องด่าและจับผิดนั้นทำง่าย แต่การพยายามทำดีโดยไม่มีที่ตินั้นทำยากที่สุด แม้องค์ศาสดาของทุกๆศาสนาเองก็ยังไม่พ้นคนนินทาเลย ธรรมดาของโลกครับ"

 

ผู้เขียน https://www.facebook...attannaOriginal




#455658 อภิสิทธิ์ กับชีวิตที่เหลืออยู่ในวันที่ไม่เหมือนเดิม

โดย wincha on 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:52


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนในบทนำของหนังสือ “ความจริงไม่มีสี เปิดเผยวิกฤตปี 2552-2553 แบบอินไซด์”


ชีวิตที่เหลืออยู่ในวันที่ไม่เหมือนเดิม

เกือบ 20 ปีที่เข้ามาทำงานการเมือง

มองย้อนกลับไป ไม่ว่าจะตอนที่เป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ไม่มีความจริงไหนที่ผมทำแล้วจะไม่ยอมรับ
ก่อนจะเป็นนายกรัฐมนตรี ในเดือนธันวาคม 2551 ผมเคยพูดไว้ว่า ผมมายืนอยู่ในจุดที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปก็คงเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตการเมืองของผม...”
ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ
ถึงวันนี้ พ้นจากหน้าที่นายกฯ มาแล้ว 1 ปี ชีวิตทางการเมืองของผมคงเหลืออีกไม่มากนัก
ยังไม่ต้องพูดถึงช่วงเวลาของชีวิตจริง ๆ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเหลืออีกมากน้อยแค่ไหน
กว่า2 ปี กับการทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองต้องเผชิญกับสถานการณ์วิกฤติร้ายแรงที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ชาติไทย มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากยิ่งกว่า 20 ปี ตลอดชีวิตการเมืองทั้งหมดของผม
ภาระความรับผิดชอบสูงที่สุด
ความกดดันมากที่สุด
อันตรายที่สุด
และถูกโจมตีใส่ร้ายป้ายสีด้วยคำโกหกมากที่สุด
โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบในบ้านเมือง

ถึงวันนี้ เราได้ยินได้ฟังคนพูดโกหกกันมามากพอแล้ว ขอโอกาสผมพูดความจริงบ้าง
ความจริงไม่มีสี ความจริงที่บันทึกจากใจ
ความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง


หนังสือ “ความจริงไม่มีสี เปิดเผยวิกฤตปี 2552-2553 แบบอินไซด์” ประกอบด้วยเนื้อหา 42 ตอน จำหน่ายในราคาเล่มละ 120 บาท เนื้อหาของหนังสือ "ความจริงไม่มีสี" เล่าถึงเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่ นายอภิสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี โดยบรรยายถึงความรู้สึกใน เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น และยอมรับว่ามีคนในรัฐบาล ปชป. พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้ยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่สรุปแล้วส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการรัฐบาลให้ไม่ได้ เนื่องจากขัดกับหลักการของบ้านเมือง และแม้ว่าจะตายไปในวันไหน ก็ขอยืนยันว่า การจัดการปัญหาสถานการณ์ปี 2552-2553 ไม่มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ นอกรัฐธรรมนูญ หรือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ หรือใครอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหา


ที่มา http://www.matichon....atid=&subcatid=