ต่อมา รศ. วุฒิสาร ตันไชย หัวหน้าคณะผู้วิจัยและรองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า "หากคณะกรรมาธิการฯหรือสภาฯมีการลงมติเลือกแนวทางหนึ่งแนวทางใดอย่าง รวบรัดด้วยเสียงข้างมากโดยเฉพาะในประเด็นการให้อภัยผ่านกระบวนการนิรโทษกรรม และการเสริมสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม โดยมิได้ดำเนินการตามข้อเสนอของคณะผู้วิจัยในส่วนของกระบวนการดังกล่าวที่ ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วเสียก่อน คณะผู้วิจัยจะขอถอนรายงานวิจัยที่ได้เสนอต่อคณะกรรมาธิการฯเพื่อมิให้มีการ นำผลการวิจัยไปใช้ในการอ้างอิงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่ไม่เอื้อต่อ การสร้างความปรองดองในชาติได้อีกต่อไป"
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการออกแถลงการณ์ดังกล่าว และหลังจากที่คณะกรรมาธิการฯของพรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นหนังสือถึง ประธานคณะกรรมาธิการฯให้มีการประชุมเพื่อสรุปทบทวนรายงานของคณะกรรมาธิการซึ่งในขณะนี้ มีการหยิบข้อเสนอ เรื่องการนิรโทษกรรมคดีทั้งหมด และล้มคดี คตส. ไปลงมติด้วยวิธีการส่งแบบสอบถาม และนำผลไปสรุปเป็นข้อเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการนิรโทษกรรมคดีทุกคดี ล้มคดี คตส. โดยไม่มีการนำคดีมาดำเนินการใหม่ ล่าสุดมีการแจ้งมายังกรรมาธิการฯว่า จะไม่มีการประชุมอีก และ นายชวลิต วิชยสุทธิ์เลขานุการคณะกรรมาธิการ บอกเพียงว่า จะนำตัวเลขจากแบบสอบถามออกจากรายงาน ซึ่งน่าจะหมายความ ข้อเสนอ และข้อสรุป ในรายงานของคณะกรรมาธิการ จะยังคงเหมือนเดิม สอดคล้องกับที่นายกรัฐมนตรี กล่าวรับลูกว่าจะให้ปัญหาการปรองดองยุติที่สภาฯ
ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า รศ.วุฒิสาร และคณะ มีความตั้งใจดีที่จะร่วมหาทางออกให้แก่บ้านเมือง แต่อาจลืมมองถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่า หากคณะผู้วิจัยปล่อยให้มีการนำงานวิจัยนี้เข้าสู่สภาจนนำไปสู่การลงมติ ย่อมสายเกินกว่าที่จะถอนรายงานวิจัยออกมา และ เมื่อถึงเวลานั้นแม้คณะผู้วิจัยจะอ้างว่าได้ทำข้อโต้แย้งเป็นลายลักษณ์อักษร ไปยังกรรมาธิการฯแล้ว ก็คงไม่สามารถหนีสภาพที่ต้องตกเป็นจำเลยร่วมกับเสียงข้างมากที่กำลังลากความ ปรองดองไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ได้
ในฐานะที่ผมเป็นกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า และเป็นหนึ่งในผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะผู้วิจัยกรุณามาสัมภาษณ์ถามความเห็น เกี่ยวกับแนวทางปรองดอง ผมมีข้อเสนอ มายังผู้เกี่ยวข้องดังนี้
ข้อเสนอคือคณะผู้วิจัย
ถอนรายงานวิจัยออกจากคณะกรรมาธิการฯทันที เพื่อดำเนินการยืนยันตามเจตนารมณ์ของคณะผู้วิจัยที่ได้ประกาศไว้ และทบทวนรายงานในประเด็นดังต่อไปนี้
- กรณีข้อเท็จจริง เมื่อคณะผู้วิจัยเสนอให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงของคอป. และเสริมความเขื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการปรองดอง ก็ควรจะเริ่มต้นจากคณะผู้วิจัยเอง ที่ควรนำเอาข้อสรุปของคอป. เกี่ยวกับต้นตอของวิกฤติ คือ คดีซุกหุ้น พ.ต.ท. ทักษิณมาเป็นส่วนหนึ่งของรายงาน แทนการเขียนถึงเรื่องนี้เพียง 2-3 ประโยค ในลักษณะที่สวนทางกับข้อสรุปของคอป. นอกจากนั้นยังสมควรเอาคำพิพากษาของศาลในหลายๆคดีที่เกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง การเผาศาลากลาง และสถานที่สำคัญ มาบรรจุไว้ มิใช่กล่าวลอยๆ ว่าขณะนี้ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันว่าอะไรเกิดขึ้นในช่วงเดือน เม.ย. – พ.ค. ปี 2553
- ทบทวนข้อเสนอที่สุดโต่ง และนำมาสู่ความขัดแย้ง คือการยกเลิกคดี คตส. ทั้งหมด และห้ามไม่ให้มีการนำมาพิจารณาใหม่ ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ของผู้ต้องการหลุดคดี และเป็นการเสนอโดยกลุ่มคนดังกล่าวโดยคณะผู้วิจัยก็ยอมรับว่าเป็นข้อเสนอที่จะทำให้ “การสร้างความปรองดองเป็นไปได้ยาก เพราะบางกลุ่มเห็นว่าถ้ากระทำผิดยังลอยนวล ไม่มีการพิสูจน์ข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดหรือไม่”ขณะที่คณะผู้วิจัยกลับไม่ยอมรับข้อเสนอของผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนมากที่ไม่มีส่วนได้เสียในคดีที่ให้คดี คตส. เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป โดยอ้างว่าไม่ตอบโจทย์การปรองดอง
หากไม่มีการทบทวนเรื่องนี้ รัฐบาลก็จะหยิบทางเลือกนี้ไปเริ่มดำเนินการตามรายงานของกรรมาธิการ ทำให้กระบวนการปรองดองถูกแปรเป็นการตอบโจทย์ผู้กระทำความผิด โดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมกับความถูกต้องของบ้านเมือง ไปสู่สภาพ “ความยุติธรรมของผู้ชนะ” เช่นเดียวกับข้อเสนอนิรโทษกรรมที่คุณ นิชา ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ ระบุว่า
"ได้อ่านรายงานของคณะผู้วิจัย หลายครั้ง พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเราเหมือนกับคณะผู้วิจัยบอกไว้ ท่านตั้งธงว่าเป็นรายงานที่จะนำไปสู่ความปรองดอง และไม่ต้องการให้เกิดการเสียชีวิตขึ้นมาอีก หรือต้องการความรุนแรงอีก เป็นรายงานที่เกิดจากความรู้สึกของคนที่สูญเสีย แต่เราอ่านรายงานฉบับนี้แล้ว ยอมรับได้ยาก แต่ถ้าเป็นคนอ่านที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากความผิด รายงานฉบับนี้ตอบโจทย์ มีหลายประเด็นที่ขัดแย้งกันเอง ในเรื่องตรรกะรวมถึงปรัชญาที่รายงานนำมาใช้อ้างอิง"
- คณะผู้วิจัยควรใช้โอกาสการทบทวนนี้ประสานกับ คอป. ซึ่งกำลังทำรายงานฉบับที่ 3 ส่งให้รัฐบาลภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อนำมาประกอบการวิจัย เพราะแม้แต่นายคณิต ณ นคร ประธาน คอป. ยังให้ความเห็นว่า
ผมจึงเรียกร้อง ให้คณะผู้วิจัยถอนรายงานที่กำลังถูกบิดเบือนไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ซึ่งจะสร้างความขัดแย้ง และทำลายความถูกต้องในบ้านเมือง อันจะส่งผลให้คณะผู้วิจัยและสถาบันพระปกเกล้าถูกครหาว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องการกระทำเช่นนี้ด้วย
ข้อเสนอถึงประธานและเลขานุการกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า
ผมเรียกร้องให้มีการเรียกประชุมคณะกรรมการสภาฯ โดยด่วน เพื่อพิจารณาปัญหาทั้งหมดนี้ เพราะกรรมการสภาฯ เป็นผู้อนุมัติให้มีการจัดทำงานวิจัยนี้ จึงหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ การประชุมเพื่อการกำหนดท่าทีที่ชัดเจน จะเป็นการปกป้องชื่อเสียงของสถาบันฯ
ข้อเสนอถึงประธานคณะกรรมาธิการฯ
ผมเรียกร้องให้มีการเรียกประชุมคณะกรรมาธิการฯโดยด่วน เพราะการไม่เรียกการประชุมในขณะนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการปล่อยให้รายงานของคณะกรรมาธิการฯ เขียนโดยกรรมาธิการคนเดียวหรือกลุ่มเดียว ทั้งๆที่มีการทักท้วงจากกรรมาธิการอีกจำนวนหนึ่ง
หากปล่อยไปเช่นนี้ ประธานคณะกรรมาธิการฯจะต้องรับผิดชอบกับกระบวนการบิดเบือนข้อเสนอของผู้วิจัย และการสร้างความขัดแย้งในสังคมรอบใหม่ ทั้งๆที่การเข้ามาเป็นประธานคณะกรรมาธิการฯในครั้งนี้ ต้องการเข้ามาแก้ไขความขัดแย้ง ที่ตนมีส่วนร่วมในการสร้างขึ้นด้วย
ขณะนี้ความสำเร็จเรื่องการปรองดอง แขวนอยู่บนเส้นด้าย รายงานของคณะผู้วิจัย สามารถนำไปใช้เป็นจุดเริ่มต้น ในการหาข้อยุติร่วมกัน เพื่อสร้างความปรองดองได้ จะเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก หากรายงานชิ้นนี้ ต้องกลายเป็นเพียงเครื่องมือของผู้มีอำนาจ ในการฉกฉวยผลประโยชน์ และสร้างความขัดแย้งรอบใหม่ ส่งผลให้ความหวังของสังคมในเรื่องการปรองดองต้องล่มสลายไปโดยสิ้นเชิง
ผมจึงหวังว่าข้อเสนอในจดหมายฉบับนี้เพื่อให้กระบวนการปรองดองเดินหน้าต่อไปได้ จะได้รับการพิจารณาด้วยดี จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
25 มี.ค. 2555