ดูจากที่โพสต์มาก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยนะครับ แต่อยากจะคอมเม้นต์ในประเด็น
ข้อ 18 คิดว่างานวิจัยคืองานสำคัญของสถาบันการศึกษา ทั้งที่สถาบันการศึกษาไม่ใช่สถาบันวิจัย การทำวิจัยควรยกให้เจ้าหน้าที่วิจัย เพราะเขามีเวลาว่างและชำนาญการกว่าครูอาจารย์ แล้วให้ครูอาจารย์ไปศึกษาและนำผลวิจัยมาใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน แต่ไม่ใช่ไปทำเอง คนจับปลาสองมือจะทำได้จริงหรือ ?
มุมมองเชิงลบทางงานวิจัยของคนเป็นอาจารย์ลักษณะนี้น่าเป็นห่วงครับ
ในความคิดของผมในฐานะคนเคยทำงานวิจัยคิดว่ายังไงสถาบันการศึกษาก็จำเป็นที่ต้องผลิตงานวิจัย ทั้ง สกว. และ วช. ในแต่ละปีมีทุนวิจัยให้พอสมควรครับ ไม่นับรวมถึงมหาวิทยาลัยรัฐให้ทุนวิจัยในแต่ละปีการศึกษาถึงจะไม่ใช่เงินมากมายแต่ก็ถือว่าได้แบ่งเบาภาระผู้วิจัยในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทางสถาบันฯก็ต้องจัดหาทุนวิจัยให้กับคนในหน่วยงานตัวเองอย่างเหมาะสม ผลลัพธ์งานวิจัยของสถาบันฯ อาจแข่งกับเอกชนใหญ่ๆหรือสถาบันวิจัยชื่อดังไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผลงานวิจัยที่ทำกันอยู่จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตัวอย่างที่เพิ่งเห็นก็มีวัคซีนไข้เลือดออกที่ทางมหิดลเพิ่งจะขายให้กับต่างประเทศ
ส่วนตัวผมเองสมัยเรียนหนังสือผมชอบการทำวิทยานิพนธ์มากกว่าการนั่งเรียนรายวิชานะครับอ่านบทความนี้เลยรู้สึกแปลกๆ ว่าถ้าหากอาจารย์ที่มีหน้าที่ให้คำปรึกษางานวิจัยของนักเรียนมีความคิดเชิงลบกับการทำวิจัยจะสามารถทำหน้าที่แนะนำนักเรียนที่เข้ามาปรึกษาได้มีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน
แต่ต้นสังกัดก็ต้องจัดสรรเวลาการทำงานให้กับอาจารย์อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกันนะครับ เพราะถ้าไม่มีเวลาเพียงพอก็จะมีปัญหาอย่างอื่นตามมา นอกจากนี้ทางสถาบันฯเองก็ควรจะต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยด้วยเช่นกัน โดยควรจะมีกรอบหัวข้อการทำวิจัยที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ ณ ห้วงเวลานั้น ๆ อาจารย์แต่ละท่านก็มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางแตกต่างกันไปซึ่งนั่นเป็นข้อจำกัดที่ทางต้นสังกัดต้องประเมินศักยภาพตัวเองให้ได้ สถาบันฯต้องหาอัตลักษณ์ของตัวเองให้เจอ
ในความรู้สึกส่วนตัวผมเข้าใจว่าคงเป็นข้อจำกัดของความยาวบทความในหน้าหนังสือพิมพ์ทางผู้เขียนเลยสื่อสารออกมาได้ไม่ค่อยสมบูรณ์เหตุผลสนับสนุนยังน้อยเกินไปในบางประเด็นและในบางข้อก็เขียนย้อนแย้งกันเอง