zutto

"ทำ ให้ “โอ๋สืบ 6” ต่อสู้คดีในชั้นศาลอยู่นาน จนสามารถกลับเข้ามารับราชการได้

ต่อมา เปลี่ยนชื่อเป็น “พล.ต.ต.ธนายุตม์” จนมาผงาดได้เป็น “ผบก.จว.นนบุรี” ในยุคของ “บิ๊กเหลิม”

เมื่อ“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจจาก “รัฐบาล “

หน่วยงานหนึ่งที่ต้องย้ายโดยเร็วหนีไม่พ้น “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” (สตช.)

เริ่มต้นจากการปลด “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร. ตั้ง “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” เป็นรักษาการราชการแทน ผบ.ตร.

ต่อด้วยการเช็คบิล“บิ๊กตำรวจ” ที่เติบโตในยุครัฐบาลเครือข่าย“พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เช่น “พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” พ้น ผบช.น.

ล่าสุด “พล.ต.อ.วัชรพล” ลงนามคำสั่งย้ายระดับผู้บัญชาการ (ผบช.) ถึงผู้กำกับการ (ผกก.) 16 นาย

ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิม

โดยระบุเหตุผลเพื่อให้การปฏิบัติราชการของ “ตำรวจ” และการสนับสนุนภารกิจของ “คสช.” เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

ทว่าในความจริงแล้วเชื่อว่า“คสช.”ต้องการย้ายตำรวจที่ถูกมองว่าเป็น"มะเขือเทศ”ที่ไม่อาจไว้ใจ มิให้มีบทบาท คุมกำลัง 

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวม ปูมหลังความสัมพันธ์ของ“บิ๊กตำรวจ”ที่โดนปรับพ้นตำแหน่งดังนี้ 

“พล.ต.ท.ธีระศักดิ์ กลิ่นพงษา” ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ให้ไปช่วยราชการศปก.ตร. :

ได้รับความไว้ภาคให้คุมอีสานล่าง ถิ่นฐานเสียงสำคัญของ “คนเสื้อแดง” คนที่เคลียร์ที่ทางให้คือ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” อดีตรองนายกรัฐมนตรี

ว่ากันว่า “พล.ต.ท.ธีระศักดิ์” เคยทำงานเป็นหน้าห้องของ “พล.ต.อ.ประชา” ครั้น “อินทรีอีสาน” เรืองอำนาจ“พล.ต.ท.ธีระศักดิ์”จึงถึงคิวได้ปรับเลื่อนตำแหน่งพอดี 

“พล.ต.ต.กริช กิติลือ” ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ช่วยราชการ ศปก.ตร. :

คุมกำลังตำรวจทางภาคเหนือมาตลอด ก่อนย้ายจากผบก.ภ.จว.ลำพูน มาดำรงตำแหน่งผบก.ภ.จว.เชียงใหม่

โดยมีข่าวลือหนาหูว่าเข้าได้แรงหนุนจาก “นายใหญ่-นายหญิง-เจ๊ด.”  

และมีข่าวสะพัดอีกว่า “พล.ต.ต.กริช” เป็นคนดูแล“พานทองแท้ ชินวัตร” หรือโอ๊ค บุตรชาย “พ.ต.ท.ทักษิณ”จากกรณีโดน “ทหาร”ควบคุมตัว 

กรณีจึงเป็นฝางเส้นสุดท้ายที่ “พล.ต.ต.กริช” โดนเชือดเข้ากรุ 

“พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์” ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ช่วยราชการ ศปก.ตร.:

ในการชุมนุมของ “กปปส.” ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ที่แยกผ่านฟ้า “พล.ต.ต.คัชชา” เป็นคนได้รับคำสั่งลึกลับ

ให้เปลี่ยนจากควบคุมดูแลการชุมนุม มาเป็นการสลายการชุมนุม “กปปส.” จนนำมาสู่เหตุการณ์ความรุนแรง

และหากย้อนกลับไปในช่วงการ ชุมนุมของ “กลุ่มนปช.” ที่สนามกีฬาราชมังคลา ซึ่งมีการปะทะกัน

ระหว่าง “กลุ่มนปช.” กับ “นักศึกษารามคำแหง” เป็น “พล.ต.ต.คัชชา” เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์อยู่ด้วย

จน “สุเทพ” ออกมาระบุว่า “พล.ต.ต.คัชชา” สนับสนุน “กลุ่มนปช.” จึงให้ “ถาวร เสนเนียม” ไปฟ้องร้องเป็นคดีความ  

“พล.ต.ต.ชอบ คิสาลัง” ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น ช่วยราชการศปก.ตร.:

เป็นตำรวจที่เติบโตในพื้นที่สีแดง เป็นพื้นที่ที่ “คนเสื้อแดง” ในจังหวัดขอนแก่น ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

แต่ไฮไลต์อยู่ที่ “ทหาร” นำกำลังเข้าไปจับกุมคนร้าย 21 คน ที่พกพาอาวุธสงครามได้ที่ใจกลางเมืองจังหวัดขอนแก่น

โดยมีข้อมูลในทางลับว่า “บิ๊กตำรวจ”คนหนึ่ง ให้การสนับสนุน หวยจึงมาออกที่ “พล.ต.ต.ชอบ” สังเวยถูกเด้งออกจากพื้นที่  

“พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำงรงค์” ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ช่วยราชการ ศปก.ตร.:

เจ้าของฉายา “โอ๋สืบ 6” ชื่อจริงอาจไม่คุ้นหูเพราะได้เปลี่ยนชื่อจาก "ฤทธิรงค์ เทพจันดา" ภายหลังมีคดีกับ “ม็อบเสื้อเหลือง”

ซึ่งในช่วงนั้นมีข่าวว่า ตำรวจในหน่วยงานของ“โอ๋สืบ 6”มีปัญหากับ“คนเสื้อเหลือง” ที่ไปโห่ไล่ “ พ.ต.ท.ทักษิณ หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์

“โอ๋สืบ 6” ต่อสู้คดีในชั้นศาลอยู่นาน จนสามารถกลับเข้ามารับราชการได้

ต่อมาปลี่ยนชื่อเป็น “พล.ต.ต.ธนายุตม์” จนมาผงาดได้เป็น “ผบก.จว.นนบุรี” ในยุคของ “บิ๊กเหลิม”

“พล.ต.ต.ธัชชัย หงส์ทอง” ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ ช่วยราชการ ศปก.ตร.:

เป็นตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ “เรดโซน” คนหนึ่ง เพราะ “ผู้มากบารมี” ในจังหวัดสมุทรปราการ

ล้วนแล้วแต่อิงอยู่กับ “มวลชนเสื้อแดง” ชื่อของ “พล.ต.ต.ธัชชัย” จึงถูกจัดในหมวด “นายขอมา”

คดีสำคัญที่อยู่ในความดูแลของ “พล.ต.ต.ธัชชัย” คือคดียิง “สุทิน ธราทิน” ผู้ประสานงานกปท.

ระหว่างที่นำมวลชน “กปปส.” ไปขัดขวางการเลือกตั้งล่วงหน้า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 บริเวณวัดศรีเอี่ยม

แต่ไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ และคดีไม่มีความคืบหน้า

“พล.ต.ต.บุญลือ กอบบางยาง” ผบก.ภ.จว.อุดรธานี ช่วยราชการ ศปก.ตร.:

เป็นตำรวจเติบโตมาจากกองเชียร์ “แกนนำคนเสื้อแดง”  โดย “ขวัญชัย ไพรพนา” พูดได้เต็มปากว่าเป็นคนแต่งตั้ง “พล.ต.ต.บุญลือ”

ให้มาเป็นผบก.ภ.จว.อุดรธานี ซึ่งหลังที่ “พล.ต.ต.บุญลือ” ได้รับการแต่งตั้ง ก็มีข่าวลือออกมาตลอดว่า “ขวัญชัย”ได้พาไปขอบคุณ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงดูไบ

และที่สำคัญ “พล.ต.ต.บุญลือ”ช่วยเสริมบารมี“ขวัญชัย”ให้“คนอุดร”เคารพนับถือ

ทั้งหมดคือบางส่วน-บางฉากชีวิต “บิ๊กตำรวจ”ที่ถูกมองว่าอยู่ในเส้นทาง “สายสีแดง”

ถูกโยกย้ายพ้นหน้าที่  เพื่อเปิดทางให้ คสช.ดำเนินนโยบาย “สลายสีเสื้อ” แต่จะทำได้หรือไม่ต้องติดตาม

ภาพ : ขวา “พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำงรงค์” อดีตผบก.ภ.จว.นนทบุรี กลาง “พล.ต.ต.บุญลือ กอบบางยาง” อดีตผบก.ภ.จว.อุดรธานี ซ้าย “พล.ต.ต.กริช กิติลือ” อดีตผบก.ภ.จว.เชียงใหม่

.....นาย จาตุรนต์ ฉายแสง ถูกดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งให้ไปรายงานตัวของ คสช.

ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 อันเป็นกรณีที่ไปพูด

ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศก่อนถูกทหารควบคุมตัวซึ่ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี

.....คดีนี้เป็นคดีแรกที่ถูกฟ้องต่อศาลทหารในเวลาไม่ปกติ ตามประกาศของ คสช. เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2557
.....เมื่อเป็นศาลในเวลาไม่ปกติจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ฎีกา หมายความว่า เมื่อศาลทหารชั้นต้น

คือศาลทหารกรุงเทพพิพากษาแล้วคดีก็ถึงที่สุด จะอุทธรณ์ ต่อศาลทหารกลางไม่ได้

.....การพิจารณาคดี แม้นายจาตุรนต์จะให้การปฏิเสธ ก็น่าจะไม่ต้องใช้เวลาในการพิจารณาคดีมากนัก

เพราะความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งให้ไปรายงานตัวของ คสช. ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติแล้วว่านายจาตุรนต์ไม่ไปรายงานตัว

ภายในวัน เวลา ที่กำหนดจริง

.....ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ข้อเท็จจริงก็ฟังได้ยุติแล้วเช่นเดียวกัน ว่า

นายจาตุรนต์พูดจริงมีเพียงต้องพิจารณาว่า ถ้อยคำที่พูดจะมีความผิดหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลวินิจฉัยได้เอง

.....ถ้าฟังได้ว่า นายจาตุรนต์ มีความผิดทั้งสองข้อหา ด้วยความเคารพต่อศาลทหารกรุงเทพ

เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ได้ก้าวล่วงดุลพินิจศาลทหารกรุงเทพในการกำหนดโทษ
.....เห็นว่า ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งของ คสช. น่าจะลงโทษจำคุก 1 ปี

ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 น่าจะลงโทษจำคุก 2 ปี รวมเป็นโทษจำคุก 3 ปี

และตามพฤติการณ์แห่งคดี ไม่สมควรที่จะรอการลงโทษ ครับ