Lucy Van Pelt

ผมสังเกตว่าคุณสมพรตั้งคำถามเพื่อลองภูมินะ คือคำถามในหลายๆ post นี่ถ้าเป็นคนธรรมดาที่อยากรู้จริงๆ เค้าก็จะหาเลย และถ้าหาจริงๆก็จะเจอข้อมูลที่ต้องการจะรู้อยู่แล้ว ซึ่งถ้าได้ข้อมูลแล้ว ก็คงไม่ต้องมานั่งถามกันอีก 

อย่างน้อยคุณ TFEX ก็ยังมีความกล้าที่จะทำ และก็กล้าที่จะเผยตัว 

ตามมา like  เขียนรูปเด็กได้อ้วนจ้ำม่ำน่าหยิกดีจัง 

ตรรกะของคุณเชฯก็สนับสนุนคำพูดที่ว่า "ยุบ ศอบต. ทำให้เกิดไฟใต้" แล้ว แต่ถ้าจะเล่นคำว่าไฟใต้มันมีตลอด คงต้องเปลี่ยนเป็น "ยุบ ศอบต. ทำให้ปัญหาไฟใต้รุนแรงมากขึ้น" ซึ่งน่าจะตรงกับหัวข้อนี้มากที่สุด

เพราะข้อมูลที่คุณเชฯเสนอมาคือเมื่อมี ศอบต. ไม่มีเหตุการณ์รุนแรง เมื่อ ศอบต.ถูกยุบ เหตุการณ์รุนแรงขึ้น

ส่วนใครทำนั่น เป็นอีกเรื่องนึง อาจเป็นชาวบ้าน เป็นกองกำลังจัดตั้ง หรือเป็นใครก็ตาม แต่ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า ยุบ ศอบต. แล้วไฟใต้รุนแรงมากขึ้น เป็นข้อเท็จจริง

ดังนั้น ผู้ที่เป็นต้นเหตุในการยุบ ศอบต.นั้น จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

แต่ถ้ายังจะแย้งต่ออีกว่า ไม่ยุบ ศอบต. ก็ไม่ได้หมายความว่าไฟใต้จะไม่รุนแรงขึ้น ถ้าคิดแบบนี้ คงเถียงกันไม่มีวันจบแล้วล่ะครับ

พับกระดาษนี่คือหนึ่งในสิ่งที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในรัฐบาลทักษิณ ทำเพื่อปลอบใจตัวเองเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย

ที่ผมคุยๆมาก็คล้ายๆกับที่คุณวันศุกร์เล่ามาครับ พอดีมีเพื่อนร่วมงานหลายรุ่น ตั้งแต่รุ่นที่ตอนนี้ลุกสาวกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว รุ่นนี้ปากกัดตีนถีบหน่อย เพราะต้องไปเป็นทหารถึงจะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย ผมมีเพื่อนจบมาทั้งจาก army, navy และ air force เลย เรียกว่าครบสามเหล่า แล้วก็มีรุ่นต่อจากนั้นซึ่งสบายกว่าหน่อย เพราะพ่อแม่มีตังค์จ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยได้  

เด็กอเมริกันโชคดีตรงนี้มีห้องสมุดให้ค้นคว้าเวลาต้องทำการบ้าน ทำการบ้านประวัติศาสตร์ก็มี archive ให้หา ของเราเรื่องเหล่านี้ยังจัดการกันไม่ค่อยดีนัก คือเท่าที่ผมเห็นก็มีทำกันแบบกระจัดกระจายมากกว่าจะเป็นระบบให้เด็กเข้าไปค้นหาได้ บ้านเราไม่ต้องแจก tablet ก็ได้นะ ผมว่าแค่เอาหนังสือไป scan เป็น pdf ทำดัชนีให้ดีๆแล้วเก็บไว้ใน server ของโรงเรียนกับ server ของกระทรวงให้เด็กเข้ามาใช้งานได้ แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว 

ฮ่าๆ ว่าจะคุยเรื่องอเมริกันต่อ คุณวันศุกร์ตอบแทนให้แล้ว   ตอบได้ลึกกว่าผมด้วย เพราะมีลูกอยู่ที่นี่ ของผมใช้ถามเอาจากเพื่อนๆที่ทำงานด้วยกัน 

เสียดายเด็กประถมสมัยนี้ไม่ค่อยมีเรียงความซักเท่าไหร่ มีเหมือนกัน แต่น้อยมาก เรียงความมีประโยชน์มากนะครับ ไม่ว่าจะเรียนสาขาไหนก็ตาม เพราะทักษะที่ได้จะไปพัฒนาการลำดับความคิดและวิธีการสื่อสาร สมัยเด็กๆผมมีวิชาเขียนจดหมายด้วย แต่สมัยนี้ไม่รู้มีวิชาเขียน email หรือเปล่า 

เมื่อกี้ดูข่าวสัมภาษณ์รมว.ศึกษาอีกที ไปๆมาๆกลายเป็นปรับจำนวนการบ้านให้เหมาะสม อ้าว ตกลงก็คือให้ปรับปรุงการสอนใหม่ว่างั้นเหอะ แต่บอกตรงๆว่าจริงๆควรเพิ่มเงินเดือนให้ครูกับเพิ่มจำนวนโรงเรียนให้สัดส่วนมันเพิ่มขึ้นบ้าง ครูจะได้มีเวลาถามเด็กว่าเข้าใจเนื้อหาที่สอนแค่ไหน ตอนนี้สอนให้จบก็เหนื่อยจะแย่แล้ว 

หลานผมปีนี้อยู่ม.4 จะขึ้นม.5 แล้ว คงคุยได้นะครับ 

ช่วงประถม การบ้านไม่เยอะมาก เพราะเห็นกลับบ้านมา นั่งทำไปเรื่อยๆถึงประมาณหกโมงก็เสร็จ 

ช่วงม.ต้น ได้เรียนโรงเรียนรัฐบาล ผมสังเกตดู การบ้านบางทีก็เยอะ บางทีก็ไม่เยอะครับ สลับกันไป แต่ที่ผมคิดว่าไม่ไหวจริงๆคือสัดส่วนครูต่อนักเรียนมัน 50 ต่อ 1 ห้องหลานผมนี่ 52 คน ตอนประชุมผู้ปกครองแค่จะให้เด็กเลิกคุยกันในห้องนี่ก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะสอนให้ทุกคนเข้าใจหรอก เอาแค่สอนให้ทันหลักสูตรก็แทบแย่แล้ว อันนี้ผมถามตรงๆจากครูที่โรงเรียนเลย เพราะฉนั้นเวลาไปประชุมผู้ปกครองทีไร ครูจะย้ำเสมอว่าให้ช่วยกันดูแลลูกหลานตัวเองให้ดีๆ

ส่วนช่วงม.ปลายนี่ผมว่าได้ความเคยชินจากม.ต้นมา คือไม่พอกการบ้าน มาถึงก็ทำให้เสร็จไป มีมากน้อยสลับกันไป ไม่เห็นว่ามากจนกระทั่งทำถึงสองทุ่มสามทุ่ม ส่วนมากไม่เกินทุ่มนึงก็เสร็จ

แต่ที่ผมไม่เข้าใจ ตั้งแต่ม.ต้นแล้ว คือเรียนเสร็จแล้วเก็บสมุด บางทีเสาร์อาทิตย์ผมอยากจะดูว่าเรียนไปถึงไหนแล้ว ปรากฏหลานบอกว่าสมุดครูเก็บไปแล้ว เลยงงๆว่าทำไม

โดยสรุปแล้วผมว่าหลักสูตรและการเรียนการสอนปัจจุบันนี่ใช้ได้นะครับ การบ้านก็มีมากน้อยสลับกันไป ช่วงมากๆก็ถือว่าเป็นการฝึกความอดทน แต่วิธีการสอนยังไม่ตรงกับจุดประสงค์เท่าไหร่ คือหนังสือเรียนสมัยใหม่นี่ผมยอมรับเลยว่าเขียนใช้ได้ แต่การสอนเองที่ไม่รู้ว่าครูไม่เข้าใจจุดประสงค์ในหัวข้อการเรียน หรือเด็กมันเยอะไปจนกระทั่งสอนไม่ไหวกันแน่ เลยทำให้ได้จากหนังสือไม่ครบ

ถ้าคิดจะบูรณาการนี่ผมว่าทำโรงเรียนเพิ่ม ให้เงินเดือนครูเพิ่ม เอาสองอย่างนี่ก่อน หลักสูตรปัจจุบันยังไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้ เนื้อหาอาจจะปรับปรุงให้ทันสมัยบ้าง แต่วิธีการปัจจุบันก็ยังใช้ได้

ดูการบ้านหลานมาสิบกว่าปีตั้งแต่อยู่ประถม 99% ของการบ้านที่เอากลับมาทำนี่มีประโยชน์นะครับ สมัยเด็กๆมีระบายสี อาจจะดูว่าไม่มีประโยชน์ จริงๆมีเรื่องการฝึกกล้ามเนื้อของเด็ก โตขึ้นมาหน่อยมีเรื่องการฝึกความจำ บางคนบอกว่าบ้านเราใช้จำๆๆๆๆ ไม่ใช้ความเข้าใจ จริงๆความจำก็สำคัญนะครับ เหมือนกับกีฬาที่ต้องมีทั้งกำลังและทักษะ บางอย่างต้องจำไปก่อน แล้วมันจะเข้าใจไปเองก็มี 

เอาแค่ของไทยก่อน ของอเมริกันว่างๆค่อยคุยอีกที ผมก็ถามเอาจากเพื่อนๆที่ลูกๆเค้ากำลังเรียนนี่แหละ มีหลายอย่างที่น่าสนใจเหมือนกัน

หลอนมั้ย ?

หลอนโคตร ขอบอก 

เจอตัวป่วนจนได้ กำลังคุยเรือทีวีช่องแดงอยู่ดีๆแท้

ผมทั้งดูและก็ฟังล่ะครับ มี Asia update กับอื่นๆที่เป็นเครื่อข่าย จำไม่ได้ว่าชื่ออะไรเหมือนกัน รูปแบบก็คล้ายๆกับ ASTV แต่สำนวนการพูดต่างๆจะรุนแรงกว่า ฟังทั้งวันนี่อาจจะถูกล้างสมองได้ไม่ยาก ยิ่งเข้าไปถึงตามหมู่บ้านเล็กๆด้วย ผมเคยขับรถเข้าไปกินข้าวในหมู่บ้านแถวๆโรงงานในชลบุรี บางร้านก็เปิดทีวีพวกนี้ให้ดูตลอด บางคนก็ไม่อินนะครับ บางคนก็อินใช้ได้ ถ้าว่าเรื่องการตลาดนี่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก

ดูแล้วโง่ลงหรือเปล่านี่ไม่แน่ใจ แต่ดูมากๆแล้วหมกมุ่นนี่ค่อนข้างมั่นใจ เผอิญคนจำนวนมากยังมีความเชื่อกันอยู่ว่าอะไรที่ออกทีวีจะต้องจริง ไม่งั้นเค้าไม่ออกทีวี ทีวีเสื้อแดงถึงได้ประสบความสำเร็จแบบนี้

พวกที่บอกตกงานแล้วไปทำธุรกิจเล็กๆ สงสัยไม่เคยตกงานตอนอายุมาก

อันนี้ผมพูดได้เลยเพราะเคยตกงานจากยุค dot com crash เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ว่างงานอยู่ในเมืองไทยปีเศษๆ งานหายากเพราะเค้าบอกว่า over qualify ช่วงนั้นทำกิจการเล็กๆประเภทขายของไปด้วย ทำอยู่พักนึงรู้เลยว่าไม่คุ้มทุน เพราะรายได้ไม่พอรายจ่าย ตอนนั้นผมอาจจะทำได้ไม่ดีเพราะไม่มีประสบการณ์ด้วยมั้ง กว่าจะได้งานใหม่นี่เงินเก็บก็หมดไปเยอะเหมือนกัน ดีที่ไม่มีหนี้ติดตัว 

มองย้อนกลับไปก็เห็นความผิดพลาดหลายๆอย่างช่วงนั้นพอสมควร เจอคนตกงานแล้วแนะนำให้ไปทำธุรกิจนี่ใครๆก็พูดได้ แต่ทำจริงให้เลี้ยงตัวเองได้นี่มันยาก เผลอๆจะหนักกว่าเดิม ยิ่งถูกเลิกจ้างพร้อมๆกันเยอะๆแบบนี้ด้วย คือถ้าไม่มีคำแนะนำอะไรที่ฟังแล้วมันฉลาดกว่า "ลองทำธุรกิจเล็กๆสิครับ" ผมว่าอยู่เฉยๆดีกว่า จะแสดงความเสียใจอะไรก็ทำไป ไม่ต้องแนะนำหรอกครับ

จนกระทั้ง มีนักการเมือง ชื่อ นช.ทักษิณ ครับ บ้านเมืองถึงเป็นแบบนี้

น่าจะจริงนะครับ เพราะก่อนหน้านั้น ถ้ามีคนอย่างสนธิออกมาทำอะไรแบบนั้น นักการเมืองยุคก่อนหน้าทักษินจะเฉยๆซะมากกว่า แต่ทักษิณเล่นเกมตาต่อตาฟันต่อฟันตั้งมวลชนเสื้อแดงมาชน เลยยืดยาวมาถึงวันนี้

คราวที่แล้วก็มีคล้ายๆอย่างงี้ครับ แต่เป็น Morgan Freeman

จำได้ว่าตอนที่สุดารัตน์ลงครั้งแรก คนแห่ไปเลือกสมัคร เพราะไม่อยากให้สุดารัตน์ ที่มีฉายาว่านางมารดิจิตอลได้เป็นผู้ว่ากทม. สรุปคือหนีเสือปะจรเข้ 

คุณผึ้งฯอย่าลืมว่ายังไงอภิสิทธิ์ก็ยังเป็นนักการเมืองอยู่นะครับ ตัวตนของเขาอาจจะเป็นอย่างที่คุณผึ้งว่ามาทั้งหมด แต่เมื่อสวมหัวโขนนักการเมือง ก็ต้องทำหน้าที่ของนักการเมือง ซึ่งเราในฐานะประชาชนต้องจับตาดูให้ดีๆ