#1
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 00:13
อ่านกระบวนการของมัน ใช้จุลินทรีย์ ไม่ใช่กระบวนการเคมี
ผมจึงค่อนข้างสงสัย เพราะการจะทำให้จุลินทรีย์เติบโตในน้ำได้
มันอาจจะไม่ง่ายเหมือนปฏิกิริยาเคมี ที่ทำปฏิกิริยากันเห็นๆ
แล้วจุลินทรีย์ที่ใส่เข้าไปคืออะไร จะช่วยอะไร
ปกติน้ำเสียก็คือน้ำที่มีจุลินทรีย์มากเกินพอดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ
แล้วทำไมถึงใส่เพิ่มเข้าไปอีก
ทั้งนี้ ไม่ได้ต้องการจะดิสเครดิต หรือกล่าวหาใคร แต่อดสงสัยไม่ได้
แล้วถ้าได้ผลจริง เราจะใช้กับน้ำเสียในคลองทั่วกทม. เลยได้หรือไม่
แก้ไข: ข้อมูลเพิ่มเติม ที่ผมพอหาได้ มีที่ http://en.wikipedia....e_microorganism
และภาษาไทย http://th.wikipedia....org/wiki/อีเอ็ม
ผมอ่านแล้ว เขาก็บอกว่า ยังไม่ได้ข้อสรุปว่ามันดีจริงหรือไม่
ที่ผมอยากคุยเรื่องนี้ ผมคิดว่า มันไม่ใช่แค่บอกว่า "ดีกว่าไม่ทำ" แล้วจบ
เพราะเราเสียแรงงานคนไปจำนวนมากเพื่อปั้นก้อน EM พวกนี้
และการใส่ก้อนพวกนี้ลงไปในน้ำ มีผลได้สามอย่าง คือ น้ำดีขึ้น น้ำเสียมากขึ้น และไม่เกิดอะไรขึ้น
ซึ่งถ้าใส่ไปแล้วน้ำเสียมากขึ้น จะเป็นการซ้ำเติมคนที่เขาเดือดร้อนอยู่แล้วนะครับ
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#2
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 00:20
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#3
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 00:34
ผมก็ใช้อยู่ครับ ใช้ใส่ต้นไม้ หมักเศษอาหาร ใช้ใส่กรองตู้ปลาเพื่อบำบัดน้ำ ฯลฯ
#4
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 00:39
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#5
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 01:01
#6
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 01:02
ข้อมูลยาวนิดนึงค่ะ
น้ำเน่ากับEM
(1) น้ำเน่าคืออะไร
น้ำเน่า คือ น้ําเสียที่ขาดออกซิเจนละลายในน้ำ (DO-Dissolved Oxygen)นานๆ จนจุลชีพกลุ่มใหม่ กลุ่มไม่ใช้ออกซิเจนในน้ำ ขยายอิทธิพลมากินของเสียในน้ำเสียแทน (ปริมาณของเสียใน น้ำเสีย เขาวัดกันด้วยค่า BOD (Biochemical Oxygen Demand) ส่งผลให้เกิดกลิ่นก็าซไข่เน่า และน้ำมีสีดําจากโลหะซัลไฟด์
(2) มหาอุทกภัยครั้งนี้ เรามีน้ำเน่าแบบไหนบ้าง
น้ำเสียหลัก มี 2 ประเภท คือน้ำเสียจากสารอนินทรีย์เคมี (สารประกอบโลหะหนักต่างๆ)
และน้ำเสียอินทรีย์ ที่ปนเปื้อนสารอินทรีย์ ที่จุลชีพสามารถย่อยสะลายหรือทําให้เน่าเสียได้ (เช่น อาหาร พืช หญ้า) และส่วนมากจะมีเชื้อโรค+พยาธิแถมมาด้วย
น้ำท่วม ส่วนมากจะชะเอาสารอินทรีย์ เชื้อโรคและพยาธิ์ จากดินปนเปื้อนมาด้วย ดังนั้น จึงต้องระวังเรื่องโรคท้องร่วงระบาด (จากคนท้องร่วงถ่ายลงน้ำ หรือลงดิน) หรือโรคภัยที่น้ำเป็น พาหะ เช่น โรคฉี่หนู ดังนั้น ผู้ที่มีบาดแผล ไม่ควรลงลุยน้ำท่วม เพราะเชื้อโรคจะเข้าร่างกายทาง บาดแผลนี้ สําหรับสารอนินทรีย์เคมีนั้น น้ำท่วมจะมีโอกาสปนเปื้อนสารอนินทรีย์เหล่านี้น้อยมาก เพราะมวลน้ำจํานวนมหาศาลจะช่วยทําให้มันเจือจางลงไปได้มาก
(3) EM คืออะไร
EM (Effective Microorganisms) คือจุลชีพที่เก่งเฉพาะทาง (เซียนเฉพาะด้าน) ตามแต่ผู้เพาะเลี้ยง จะแยกคัดพันธุ์มาขาย และรู้กําพืดของมันดี (ระวัง พวกที่เพาะมาจากน้ำเน่า คือจับจุลชีพอะไรก็ไม่รู้ มาใส่ถัง เลี้ยงด้วยอาหาร ซึ่งส่วนมาก ก็คือน้ำตาล และเขาอาจตักเชื้อโรค พยาธิ ต่างๆ มาเพาะให้มันเจริญเติบโตควบคู่กันไปด้วย ซึ่งอันตรายมาก)
EM อาจนํามาขายได้ ทั้งในรูปของของเหลว(เลี้ยงในสารละลายน้ําตาล) หรือ ของแข็ง (เลี้ยงในอาหารจําพวกรําข้าว) ดังนั้นต้องเลือก EM ให้ถูกกับประเภทของงานที่จุลชีพกลุ่มนั้นถนัด เช่น กลุ่มที่ชอบกินตะกอนน้ำเน่า ที่หมักหมมอยู่ในน้ำเน่าใต้ถุนบ้าน หรือใต้ท้องคลองน้ำเน่า ที่นิ่ง ไม่ไหลเร็ว จุลชีพในน้ำEM ก็จะขยายพันธุ์ลงไปกินตะกอนเลนเหล่านั้น และขยายพันธุ์จน กลายเป็นอาณาจักรของมัน ถ้าEMไม่ชอบน้ำเน่าประเภทนั้น มันก็จะไม่ขยายพันธุ์ แล้วถูกจุลชีพท้องถิ่นในน้ำเน่าบริเวณนั้นข่ม หรือมันถูกกิน ในที่สุด นั่นคือ การใช้ EM ชนิดนั้นแล้วไม่ได้ผลอะไร อย่าลืม ต้องใช้ EM ให้ถูกกับประเภทของภาระกิจ (ไม่มีEMใด ที่ทํางานได้ครอบจักรวาล) และต้องใช้ในบริเวณพื้นที่จํากัด เพื่อที่ EM จะได้ขยายพันธุ์ เพื่อกินของเน่าเสีย ก่อนที่จะถูกจุลชีพในท้องถิ่นมาจับกินเป็นอาหาร ดังนั้น ต้องใช้ EM ให้ถูกชนิด และมีปริมาณเพียงพอที่มันจะสามารถขยายพันธุ์ เพื่อเอาชนะจุลชีพในท้องถิ่น ที่มีอยู่ก่อนให้ได้ สําหรับการใช้EM เทหรือโยนลงไปในน้ำท่วม ที่ไหล บ่าอย่างรวดเร็ว จะไม่ได้ผลอะไร เพราะมันจะถูกเจือจาง และขยายพันธุ์กันไม่ทัน
(4). EM ช่วยเพิ่ม O2 ได้จริงหรือไม่ ลดโลหะหนักได้จริงหรือไม่ : หากใช้ EM ถูกประเภท + ใช้ ในพื้นที่ ที่จํากัดอาณาบริเวณได้ + และใช้ในปริมาณที่เพียงพอ EMก็จะสามารถขยายพันธุ์ โดยกิน ของเน่าเสียที่หมักหมม ที่สะสมใต้ท้องบ่อบริเวณน้ำเน่านั้นเป็นอาหารและขยายอาณาจักร์ของมัน เมื่อของเน่าเสียที่สะสมใต้ท้องคลองหมด BOD ในน้ำเสียก็จะเริ่มลดลงด้วย จนในที่สุดออกซิเจน จากอากาศ ที่ถ่ายผ่านผิวน้ำในบริเวณนั้น มีมากเพียงพอาน้ำเน่านั้นก็จะกลายเป็นน้ำดี คือ มีDO เกิดขึ้นตามมา
นั่นคือ หากการใช้ EM ถูกชนิดและในปริมาณที่เหมาะสมกับพื้นที่ ก็จะสามารถช่วยกินของเสียที่สะสมหมักหมมอยู่ จนกลายเป็นน้ำดีที่มีค่า DO ได้ ส่วนการลดโลหะหนัก EMส่วนมากที่เพาะ มาขายกัน ไม่กินโลหะหนัก ความจริงมีคนเพาะได้ เช่น ฝึกให้มันกินทองแดงจากแร่ แต่นี่ก็เป็น เพียงการย้ายที่โลหะหนักจากแร่มาอยู่ในตัวมัน ก่อนนําไปสกัดโลหะหนักออกจากตัวมัน ซึ่งเป็นไป ตามทฤษฎีที่ว่า สสาร (โลหะหนัก)ไม่มีการสูญหาย จะเพียงเปลี่ยนรูป ย้ายไปมาเท่านั้น
(5). ผลข้างเคียงของ EM : อันตรายที่จะพบกัน ก็คือ ผู้ผลิตEM ไม่รู้กําพืดของจุลชีพที่ตนเอง ผลิต และไม่รู้ว่ามันเก่งทางด้านใด และบางครั้ง อาจเพาะเชื้อโรค หรือมีไวรัสปนเปื้อน โดยใช้ น้ำตาลโมลาสเลี้ยง ออกมาขาย แจกจ่ายกัน ซึ่งจะนําไปสู่การขยายตัวของ พยาธิ์ เชื้อโรค และ ไวรัส เกิดโรคระบาด การกลายพันธุ์ ตามมา
ดังนั้น ต้องเลือกชื้อจากผู้ผลิตที่มีการควบคุมคุณภาพ ที่สามารถระบุชนิดและที่มาของจุลชีพของตนได้ และไม่ควรใช้ดื่มหรือสูดดม เพราะอาจมีจุลชีพกลายพันธุ์ หรือปนเปื้อนไวรัส เข้าสู่ ร่างกาย (เพราะการผลิต EM บริสุทธิ์100%ทําได้ยากมาก)
โดย บุญยง โล่ห์วงศ์วัฒน
2 พ.ย. 2554
#7
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 01:06
เคยได้ยินข้อมูลนี้มาเหมือนกันว่า การใช้ EM ที่มาจากโมลาสมากๆ จะทำให้น้ำเน่าหนักกว่าเดิม
และเพาะเลี้ยงเชื่อโรคระบาดไปโดยปริยาย เพราะ EM บริสุทธิ์100% ทําได้ยากมาก
แต่ก็นั่นล่ะ เราไม่รู้อีกว่า แล้วที่ปั้นๆ แจกกันนั้น ใครคุมคุณภาพ และมีส่วนผสมอะไรบ้าง
#8
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 01:09
แถมยังบอกว่าให้ใช้กับแหล่งน้ำขังหรือสภาพน้ำนิ่งอีกน้ําตาลโมลาส
เคยได้ยินข้อมูลนี้มาเหมือนกันว่า การใช้ EM ที่มาจากโมลาสมากๆ จะทำให้น้ำเน่าหนักกว่าเดิม
และเพาะเลี้ยงเชื่อโรคระบาดไปโดยปริยาย เพราะ EM บริสุทธิ์100% ทําได้ยากมาก
แต่ก็นั่นล่ะ เราไม่รู้อีกว่า แล้วที่ปั้นๆ แจกกันนั้น ใครคุมคุณภาพ และมีส่วนผสมอะไรบ้าง
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#9
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 06:57
ผมเคยเห็นกลุ่มจิตอาสากลุ่มไหนจำไม่ได้ ทำน้ำ EM ไปเทในคลองแสนแสบ
ผมยังสงสยเรื่องผลในแนวกว้างนะ ในส้วมก็โอแต่พื้นที่ใหญ่ๆไม่แน่ใจ
#10
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 07:25
แต่ในคลองธรรมชาติ น้ำไหลตลอดเวลานี่ยังน่าสงสัยอยู่
#11
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 08:21
#12
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 08:42
แต่ปริมาณน้ำที่ท่วมอยู่นี้ต้องใช้หลายล้านลูกเลยถึงจะเอาอยู่ เห็นว่า1ลูกใช้ได้กับน้ำ4ลบเมตร
เยอะ~++!!
#13
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 09:02
#14
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 10:13
ในสภาพแวดล้อมที่น้ำไม่ถ่ายเท EM ได้ผลจริงครับ
แต่ในคลองธรรมชาติ น้ำไหลตลอดเวลานี่ยังน่าสงสัยอยู่
EM~ ใช้ได้ผลครับมันเอาจุลินทรีย์ ไปกินจุลินทรีย์ ที่ทำงานก็ใช้บำบัดน้ำเสียในบ่อบำบัด
แต่ปริมาณน้ำที่ท่วมอยู่นี้ต้องใช้หลายล้านลูกเลยถึงจะเอาอยู่ เห็นว่า1ลูกใช้ได้กับน้ำ4ลบเมตร
เยอะ~++!!
ถ้าใช้ได้แบบนั้นจริง ผมก็เห็นด้วย
เอาไปใช้กับน้ำที่ท่วมขังในบ้าน
อันนั้นน่าจะใช้สำหรับพื้นที่ใหญ่มากกว่ามั้งครับทำไมไม่ลองใช้วิธีเติมอ๊อกซิเจนโดยการเติมอากาศที่ผิวน้ำโดยใช้กังหันน้ำหว่า
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#15
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 10:54
ที่ท่วมบ้านตอนนี้ผมไม่ถือว่าเป็นน้ำนิ่งนะครับเพราะน้ำในบ้านยังขึ้นลงตามน้ำนอกบ้านอยู่เลย
ในสภาพแวดล้อมที่น้ำไม่ถ่ายเท EM ได้ผลจริงครับ
แต่ในคลองธรรมชาติ น้ำไหลตลอดเวลานี่ยังน่าสงสัยอยู่EM~ ใช้ได้ผลครับมันเอาจุลินทรีย์ ไปกินจุลินทรีย์ ที่ทำงานก็ใช้บำบัดน้ำเสียในบ่อบำบัด
แต่ปริมาณน้ำที่ท่วมอยู่นี้ต้องใช้หลายล้านลูกเลยถึงจะเอาอยู่ เห็นว่า1ลูกใช้ได้กับน้ำ4ลบเมตร
เยอะ~++!!
ถ้าใช้ได้แบบนั้นจริง ผมก็เห็นด้วย
เอาไปใช้กับน้ำที่ท่วมขังในบ้านอันนั้นน่าจะใช้สำหรับพื้นที่ใหญ่มากกว่ามั้งครับทำไมไม่ลองใช้วิธีเติมอ๊อกซิเจนโดยการเติมอากาศที่ผิวน้ำโดยใช้กังหันน้ำหว่า
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#16
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:06
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#17
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:31
นโยบายถมทะเล กากส์ๆๆ
#18
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:34
โยนลงบ่อส้วมบำบัดน้ำครับอืม ถ้างั้น จะเอาไปใช้ทำอะไรดีละครับ
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#19
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:38
โยนลงบ่อส้วมบำบัดน้ำครับ
อืม ถ้างั้น จะเอาไปใช้ทำอะไรดีละครับ
เอ่อ หมายถึงชาวบ้านน่ะครับ
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#20
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:47
ปาหัวท่าน poo ครับ
โยนลงบ่อส้วมบำบัดน้ำครับ
อืม ถ้างั้น จะเอาไปใช้ทำอะไรดีละครับ
เอ่อ หมายถึงชาวบ้านน่ะครับ
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#21
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:53
#22
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:54
#23
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:56
ใช่ ก็เลยไม่ค่อยอยากขัดสำหรับน้ำท่วม ผมว่าอีเอ็มได้ผลทางใจ
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#24
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 12:01
ได้ผลในระบบเล็ก ๆ หรือระบบปิด แต่เมื่อมาใช้ระบบใหญ่ ๆ หรือระบบเปิดก็ตำน้ำพริกละลายมหาสมุทรครับ
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#25
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 12:02
#26
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 12:40
ถ้าไม่มี น้ำก็อาจเน่าหนักแทนหรอคับ ซวยอีก -...-เค้าว่าต้องรอให้ใยขาวๆเหมือนราขึ้นที่ลูกอีเอ็มก่อนด้วยถึงจะได้ผล
#27
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 12:41
ใช่ ก็เลยไม่ค่อยอยากขัด
สำหรับน้ำท่วม ผมว่าอีเอ็มได้ผลทางใจ
ถ้ามั่นใจว่าไม่เป็นอันตราย ผมก็ไม่ขัดนะครับ
แต่ผมเองไม่ค่อยมั่นใจจริงๆ โดยดูจากส่วนประกอบแล้วนะครับ
อีกอย่างหนึ่งคือคนใช้ถ้าเป็นชาวบ้านก็ไม่มีประสบการณ์ด้วย
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#28
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 13:14
แหม๋เริ่มเป็นนักเมืองละเรา
#29
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 13:16
ถ้าควบคุมคุณภาพได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคุมไม่ได้ก็เป็นแบบป้าเช็ง
ใช่ ก็เลยไม่ค่อยอยากขัด
สำหรับน้ำท่วม ผมว่าอีเอ็มได้ผลทางใจ
ถ้ามั่นใจว่าไม่เป็นอันตราย ผมก็ไม่ขัดนะครับ
แต่ผมเองไม่ค่อยมั่นใจจริงๆ โดยดูจากส่วนประกอบแล้วนะครับ
อีกอย่างหนึ่งคือคนใช้ถ้าเป็นชาวบ้านก็ไม่มีประสบการณ์ด้วย
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#30
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 13:38
แล้วใช้ EM โยนในบ้านเอาให้น้ำในบ้านใสไว้ก่อนก็น่าจะเวิร์คอยู่นะ
หรือพวกคุณว่าไง
#31
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 13:44
#32
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 13:46
#33
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 14:10
http://www.eng.chula.ac.th/index.php?q=th%2Fnode%2F3915
EM และน้ำหมักชีวภาพ แก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียได้จริงหรือ ?
โดย กลุ่มอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม
คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในช่วงเวลาปัจจุบันมีหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วนได้สนับสนุนการใช้ EM (Effective Microorganisms) เพื่อบำบัดปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นและน้ำเน่าเสียในบริเวณน้ำท่วมขัง ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายรวมถึงประชาชนทั่วไปเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะอธิบายข้อเท็จจริงและให้ความรู้ในด้านต่างๆ เกี่ยวกับ EM และจะกล่าวถึงกรณีศึกษาในการบำบัดน้ำเสียของต่างประเทศในภาวะฉุกเฉิน ทั้งนี้ บทความนี้มิได้มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งแต่อย่างใด แต่มุ่งหวังถึงประโยชน์สูงสุดในการปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน
ปัญหาน้ำเน่าอาจกล่าวได้ว่าเกิดจากการที่สารอินทรีย์ในน้ำมีปริมาณสูง เมื่อเกิดการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์จึงส่งผลให้ออกซิเจนในน้ำมีปริมาณลดลง และในที่สุดอาจก่อให้เกิดสภาวะไร้อากาศซึ่งส่งกลิ่นเหม็น และส่งผลเสียต่อปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ ค่าการละลายออกซิเจนนับเป็นพารามิเตอร์หนึ่งที่สามารถบ่งบอกคุณภาพน้ำได้ โดยในแหล่งน้ำที่สะอาด ไม่เน่าเสีย โดยทั่วไปจะมีค่าการละลายออกซิเจนประมาณ 3 - 7 มิลลิกรัมต่อลิตร การย่อยสลายสารอินทรีย์ในสภาวะที่มีออกซิเจนสามารถอธิบายอย่างง่ายดังนี้
EM (Effective Microorganisms) เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีความสามารถเฉพาะทาง ประกอบด้วยจุลินทรีย์ 3 กลุ่มหลัก คือ 1) กลุ่ม Lactic acid bacteria 2) กลุ่ม Yeast และ 3) กลุ่ม Phototrophs (Purple bacteria) ซึ่งได้รับการพัฒนามาจาก Professor Teruo Higa ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงได้มีการประยุกต์ใช้งานในหลากหลายด้าน อาทิ ด้านการเกษตร ด้านการหมักขยะมูลฝอยเพื่อทำปุ๋ย และด้านการย่อยสลายสารอินทรีย์ในสุขา (โถส้วม) เป็นต้น โดยทั่วไป จุลินทรีย์ใน EM สามารถทำงานได้ทั้งในสภาวะที่มีออกซิเจน (Aerobic conditions) และไม่มีออกซิเจน (Anaerobic conditions) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงการประยุกต์ใช้งาน EM ในสภาวะที่ในน้ำท่วมขังซึ่งมีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen, DO) อยู่อย่างจำกัด กล่าวได้ว่า EM จะใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายสารอินทรีย์ และในช่วงเวลาดังกล่าวจะส่งผลทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลงและไม่เพียงพอได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าน้ำในบริเวณดังกล่าวมีสารอินทรีย์ปนเปื้อนอยู่มาก รวมถึงมีการใส่ EM ในรูปแบบที่ไม่เหมาะสม (ปริมาณที่มากไปหรือใส่เข้าไปในสภาวะหรือรูปแบบที่ไม่เหมาะสม) ดังนั้น กล่าวได้ว่าการเติม EM อาจส่งผลทำให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสียจากการขาดออกซิเจนที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม
อีกประเด็นสำคัญที่ควรคำนึงถึงเกี่ยวกับการเลือกใช้งาน EM กล่าวคือ จุลินทรีย์ใน EM ทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวไม่มีความสามารถในการสร้างออกซิเจนแต่อย่างใด นอกจากนี้ องค์ประกอบของ EM ball หรือ Micro ball ซึ่งมีการปั้นโดยใช้องค์ประกอบเป็นสารอินทรีย์ต่างๆ เช่น กากน้ำตาล และ รำข้าว เป็นต้น ซึ่งตัวอย่างผลกระทบของสารอินทรีย์ข้างต้นต่อการเน่าเสียของแหล่งน้ำ อาทิ
- กรณีกากน้ำตาล ที่ส่งผลต่อปัญหาน้ำเน่า เช่น การลักลอบทิ้งน้ำเสียจากโรงงานน้ำตาล และกรณีเรือน้ำตาลล่มในแม่น้ำเจ้าพระยาที่เป็นข่าวใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา
- กรณีรำข้าว อาจพิจารณาการที่เรานำรำข้าว หรือ เศษอาหาร ไปทิ้งไว้ในน้ำในปริมาณมากๆ และเป็นระยะเวลานาน ก็ย่อมส่งผลให้น้ำเน่าเสียเช่นกัน
ทั้งนี้ การย่อยสลายสารอินทรีย์ในแหล่งน้ำท่วมขังควรกระทำภายใต้สภาวะที่มีอากาศหรือออกซิเจนเท่านั้น การย่อยสลายสารอินทรีย์ในสภาวะไร้อากาศถือได้ว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในแหล่งน้ำ โดยสรุป เราสามารถกล่าวได้ว่าการบำบัดสารอินทรีย์ในแหล่งน้ำมีลักษณะแตกต่างจากการบำบัดสารอินทรีย์ในสุขา และการหมักขยะเพื่อทำปุ๋ย (ซึ่งมีการใช้ EM ร่วมด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นด้านออกซิเจนละลายน้ำ (DO) ที่เป็นพารามิเตอร์ที่บ่งบอกถึงคุณภาพแหล่งน้ำ รวมถึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญอย่างมากต่อคุณภาพแหล่งน้ำดังที่กล่าวไว้ในบทความก่อนหน้านี้ (http://www.eng.chula...th/?q=node/3881)
ถึงแม้ EM ต้นแบบ (ลิขสิทธิ์ Professor Teruo Higa) ซึ่งอ้างว่ามีความสามารถในการกำจัดกลิ่นและทำให้น้ำใส แต่ก็เป็นการช่วยบรรเทาปัญหาชั่วคราวในระยะสั้นเท่านั้น แต่หากสารอินทรีย์ในน้ำยังคงอยู่ และออกซิเจนในน้ำไม่เพียงพอ ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าน้ำนั้นสะอาดจริง กล่าวคือน้ำดังกล่าวยังไม่ปลอดภัยที่จะนำมาใช้และไม่ปลอดภัยต่อสัตว์น้ำแต่อย่างใด และอาจยังเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆ ได้อยู่ นอกจากนี้ หากมองถึงประเด็นการผลิตน้ำหมักชีวภาพ หรือ EM ในแบบต่างๆ ด้วยตนเอง จุลินทรีย์ที่ได้อาจมีองค์ประกอบที่แตกต่างจากจุลินทรีย์ใน EM ต้นแบบ และหากไม่ได้ผ่านกระบวนการควบคุมคุณภาพที่ดีพอEM และ น้ำหมักชีวภาพอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคได้ ซึ่งนับเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ควรระวังและไม่ควรมองข้ามสำหรับทุกๆ หน่วยงานและภาคส่วนที่มีสนับสนุนการใช้ EM เพื่อบำบัดปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นและน้ำเน่าเสียในบริเวณน้ำท่วมขัง
ผู้ทรงคุณวุฒิ จากประเทศญี่ปุ่น (ซึ่งไม่สามารถเอ่ยนามได้ เนื่องจากไม่ได้ขออนุญาตไว้) ได้ให้ข้อมูลว่าจากเหตุการณ์สึนามิในประเทศญี่ปุ่นก็ได้มีการพยายามจัดการแก้ไขปัญหาน้ำเสียในพื้นที่ต่างๆ ขององค์กรอิสระต่างๆ ที่รณรงค์ร่วมกันใช้ EM เพื่อบำบัดน้ำเสีย อย่างไรก็ตาม ทางหน่วยงานรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่น (กระทรวงสิ่งแวดล้อม) ได้ทำการทดลองเพื่อศึกษาความสามารถของ EM ในการบำบัดน้ำเสีย และพบว่า EM ไม่ได้ช่วยในการบำบัดน้ำเสียแต่อย่างใด ในการนี้ กระทรวงสิ่งแวดล้อมของประเทศญี่ปุ่นจึงไม่แนะนำการใช้ EM ในการบำบัดน้ำเสียในสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ จากเหตุการณ์สึนามิซึ่งระบบบำบัดน้ำเสียถูกทำลาย ทางหน่วยงานรัฐบาลของญี่ปุ่นได้ทำการแก้ไขปัญหาระยะสั้นโดยการเติมคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรคลงในท่อบำบัดน้ำเสีย และเลือกใช้การตกตะกอน (Sedimentation) และการฆ่าเชื้อโรค (Disinfection) เพื่อบำบัดน้ำเสียในระบบบำบัดน้ำเสียชั่วคราว รวมถึงได้มีการวางแผนจะพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียชั่วคราวโดยใช้ระบบบำบัดทางชีวภาพร่วมกับการตกตะกอน และการฆ่าเชื้อโรค (Biological treatment - Sedimentation - Disinfection) ส่วนในบริเวณชนบทนั้น ดำเนินการบำบัดน้ำเสียโดยทำการรวบรวมน้ำเสีย และทำการการฆ่าเชื้อโรค จากนั้นปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ จนกระทั่งระบบบำบัดขนาดเล็กได้รับการฟื้นฟู
ทั้งนี้ทางกลุ่มอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าใจดีถึงความปรารถนาดีของทุกฝ่ายในการช่วยกันร่วมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น หากแต่อยากนำเสนออีกแง่มุมหนึ่งของ EM เพื่อประกอบการตัดสินใจ เพื่อเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมที่สุดในการฟื้นฟูปัญหาสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากภาวะน้ำท่วมในปัจจุบัน
#34
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 18:10
-ในนำ้เสีย มีสารอินทรีย์อยู่ เมื่อนำ้ขังนานๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว แบคทีเรียกลุ่มไม่ใช้ออกซิเจน (ขอเรียกว่าเชื้อเน่า) จะเติบโตพร้อมปล่อยแก็สไข่เน่าออกมา ทำให้นำ้เป็นสีดำและส่งกลิ่นเหม็น นอกจากนี้นำ้เน่ายังเป็นแหล่งของเชื้อโรคต่างๆอีกด้วย
-EM ประกอบด้วย เชื้อ Lactobacillus เป็นหลัก (เชื้อประเภทเดียวกับ ยาคูลย์นั่นเหละ) มีคุณสมบัติเติบโตเร็ว สามารถกินสารอิทรีย์ได้มาก ผลิตกรดแลกติกและแอลกอฮอลล์ ที่มีกลิ่นหอม และน้องแลกโต (lactobacillus) ยังเป็นอันธพาล ชอบฆ่าแบคทีเรียชนิดอื่นอีกด้วย
-เมื่อใส่ EM ลงในน้ำ น้องแลกโต จะเติบโตอย่างรวดเร็วแย่งอาหารและไล่ฆ่าเชื้ออื่นๆ ทำให้เชื้อโรคและเชื้อกลุ่มไม่ใช้ออกซิเจน(เชื้อเน่า) ไม่สามารถเติบโตได้สะดวก น้ำจึงมีสภาพดีขึ้นไม่ดำและไม่เน่า นอกจากนี้ กรดและแอลกอออล์ที่น้องแลกโตปล่อยออกมามีกลิ่นหอม น้ำจึงมีกลิ่นดีขึ้น
- วิธีใช้ EM บำบัดนำ้เสียจะได้ผลดีเมื่อใช้ปริมาณที่เหมาะสม ควบคู่กับการเติมอากาศ
ปัญหา
- ถึงน้องแลกโต จะฆ่าเชื้ออื่นๆได้แต่ก็ไม่ 100% นะ เชื้อโรคบางตัวก็ยังอยู่ และใน EM เองก็อาจมีเชื้อโรค(ที่น้องแลกโตฆ่าไม่ได้)แฝงอยู่เป็นปริมาณมาก โดยเฉพาะเชื้อราต่างๆ
- น้องแลกโต ก็ต้องใช้ออกซิเจนในน้ำเพื่อดำรงชีวิต เชื้อแลกโตปริมาณมากๆ สามารถทำให้ออกซิเจนในนำ้ลดต่ำลงได้ เมื่อสารอาหารในน้ำหมดเชื้อแลกโตจะตาย และตัวมันเองจะกลายเป็นอาหารชั้นดีให้แก่แบคทีเรียอื่นๆ และนั่นคือเวลาชำระแค้นของเหล่าเชื้อโรคและเชื้อเน่า ที่จะจัดการใช้ซากศพน้องแลกโตเป็นอาหารและเจริญขึ้นมาอีกครั้ง ในปริมาณที่มากกว่าเดิม และทำให้น้ำเน่ายิ่งขึ้นกว่าเดิม
สรุป
- EM สามารถทำให้นำ้เสียมีสภาพดีขึ้นได้ แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อมันหมดฤทธิ์ น้ำอาจเน่ายิ่งกว่าเดิม
- ฉะนั้นเมื่อเติม EM ลงในนำ้เสียแล้ว ควรรีบหาทางระบายนำ้ออกไปโดยเร็ว ก่อน EM จะหมดฤทธิ์ ควรเติมอากาศให้น้ำหรือทำให้นำ้ไหลเวียน อย่าให้น้ำแช่นิ่งจนเกิดสภาวะไร้ออกซิเจน
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้ชนะสงคราม คือ ความแข็งแกร่ง และ อุดมการณ์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
คุณธรรมที่พร้ำสอน ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นรองลงมา ส่วน ประชาธิปไตยน่ะรึ เอาเข้าจริงๆ สำคัญอันใด??
#35
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 18:17
#36
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 18:57
ผมจบสายชีวภาพมา เลยลองแสดงความเห็นตามความรู้ที่เรียนมาล่ะกัน หลักการใช้ EM บำบัดนำ้เสียคือ
-ในนำ้เสีย มีสารอินทรีย์อยู่ เมื่อนำ้ขังนานๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว แบคทีเรียกลุ่มไม่ใช้ออกซิเจน (ขอเรียกว่าเชื้อเน่า) จะเติบโตพร้อมปล่อยแก็สไข่เน่าออกมา ทำให้นำ้เป็นสีดำและส่งกลิ่นเหม็น นอกจากนี้นำ้เน่ายังเป็นแหล่งของเชื้อโรคต่างๆอีกด้วย
-EM ประกอบด้วย เชื้อ Lactobacillus เป็นหลัก (เชื้อประเภทเดียวกับ ยาคูลย์นั่นเหละ) มีคุณสมบัติเติบโตเร็ว สามารถกินสารอิทรีย์ได้มาก ผลิตกรดแลกติกและแอลกอฮอลล์ ที่มีกลิ่นหอม และน้องแลกโต (lactobacillus) ยังเป็นอันธพาล ชอบฆ่าแบคทีเรียชนิดอื่นอีกด้วย
-เมื่อใส่ EM ลงในน้ำ น้องแลกโต จะเติบโตอย่างรวดเร็วแย่งอาหารและไล่ฆ่าเชื้ออื่นๆ ทำให้เชื้อโรคและเชื้อกลุ่มไม่ใช้ออกซิเจน(เชื้อเน่า) ไม่สามารถเติบโตได้สะดวก น้ำจึงมีสภาพดีขึ้นไม่ดำและไม่เน่า นอกจากนี้ กรดและแอลกอออล์ที่น้องแลกโตปล่อยออกมามีกลิ่นหอม น้ำจึงมีกลิ่นดีขึ้น
- วิธีใช้ EM บำบัดนำ้เสียจะได้ผลดีเมื่อใช้ปริมาณที่เหมาะสม ควบคู่กับการเติมอากาศ
ปัญหา
- ถึงน้องแลกโต จะฆ่าเชื้ออื่นๆได้แต่ก็ไม่ 100% นะ เชื้อโรคบางตัวก็ยังอยู่ และใน EM เองก็อาจมีเชื้อโรค(ที่น้องแลกโตฆ่าไม่ได้)แฝงอยู่เป็นปริมาณมาก โดยเฉพาะเชื้อราต่างๆ
- น้องแลกโต ก็ต้องใช้ออกซิเจนในน้ำเพื่อดำรงชีวิต เชื้อแลกโตปริมาณมากๆ สามารถทำให้ออกซิเจนในนำ้ลดต่ำลงได้ เมื่อสารอาหารในน้ำหมดเชื้อแลกโตจะตาย และตัวมันเองจะกลายเป็นอาหารชั้นดีให้แก่แบคทีเรียอื่นๆ และนั่นคือเวลาชำระแค้นของเหล่าเชื้อโรคและเชื้อเน่า ที่จะจัดการใช้ซากศพน้องแลกโตเป็นอาหารและเจริญขึ้นมาอีกครั้ง ในปริมาณที่มากกว่าเดิม และทำให้น้ำเน่ายิ่งขึ้นกว่าเดิม
สรุป
- EM สามารถทำให้นำ้เสียมีสภาพดีขึ้นได้ แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อมันหมดฤทธิ์ น้ำอาจเน่ายิ่งกว่าเดิม
- ฉะนั้นเมื่อเติม EM ลงในนำ้เสียแล้ว ควรรีบหาทางระบายนำ้ออกไปโดยเร็ว ก่อน EM จะหมดฤทธิ์ ควรเติมอากาศให้น้ำหรือทำให้นำ้ไหลเวียน อย่าให้น้ำแช่นิ่งจนเกิดสภาวะไร้ออกซิเจน
เหมือนบ้านเราเค้าใช้กลุ่ม Phototrophs เป็นหลักนะครับ
#37
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 20:12
สรุป
- EM สามารถทำให้นำ้เสียมีสภาพดีขึ้นได้ แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อมันหมดฤทธิ์ น้ำอาจเน่ายิ่งกว่าเดิม
- ฉะนั้นเมื่อเติม EM ลงในนำ้เสียแล้ว ควรรีบหาทางระบายนำ้ออกไปโดยเร็ว ก่อน EM จะหมดฤทธิ์ ควรเติมอากาศให้น้ำหรือทำให้นำ้ไหลเวียน อย่าให้น้ำแช่นิ่งจนเกิดสภาวะไร้ออกซิเจน
แม่นเลยครับผมเลยต้องเทEMลงบ่อบำบัดแล้วก็ปั่นๆๆน้ำก่อนถ่ายออกท่อน้ำทิ้งสาธารณะ
เอามาโยนตู้มๆๆใส่แบบในภาพข่าว คนรู้จริงเห็นแล้วฮาครับ ๆ ๆ ๆ ฮ่า ๆ ๆ ๆ
#38
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 20:25
ใช้กลุ่ม Phototrophs เป็นหลัก แต่สถานที่เอาไปใช้คือน้ำขังในบ้านที่แสงค่อนข้างน้อย เหอๆ
ผมจบสายชีวภาพมา เลยลองแสดงความเห็นตามความรู้ที่เรียนมาล่ะกัน หลักการใช้ EM บำบัดนำ้เสียคือ
-ในนำ้เสีย มีสารอินทรีย์อยู่ เมื่อนำ้ขังนานๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว แบคทีเรียกลุ่มไม่ใช้ออกซิเจน (ขอเรียกว่าเชื้อเน่า) จะเติบโตพร้อมปล่อยแก็สไข่เน่าออกมา ทำให้นำ้เป็นสีดำและส่งกลิ่นเหม็น นอกจากนี้นำ้เน่ายังเป็นแหล่งของเชื้อโรคต่างๆอีกด้วย
-EM ประกอบด้วย เชื้อ Lactobacillus เป็นหลัก (เชื้อประเภทเดียวกับ ยาคูลย์นั่นเหละ) มีคุณสมบัติเติบโตเร็ว สามารถกินสารอิทรีย์ได้มาก ผลิตกรดแลกติกและแอลกอฮอลล์ ที่มีกลิ่นหอม และน้องแลกโต (lactobacillus) ยังเป็นอันธพาล ชอบฆ่าแบคทีเรียชนิดอื่นอีกด้วย
-เมื่อใส่ EM ลงในน้ำ น้องแลกโต จะเติบโตอย่างรวดเร็วแย่งอาหารและไล่ฆ่าเชื้ออื่นๆ ทำให้เชื้อโรคและเชื้อกลุ่มไม่ใช้ออกซิเจน(เชื้อเน่า) ไม่สามารถเติบโตได้สะดวก น้ำจึงมีสภาพดีขึ้นไม่ดำและไม่เน่า นอกจากนี้ กรดและแอลกอออล์ที่น้องแลกโตปล่อยออกมามีกลิ่นหอม น้ำจึงมีกลิ่นดีขึ้น
- วิธีใช้ EM บำบัดนำ้เสียจะได้ผลดีเมื่อใช้ปริมาณที่เหมาะสม ควบคู่กับการเติมอากาศ
ปัญหา
- ถึงน้องแลกโต จะฆ่าเชื้ออื่นๆได้แต่ก็ไม่ 100% นะ เชื้อโรคบางตัวก็ยังอยู่ และใน EM เองก็อาจมีเชื้อโรค(ที่น้องแลกโตฆ่าไม่ได้)แฝงอยู่เป็นปริมาณมาก โดยเฉพาะเชื้อราต่างๆ
- น้องแลกโต ก็ต้องใช้ออกซิเจนในน้ำเพื่อดำรงชีวิต เชื้อแลกโตปริมาณมากๆ สามารถทำให้ออกซิเจนในนำ้ลดต่ำลงได้ เมื่อสารอาหารในน้ำหมดเชื้อแลกโตจะตาย และตัวมันเองจะกลายเป็นอาหารชั้นดีให้แก่แบคทีเรียอื่นๆ และนั่นคือเวลาชำระแค้นของเหล่าเชื้อโรคและเชื้อเน่า ที่จะจัดการใช้ซากศพน้องแลกโตเป็นอาหารและเจริญขึ้นมาอีกครั้ง ในปริมาณที่มากกว่าเดิม และทำให้น้ำเน่ายิ่งขึ้นกว่าเดิม
สรุป
- EM สามารถทำให้นำ้เสียมีสภาพดีขึ้นได้ แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อมันหมดฤทธิ์ น้ำอาจเน่ายิ่งกว่าเดิม
- ฉะนั้นเมื่อเติม EM ลงในนำ้เสียแล้ว ควรรีบหาทางระบายนำ้ออกไปโดยเร็ว ก่อน EM จะหมดฤทธิ์ ควรเติมอากาศให้น้ำหรือทำให้นำ้ไหลเวียน อย่าให้น้ำแช่นิ่งจนเกิดสภาวะไร้ออกซิเจน
เหมือนบ้านเราเค้าใช้กลุ่ม Phototrophs เป็นหลักนะครับ
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#39
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 20:42
ถ้าปริมาณน้ำไม่มีการจำกัด + เน่าเสียมากเกินไป
ไอ้ก้อนนี้แทบไม่มีประโยชน์เลยครับ
#40
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 20:52
#41
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 21:21
หากคิดพื้นที่บำบัดเฉพาะกรุงเทพฯและพื้นที่รอบที่น้ำท่วม คิดเพียง 100 x 100 กิโลเมตร
หรือ 10,000 ตารางกิโลเมตร หรือ 10,000,000,000 ตารางเมตร หากเอา 16 มาหารแล้ว
ก็จะได้ EM Ball ทั้งหมด 625,000,000 ลูก หรือหกร้อยยี่สิบห้าล้านลูก โอว นี่อย่างน้อยนะ
#42
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 21:24
#43
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 21:28
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#44
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 22:11
#45
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 22:29
มันต้องดีแน่ๆ
ควายแดงข้างบ้านยืนยันแล้ว...อิ อิ
#46
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 22:38
ฮากันทั้งประเทศ
#47
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 23:12
เขาจะเอาดินมาปั้นเป็นก้อนๆไว้ แล้ว เขาจะหมักแยกไว้ จริงๆที่เคยทราบมา ส่วนมากเขามักจะใช้ใบไม้ ผัก ก็ได้ หมักไว้ 6-7 วัน
แล้วพอจะใช้ เขาจะเอาก้อนดินนี่หละ ไปคลุกๆ ไม่ได้รวมไปในก้อนเลย เพราะถ้าเอาไปคลุก ในก้อนเลย มันจะเยอะเกิน จนเน่า
ที่จริงๆ ที่ปั้นเป็นก้อนไม่ใช่อะไรนะ คือ เมื่อก่อน เขานิยมใช้ ริม ป่าชายเลน ไงครับ แล้วเรือมันไม่สามารถเข้าตรงเลนได้ เขาก็จะขับเรือตรงทะเล แล้ว
โยน เข้าไป ที่เลน หรือ โยน ลงน้ำ โดยไม่ต้องเข้าไปใกล้ๆ ปั้นเป็นก้อนๆ มันโยนง่าย
แต่ตอนนี้ น้ำตาล กับ แกลบ แถมคลุกใส่ในก้อนด้วยนี่ ผมว่ามันไม่พาน้ำเน่าไปอีกเหรอ เยอะไปหรือเปล่า
แต่เมื่อก่อน ที่ทำงาน เขาเคยใช้ พวกถ่านไม้ไผ่อะ ไม่ก็เอาเครื่องมาปั่นน้ำเอา em ball นี่ไม่เคยลองเหมือนกัน
ว่าน้ำขังจะใช้ได้จริงๆหรอ แต่น้ำไหลใช้ได้แน่ แบบริมทะเลที่เมื่อก่อนเขาใช้หนะ
#48
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 23:26
#49
ตอบ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 23:43
ถ้าคิดตามพื่นฐาน ถ้าเป็นอย่างที่อาจารย์จุฬา ฯพูดมาทั้งหมด บ่อกุ้ง และฟาร์มหมูคงใช้ EM ไม่ได้ ยิ่งปัจจุบัน การรักษาท้องร่วงจากการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดยังใช้แบคทีเรียเลยครับและได้ผลจริง ๆ
ทฤษฏี สารพัดที่กล่าวมาผมเคยเชื่อและยึดถือ จนกระทั่งผมทดลองเองแล้ว อย่างวิทยาศาสตร์ผมจึงเริ่มปรับความคิดบางส่วน แค่เราพยายามช่วยรักษาสมดุลย์เท่านั้น ธรรมชาติจัดการกันเองได้
ถ้าสงสัยก็ลองดูที่บ้านได้ครับ ช่วงนี้โอกาสดีแล้ว
#50
ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 00:52
ผมจบสายชีวภาพมา เลยลองแสดงความเห็นตามความรู้ที่เรียนมาล่ะกัน หลักการใช้ EM บำบัดนำ้เสียคือ
-ในนำ้เสีย มีสารอินทรีย์อยู่ เมื่อนำ้ขังนานๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว แบคทีเรียกลุ่มไม่ใช้ออกซิเจน (ขอเรียกว่าเชื้อเน่า) จะเติบโตพร้อมปล่อยแก็สไข่เน่าออกมา ทำให้นำ้เป็นสีดำและส่งกลิ่นเหม็น นอกจากนี้นำ้เน่ายังเป็นแหล่งของเชื้อโรคต่างๆอีกด้วย
-EM ประกอบด้วย เชื้อ Lactobacillus เป็นหลัก (เชื้อประเภทเดียวกับ ยาคูลย์นั่นเหละ) มีคุณสมบัติเติบโตเร็ว สามารถกินสารอิทรีย์ได้มาก ผลิตกรดแลกติกและแอลกอฮอลล์ ที่มีกลิ่นหอม และน้องแลกโต (lactobacillus) ยังเป็นอันธพาล ชอบฆ่าแบคทีเรียชนิดอื่นอีกด้วย
-เมื่อใส่ EM ลงในน้ำ น้องแลกโต จะเติบโตอย่างรวดเร็วแย่งอาหารและไล่ฆ่าเชื้ออื่นๆ ทำให้เชื้อโรคและเชื้อกลุ่มไม่ใช้ออกซิเจน(เชื้อเน่า) ไม่สามารถเติบโตได้สะดวก น้ำจึงมีสภาพดีขึ้นไม่ดำและไม่เน่า นอกจากนี้ กรดและแอลกอออล์ที่น้องแลกโตปล่อยออกมามีกลิ่นหอม น้ำจึงมีกลิ่นดีขึ้น
- วิธีใช้ EM บำบัดนำ้เสียจะได้ผลดีเมื่อใช้ปริมาณที่เหมาะสม ควบคู่กับการเติมอากาศ
ปัญหา
- ถึงน้องแลกโต จะฆ่าเชื้ออื่นๆได้แต่ก็ไม่ 100% นะ เชื้อโรคบางตัวก็ยังอยู่ และใน EM เองก็อาจมีเชื้อโรค(ที่น้องแลกโตฆ่าไม่ได้)แฝงอยู่เป็นปริมาณมาก โดยเฉพาะเชื้อราต่างๆ
- น้องแลกโต ก็ต้องใช้ออกซิเจนในน้ำเพื่อดำรงชีวิต เชื้อแลกโตปริมาณมากๆ สามารถทำให้ออกซิเจนในนำ้ลดต่ำลงได้ เมื่อสารอาหารในน้ำหมดเชื้อแลกโตจะตาย และตัวมันเองจะกลายเป็นอาหารชั้นดีให้แก่แบคทีเรียอื่นๆ และนั่นคือเวลาชำระแค้นของเหล่าเชื้อโรคและเชื้อเน่า ที่จะจัดการใช้ซากศพน้องแลกโตเป็นอาหารและเจริญขึ้นมาอีกครั้ง ในปริมาณที่มากกว่าเดิม และทำให้น้ำเน่ายิ่งขึ้นกว่าเดิม
สรุป
- EM สามารถทำให้นำ้เสียมีสภาพดีขึ้นได้ แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อมันหมดฤทธิ์ น้ำอาจเน่ายิ่งกว่าเดิม
- ฉะนั้นเมื่อเติม EM ลงในนำ้เสียแล้ว ควรรีบหาทางระบายนำ้ออกไปโดยเร็ว ก่อน EM จะหมดฤทธิ์ ควรเติมอากาศให้น้ำหรือทำให้นำ้ไหลเวียน อย่าให้น้ำแช่นิ่งจนเกิดสภาวะไร้ออกซิเจน
เหมือนบ้านเราเค้าใช้กลุ่ม Phototrophs เป็นหลักนะครับ
เชื้อกลุ่ม Phototrophs ใน EM มีน้อยมากครับเมื่อเทียบกับแลกติกแอซิด แบคทีเรีย เพราะกระบวนการหมัก EM มันหมักในถังปิด ไม่มีแสงแล้วพวก Phototrophs จะโตได้อย่างไร การหมักในสภาวะน้ำตาลสูงและออกซิเจนน้อยมันเอื้อต่อการเจริญของแลกติกแอซิด แบคทีเรีย มากที่สุด EM จึงมีกลิ่นเปรี้ยวๆไง
เชื้อกลุ่ม Phototrophs ใน EM มันอยู่ร่วมกับแลกติกแอซิด แบคทีเรียได้ จึงพบมากใน EM (แต่ก็น้อยกว่าแลกติกแอซิด แบคทีเรียมาก) มีประโยชน์ในด้านการเกษตรมากกว่า เพราะช่วยทำให้ดินสมบูรณ์ขึ้น แต่ในด้านบำบัดน้ำเสีย ไม่น่ามีประโยชน์เท่าไหร่ มันไม่น่าสร้างออกซิเจนในน้ำได้มากพอทีจะทำให้น้ำหายเน่าได้
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้ชนะสงคราม คือ ความแข็งแกร่ง และ อุดมการณ์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
คุณธรรมที่พร้ำสอน ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นรองลงมา ส่วน ประชาธิปไตยน่ะรึ เอาเข้าจริงๆ สำคัญอันใด??