Jump to content


Photo

สงสัยอะไรในหลวงตาบัว

หลวงตาบัว พุทธ

  • Please log in to reply
71 ความเห็นในกระทู้นี้

#51 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 00:49

อกุศลกรรมบถ มี ๑๐ ประการ ได้แก่  

 

-กายทุจริต ๓    (ฆ่าสัตว์     ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม)      

-วจีทุจริต ๔ (พูดเท็จ, พูดส่อเสียด, พูดคำหยาบ,  พูดเพ้อเจ้อ)  
-มโนทุจริต ๓[อภิชฌา ความเพ่งเล็งอยากได้ของ ๆ ผู้อื่น(โลภะ), พยาบาท (โทสะ),
มิจฉาทิฏฐิ  ความเห็นผิด]    นั้นต้องเป็นอริยบุคคลเท่านั้น ถึงจะดับได้ ดังต่อไปนี้ 


-ฆ่าสัตว์   ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  และความเห็นผิด พระโสดาบัน ดับได้
-พูดคำหยาบ   และ   พยาบาท   พระอนาคามีดับได้    

-อภิชฌา  และ การพูดเพ้อเจ้อ    พระอรหันต์ ดับได้  

เพราะกิเลสที่ได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์   เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้น
ทำกิจหน้าที่  เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย    ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ถึงแม้่ว่ากิเลสจะมีมากมายสักเพียงใดก็ตาม ก็สามารถดับได้ในที่สุด     เมืี่อมีการอบรม
เจริญปัญญา จนกคมกล้าขึ้น  ถึงขั้นที่เป็นโลกุตตระ  เมื่อมรรคจิต เกิดขึ้น   ก็สามารถ
ดับกิเลสได้ ตามสมควรแก่มรรคของตน ๆ   และกิเลสที่ดับได้แล้ว ก็จะไม่เกิดขึ้นอีกในในสังสารวัฏฏ์

 

จะเห็นได้ว่า การพูดคำหยาบและพยาบาทดับได้ตั้งแต่ขั้น อนาคามีแล้ว

ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าทำไมพระอรหันต์จึงไม่พูดคำหยาบ



 


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#52 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 01:00


 

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๔๕

 

อนึ่งพึงทราบการละความคดทางกายเป็นต้น  ดังต่อไปนี้  ก่อนอื่น

อกุศลกรรมบถ ๖ข้อเหล่านั้น  คือ ปาณาติบาต   อทินนาทาน  มิจฉาจาร

มุสาวาท   ปิสุณาวาจา  มิจฉาทิฏฐิ   พระอริยบุคคลย่อมละได้ด้วยโสดา-ปัตติมรรค. 

สองอย่างคือ  ผรุสวาจา  พยาบาท  ละได้ด้วยอนาคามิมรรค

สองอย่างคือ  อภิชฌาสัมผัปปลาปะ  ละได้ด้วยอรหัตมรรค.


จบอรรถกถาปเจตนสูตรที่  ๕



 


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#53 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 08:30

ปัญหาที่ว่าด้วยความเผลอสติของพระอรหันต์
 
จากนี้ไปขอให้ทุกท่านได้ตั้งใจรับฟังการบรรยายธรรมครั้งที่ ๔๓๕ ประจำปีที่ ๕ วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘ เป็นการนำเอามิลินทปัญหาในส่วนของเมณฑก-ปัญหา ในวรรคที่ ๗ ปัญหาที่ ๗ ว่าด้วยความเผลอสติของพระอรหันต์ บางเล่มใช้คำว่า สติสัม-โมสปัญหา บางเล่มเป็นอรหันตสโมหะปัญหา แปลว่าปัญหาว่าด้วยการหลงลืมสติ หรือปัญหาว่า-พระอรหันต์ยังมีความหลงลืมอยู่หรือไม่
 
ก็น่าสนใจดี สังเกตได้ว่าพระเจ้ามิลินท์ท่านสงสัยได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องเล็กไปกระทั่งถึงเรื่องใหญ่ แม้กระทั่งเรื่องพระอรหันต์ท่านก็สงสัยเหมือนกัน มาดูว่าปัญหาของพระเจ้ามิลินท์เป็นอย่างไร พระเจ้ามิลินท์ได้ตรัสถามพระนาคเสนว่า พระอรหันต์ท่านหลงลืมสติบ้างหรือไม่ คือขาดสติบ้างหรือไม่ เพราะสำหรับปุถุชนคนธรรมดา คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส เวลาที่ถูกกิเลสเข้าครอบงำ สติก็ไม่มี แต่ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยสติ ก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น เพราะเหตุฉะนี้ พระเจ้ามิลินท์ท่านก็สงสัยว่า ในเมื่อสมบูรณ์ด้วยสตินี้ ยังมีขาดสติบ้างหรือไม่ พระนาคเสนจึงตอบไปว่า พระ-อรหันต์ท่านไม่ขาดสติ ไม่เผลอสติ สาเหตุก็เพราะพระอรหันต์มีสติตรงกับใจอยู่เสมอ พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นคือคือ สติเป็นอัตโนมัติ
 
สติคล้ายกับเป็นเหมือนนายประตู ยืนอยู่ปากประตูเมือง จะให้แต่คนดีๆเข้าไปในเมือง ส่วนคนไม่ดี โจรผู้ร้ายจะไม่ให้เข้า เหมือนเป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สติก็มีหน้าที่อย่างนั้น ด้วยเหตุฉะนี้ พระเจ้ามิลินท์ท่านก็สงสัย เมื่อเป็นอรหันต์สมบูรณ์ด้วยสติ อย่างนั้นท่านจะไม่ต้องอาบัติอะไรบ้างหรือไม่ จะไม่ผิดอะไรบ้างหรือไม่ พระนาคเสนก็บอกว่า ก็มีบ้าง ตรงนี้ถ้าเคยได้ยินได้ฟังคุณสมบัติของอริยบุคคลกับไตรสิกขา ก็คงจำได้
 
เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสคุณสมบัติไว้ดังนี้ พระโสดาบันกับพระสกทาคามี เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล ทำได้พอประมาณในจิตคือในเรื่องของ สมาธิ และปัญญา ส่วนพระอนาคามีเป็นผู้ที่ทำให้บริบูรณ์ได้ในศีล และสมาธิ แต่ทำได้ประมาณในปัญญา แต่เมื่อเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นผู้-ที่ทำให้สมบูรณ์ได้ครบทั้ง ๓ ประการ ทั้งในศีล สมาธิ และปัญญา และยังมีอีกข้อหนึ่ง ที่-พระพุทธเจ้าท่านเสริมมาอีกข้อหนึ่ง คือยังต้องอาบัติเล็กน้อย ตรงนี้ที่น่าคิด ด้วยเหตุฉะนี้พระเจ้ามิ-ลินท์จึงได้นำมาถาม ถ้าสมบูรณ์ด้วยสติ ไม่มีเผลอ ไม่มีพลาด แล้วอย่างนี้ก็หมายความว่า พระ-อรหันต์ไม่ต้องอาบัติบ้างเลยใช่หรือไม่ เพราะมีสติกำกับใจอยู่ตลอด พระเจ้ามิลินท์ถามเช่นนี้ พระ-นาคเสนท่านตอบว่าก็มีบ้างที่พระอรหันต์ยังต้องอาบัติ พูดอย่างนี้ก็ไม่เข้าใจ 
 
พระเจ้ามิลินท์จึงถามต่อว่า ต้องเพราะเรื่องอะไร เป็นพระอรหันต์สมบูรณ์ด้วยสติ และยังต้องอาบัติด้วยเรื่องอะไรบ้าง พระนาคเสนท่านตอบว่า ต้องเพราะการสร้างกุฏิ เข้าใจว่าการสร้างกุฏินี้ ในวินัยของพระ คงห้ามไม่ให้เกินเท่านี้คืบ เท่านี้วา พระอรหันต์ท่านอาจจะเผลอทางด้านตัวเลข อาจจะสร้างเกินไปบ้าง
 
สำคัญเวลาผิดนี้หมายความว่า บางทีนาฬิกาอาจจะ ไม่รู้ว่าสมัยก่อนมีนาฬิกาอย่างปัจจุบันนี้หรือยัง อาจเพราะดวงอาทิตย์ไม่ขึ้นแล้ว หรือว่าขึ้น แต่ว่าเป็นหน้าฝน มีเมฆหมอกมาบังอะไรต่างๆ ก็เลยทำให้ท่านคำนวณเวลาผิด ว่าตอนนี้ถึงเวลาฉันเพลหรือยัง อาจจะฉันเพลเลยเวลาเที่ยง อะไรประมาณนี้ แล้วก็อีกข้อคือ สำคัญผิด คือห้ามภัตร แล้วเข้าใจว่ายังไม่ได้ห้าม อันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวินัย ก็คืออาจจะมีหลงลืมไปบ้าง สัญญายังไม่เที่ยง แล้วก็สำคัญสิ่งของผิด คือของที่ยังไม่-เป็นเดน เข้าใจว่าเป็นเดนแล้ว อันนี้ฟังยาก เป็นเรื่องของวินัยพระทั้งนั้น
 
พระเจ้ามิลินท์ท่านก็ตรัสถามว่า พระภิกษุ จะต้องอาบัติด้วยอาการ ๒ ประการ คือ ๑. ไม่-เอื้อเฟื้อต่อพระวินัย ก็คือไม่ให้ความสำคัญต่อพระวินัย พระบางรูปท่านก็พูดตลก อาบัติทุกกฎ ตด-ก็หายนะ อาบัติปาจิตตีย์ ขี้ก็หาย ท่านพูดอย่าง คือพูดสนุก ซึ่งท่านถือว่าเป็นความไม่เอื้อเฟื้อต่อพระวินัย สำหรับพระนี่ ปฏิบัติเคร่งเข้าไว้ก่อน เป็นสิ่งที่ดี ถ้าไม่เคร่ง ก็เหมือนเป็นการเปิดช่องทางให้แก่กิเลสได้ เพราะถ้าไม่เอื้อเฟื้อต่อพระวินัยจะเรียกว่า เป็นพวกอลัชชี เป็นพวกที่ไม่มียางอาย ไม่มีหิริโอตัปปะ มองไม่เห็นโทษของอาบัติแม้เล็กน้อย
 
ตัวอย่างเช่น ถ้าไปทางภาคเหนือ อย่างที่เคยได้เล่าให้ฟัง ทางภาคเหนือ จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอาบัติข้อที่ว่า ฉันอาหารในเวลาวิกาล ดีไม่ดี โยมพ่อโยมแม่ กลัวลูกพระลูกเณรที่บวชใหม่จะหิว ตกเย็นสี่ห้าโมงเย็น ก็ถือโตก ถือปิ่นโต ไปส่งก๋วยเตี๋ยว ส่งข้าวเหนียวถวายพระ หรือดีไม่ดี ก็นิมนต์ลูกพระลูกเณรกลับมาบ้าน โยมพ่อโยมแม่ทำอาหารถวายมื้อเย็น ก็เพราะไม่ได้มองเห็นว่ามันจะผิดอะไร
 
คนเกิดมาก็ต้องกิน ไม่กินก็ต้องหิว อาหารก็เป็นยา หรือ Food is medicine จะผิดอะไร ก็กินยา ไม่ได้กินอาหาร ว่ากันอย่างนั้นเรียกว่า หลบเลี่ยงไป แต่ทางภาคเหนือจะถือมากในเรื่องผู้หญิง พระจะไปยุ่งกับผู้หญิงไม่ได้ แต่กับเรื่องอาหารไม่เป็นไร ความจริงก็เป็นการเข้าใจผิด เพราะว่าการไม่กินอาหารหรือไม่ฉันอาหารในเวลาวิกาล ตั้งแต่เที่ยงวันไปแล้ว คือมีเหตุผลเป็นอย่างมาก เช่น เป็นการไปตัดทอนกำลังเรื่องทางเพศด้วย ทำไมพระจึงต้องมีเรี่ยวมีแรงมากมายใน-เรื่องทางเพศ
 
ปรากฏว่า ถ้าเราไม่ไปเอื้อเฟื้อ หรือว่ามีอาบัติบางข้อเช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่าห้ามพระอยู่ในที่ลับตากับผู้หญิงสองต่อสอง ถ้าบอกว่า อาบัติปาจิตตีย์ เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเกิดพระท่านไปอยู่กับผู้หญิงในที่ลับตา ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านห้ามแล้วว่า ถ้าพระไปอยู่ในที่ลับตากับผู้หญิง สองต่อสองต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าท่านมองไม่เห็นคุณค่า มองไม่เห็นความสำคัญของข้อนี้ บอกว่าไม่เป็นไร เราเป็นพระมีสติอยู่ในใจ จะอยู่ในห้องเดียวกัน ล็อกกุญแจก็ไม่เป็นไร เพราะเราเป็นพระ ทีนี้ถ้าสมมติว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลาอยู่สองต่อสองต่างคนก็ต่างมีกิเลสพระก็รักผู้หญิง ผู้หญิงก็ชอบอย่าง 
 
ที่นี้มันก็จะกลายจากอาบัติปาจิตตีย์ มันก็จะกลายเป็นอาบัติที่หนักขึ้นไปก็คือ สังฆาทิเสส ซึ่งเป็นอาบัติรองจากปาราชิก ก็อาจจะมีคู่เกี้ยวกันจับต้องกายซึ่งกันและกัน สุดท้ายก็นำไปสู่อาบัติขั้น-สูงสุด ก็คือ ปาราชิก คือ การมีเพศสัมพันธ์กันในที่สุด ทำให้ขาดจากความเป็นพระ
 
เพราะฉะนั้น การที่พระจะต้องอาบัติ ท่านบอกว่า ก็มาจาก ข้อหนึ่งความไม่เอื้อเฟื้อ การไม่ละอาย การที่ว่าคิดว่าไม่เป็นไร อาบัติเล็กๆน้อยๆ ข้อที่สองก็คือ ด้วยไม่รู้ว่าเป็นอาบัติไปต้อง-ด้วยไม่รู้ แล้วขืนทำลงไป พระเจ้ามิลินท์ก็เลยบอกว่า โยมสงสัยว่าสำหรับพระอรหันต์แล้ว ท่านคงไม่ต้องอาบัติด้วยความไม่เอื้อเฟื้อไม่ใช่หรือ คือไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่ พระธรรมวินัย ซึ่งพระนาค-เสนท่านตอบว่า ขอถวายพระพร ที่ต้องอาบัติด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ ไม่มีสำหรับพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์จะเคร่งมาก
 
ตัวอย่าง กรณีภิกษุอยู่ในที่ลับตากับผู้หญิงสองต่อสอง คนที่เป็นท่านแรกที่อาบัติในเรื่องนี้คือ พระอนุรุทธะ ท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วปรากฏว่า ท่านไปบิณฑบาตอยู่ ไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งแอบชอบท่าน เห็นท่าน พระรูปนี้รูปงามเหลือเกิน ก็เลยพยายามที่จะทอดสะพานให้ท่าน แล้วก็ออกอุบาย ให้เด็กเล่นกันเสียงดังต่างๆ ผู้หญิงคนนี้ก็นิมนต์ท่านไปฉันในบ้าน แล้วก็จ้างเด็กให้ทำ-เสียงดัง ก็ทำให้ ผู้หญิงคนนี้ไปเรียนท่านบอกพระคุณเจ้า เด็กพวกนี้เสียงดังเหลือเกิน ทำให้ท่าน-ฉันลำบาก ให้ท่านขึ้นไปบนบ้าน ทำทุกอย่างต่างๆนาๆ จนกระทั่งล็อกประตูนารีพิฆาต สุดท้ายท่านก็เทศน์จนกระทั่งผู้หญิงคนนี้สำนึกตัว ว่าท่านไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว 
 
พฤติกรรมเช่นนี้ไม่เหมาะที่โยมจะมาทำกับพระอะไรต่างๆ จนผู้หญิงคนนี้เกิดความสำนึกตัว แล้วท่านได้ไปเล่าเรื่องนี้ให้พวกพระฟัง จนพระพุทธเจ้าก็ต้องสั่งตั้งเป็นกฎเลยว่า ห้ามพระอยู่ในที่ลับตากับผู้หญิงตัวต่อตัวหรืออย่างกรณีของพระอานนท์
 
เวลาที่ทำการสังคายนา ครั้งที่ ๑ เราจะพบว่าพระอานนท์นี้โดนรุมปรับอาบัติหลายข้อ ทั้งๆที่ท่านก็ไม่ได้มองว่าเป็นอาบัติ แต่ด้วยจิตวิญญาณของท่าน เมื่อพระสงฆ์มองเห็นว่าท่านผิดนี้ ท่านก็ขอแสดงคืนอาบัตินั้น อย่างเช่นว่า เย็บจีวรของพระพุทธเจ้า แล้วมือไม่ว่างก็เอาเท้าจับจีวร พระรูปอื่นก็บอกว่าเป็นการประพฤติตัวไม่เหมาะสม เป็นการไม่เคารพพระพุทธเจ้าก็ปรับอาบัติ หรือให้ผู้หญิงเข้าไปกราบพระสรีรศพ จนกระทั่งน้ำตาของผู้หญิงเหล่านั้น ไปเปื้อนพระสรีรศพ พระพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานไปแล้ว
 
อะไรอีกหลายข้อ ลองไปอ่านดูในมหาปรินิพพานสูตรหรือในสังคีติครั้งที่ ๑ การทำสังคายนาของพระอานนท์ที่โดนปรับอาบัติ ทั้งๆที่เป็นอรหันต์แล้วแต่ในภาพรวม ท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่า ถ้าเป็นอรหันต์ ท่านจะเคร่งมากอย่างเช่น พระมหากัสสปะ ท่านไปบิณฑบาตแล้วเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงคนนี้ก็ยากจน เวลามีอาหารก็ไม่เจอพระ พอเวลาเจอพระก็ไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร วันนั้นก็มีทั้งอาหารด้วยแล้วก็เจอพระด้วย ก็ดีใจ ได้ใส่บาตร ชื่อของเธอคือ ลาชเทพธิดา ที่เธอก็ดีใจได้ใส่บาตรพระ ได้ทำบุญ เกิดมายากจน ก็ปรากฏว่ากำลังเดินไป โดนงูเห่ากัดตาย พอโดนงูเห่ากัดตายนี้ เค้าบอกว่าเหมือนกับหลับแล้วก็ตื่น 
 
พอรู้สึกตัวอีกทีก็กลายเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เธอก็นั่งคิดว่า เราได้บุญกุศลมาเกิดเป็นนางฟ้านี้ด้วยบุญกุศลอะไร ก็ตรวจด้วยจักษุทิพย์ของเทวดา ก็รู้ว่า ได้เพราะการมาใส่บาตรพระมหากัสสปะ เธอก็บอกเออเราได้มาเกิดเป็นนางฟ้า เพราะบุญนิดหน่อย อยากจะเติมบุญ คือ บุญมีหมดได้ ถ้ามัวแต่กินของเก่า พอตอนเช้าตีสี่ตีห้า เธอก็มาปฏิบัติพระมหากัสสปะ ผู้เป็นอรหันต์ ผู้เป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งที่ ๑
 
ด้วยการมาตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ ด้วยการมากวาดบริเวณลานกุฏิให้ เพราะว่าท่านจะอยู่ในป่า ใบไม้ก็จะร่วงเยอะ แต่พวกนางฟ้าจะแปลกอยู่อย่าง เค้าจะมีรัศมีกาย พระมหากัสสปะ พอท่านตื่นมาตอนเช้า ท่านก็ว่า ใครมาตั้งทั้งน้ำฉัน น้ำใช้ ท่านก็นึกว่าคงเป็นพระ เป็นเณรรูปหนึ่งรูปใด ก็ไม่ได้สงสัย วันที่สองก็เอาอีก ใครกันมาทำให้ แล้วไม่บอกให้รู้เรื่อง พอวันที่สามสักตีสี่ตีห้า ท่านก็เตรียมดู พอได้ยินเสียงกวาดใบไม้ ตอนตีสี่ตีห้าในป่า ดังอยู่ ก็เจอกับนางเทพธิดา ท่านก็ชี้หน้า ไปซะ เธอเป็นใคร เธอเป็นผู้หญิงยิงเรือ เที่ยวมากุฏิพระในเวลากลางคืนได้อย่างไร
 
นางก็บอกว่าท่านเจ้าขา ดิฉันก็คือคนที่ใส่บาตรทานเจ้าค่ะ แล้วก็โดนงูเห่ากัดตาย ไปเกิดเป็นเทพธิดา อยากจะเติมบุญก็มาปรนนิบัติท่าน พระมหากัสสปะท่านก็ไล่ ท่านก็บอกว่าเธออย่าทำอย่างนี้ มิฉะนั้นเราจะโดนนินทา ในอนาคตอาจจะมีพระรูปใดรูปหนึ่ง หยิบตาลปัตร ขึ้นไปสู่ธรรมาสน์ แล้วก็มาพูดว่า ได้ยินว่าพระมหากัสสปะ มีนางเทพธิดาเป็นโยมอุปนายิกา เดี๋ยวเราจะโดนค่อนขอด ความจริงพระที่เป็นอรหันต์ จะมีผู้หญิงไปนอนกุฏิก็ไม่ได้ ทำให้ท่านศีลขาดอะไร เพราะท่านหมดกิเลสแล้ว
 
แต่ทีนี้การรักษาศีลของพระอรหันต์ เรียกว่าเป็นการรักษาศีลเพื่ออนุเคราะห์คนด้วย ประเดี๋ยวจะมีพระรูปอื่นเอาอย่างพระที่มีกิเลส พวกหน้าหนา ก็อยากจะเอาอย่างบ้าง ว่าทำไมพระ-มหากัสสปะทำได้ เราก็เป็นพระไม่เห็นเป็นไร จะเอาผู้หญิงมานอนในกุฏิ เรามีสติเสียอย่าง แต่พฤติกรรมอาจจะต่างกันก็คือ จริยวัตรของพระอรหันต์ ว่าท่านอาจจะเผลอ แต่เผลอเรื่องของกิเลสนี้ไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อพระเจ้ามิลินท์ถามว่าการต้องอาบัติมีอยู่ ๒ ลักษณะคือ ๑. ต้องด้วยไม่เอื้อเฟื้อ ก็คือ พวกหน้าด้าน ไม่เอาใจใส่ เห็นว่าอาบัติเป็นเรื่องของเล็กน้อย แสดงว่าพระอรหันต์นี้ต้องไม่มี โดยเด็ดขาดในเรื่องนี้ แต่ต้องด้วยไม่รู้มีบ้างไหม พระนาคเสนก็บอกว่า มีบ้าง เผลอไปบ้าง พระเจ้ามิลินท์ก็ตาโตเลยว่ามันเป็นไปได้ยังไง เรื่องที่ทำให้พระอรหันต์ต้องอาบัติ เพราะไม่รู้นี่มันมีด้วยหรือ
 
พระนาคเสนก็เลยต้องมาแจกแจงว่าอาบัติ มีลักษณะอยู่ ๒ ประเภท คือ ๑. เป็นโลกวัชชะ คำว่า โลกวัชชะ แปลว่า เป็นโทษทั่วไปแก่ชาวโลกทั้งปวง ก็คือไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าทำไปแล้วนี้ ก็ต้องผิดทั้งนั้น เรียกว่า อกุศลกรรม ๑๐ คือ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ คือการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อกุศลกรรมบถเหล่านี้ ใครทำก็มีโทษผิด คนสามัญที่ไม่ใช่ภิกษุทำเข้าก็เป็นความผิด เป็นความเสียหาย 
 
อีกอันเรียกว่า ปัณณัตติวัชชะ คำว่า ปัณณัตติวัชชะ แปลว่า มีโทษทางวินัย มีโทษทางพุทธบัญญัติที่พระพุทธเจ้าห้าม อันนี้ถ้าคนสามัญทำ ชาวโลกทำนี้ไม่ผิด แต่ถ้าพระไปทำนี้ผิด
 
ตัวอย่างเช่น เราเป็นชาวบ้าน เราทานข้าวตอนไหนก็ได้ แต่พระนี้ไม่ได้ ท่านมีระเบียบวินัยของพระอยู่ว่า ให้ฉันอาหารได้ตอนเวลาที่สว่างแล้ว สว่างนี้ก็คือ เดินไปในกลางแจ้ง ก้มมองไปที่มือตัวเอง เห็นลายมือ เส้นนี้เนินพระอังคาร เนินพระศุกร์ อะไรต่างๆ มองเห็นเส้นลายมือ จนกระทั่งถึงเที่ยงวันไปแล้ว พอเที่ยงพักก็ต้องวางช้อนกัน นี่เป็นกฎระเบียบของพระ ซึ่งถ้าพระทำจะผิด แต่ชาวบ้านทำ ชาวบ้านไม่ผิด อย่างเช่น การพรากของเขียว ชาวบ้านตัดไม้ตัดหญ้าไม่เป็นไร แต่พระ ถ้าเกิดไปถางหญ้า พระก็ต้องอาบัติ ไปขุดดินนี้ก็ต้องอาบัติ ชาวบ้านว่ายน้ำเล่นสนุกสนานเฮฮา แต่พระนี้ทำไม่ได้ จะไปว่ายน้ำ หัวเราะเล่นสนุกสนานไม่ได้
 
อันนี้ท่านบอกว่า มันมีอยู่ ๒ อย่าง เรื่องของอาบัติ ๑ โลกวัชชะ ที่มีโทษทางโลก ก็คือ ถ้าใครทำแล้วก็ต้องผิด ก็คือการละเมิดศีล พระอรหันต์ไม่มีทางทำเด็ดขาด เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่มีศีลสะอาด บริสุทธิ์ และท่านก็ไม่มีกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ที่จะทำให้ท่านต้องละเมิดศีล แต่ถ้าเป็น ปัณณัตติวัชชะ คือ เป็นโทษทางพระวินัยก็ต้องโดนกันบ้าง เหมือนอย่างพระ-อานนท์ โดนจับรุมปรับอาบัติหลายข้อ แต่มันเป็นอาบัติเบาๆ ซึ่งท่านก็บอกว่า ตัวท่านเองท่านไม่ได้มองว่าเป็นอาบัติ แต่ถ้าเกิดพระสงฆ์จะมองว่าท่านผิดนี้ ก็ไม่เป็นไร ท่านก็เคารพมติของสงฆ์
 
อาบัติทั้ง ๕ ตัวคือ ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฎ ทุกอาบัติ อะไรพวกนี้ พระท่านก็คงอาบัติได้ แต่ถ้าเป็นสังฆาทิเสส อาบัติ ๑๓ ข้อ ต้องไปอยู่ ปริวาสกรรมถ้าปกปิด ต้องไปอยู่ปริวาส-กรรมต้องประพฤติเป็นพระมัตตจาริกภิกขุ นับราตรีอีก ๖ ราตรี ในการเป็นนักโทษกว่าจะหลุดจากอาบัติ ซึ่งอาบัติเหล่านี้มันไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นอาบัติหนักๆ อย่างปาราชิก สังฆาทิเสส ไม่มีทางเด็ดขาดสำหรับพระอรหันต์ ที่จะไปต้องอาบัติเหล่านี้ แต่ถ้าเป็นอาบัติเบาๆ อย่างที่บอกท่านก็อาจโดนบ้าง เหมือนพระอนุรุทธะ ก็มีบ้าง เราไม่ว่ากัน
 
เพราะฉะนั้น พระนาคเสนจึงสรุปอย่างนี้ว่า ในอาบัติทั้ง ๒ ประการ ส่วนที่เป็นปัณณัตติ-วัชชะ ก็คือเป็นข้อละเมิดว่าการไปละเมิดบทบัญญัติของพระพุทธเจ้า อาจจะมีบ้างที่ท่านเผลอ เพราะว่าพระอรหันต์นี้ใช่ว่าจะรู้ไปทุกเรื่อง บางทีท่านก็ไม่รู้ ชื่อคนนั้นคนนี้ เดินทางไปในระหว่างทาง บ้านนี้ชื่ออะไร ตำบลอะไร จังหวัดอะไร ท่านก็ไม่รู้ นี่ทิศเหนือทิศใต้ ถ้าดวงอาทิตย์ไม่ขึ้น ท่านก็ไม่รู้ จะไปให้ท่านไปรู้ทุกเรื่อง มันก็ไม่ได้ พระอรหันต์ท่านนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ท่านมีพลาดบ้าง มีผิดพลาด แต่ที่พลาดที่ผิดของท่านนี้ มันไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่ มันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่น พระมหากัสสปะ แม้ว่าท่านจะเป็นอรหันต์ หรือพระสารีบุตรจะเป็นปฏิสัมภิทา-ญาณ แต่ก็ไม่ใช่ว่าท่านจะรู้ไปหมด อย่างเช่นกรณีที่ท่านเผลอ วางยาผิดให้ลูกศิษย์ ไปวางอสุภ-กรรมฐาน กับกายคตานุสติให้ลูกศิษย์ที่เป็นพระนายช่างทอง เจริญสามเดือนสี่เดือน 
 
ไม่ได้บรรลุพระอรหันต์ จนพระพุทธเจ้าต้องมาสอนเอง หรืออย่างพระมหากัสสปะ ออกจากนิโรธสมบัติ แล้วโดนพระอินทร์ซึ่งเป็นเจ้าบนสวรรค์ชั้นที่ ๒ มาหลอกใส่บาตร แปลงตัวเป็นคนแก่ แล้วก็มาใส่-บาตร ท่านก็ไม่รู้ท่านก็ไม่ได้ระวัง นึกว่าเป็นคนยากจน ก็เปิดบาตร พอพระอินทร์ใส่ข้าวลงไปเท่านั้น กลิ่นข้าวมันหอมหวนผิดปกติ ท่านก็เข้าฌานตรวจดู ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่คนธรรมดา และท่านก็กล่าวตำหนิ ว่าไม่ควร เป็นถึงพระอินทร์ทำไมยังมาแย่งบุญกุศลของคนยากจนอย่างนี้ เป็นต้น
 
อันนี้ก็มีพลาดกันบ้าง ก็เป็นเรื่องเตือนจิตสกิดใจว่าจะไปเอาอะไรกับมนุษย์ธรรมดา (No one is perfect) ขนาดพระอรหันต์ที่หมดกิเลสนี้ ท่านยังมีเผลอ มีพลาด มีผิดบ้าง แต่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ นับประสาอะไรกับพวกเราที่เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาจะไม่ผิด จะไม่พลาดไม่มีทางหรอก อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าระวังสังวร แต่อย่าไปผิดบ่อยๆ ผิดบ่อยๆลงอาบัติอยู่เรื่อยๆก็ไม่ไหว
 
สำหรับเรื่องความผิดพลาดของพระอรหันต์ในวันนี้ ก็พอสมควรแก่เวลา ขอให้นักปฏิบัติทุกท่านตั้งสติพึงตัวรู้ไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง ลืมตาขึ้นช้าๆ ออกจากสมาธิ
 

 

จริงๆ แล้วค่อนข้างแปลกใจ ที่สาวกหลวงตาบัว

พยายามเอาข้อความในพระไตรปิฎกมาหักล้าง

ทั้งๆ ที่เจ้าลัทธิปฏิเสธพระไตรปิฎกไปแล้ว



#54 อิ่มอร่อย

อิ่มอร่อย

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 17 posts

ตอบ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 09:54

เอาประเด็นที่น่าสนใจ น่ะครับ

2. พระอรหันต์ทำผิดโดยเจตนานั้นเป็นไปไม่ไ่ด้ แล้วทำไมพระปิลินทวัจฉะจึงเสกมาลัยทองให้เด็ก รู้มั๊ยว่าทองเป็นวัตถุอนามาส ท่านเจตนามั๊ย แล้วทำไมถึงใช้อิทธิฤทธิไปช่วยเด็กที่ถูกโจรลักพาและเนรมิตรปราสาททองให้พระเจ้าพิมพิสาร ทั้งที่ห้ามแสดงฤทธิ ท่านเจตนามั๊ย? แล้วคุณสงสัยในความเป็นพระอรหันต์ของพระปิลินทวัจฉะมั๊ย? เจตนามีหมดแหละครับแต่เจตนาทำอะไรเท่านั้นเอง

3. อย่าไปเปรียบกับมหายานแล้วใช้คำว่า เลวเกินไป เลยครับ เถรวาทแบบสาวะกะของเราน่ะปราธณารถจักรยาน มหายานแบบพุทธภูมิเขาน่ะปราธณารถไฟ กำลังใจน่ะห่างกันเยอะ

4. รู้มั๊ยครับในสมัยพุทธกาลก็มี สุ จิ ปุ ลิ แต่ทำไมพระพุทธเจ้าไม่บันทึกธรรมะไว้เป็นลายลักษณ์อักษรด้วยตัวเองแล้วให้สาวกใช้เป็นแบบอย่างให้ศึกษาเป็นแบบแผน สัพพัญญูญาณบำเพ็ญเพียรมา4อสงไขยกำไรแสนกัลป์แบบพระสมณะโคดม จึงต้องมีพระเอตทัคคะที่บำเพ็ญเพียรมา1อสงไขยกำไรแสนกัลป์สังคยานารวบรวมแทน

5. พระปิลินทวัจฉะ พูดคำว่าเจ้าคนถ่อยกับพระพุทธเจ้ามั๊ย? พูดคำว่าเจ้าคนถ่อยกับพระเจ้าพิมพิสารมั๊ย? หรือเจ้าคนถ่อยกับแค่คนถือดีปลี?การเกิดในวรรณะสูงมาตลอด500ชาติย่อมมองคนอื่นวรรณะต่ำกว่า แล้วชาตินี้ท่านจะเห็นพระพุทธเจ้ากับพระเจ้าพิมพิสารวรรณะต่ำกว่ามั๊ย? วาสนาพระพุทธเจ้าละได้ทั้งหมดแต่พระอรหันต์ละไม่ไ่ด้ทั้งหมด คำว่าเญ็ดแม่ไม่ใช่วาสนา แต่วาสนาก็คือลักษณะการพูดการเปรียบเปรย แล้วทำไมพระพุทธเจ้าใช้ ธัมมจักรกัปวัตนสูตร สอนปัญจวัคคีย์ แต่ใช้อาทิตยสูตร สอนชฎิล3พี่น้อง ธรรมเป็น อกาลิโก แต่อุปนิสัยใจคอวาสนาคนเรามันต่างกันจึงมีชอบและไม่ชอบ วันที่หลวงตามหาบัวเทศน์และมีคำพูดนี้ ผมเชื่อว่าวันนั้นคนที่ฟังตรงนั้นล้วนแต่มีวาสนากับหลวงตามหาบัวไม่มีใครกังขาในคำพูดนี้หรอกว่าหยาบไม่หยาบ แต่จะให้มาอธิบายวาสนาของหลวงตามหาบัวกับคนที่ไม่มีวาสนากับหลวงตามหาบัว คงเป็นไปไม่ได้



#55 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 18:04

พุทธวจนะ นี้ บอก ชัดแล้วไม่ใช่หรือ ครับ ว่า พระอรหันต์ นั้น ก็ล่วงสิกขาบทเล็กๆน้อยๆได้ ส่วนคุณจะบอกว่าหลวงตาถือศีลไม่ครบ คุณเอาคำพูดคุณยัดใส่ปาก คนอื่นนะครับ ผมไม่เคยพูดว่าหลวงตาถือศีลไม่ครบหรือหลวงตาบอกว่าฉันถือศีลแค่ข้อนี้เท่านั้น เคยได้ยินไหม แต่ผมบอกเสมอว่า พระอหันต์ ล่วงสิกขาบทเล็กๆน้อยๆได้ ผมมีพุทธวจะ มาแสดงให้คุณคุณมีอะไรมาแสดงบ้างครับ นอกจาก ความคิดที่ว่าพระอรหันต์ต้องห้ามทำผิดเลย

ทำผิดสิกขาบทเล็กน้อยๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นพระอรหันต์ พระสารี บุตร คงไม่ใช้ พระอรหันต์ ทั้งที่ พระพุทะเจ้ายกให้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา

พระจักรขุบาล คงไม่ใช่เหมือนกันเพราะเหยียบสัตว์ตายเป็นเบื่อ หรือคุณจะยัดคำพูดคุณใส่ปากคนอื่นว่าพระจักขุบาลถือศีลไม่ครบ ไม่ถือข้อห้ามฆ่าสัตว์

 

ผมว่าผมถามชัดเจนแล้วนะครับ

1. ถ้ายืนยันว่าหลวงตาไม่ล่วงสิขาบท (ศีล) คุณจะเอามายันกับผมทำไม

2. ผมไม่เคยบอกว่า พระอรหันต์ห้ามทำผิดไม่ได้ แต่ทำผิดโดยเจตนานั้นเป็นไปไม่ได้

3. สิกขาบทเล็กน้อย ก็ต้องทำถามว่าอย่างไรถึงเรียกว่าเล็กน้อย เพราะเหตุนี้ถึงได้

แตกเป็นมหายาน กับเถรวาท คุณอ้างว่าตัวคุณเองเหนือกว่าพระเถระทั้งปวง

ถึงได้ตัดสินได้ว่า อะไรคือสิกขาบทเล็กน้อย เปลี่ยนไปถือ "มหายาน" ดีกว่าครับ

เป็น "เถรวาท" แต่ทำแบบนี้มาเลวเกินไปแล้ว

4. หลวงตาบัวประกาศว่า "พระไตรปิฎก" พวกคลังกิเลสบันทึกผิดๆ ถูกๆ แล้ว

คุณจะเอาพระไตรปิฎกมายันกับผมอีกหรือ?

5. อ้างว่าเป็น "วาสนา" ไม่ได้ เพราะไม่มีคำ "เญ็ดแม่" ทุกครั้งที่เทศน์

6. แล้วทุกครั้งทีพูดคำหยาบ ได้ปลง "อาบัติ" บ้างไหม? หรือยังคงยืนยันว่า

"พูดคำหยาบคาย" ไม่ใช่ศีลของพระ หรือว่า พระไตรปิฎกเขียนผิด ไม่มีศีลข้อนี้อยู่

 

ข้อ 1. เพื่อ ยืนยัน กับคุณ ว่าพระอรหัตน์ ล่วงสิกขาบทเล็ก ๆน้อย ได้ ไม่ใช่ให้คุณมาเอาคำพูดยัดปากคนอื่นเช่นหลวงตาถือศีลไม่ครบทั้งๆที่ท่านไม่เคยพูด   นี้ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ผมไม่เคยได้ยินเลยว่าท่านพูดว่าท่านปฏิเสธ พระไตรปิฏก

จริงๆ แล้วค่อนข้างแปลกใจ ที่สาวกหลวงตาบัว


พยายามเอาข้อความในพระไตรปิฎกมาหักล้าง

ทั้งๆ ที่เจ้าลัทธิปฏิเสธพระไตรปิฎกไปแล้ว

 

แต่ท่านจะบอกเพียงว่า ตรง ลึก หนัก ขาด  ผิด ถูก  เหมือนคนที่เคยเห็นของ จริง มาแล้วย่อมรู้ว่าตรงไหน ในภาพที่เห็นผิดเพียน ไป ไม่ใช้ ปฏิเสธว่าภาพนั้นไม่ใช่  สิ่งที่เห็นเลย แต่คนบ้างคน คิดแค่ว่าภาพที่เห็นนั้น ถูกต้องแน่นอน พอคนมาตำหนิหน่อย ก็ยัดเยียด คำพูดใส่ปากคนอื่นว่าคนคนนั้น ปฏิเสธ

 

ข้อ 2. คุณคิดว่าพระสารีบุตร เจตนากระโดด ข้ามแอ่งน้ำไหมล่ะครับ สติกำกับตอนนั้นไปไหนเสียล่ะ พระอัครสาวกเบื้องขวาด้วย ??

ข้อ 3. ที่แน่ๆ พระพุทธเจ้าบอกมาใน บทนั้นแล้วไม่ใช่หรือว่า 150 ข้อ หักลบยังไง ผมก็เอา ข้อปารจิตตีย ออกไปไม่ได้ สักที

ข้อ 4. ผม มายันเป็นพุทธวจนะ ไม่ใช่ พวกที่เอาโดยอรรถมา และผมไม่เคยได้ยินว่า หลวงตาบอกว่าพระไตรปิฏกผิดมั่วทั้งหมด  หลวงตาจะพูดเป็นข้อ ๆ ที่จำได้ มี ธรรมจักรกัปวัตนะ สูตรที่ท่านบอกว่าไม่ลึกซึ้ง  และผมเคยบอกหลายครั้งแล้ว ว่าผมไม่ชอบอ่านพระไตรปิกฏ เพราะ มีการแปลโดยความเข้าใจของผู้แปล ผมชอบอ่านพุทธวจนะ ถ้าพระไตรปิกฏ เชื่อไม่ได้ทั้งหมด แล้ว พุทธวจนะก็เชื่อไม่ได้ แต่ถ้าพุทธวนะ เชื่อได้ทั้งหมด มันไม่ได้แปลว่าพระไตรปิกฏจะเชื่อได้ทั้งหมด

ข้อ 5. พระสารีบุตร เจอแอ่งน้ำแล้วกระโดดทุกแอ่งหรือเปล่า ถึงจะอ้างว่าเป็นวาสนา ??

 

เรื่องที่ท่านบอกว่า พระไตรปิฏก เป็น คลังกิเลส ก็พอเชื่อได้ เพราะ เรื่องใบลานเปล่า คนเลี้ยงโค ก็มีให้เห็นมาแล้ว

มีด ช่วยคนได้ ฆ่าคนก็ได้ พระไตรปิฏก ก็เหมือน มีด ที่ช่วยคนได้ และ ฆ่าคนได้ คนที่ใช้พระไตรปิฏก เพื่อยกตนว่ารู้ อวดคนอื่น

เป็นคลังกิเลสไหม ถ้าใช้เพื่อตรวจสอบเป็นแผนที่ ก็เหมือนมีดที่ช่วยคน ก็ดูเอาแล้วกันว่าตอนนี้ อย่างไหนมากว่ากัน ในพุทธศาสนา

แล้วอย่างนี้หรือคลังกิเลส หรือเปล่า แล้วที่ท่านว่า ท่านว่าพวกที่เรียนพระไตรปิกฏ เพือโอ้อวดตัวว่าเขารู้ เป็นพวกสะสมคลังกิเลส 

คุณเลยเข้าใจแค่ว่าพระไตรปิกฏเป็นคลังกิเลส


Edited by ter162525, 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 18:27.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#56 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 18:18


 วันที่หลวงตามหาบัวเทศน์และมีคำพูดนี้ ผมเชื่อว่าวันนั้นคนที่ฟังตรงนั้นล้วนแต่มีวาสนากับหลวงตามหาบัวไม่มีใครกังขาในคำพูดนี้หรอกว่าหยาบไม่หยาบ แต่จะให้มาอธิบายวาสนาของหลวงตามหาบัวกับคนที่ไม่มีวาสนากับหลวงตามหาบัว คงเป็นไปไม่ได้

 

อย่าไปพูดถึงเรื่องวาสนา เลยครับ มันไม่จบหรอก ผมถึงไม่พูดเรื่องนี้เลย มันเหมือนกันกล่าวอ้างลอยๆ เขาไม่เข้าใจหรอกครับ

คนบ้างคนคิดว่า พระอรหันต์นั้นต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ รู้ทุกอย่างแต่ยังไม่รู้เลยว่าพระอรหันต์บริสุทธ์ ที่ไหน ป่วย การที่จะพูดเรื่อง วาสนา


Edited by ter162525, 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 18:18.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#57 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 20:23

 

พุทธวจนะ นี้ บอก ชัดแล้วไม่ใช่หรือ ครับ ว่า พระอรหันต์ นั้น ก็ล่วงสิกขาบทเล็กๆน้อยๆได้ ส่วนคุณจะบอกว่าหลวงตาถือศีลไม่ครบ คุณเอาคำพูดคุณยัดใส่ปาก คนอื่นนะครับ ผมไม่เคยพูดว่าหลวงตาถือศีลไม่ครบหรือหลวงตาบอกว่าฉันถือศีลแค่ข้อนี้เท่านั้น เคยได้ยินไหม แต่ผมบอกเสมอว่า พระอหันต์ ล่วงสิกขาบทเล็กๆน้อยๆได้ ผมมีพุทธวจะ มาแสดงให้คุณคุณมีอะไรมาแสดงบ้างครับ นอกจาก ความคิดที่ว่าพระอรหันต์ต้องห้ามทำผิดเลย

ทำผิดสิกขาบทเล็กน้อยๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นพระอรหันต์ พระสารี บุตร คงไม่ใช้ พระอรหันต์ ทั้งที่ พระพุทะเจ้ายกให้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา

พระจักรขุบาล คงไม่ใช่เหมือนกันเพราะเหยียบสัตว์ตายเป็นเบื่อ หรือคุณจะยัดคำพูดคุณใส่ปากคนอื่นว่าพระจักขุบาลถือศีลไม่ครบ ไม่ถือข้อห้ามฆ่าสัตว์

 

ผมว่าผมถามชัดเจนแล้วนะครับ

1. ถ้ายืนยันว่าหลวงตาไม่ล่วงสิขาบท (ศีล) คุณจะเอามายันกับผมทำไม

2. ผมไม่เคยบอกว่า พระอรหันต์ห้ามทำผิดไม่ได้ แต่ทำผิดโดยเจตนานั้นเป็นไปไม่ได้

3. สิกขาบทเล็กน้อย ก็ต้องทำถามว่าอย่างไรถึงเรียกว่าเล็กน้อย เพราะเหตุนี้ถึงได้

แตกเป็นมหายาน กับเถรวาท คุณอ้างว่าตัวคุณเองเหนือกว่าพระเถระทั้งปวง

ถึงได้ตัดสินได้ว่า อะไรคือสิกขาบทเล็กน้อย เปลี่ยนไปถือ "มหายาน" ดีกว่าครับ

เป็น "เถรวาท" แต่ทำแบบนี้มาเลวเกินไปแล้ว

4. หลวงตาบัวประกาศว่า "พระไตรปิฎก" พวกคลังกิเลสบันทึกผิดๆ ถูกๆ แล้ว

คุณจะเอาพระไตรปิฎกมายันกับผมอีกหรือ?

5. อ้างว่าเป็น "วาสนา" ไม่ได้ เพราะไม่มีคำ "เญ็ดแม่" ทุกครั้งที่เทศน์

6. แล้วทุกครั้งทีพูดคำหยาบ ได้ปลง "อาบัติ" บ้างไหม? หรือยังคงยืนยันว่า

"พูดคำหยาบคาย" ไม่ใช่ศีลของพระ หรือว่า พระไตรปิฎกเขียนผิด ไม่มีศีลข้อนี้อยู่

 

ข้อ 1. เพื่อ ยืนยัน กับคุณ ว่าพระอรหัตน์ ล่วงสิกขาบทเล็ก ๆน้อย ได้ ไม่ใช่ให้คุณมาเอาคำพูดยัดปากคนอื่นเช่นหลวงตาถือศีลไม่ครบทั้งๆที่ท่านไม่เคยพูด   นี้ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ผมไม่เคยได้ยินเลยว่าท่านพูดว่าท่านปฏิเสธ พระไตรปิฏก

จริงๆ แล้วค่อนข้างแปลกใจ ที่สาวกหลวงตาบัว


พยายามเอาข้อความในพระไตรปิฎกมาหักล้าง

ทั้งๆ ที่เจ้าลัทธิปฏิเสธพระไตรปิฎกไปแล้ว

 

แต่ท่านจะบอกเพียงว่า ตรง ลึก หนัก ขาด  ผิด ถูก  เหมือนคนที่เคยเห็นของ จริง มาแล้วย่อมรู้ว่าตรงไหน ในภาพที่เห็นผิดเพียน ไป ไม่ใช้ ปฏิเสธว่าภาพนั้นไม่ใช่  สิ่งที่เห็นเลย แต่คนบ้างคน คิดแค่ว่าภาพที่เห็นนั้น ถูกต้องแน่นอน พอคนมาตำหนิหน่อย ก็ยัดเยียด คำพูดใส่ปากคนอื่นว่าคนคนนั้น ปฏิเสธ

 

ข้อ 2. คุณคิดว่าพระสารีบุตร เจตนากระโดด ข้ามแอ่งน้ำไหมล่ะครับ สติกำกับตอนนั้นไปไหนเสียล่ะ พระอัครสาวกเบื้องขวาด้วย ??

ข้อ 3. ที่แน่ๆ พระพุทธเจ้าบอกมาใน บทนั้นแล้วไม่ใช่หรือว่า 150 ข้อ หักลบยังไง ผมก็เอา ข้อปารจิตตีย ออกไปไม่ได้ สักที

ข้อ 4. ผม มายันเป็นพุทธวจนะ ไม่ใช่ พวกที่เอาโดยอรรถมา และผมไม่เคยได้ยินว่า หลวงตาบอกว่าพระไตรปิฏกผิดมั่วทั้งหมด  หลวงตาจะพูดเป็นข้อ ๆ ที่จำได้ มี ธรรมจักรกัปวัตนะ สูตรที่ท่านบอกว่าไม่ลึกซึ้ง  และผมเคยบอกหลายครั้งแล้ว ว่าผมไม่ชอบอ่านพระไตรปิกฏ เพราะ มีการแปลโดยความเข้าใจของผู้แปล ผมชอบอ่านพุทธวจนะ ถ้าพระไตรปิกฏ เชื่อไม่ได้ทั้งหมด แล้ว พุทธวจนะก็เชื่อไม่ได้ แต่ถ้าพุทธวนะ เชื่อได้ทั้งหมด มันไม่ได้แปลว่าพระไตรปิกฏจะเชื่อได้ทั้งหมด

ข้อ 5. พระสารีบุตร เจอแอ่งน้ำแล้วกระโดดทุกแอ่งหรือเปล่า ถึงจะอ้างว่าเป็นวาสนา ??

 

เรื่องที่ท่านบอกว่า พระไตรปิฏก เป็น คลังกิเลส ก็พอเชื่อได้ เพราะ เรื่องใบลานเปล่า คนเลี้ยงโค ก็มีให้เห็นมาแล้ว

มีด ช่วยคนได้ ฆ่าคนก็ได้ พระไตรปิฏก ก็เหมือน มีด ที่ช่วยคนได้ และ ฆ่าคนได้ คนที่ใช้พระไตรปิฏก เพื่อยกตนว่ารู้ อวดคนอื่น

เป็นคลังกิเลสไหม ถ้าใช้เพื่อตรวจสอบเป็นแผนที่ ก็เหมือนมีดที่ช่วยคน ก็ดูเอาแล้วกันว่าตอนนี้ อย่างไหนมากว่ากัน ในพุทธศาสนา

แล้วอย่างนี้หรือคลังกิเลส หรือเปล่า แล้วที่ท่านว่ ท่านว่าพวกที่เรียนพระไตรปิกฏ เพือโอ้อวดตัวว่าเขารู้ เป็นพวกสะสมคลังกิเลส 

คุณเลยเข้าใจแค่ว่าพระไตรปิกฏเป็นคลังกิเลส

-ขอความรู้หน่อยครับ

 

  ใครแปลพระไตรปิฎก

  พวกที่เรียนพระไตรปิฏก เพื่ออวดรุ้นี้เป็นใคร


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#58 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 22:33

พระพุทธ ศาสนา มี องค์ ๙


พระพุทธพจน์ คือ พระธรรมวินัย ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงประกอบด้วย องค์ ๙ คือ

 

สุตตะ ได้แก่พระสูตรทั้งหลาย มีมงคลสูตรเป็นต้นรวมถึงพระวินัยปิฎก และนิทเทส

เคยยะ คือ พระสูตรทั้งหมด ที่มีคาถา มีสคาถวรรคเป็นต้น

เวยยากรณะ คือพระอภิธรรมปิฎก พระสูตรที่ไม่มีคาถาปนและพระพุทธพจน์ ที่ไม่จัดเข้าในองค์ ๘

คาถา คือ พระ ธรรมบทเถรคาถา เถรีคาถา และคาถาล้วนๆ ที่ ไม่มีชื่อ สูตร ในสุตตนิบาต

อุทาน คือ พระ สูตร ๘๒ สูตร ที่ พระผู้มีพระภาค ทรงเปล่ง ด้วยโสมนัสญาณ

อิติวุตตกะ คือ พระ สูตร ๑๑๐ สูตรที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า วุตฺตํ เหตํภคว ตา (ข้อนี้สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว)

ชาตกะ คือ เรื่อง อดีตชาติของพระผู้มีพระภาค และ พระสาวก มีอปัณณกชาดก เป็นต้น รวม ๕๕๐ชาดก

อัพภูตธรรม คือ พระสูตรที่ประกอบด้วยอัจฉริยอัพภูตธรรม(ธรรมที่ยิ่งด้วยคุณพิเศษน่าอัศจรรย์)

เวทัลละ คือ พระสูตรที่เมื่อถาม แล้วๆได้ความรู้และความยินดียิ่งๆขึ้น มีจูฬเวทัลลสูตรเป็นต้น

 

พระพุทธ พจน์ มี ๘๔,๐๐๐ พระ ธรรมขันธ์ อัน ท่านพระอานนท์ เรียน จากพระผู้มีพระภาคมา ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

เรียน จากพระ ภิกษุ มีท่านพระสารีบุตร เป็นต้น ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

 

พระธรรมขันธ์ คือ พระธรรมแต่ละข้อซึ่งอาจจะเป็นพระสูตร ๑ สูตร ก็ได้ เป็น ๑ พระ ธรรมขันธ์ หรือปัญหา๑ข้อ ก็เป็น ๑ พระ ธรรมขันธ์

คำวิสัชชนาข้อ หนึ่งๆ ก็เป็นพระธรรมขันธ์หนึ่งๆ เป็นต้น

 

พระ วินัย ปิฎก มี ๕ คัมภีร์ คือ

มหา วิภังค์

ภิกขุนีวิภังค์

มหาวรรค

จุลลวรรค

ปริวาร

 

คัมภีร์อรรถกถาซึ่งอธิบายข้อความในพระวินัยปิฎก คือสมันตปาสาทิกา

 

พระสุตตันตปิฎกมี ๕ นิกายคือ

ทีฆนิกาย รวมพระสูตรขนาดยาว มีพระสูตร ๓๔ สูตร แบ่งเป็น ๓ วรรค
คือ สีลขันธวรรค  มหาวรรค ปาฏิกวรรค

 

คัมภีร์อรรถกถาทีฆนิกาย คือสุมังคลวิลาสินี

 

มัชฌิมนิกาย รวม พระสูตรขนาดกลางมีพระสูตร ๑๕๒สูตร แบ่ง เป็น ๓ ปัณณาสก์ คือ

มูลปัณณาสก์ มี ๕ วรรค วรรค ละ ๑๐ สูตรรวม ๕๐ สูตร

มัชฌิมปัณณาสก์ มี ๕ วรรค วรรค ละ ๑๐ สูตรรวม ๕๐ สูตร

อุปริปัณณาสก์ มี ๕ วรรค ๔ วรรคแรกมีวรรค ละ๑๐ สูตร วรรคที่ ๕ มี ๑๒ สูตรรวม๕๒ สูตร

 

คัมภีร์อรรถกถามัชฌิมนิกาย คือ ปปัญจสูทนี

 

สังยุตตนิกาย รวม พระสูตร เป็น พวกๆ แบ่ง เป็น วรรค ใหญ่๕ วรรค คือ

สคาถวรรค มี ๑๑ สังยุตต์

นิทานวรรค มี ๙ สังยุตต์

ขันธวารวรรค มี ๑๓ สังยุตต์

สฬายตนวรรค มี ๑๐ สังยุตต์

มหาวารวรรค มี ๑๒ สังยุตต์


คัมภีร์อรรถกถา สังยุตตนิกาย คือ สารัตถปกาสินี

 

อังคุตตรนิกาย รวมพระสูตตามจำนวนประเภท ของ ธรรมแบ่ง เป็น ๑๑ นิบาต คือ

เอกนิบาต รวม ธรรม ประเภทหมวด ๑

ทุกนิบาต รวม ธรรม ประเภทหมวด ๒

ติกนิบาต รวม ธรรมประเภทหมวด ๓

จตุกกนิบาต รวม ธรรม ประเภทหมวด ๔

ปัญจกนิบาต รวม ธรรม ประเภทหมวด ๕

ฉักกนิบาต รวม ธรรม ประเภทหมวด ๖

สัตตกนิบาต รวม ธรรม ประเภทหมวด ๗

อัฏฐกนิบาต รวม ธรรม ประเภทหมวด ๘

นวกนิบาต รวม ธรรม ประเภทหมวด ๙

ทสกนิบาต รวม ธรรม ประเภทหมวด ๑๐

เอกาทสกนิบาต รวม ธรรม ประเภทหมวด ๑๑

 

คัมภีร์ อรรถกถาอังคุตตรนิกาย คือ มโนรถปูรณี


ขุททกนิกาย นอกจากนิกาย ๔ มีทีฆนิกาย เป็นต้น นั้นแล้ว

พระพุทธพจน์อื่นนอกจาก นั้นรวม เป็น ขุททกนิกายมี

ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ สุตตนิบาตวิมาน
วัตถุเปต วัตถุเถร คาถาเถรี คาถาชาดก มหานิทเทส

จูฬนิทเทส ปฏิสัมภิทามัคค์ อปทาน พุทธวงศ์ และ จริยาปิฎก


คัมภีร์ อรรถกถาขุททกนิกาย คือ

ปรมัตถชติกา อรรถกถา ขุททกนิกายขุททกปาฐะและ สุตตนิบาต

ธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถา คาถาธรรมบท

ปรมัตถทีปนี อรรถกถา อุทาน อิติวุตตกะ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา จริยาปิฎก

ปรมัตถทีปนี อรรถกถาวิมานวัตถุ(วิมลัตถทีปนี)

ชาตกัฏฐกถา อรรถกถาชาดก

สัทธัมมปัชโชติกา อรรถกถา มหานิทเทส จูฬนิทเทส

สัทธัมมปกาสินี อรรถกถา ปฏิสัมภิทามัคค์

วิสุทธชนวิลาสินี อรรถกถาอปทาน

มธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์

 

พระอภิธรรม ปิฎก มี ๗ คัมภีร์ คือ

ธัมมสังคณีปกรณ์ อรรถกถา คือ อัฏฐสาลินี

วิภังคปกรณ์ อรรถกถา คือ สัมโมหวิโนทนี

ธาตุกถาปกรณ์

ปุคคลปัญญัติปกรณ์

กถาวัตถุปกรณ์ อรรถกถา คือ ปรมัตถทีปนี

ยมกปกรณ์ ปัญจปกรณัฏฐกถา

ปัฏฐานปกรณ์

 

อรรถกถา พระไตรปิฎก นั้น ส่วนใหญท่านพระพุทธโฆษาจารย์แปลและเรียบเรียง จากอรรถกถาเดิม ในภาษาสิงหลคือ มหาอรรถกถา

มหาปัจจรี และ กุรุนทีซึ่ง สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยท่านพระมหินทเถระพระโอรส พระเจ้าอโศกมหาราชไป เผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ประเทศศรีลังกา

นอกจาก คัมภีร์ฎีกาซึ่ง อธิบายข้อความในคัมภีร์อรรถกถาคือ สารัตถทีปนี (คัมภีร์ฎีกาพระวินัยปิฎก) สารัตถมัญชุสา(คัมภีร์ฎีกาพระสุตตันตปิฎก)

ปรมัตถปกาสินี (คัมภีร์ฎีกาพระอภิธรรมปิฎก)

อนุฎีกาซึ่งอธิบายคำศัพท์ในฎีกา และอัตถโยชนาซึ่งอธิบายความสัมพันธ์ของบทที่ใช้ใน อรรถกถาแล้ว คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่ควรค่า

แก่การศึกษาซึ่งท่านพระเถระผู้ทรงคุณในอดีตสมัยต่อๆมาได้รจนาไว้ เช่น


มิลินทปัญหา รจนา โดย ท่านปิฏกจุฬาภัยประมาณ พ.ศ. ๕๐๐

วิสุทธิมัคค์ รจนา โดย ท่านพระ พุทธโฆษาจารย์ประมาณ พ.ศ. เกือบ ๑๐๐๐

อภิธัมมัตถสังคหะ รจนา โดย ท่านพระอนุรุทธาจารย์ประมาณ พ.ศ. เกือบ ๑๐๐๐

สารัตถสังคหะ รจนา โดย ท่านพระนันทาจารย์ประมาณ พ.ศ. เกือบ ๑๐๐๐

ปรมัตถมัญชุสา (ฎีกา อธิบายวิสุทธิมัคค์) รจนา โดยท่านพระธัมมปาลาจารย์

สัจจสังเขป รจนา โดย ท่านพระธัมมปาลาจารย์

อภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา (อธิบาย คัมภีร์อภิธัมมัตถ สังคหะ)รจนา โดย ท่านพระสุมังคลาจารย์

โมหวิจเฉทนี (อธิบาย ธัมมสังคณีปกรณ์ และวิภังคปกรณ์) รจนาโดยท่านพระกัสสปะ ประมาณ พ.ศ. ๑๗๐๓-๑๗๗๓

มังคลัตถทีปนี (อธิบาย มงคลสูตร) รจนา โดยท่าน สิริมังคลาจารย์ ชาวเชียงใหม่



 

.....................................................................................................................................................................

 

สำหรับผมแล้วเป็นปุถุชน บางครั้งศีลห้าแทบขาดทุกข้อ

ห่างไกลความเป็นคนไปบ้างก็มี

ความลังเลย สงสัย ในพระธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้าก็มี

เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุโสดาบัน

 

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยขาดไปจากใจผมก็คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสก่อนปรินิพพานว่า

จะไม่แต่งตั้งผู้ใดเป็นตัวแทนพระองค์ นอกจากพระธรรมคำสั่งสอน

และพระธรรมคำสอนของพระองค์ ทั้งหมด ก็คือ พระไตรปิฏก

 

ท่านถามตัวเองเถิดครับ ว่า ท่านรู้จักพระไตรปิฏก จริงจริง หรือไม่

ท่านถามตังเองเถิดครับ ว่า นับถือศาสนาพุทธ เคารพศรัทธาในศาสนาพุทธจริงหรือไม่

ท่านถามตัวเองเถิดครับ ว่า ท่านจะยึดใคร เป็นศาสดาของท่าน

 

หรือท่านเพียงแค่นับถือศาสนาพุทธตามบัตรประชาชนเท่านั้น

 


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#59 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 23:44

เสรีภาพแห่งความคิดเห็นของบุคคล ต้องไม่สับสนกับความซื่อตรงต่อพระศาสดา

 

อนึ่ง ขอให้แง่คิดไว้นิดหนึ่งว่า การทำเช่นนี้ไม่ใช่ความหมายว่าเราติดตำรา หรือติดพระไตรปิฎก อันนี้เป็นคนละเรื่องกัน

แต่เป็นการที่เรารู้ว่าอะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินหรือเป็นมาตรฐานคำสอนในพระพุทธ ศาสนา ให้ได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร และสอนว่างอย่างไร

ส่วนเราจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเราเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แม้แต่ว่าจะเชื่อพระพุทธเจ้าหรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ ต้องแยกให้ถูก


เวลานี้ก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ ความสับสนของคนในยุคที่เรียกกันว่ามีการศึกษา แต่การศึกษานี้กำลังพร่ามัวลงไปมาก จนแยกไม่ถูก

แม้แต่ระหว่างตัวหลักการกับความคิดเห็นส่วนบุคคลเพียงแค่นี้ก็แยกไม่ถูก จึงแน่นอนว่าความสับสนจะต้องเกิดขึ้น แล้วก็นำไปสู่ปัญหาต่างๆมากมาย

 

ถ้าเราถามว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร หรือสอนเรื่องอะไรว่าอย่างไร เราจะดูที่ไหน เราก็ต้องไปดูพระไตรปิฎกเพราะเราไม่มีแหล่งอื่นที่จะตอบคำถามนี้ได้

เราจะว่าเอาเองหรือไปตอบแทนพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ว่าพระองค์สอนอย่างนั้นอย่างนี้

 

ต่อจากนั้น เมื่อรู้ว่า หรือได้หลักฐานเท่าที่มีว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไรแล้ว เราจะเชื่อคำสอนนั้นหรือไม่ หรือเรามีความเห็นต่อคำสอนนั้นว่าอย่างไร

อันนั้นก็เป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องขอบบุคคลนั้น ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องหลักการแต่เป็นเรื่องของความคิดเห็น

 

* ตั้งแต่ไม่รู้จักพระไตรปิฎก ไม่รู้จักความสำคัญของพระไตรปิฎก ไม่รู้ว่าการรักษาสืบทอดพระไตรปิฎกเป็นมาอย่างไร

* แล้วก็มีความสับสนระหว่างคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระองค์สอนอย่างไรกับความคิดเห็นของบุคคลหรือเราแต่ละคนต่อคำสอนนั้นว่าเราคิดอย่างไร

  ทั้งหมดนี้ มองกันไม่ชัดเจน คลุมเครือ และว่ากันเลอะเทอะสับสนไปหมด เพราะฉะนั้นก็แน่นอนว่าจะต้องเกิดปัญหา ที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะยากอะไรเลย เพียงแต่แยกให้ถูก

* ถ้าใครมาถามว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร เราจะว่าเอาเองก็ไม่ได้ก็ต้องว่าไปตาม ที่พระพุทธเจ้าสอนคือไปเอาหลักฐานมาแสดงให้ดู


พระไตรปิฎกกับการธำรงพระพุทธศาสนา

โดย พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต)


 


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#60 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 23:47


 

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๔๕

 

อนึ่งพึงทราบการละความคดทางกายเป็นต้น  ดังต่อไปนี้  ก่อนอื่น

อกุศลกรรมบถ ๖ข้อเหล่านั้น  คือ ปาณาติบาต   อทินนาทาน  มิจฉาจาร

มุสาวาท   ปิสุณาวาจา  มิจฉาทิฏฐิ   พระอริยบุคคลย่อมละได้ด้วยโสดา-ปัตติมรรค. 

สองอย่างคือ  ผรุสวาจา  พยาบาท  ละได้ด้วยอนาคามิมรรค

สองอย่างคือ  อภิชฌาสัมผัปปลาปะ  ละได้ด้วยอรหัตมรรค.


จบอรรถกถาปเจตนสูตรที่  ๕



 


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#61 อิ่มอร่อย

อิ่มอร่อย

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 17 posts

ตอบ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 00:07

 ธรรม วินัย เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า อันพระรัตนไตรประกอบด้วย พุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นที่่พึ่ง

  ในสมัยพุทธกาลผู้เป็นธรรมกถึกคือ พระปุณณมันตานีบุตรผู้มีปฎิภานท่านปฎิบัติเช่นไรสอนเช่นนั้น สิ่งที่ท่านสอนพระอานนท์จนบรรลุโสดาบันคือ กถาวัตถุ 10ประการ อันเป็นคุณธรรมที่ท่านยึดมั่น

  ผู้ที่เป็นวินัยธรคือ พระอุบาลี ท่านเคยขอปลีกวิเวกแต่พระพุทธเจ้าเคยห้าม เพราะต้องการให้อยู่ศึกษาพระวินัย พระเป็นความปราธณาแต่อดีตชาติของท่านด้วย ซึ้งเป็นประโยชน์ต่อการสังคายนา

 พระบ้านคามวาสีที่ศึกษาพระวินัยให้ความรู้ตรงเรื่องพระวินัย พระปริยัติ  พระป่าอรัญวาสีผู้อยู่สงบ สันโดษ เน้นปฎิบัติคอยชี้นำการภาวนาที่เหมาะสม 



#62 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 00:19

ปริยัติ - ปฏิบัติ - ปฏิเวธ


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#63 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 00:41

ปริยัติ        ก็ยังไม่รู้ ก็อ้างว่าจะไปปฎิบัติ 

ปฎิบัติ      ก็ยังไม่ได้ ก็ยังหวังว่าจะ

ปฏิเวธ     หลุดพ้นกันอีก

 

กำไรเกินควรครับ


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#64 อิ่มอร่อย

อิ่มอร่อย

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 17 posts

ตอบ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 08:16

ตอนบวชพระอุปัชฌาย์ ก็ให้กรรมฐาน5 เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ก็ปริยัติ  แต่สำหรับผู้ปราธณาที่สูงเช่นปฎิสัมภิทาญาณอันมีความแตกฉานในธรรม ย่อมต้องมีความรู้ในพระไตรปิฎกลึกซึ้ง รูปแบบของแต่ล่ะคนย่อมไม่เหมือนกันอยู่ักับความปราธณาและวาสนาที่สะสมมา 



#65 Yokk Myungsoo Zeref

Yokk Myungsoo Zeref

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 6 posts

ตอบ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 10:56

ความรู้สึกของข้าพเจ้าที่มีต่อในหลวง



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชหรือที่คนในรู้กันในนามว่าในหลวงหรือที่เราเรียกกันว่าพ่อหลวง
ในหลวงท่านนั้นมีกระราชกรณียกิจที่ทำให้คนไทยมากมายหลายอย่างที่ทำให้เราคนไทยมีกินและสามารถเลี้ยงดูตนเองได้



ในหลวงท่านนั้นถึงรู้ว่าจะต้องเหนื่อยมากสักแค่ไหนและเหนื่อยเท่าใดเพียงใดท่านทรงทำเพื่อหาสิ่งที่สามารถทำให้คนไทยนั้นเกิดความสบาย
ท่านเป็นกษัตริย์นักคิดนักทำท่านทำให้คนไทยไม่อดอยาก
ในหลวงท่านทำพระราชกรณียกิจแก่คนไทยมากมาย พื้นดินที่แห้งแล้งยังสามารถทำให้เป็นพื้นที่สีเขียวได้
แล้วยังรวมถึงสอนให้ประชาชนในบริเวณโดยรอบรู้จักวิธีการทำไร่ทำนาให้เหมาะสมแก่บริเวณพื้นที่ส่งเสริมรายได้ส่วนท้องถิ่นและภูมิภาคและสินค้า  OTOP
แล้วเคยมีกษัตริย์องค์ไหนบ้างที่จะมาช่วยลงมือปฏิบัติและสอนให้ความรู้แก่ประชาชน
และ มีกษัตริย์องค์ใดบ้างที่สามารถทำให้ฝนตกตามต้องการได้
ท่านนั้นได้ช่วยคนไทยมามากมายตั้งแต่ท่านยังละอ่อนจนตอนนี้ท่านนั้นชราภาพมากท่านก็ยังเป็นห่วงประชาชนคนไทยทุกคน
แล้วเหตุใด
ยังคอยมาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์บางคนอาจบอกว่าการมีสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น
มีไปก็ไม่เห็นเกิดอะไรแก่ประเทศแล้วจะมาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมาช้านาน
ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน
แล้วการที่มาพูดว่ามีสถาบันพระมหากษัติย์ก็ไม่เกิดอะไรแล้วสิ่งที่ในหลวงทำมาให้ประชาชนในประเทศที่ท่านทำมาช้านานนั่นล่ะเรียกว่าอะไร



ในหลวงท่านนั้นตอนนี้ท่านก็ชราภาพมากแล้วสิ่งที่ท่านอยากเห็นผมว่ามันไม่ใช่เห็นประเทศไทยยิ่งใหญ่แบบประเทศอื่น
แต่ผมมองว่าสิ่งที่ท่านต้องการเห็นคือการเห็นคนไทยรักกันและมีความสามัคคี



นศท. นวภูมิ    นฤนาทดำรงค์



สถานศึกษา โรงเรียนเซนต์คาสเบรียล



#66 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 11:57

ปริยัติ        ก็ยังไม่รู้ ก็อ้างว่าจะไปปฎิบัติ

ปฎิบัติ      ก็ยังไม่ได้ ก็ยังหวังว่าจะ

ปฏิเวธ     หลุดพ้นกันอีก

 

กำไรเกินควรครับ

 

บ้าง คน คิดว่า ปริยัติ ฉันต้องรู้ทั้งหลาย อ่านพระไตรปิกฏ ก่อน ไม่ได้อ่านพระไตรปิฏก หรือเรียน จะปฏิบัติ ไม่ได้ พวกปฏิบัติเลยไม่รู้เรื่องอะไร

เพราะคิดว่า ธรรมทั้งหลายอยู่ในพระไตรปิฏก ผิดแล้วล่ะ ครับ เพียงรู้ธรรมอย่างเดียว บทเดียว ตั้งใจปฏิบัติ ให้เห็น จริง ก็สำหรับประโยชน์มากว่าพวกที่นอนกอดพระไตรปิกฏ แต่ ไม่สนใจ ฟังว่า คนที่ไปจริงเจออะไรบ้างเป็นอย่างไรบ้าง แล้ว เอาความคิดพื้นๆ ของตัวเองเป็นเกรณ์ คนแบบนี้มีเยอะครับ (ผมไม่ได้ว่าคุณนะ)

 

เป็นพระอรหันต์ได้ ทั้งๆที่ ท่องไม่ได้แม้ แต่มนต์บทเดียว เช่น พระจุลลปันถก เพียง เพราะ ลูบผ้าขาวแล้วเห็นจริงว่าร่างกายนี้ สกปรก

เพราะผ้าขาวกลายเป็นผ้าสกปรก

หรือ พระอรหัตน์ที่กินเนื้อโค ของพระพุทธเจ้า ที่ พระที่เป็นพหุสูตร ถามปัญหาในพระไตรปิฏกแล้วตอบไม่ได้เลย แต่พระพุทธเจ้ากลับยกย่องมากกว่า

 

แม้ในกาลก่อน พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่ก็มี ในสิ่งที่ผมบอกไป แล้วสมัยนี้จัก ไม่มีเลยหรือ ครับ ผมไม่ได้บอกว่าเป็นใคร หรอ แต่สมัย นี้ พระที่ถือยศถาบรรดศัิกดิ์ นั้นก็มีมาก ไม่ต่างอะไร กับ คนธรรมดา

ผมอยากบอกว่าพระไตรปิฏก นั้น บิดเบือนได้ ไม่เชื่อดูธรรมโกยสิ ดังนั้น ไม่ควรไปยึด อย่างเอาเป็นเอาตาย ควรจัดไว้ใช้แค่ตรวจสอบ การปฏิบัติ 

และ การปฏิบัตินั้น ก็ ควรมีไว้ ตรวจสอบ พระไตรปิฏก เช่นกัน ดังนั้น ถ้าใคร มี พูดแต่เรื่องพหูสูตร โดยที่ไม่มีความรู้เรื่องปฏิบัติ จิตเลย มันไร้ค่า สำหรับผม และผมคง ทนไม่ได้ที่พวกไร้ค่า มาพูดว่าคนที่เก่ง และ รู้มากกว่าผมในเส้นทางนี้ ว่าผิดทางมัวไปไม่ถึงจริงบ้างล่ะ  เพราะตัวเองมีแค่แผ่นที่ใบหนึ่งเท่านั้น คุณว่ามันตลก ไหม คุณอาจจะบอกว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่า คนที่ผมคิดว่าเก่ง และรู้มากกว่าผม  ไปถึงจริง 

       ผมคงตอบแค่ว่าผมไม่ รู้หรอ ว่า ไปถึงจริงหรือไม่จริง แต่ถ้าสมมุติว่า คนที่ไปถึง ที่นี้มักมักได้ สัญลักษณ์ของการไปถึง มา ไม่ใช่ของที่มีขายหาซื้อง่ายๆ ทั่วไป จะมีแค่แหล่ง หรือที่เกือบถึงแหล่งเท่านั้น และ เอามาฝากใครก็ไม่ได้ เหมือนไปอุทยานแห่งชาติแล้วได้ตราประทับ คนที่ไปไม่เอาตราก็ได้ แต่คนที่ได้ตรา ไปนั้นแสดงว่าไปถึง และฝากให้ใครให้ประทับก็ไม่ได้ ต้องไปเอง ทำปลอมขึ้นมาก็ไม่ได้ มาให้คุณ ดู แล้วบอกว่าคุณว่าไปถถึงแล้ว และ ยังเรียนเรื่องแผนที่นี้มามากกว่าผม (เปรียญ 3 โยค จะบอกว่า ไม่เรียนคงไม่ได้ ) แล้วยังบอกด้วยว่า ระหว่างทางที่ผมเดินผ่านมาเจออะไรบ้างได้ ถูกต้อง กับไอ้คนที่มีแต่แผนที่(ไม่รู้ด้วยว่าเรียนมาเยอะกว่าผมหรือเปล่า) มาพูด ใคร เชื่อถือได้มากกว่ากัน  


  • Gop likes this
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#67 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:18

ปริยัติ        ก็ยังไม่รู้ ก็อ้างว่าจะไปปฎิบัติ

ปฎิบัติ      ก็ยังไม่ได้ ก็ยังหวังว่าจะ

ปฏิเวธ     หลุดพ้นกันอีก

 

กำไรเกินควรครับ

 

บ้าง คน คิดว่า ปริยัติ ฉันต้องรู้ทั้งหลาย อ่านพระไตรปิกฏ ก่อน ไม่ได้อ่านพระไตรปิฏก หรือเรียน จะปฏิบัติ ไม่ได้ พวกปฏิบัติเลยไม่รู้เรื่องอะไร

เพราะคิดว่า ธรรมทั้งหลายอยู่ในพระไตรปิฏก ผิดแล้วล่ะ ครับ เพียงรู้ธรรมอย่างเดียว บทเดียว ตั้งใจปฏิบัติ ให้เห็น จริง ก็สำหรับประโยชน์มากว่าพวกที่นอนกอดพระไตรปิกฏ แต่ ไม่สนใจ ฟังว่า คนที่ไปจริงเจออะไรบ้างเป็นอย่างไรบ้าง แล้ว เอาความคิดพื้นๆ ของตัวเองเป็นเกรณ์ คนแบบนี้มีเยอะครับ (ผมไม่ได้ว่าคุณนะ)

 

1

เป็นพระอรหันต์ได้ ทั้งๆที่ ท่องไม่ได้แม้ แต่มนต์บทเดียว เช่น พระจุลลปันถก เพียง เพราะ ลูบผ้าขาวแล้วเห็นจริงว่าร่างกายนี้ สกปรก

เพราะผ้าขาวกลายเป็นผ้าสกปรก

หรือ พระอรหัตน์ที่กินเนื้อโค ของพระพุทธเจ้า ที่ พระที่เป็นพหุสูตร ถามปัญหาในพระไตรปิฏกแล้วตอบไม่ได้เลย แต่พระพุทธเจ้ากลับยกย่องมากกว่า

 

แม้ในกาลก่อน พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่ก็มี ในสิ่งที่ผมบอกไป แล้วสมัยนี้จัก ไม่มีเลยหรือ ครับ ผมไม่ได้บอกว่าเป็นใคร หรอ แต่สมัย นี้ พระที่ถือยศถาบรรดศัิกดิ์ นั้นก็มีมาก ไม่ต่างอะไร กับ คนธรรมดา

 

2

ผมอยากบอกว่าพระไตรปิฏก นั้น บิดเบือนได้ ไม่เชื่อดูธรรมโกยสิ ดังนั้น ไม่ควรไปยึด อย่างเอาเป็นเอาตาย ควรจัดไว้ใช้แค่ตรวจสอบ การปฏิบัติ 

และ การปฏิบัตินั้น ก็ ควรมีไว้ ตรวจสอบ พระไตรปิฏก เช่นกัน ดังนั้น ถ้าใคร มี พูดแต่เรื่องพหูสูตร โดยที่ไม่มีความรู้เรื่องปฏิบัติ จิตเลย มันไร้ค่า สำหรับผม และผมคง ทนไม่ได้ที่พวกไร้ค่า มาพูดว่าคนที่เก่ง และ รู้มากกว่าผมในเส้นทางนี้ ว่าผิดทางมัวไปไม่ถึงจริงบ้างล่ะ  เพราะตัวเองมีแค่แผ่นที่ใบหนึ่งเท่านั้น คุณว่ามันตลก ไหม คุณอาจจะบอกว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่า คนที่ผมคิดว่าเก่ง และรู้มากกว่าผม  ไปถึงจริง

 

    

ผมคงตอบแค่ว่าผมไม่ รู้หรอ ว่า ไปถึงจริงหรือไม่จริง แต่ถ้าสมมุติว่า คนที่ไปถึง ที่นี้มักมักได้ สัญลักษณ์ของการไปถึง มา ไม่ใช่ของที่มีขายหาซื้อง่ายๆ ทั่วไป จะมีแค่แหล่ง หรือที่เกือบถึงแหล่งเท่านั้น และ เอามาฝากใครก็ไม่ได้ เหมือนไปอุทยานแห่งชาติแล้วได้ตราประทับ คนที่ไปไม่เอาตราก็ได้ แต่คนที่ได้ตรา ไปนั้นแสดงว่าไปถึง และฝากให้ใครให้ประทับก็ไม่ได้ ต้องไปเอง ทำปลอมขึ้นมาก็ไม่ได้ มาให้คุณ ดู แล้วบอกว่าคุณว่าไปถถึงแล้ว และ ยังเรียนเรื่องแผนที่นี้มามากกว่าผม (เปรียญ 3 โยค จะบอกว่า ไม่เรียนคงไม่ได้ ) แล้วยังบอกด้วยว่า ระหว่างทางที่ผมเดินผ่านมาเจออะไรบ้างได้ ถูกต้อง กับไอ้คนที่มีแต่แผนที่(ไม่รู้ด้วยว่าเรียนมาเยอะกว่าผมหรือเปล่า) มาพูด ใคร เชื่อถือได้มากกว่ากัน  

หลายครั้งแล้วครับในกระทู้เดียวกัน ที่คุณ quote ข้อความผม ผมถามกลับ ไม่ตอบ แล้วกลับมา quote ใหม่ ไปเรื่อยๆ

อาจเป็นเพราะ ต้องการ ตอบครั้งเดียวไปเลยก็ได้ ผมว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จะสะดวกดี ประหยัดทั้งเวลา และเนื้อที่

ผมเชื่อมั่นในความเป็น เสรีไทย ของคุณ ที่จะได้รวมคำถาม และตอบรวมเสียที่เดียว

 

-ก่อนอื่นต้องเข้าใจในเรื่องนี้ให้ตรงกันก่อนว่า เราต่างเป็นปุถุชน ดังนั้น ความลังเลสงสัย ย่อมมีเป็นธรรมดา ตราบใดยังไม่

บรรลุโสดาบัน

 

-ธรรมะไม่ สาธารณะ หมายความว่า ไม่ทุกคน ที่จะใส่ใจ สนใจ และศึกษาอย่างละเอียด ส่วนใหญ่ ที่พบเห็นนับถือศาสนาพุทธ

ตามบัตรประชาชนเท่านั้น

 

-หลังจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ไม่ทรงตั้งใครเป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่ให้

ถือเอาธรรมะเป็น ตัวแทน เราจึงยึดถือ พระรัตนตรัยเป็นสรณะ นั้นคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 

-ในเรื่องนี้ เรากำลังพูดถึงพระธรรม คำสั้งสอน ซึ่งพระธรรมทั้งหมดที่มีอยู่ล้วนมาจาก พระไตรปิฎก ใช่หรือไม่ นี้คือจุดสำคัญ

ที่จะทำให้การแลกเปลี่ยน ความเชื่อ ความเห็น ตรงกันก่อน ก่อนที่จะไปพูดเรื่องอื่น และกลายเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ

 

ในความเห้นนี้ ผมขอตอบคำถามเป็นข้อ เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ ถูกผิดอย่างไร ขอท่านผู้รู้ ช่วยแนะนำด้วย เพราะ

ธรรมทานชนะทานทั้งปวง

 

1.

พระจูฬปันถก เมื่อท่านบรรลุพระอรหันต์ ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้เป็นเอตทัคคะใน

ด้านชำนาญในมโนมยิทธิ เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปัญญาในการตรัสรู้ไม่เกี่ยวกับปัญญาในการจำเรียนรู้ทั่วไป (สัญญา)

ปัญญาในการตรัสรู้คือจินตมยปัญญาคือความสามารถที่จะใช้ปัญญาแยบคายที่เกิดจากใช้ปัญญาภายในพิจารณาให้ เห็นความจริงของโลกได้ด้วยตนเอง

การท่องจำหรือเรียนเก่งไม่เก่งจึงไม่ใช่อุปสรรคในการตรัสรู้ธรรม

 

 

พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ บุคคลที่บรรลุได้ด้วยพระองค์เอง แต่ ไม่มีคุณธรรมที่จะสามารถสอนให้ผุ้อื่นบรรลุได้ แต่ ก็มีปัญญามาก มากกว่าพระสารีบุตร

เพราะสามารถตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านประวัติของพระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ท่านได้พิจารณาด้วยพระองค์เอง ก็บรรลุอย่าง

ฉับพลันเป็นพระพุทธเจ้าทันที แต่อย่างไรก็ดี ก็จะต้องผ่านความเป็นพระโสดาบันก่อนเสมอและต่อไปตามลำดับ เป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี และ

ถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่ออรหัตมรรคจิตดับไป อรหัตผลจิตดับต่อ แต่เพราะ ความเป็นผู้มีปัญญามาก จึงรวดเร็ว เพียงเห็นใบทองหลางที่ร่วงหล่นลงพื้น

ก็บรรลุธรรมทันที อย่างรวดเร็ว ซึ่งขณะนั้นก็มจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน เพียงชั่วเวลานิดเดียว ก็สามารถบรรลุธรรมเพราะมีปัญญามาก

 

ส่วน พระสาวก ต้องอาศัยการฟัง ศึกษาพระธรรม ซึ่งพระสาวก แต่ละองค์ก็มีปัญญาไม่เท่ากัน แม้จะบรรลุเหมือนกัน แม้แต่การเป็นพระโสดาบัน

บางบุคคลก็ต้องค่อยๆเกิดสติปัฏฐาน อบรมไป กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็ใช้ระยะเวลายาวนานมาก เพราะปัญญยังไม่มาก ไม่แก่กล้า แต่

ผู้ที่มีปัญญามาก ฟังเพียงสั้นๆวิถีจิตเกิด พิจารณาธรรม ก็ได้บรรลุธรรมอย่างรวดเร็ว     เช่น พระสารีบุตร ไดฟังพระอัสสชิก็บรรลุธรรมเพียงบทธรรมสั้นๆ

ส่วนบางรูป เพียงฟังบทสั้นๆ เช่นพระพาหิยะ ได้ฟังธรรมจากพระพุทะเจ้าเพียงสั้นๆ ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทันทีแต่ก็จะต้องผ่านความเป็นพระโสดาบันในขณะนั้นก่อน

จนถึงพระอรหันต์ แต่เพราะจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน และ รวดเร็ว จึงดูว่า เวลาไม่มาก ที่สั้น แต่จิตเกิดดับนับไม่ถ้วนในขณะนั้น    ก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ในขณะจิตระหว่างนั้น

ได้เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงแตกต่างกันไปตามการสะสม ตามแต่ละบุคคลที่จะบรรลุธรรมได้รวดเร็ว หรือ ไม่รวดเร็ว แต่จะต้องเป็นไปตามลำดับ   ที่สำคัญ อยู่ที่การอบรมเหตุให้ถูกต้อง เป็นพื้นฐาน คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจในหนทางที่ถูกต้อง เพราะ ถ้าเริ่มจากสิ่งที่ถูก อย่างไร ผลก็ต้องถูกแน่นอน ส่วนจะบรรลุช้า หรือ เร็ว ก็เป้นเรื่องของธรรม ตามเหตุปัจจัย

 

ย้อนกลับมาที่คำถามว่า ถามคำถามพระไตรปิฎกแต่ตอบไม่ได้เลยแต่บรรลุธรรมได้

คุณกำลังเอาสองเรื่องที่อยู่คนละเวลา มาผูกให้เป็นเรื่องเดียวกัน สับสนตัวเองอยู่หรือเปล่า

รู้จักพระไตรปิฏก จริงหรือเปล่า

 

ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีอยู่ พระไตรปิฏก ยังไม่มีบนโลกนี้ครับ แล้วจะมาถามคำถามในพระไตรปิฎกได้อย่างไรกัน

พูดอย่างนี้ไม่ต่างกับ คำพูดที่ว่า ลูกเกิดก่อน พ่อ-แม่

 

2.

นี้ก็เป็นความสับสนในตัวเองอีกข้อที่ต้องชี้กันให้ชัด ว่า พระไตรปิฎกบิดเบือน หรือ คนมาบิดเบือนพระไตรปิฎก

เรารู้ได้อย่างไรว่า ธรรมโกยบิดเบือน พระไตรปิฎก ถ้าหากไม่นำพระไตรปิฎกที่ไม่ถูกบิดเบือน มาตรวจสอบ

กรณีที่ว่า การไปเข้าเฝ้าพระพูทธเจ้า มีแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในหลายที่ หลายตอน ในพระไตรปิฎก แสดง

ให้เห็นเป็นหลักฐาน ว่า เป็นไปไม่ได้ เราจึงนำมาตัดสินว่า ธรรมโกย บิดเบือนพระไตรปิฎก เพื่อหาประโยชน์

 

เอากันให้ถูก ต้องพูดว่า พระไตรปิฎกบิดเบือนไม่ได้ แต่คนบิดเบือนพระไตรปิฎกได้

จะมาสรุปว่า พระไตรปิฎกบิดเบือนได้ เพราะคนมาบิดเบือนพระไตรปิฎก จึงถือว่า

พระไตรปิฎก บิดเบือนได้ แน่ใจหรือครับว่า สรุปอย่างนี้ สมเหตุสมผล

 

3

ในเมื่อเราต่างตอบไม่ได้ จะมาสรุปได้อย่างไรกัน มีเพียงวิธีเดียวคือมาพิจารณากันว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวกันกับคำสอนของ

พระพุทธเจ้าหรือไม่ นอกไปจากนี้ ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว เพราะอย่าเอาความเชื่อส่วนตัว ความคิดส่วนตัว มาตัดสิน ต้องหาหลักฐาน

มาแสดง เพราะไม่ว่าใคร จะพูด จะเชื่อ จะคิด สุดแท้จิตอันวิจิตรพิศดารจะพาไป

 

ข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับ การศึกษาธรรมะแต่อย่างไร

ที่จริงแล้ว ไม่เขียน ก็ไม่ทำให้เนื้อหาสาระ ที่จะพูด ขาดความถูกต้องไป แม้แต่น้อย

แต่ตราบใดที่เรานำความเห็นส่วนตัว มาปะปนกับ คำสอนพระพูทธเจ้า เราผิดตั้งแต่ต้น

 

กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็อย่าหวังว่า จะกลัดเม็ดต่อไปได้ถูกต้อง


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#68 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 17:36

 

ปริยัติ        ก็ยังไม่รู้ ก็อ้างว่าจะไปปฎิบัติ

ปฎิบัติ      ก็ยังไม่ได้ ก็ยังหวังว่าจะ

ปฏิเวธ     หลุดพ้นกันอีก

 

กำไรเกินควรครับ

 

บ้าง คน คิดว่า ปริยัติ ฉันต้องรู้ทั้งหลาย อ่านพระไตรปิกฏ ก่อน ไม่ได้อ่านพระไตรปิฏก หรือเรียน จะปฏิบัติ ไม่ได้ พวกปฏิบัติเลยไม่รู้เรื่องอะไร

เพราะคิดว่า ธรรมทั้งหลายอยู่ในพระไตรปิฏก ผิดแล้วล่ะ ครับ เพียงรู้ธรรมอย่างเดียว บทเดียว ตั้งใจปฏิบัติ ให้เห็น จริง ก็สำหรับประโยชน์มากว่าพวกที่นอนกอดพระไตรปิกฏ แต่ ไม่สนใจ ฟังว่า คนที่ไปจริงเจออะไรบ้างเป็นอย่างไรบ้าง แล้ว เอาความคิดพื้นๆ ของตัวเองเป็นเกรณ์ คนแบบนี้มีเยอะครับ (ผมไม่ได้ว่าคุณนะ)

 

1

เป็นพระอรหันต์ได้ ทั้งๆที่ ท่องไม่ได้แม้ แต่มนต์บทเดียว เช่น พระจุลลปันถก เพียง เพราะ ลูบผ้าขาวแล้วเห็นจริงว่าร่างกายนี้ สกปรก

เพราะผ้าขาวกลายเป็นผ้าสกปรก

หรือ พระอรหัตน์ที่กินเนื้อโค ของพระพุทธเจ้า ที่ พระที่เป็นพหุสูตร ถามปัญหาในพระไตรปิฏกแล้วตอบไม่ได้เลย แต่พระพุทธเจ้ากลับยกย่องมากกว่า

 

แม้ในกาลก่อน พระพุทธเจ้ายังทรงอยู่ก็มี ในสิ่งที่ผมบอกไป แล้วสมัยนี้จัก ไม่มีเลยหรือ ครับ ผมไม่ได้บอกว่าเป็นใคร หรอ แต่สมัย นี้ พระที่ถือยศถาบรรดศัิกดิ์ นั้นก็มีมาก ไม่ต่างอะไร กับ คนธรรมดา

 

2

ผมอยากบอกว่าพระไตรปิฏก นั้น บิดเบือนได้ ไม่เชื่อดูธรรมโกยสิ ดังนั้น ไม่ควรไปยึด อย่างเอาเป็นเอาตาย ควรจัดไว้ใช้แค่ตรวจสอบ การปฏิบัติ 

และ การปฏิบัตินั้น ก็ ควรมีไว้ ตรวจสอบ พระไตรปิฏก เช่นกัน ดังนั้น ถ้าใคร มี พูดแต่เรื่องพหูสูตร โดยที่ไม่มีความรู้เรื่องปฏิบัติ จิตเลย มันไร้ค่า สำหรับผม และผมคง ทนไม่ได้ที่พวกไร้ค่า มาพูดว่าคนที่เก่ง และ รู้มากกว่าผมในเส้นทางนี้ ว่าผิดทางมัวไปไม่ถึงจริงบ้างล่ะ  เพราะตัวเองมีแค่แผ่นที่ใบหนึ่งเท่านั้น คุณว่ามันตลก ไหม คุณอาจจะบอกว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่า คนที่ผมคิดว่าเก่ง และรู้มากกว่าผม  ไปถึงจริง

 

    

ผมคงตอบแค่ว่าผมไม่ รู้หรอ ว่า ไปถึงจริงหรือไม่จริง แต่ถ้าสมมุติว่า คนที่ไปถึง ที่นี้มักมักได้ สัญลักษณ์ของการไปถึง มา ไม่ใช่ของที่มีขายหาซื้อง่ายๆ ทั่วไป จะมีแค่แหล่ง หรือที่เกือบถึงแหล่งเท่านั้น และ เอามาฝากใครก็ไม่ได้ เหมือนไปอุทยานแห่งชาติแล้วได้ตราประทับ คนที่ไปไม่เอาตราก็ได้ แต่คนที่ได้ตรา ไปนั้นแสดงว่าไปถึง และฝากให้ใครให้ประทับก็ไม่ได้ ต้องไปเอง ทำปลอมขึ้นมาก็ไม่ได้ มาให้คุณ ดู แล้วบอกว่าคุณว่าไปถถึงแล้ว และ ยังเรียนเรื่องแผนที่นี้มามากกว่าผม (เปรียญ 3 โยค จะบอกว่า ไม่เรียนคงไม่ได้ ) แล้วยังบอกด้วยว่า ระหว่างทางที่ผมเดินผ่านมาเจออะไรบ้างได้ ถูกต้อง กับไอ้คนที่มีแต่แผนที่(ไม่รู้ด้วยว่าเรียนมาเยอะกว่าผมหรือเปล่า) มาพูด ใคร เชื่อถือได้มากกว่ากัน  

หลายครั้งแล้วครับในกระทู้เดียวกัน ที่คุณ quote ข้อความผม ผมถามกลับ ไม่ตอบ แล้วกลับมา quote ใหม่ ไปเรื่อยๆ

อาจเป็นเพราะ ต้องการ ตอบครั้งเดียวไปเลยก็ได้ ผมว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จะสะดวกดี ประหยัดทั้งเวลา และเนื้อที่

ผมเชื่อมั่นในความเป็น เสรีไทย ของคุณ ที่จะได้รวมคำถาม และตอบรวมเสียที่เดียว

 

-ก่อนอื่นต้องเข้าใจในเรื่องนี้ให้ตรงกันก่อนว่า เราต่างเป็นปุถุชน ดังนั้น ความลังเลสงสัย ย่อมมีเป็นธรรมดา ตราบใดยังไม่

บรรลุโสดาบัน

 

-ธรรมะไม่ สาธารณะ หมายความว่า ไม่ทุกคน ที่จะใส่ใจ สนใจ และศึกษาอย่างละเอียด ส่วนใหญ่ ที่พบเห็นนับถือศาสนาพุทธ

ตามบัตรประชาชนเท่านั้น

 

-หลังจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ไม่ทรงตั้งใครเป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่ให้

ถือเอาธรรมะเป็น ตัวแทน เราจึงยึดถือ พระรัตนตรัยเป็นสรณะ นั้นคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 

ในส่วนนี้ เห็นด้วยครับ ไม่มีไร จะ ตอบ

 

-ในเรื่องนี้ เรากำลังพูดถึงพระธรรม คำสั้งสอน ซึ่งพระธรรมทั้งหมดที่มีอยู่ล้วนมาจาก พระไตรปิฎก ใช่หรือไม่ นี้คือจุดสำคัญ

ที่จะทำให้การแลกเปลี่ยน ความเชื่อ ความเห็น ตรงกันก่อน ก่อนที่จะไปพูดเรื่องอื่น และกลายเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ

ทีมีไหน ครับ ในโลก หรือ ที่เหลือ อยู่ อย่างแรก เลยพระไตรปิฏก ไม่ใช่พระธรรม เป็นเพียงสิ่งที่บันทึก คำสอนที่ หลงเหลืออยู่

 

ในความเห้นนี้ ผมขอตอบคำถามเป็นข้อ เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ ถูกผิดอย่างไร ขอท่านผู้รู้ ช่วยแนะนำด้วย เพราะ

ธรรมทานชนะทานทั้งปวง

 

1.

พระจูฬปันถก เมื่อท่านบรรลุพระอรหันต์ ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้เป็นเอตทัคคะใน

ด้านชำนาญในมโนมยิทธิ เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปัญญาในการตรัสรู้ไม่เกี่ยวกับปัญญาในการจำเรียนรู้ทั่วไป (สัญญา)

ปัญญาในการตรัสรู้คือจินตมยปัญญาคือความสามารถที่จะใช้ปัญญาแยบคายที่เกิดจากใช้ปัญญาภายในพิจารณาให้ เห็นความจริงของโลกได้ด้วยตนเอง

การท่องจำหรือเรียนเก่งไม่เก่งจึงไม่ใช่อุปสรรคในการตรัสรู้ธรรม

 

 

พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ บุคคลที่บรรลุได้ด้วยพระองค์เอง แต่ ไม่มีคุณธรรมที่จะสามารถสอนให้ผุ้อื่นบรรลุได้ แต่ ก็มีปัญญามาก มากกว่าพระสารีบุตร

เพราะสามารถตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านประวัติของพระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ท่านได้พิจารณาด้วยพระองค์เอง ก็บรรลุอย่าง

ฉับพลันเป็นพระพุทธเจ้าทันที แต่อย่างไรก็ดี ก็จะต้องผ่านความเป็นพระโสดาบันก่อนเสมอและต่อไปตามลำดับ เป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี และ

ถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่ออรหัตมรรคจิตดับไป อรหัตผลจิตดับต่อ แต่เพราะ ความเป็นผู้มีปัญญามาก จึงรวดเร็ว เพียงเห็นใบทองหลางที่ร่วงหล่นลงพื้น

ก็บรรลุธรรมทันที อย่างรวดเร็ว ซึ่งขณะนั้นก็มจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน เพียงชั่วเวลานิดเดียว ก็สามารถบรรลุธรรมเพราะมีปัญญามาก

 

ส่วน พระสาวก ต้องอาศัยการฟัง ศึกษาพระธรรม ซึ่งพระสาวก แต่ละองค์ก็มีปัญญาไม่เท่ากัน แม้จะบรรลุเหมือนกัน แม้แต่การเป็นพระโสดาบัน

บางบุคคลก็ต้องค่อยๆเกิดสติปัฏฐาน อบรมไป กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็ใช้ระยะเวลายาวนานมาก เพราะปัญญยังไม่มาก ไม่แก่กล้า แต่

ผู้ที่มีปัญญามาก ฟังเพียงสั้นๆวิถีจิตเกิด พิจารณาธรรม ก็ได้บรรลุธรรมอย่างรวดเร็ว     เช่น พระสารีบุตร ไดฟังพระอัสสชิก็บรรลุธรรมเพียงบทธรรมสั้นๆ

ส่วนบางรูป เพียงฟังบทสั้นๆ เช่นพระพาหิยะ ได้ฟังธรรมจากพระพุทะเจ้าเพียงสั้นๆ ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทันทีแต่ก็จะต้องผ่านความเป็นพระโสดาบันในขณะนั้นก่อน

จนถึงพระอรหันต์ แต่เพราะจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน และ รวดเร็ว จึงดูว่า เวลาไม่มาก ที่สั้น แต่จิตเกิดดับนับไม่ถ้วนในขณะนั้น    ก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ในขณะจิตระหว่างนั้น

ได้เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงแตกต่างกันไปตามการสะสม ตามแต่ละบุคคลที่จะบรรลุธรรมได้รวดเร็ว หรือ ไม่รวดเร็ว แต่จะต้องเป็นไปตามลำดับ   ที่สำคัญ อยู่ที่การอบรมเหตุให้ถูกต้อง เป็นพื้นฐาน คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจในหนทางที่ถูกต้อง เพราะ ถ้าเริ่มจากสิ่งที่ถูก อย่างไร ผลก็ต้องถูกแน่นอน ส่วนจะบรรลุช้า หรือ เร็ว ก็เป้นเรื่องของธรรม ตามเหตุปัจจัย

 

ย้อนกลับมาที่คำถามว่า ถามคำถามพระไตรปิฎกแต่ตอบไม่ได้เลยแต่บรรลุธรรมได้

คุณกำลังเอาสองเรื่องที่อยู่คนละเวลา มาผูกให้เป็นเรื่องเดียวกัน สับสนตัวเองอยู่หรือเปล่า

รู้จักพระไตรปิฏก จริงหรือเปล่า

 

ก็อย่างที่ผมบอก นั้นและ ผมอาจจะ รวบรัด ไปก็ได้ พระไตรปิฏก เกิด เมื่อ ประมาณ 500 ปี หลัง พระพุทธเจ้าปรินิพพาน แต่สมัยนั้น ศึกษาอะไรกันครับ คำสอนของพระพุทธเจ้า หรือเปล่า ใบลานเปล่าเป็นแบบไหน ศึกษาอะไร อันนี้ผมเขียนตามความเข้าใจเพื่อให้เข้าใจง่าย ยกตัวอย่างง่ายๆ

เปรียบเทียบง่ายๆ เพื่อให้เข้าใจ ถึง

 

ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีอยู่ พระไตรปิฏก ยังไม่มีบนโลกนี้ครับ แล้วจะมาถามคำถามในพระไตรปิฎกได้อย่างไรกัน

พูดอย่างนี้ไม่ต่างกับ คำพูดที่ว่า ลูกเกิดก่อน พ่อ-แม่

 

2.

นี้ก็เป็นความสับสนในตัวเองอีกข้อที่ต้องชี้กันให้ชัด ว่า พระไตรปิฎกบิดเบือน หรือ คนมาบิดเบือนพระไตรปิฎก

เรารู้ได้อย่างไรว่า ธรรมโกยบิดเบือน พระไตรปิฎก ถ้าหากไม่นำพระไตรปิฎกที่ไม่ถูกบิดเบือน มาตรวจสอบ

กรณีที่ว่า การไปเข้าเฝ้าพระพูทธเจ้า มีแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในหลายที่ หลายตอน ในพระไตรปิฎก แสดง

ให้เห็นเป็นหลักฐาน ว่า เป็นไปไม่ได้ เราจึงนำมาตัดสินว่า ธรรมโกย บิดเบือนพระไตรปิฎก เพื่อหาประโยชน์

 

เอากันให้ถูก ต้องพูดว่า พระไตรปิฎกบิดเบือนไม่ได้ แต่คนบิดเบือนพระไตรปิฎกได้

จะมาสรุปว่า พระไตรปิฎกบิดเบือนได้ เพราะคนมาบิดเบือนพระไตรปิฎก จึงถือว่า

พระไตรปิฎก บิดเบือนได้ แน่ใจหรือครับว่า สรุปอย่างนี้ สมเหตุสมผล

 

พระไตรปิฏก เกิดหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 500 ปี ถามว่า ที่นำมาเรียบเรียงนั้น จากไหนครับ ความจำ ท่องจำมาทั้งนั้น แหละ ครับ

และ พระไตรปิฏก ไม่ใช่พระธรรม เห็นเพียงสิ่งที่จดบันทึก ท่านอาจจะ คิดว่าพระธรรมทั้งหลายคือพระไตรปิฏก แต่ผมคิด ว่าพระไตรปิฏกเป็นเพียงเครื่องบันทึก ไม่ใช่พระธรรม ที้ นี้ ท่านอาจจะ คิดว่า พระไตรปิฏก จึงบิดเบือนไม่ได้ แต่ผม พระธรรม บิดเบือนไม่ได้ พระไตรปิฏก บิดเบือนได้

เห็นธรรมไม่ใช่ สำเร็จ พระไตรปิฏก เห็นธรรม คือเห็นความเป็นจริง ของธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงพระไตรปิฏก คุณอาจจะนึกถือ พระธรรม แต่ผมนึกถึงเครื่องบันทึก เท่านั้น  เรียนพระไตรปิฏก มาไม่เข้าใจ แต่มาปฎิบัติ ถึงเข้าใจ ถ้าพระไตรปิฏก เป็นพระธรรมจริง เรียนจบแล้วต้องเข้าใจครับ

 

3

ในเมื่อเราต่างตอบไม่ได้ จะมาสรุปได้อย่างไรกัน มีเพียงวิธีเดียวคือมาพิจารณากันว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวกันกับคำสอนของ

พระพุทธเจ้าหรือไม่ นอกไปจากนี้ ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว เพราะอย่าเอาความเชื่อส่วนตัว ความคิดส่วนตัว มาตัดสิน ต้องหาหลักฐาน

มาแสดง เพราะไม่ว่าใคร จะพูด จะเชื่อ จะคิด สุดแท้จิตอันวิจิตรพิศดารจะพาไป

อย่างแรก เลย กระทู้นี้ เกี่ยวกับหลวงตามหาบัว ซึ่ง ผมไม่ใช่ ลูกศิษย์ ท่าน ผมมาทาง หลวงพ่อจรัญ ถ้าเป็นคนอื่น มาบอกว่าฉันถึงแล้ว ฉัน สำเร็จ แล้ว ผมเชื่อเลย โดยไม่พิจราณา ก็ คงไม่ (แล้วผมจะ เถียงแทน ทำไม ว่ะ ผมเถียงแทนความจริงที่เห็นมาที่ปฏิบัติมา คุณบอกว่า จิต อาจวิจิตรพิศดาร ปลายแห่งกิ่งก้านสาขาของจิต เท่านั้นพิศดาร ครับ เนื้อแท้ของจิต ไม่ได้พิศดาร ) ที่เขายกมา กล่าวหา ผมก็ยกพระไตรปิฏก มาประกอบ

ถ้าท่านอ้างแต่พระธาตุ เรื่องจิตไม่เอาอ่าวเลย ผมคงไม่มานั้งเถียงให้ เมื่อยหรอครับ  อย่างที่ท่านคิดและครับ ผมไม่ได้เข้ามาทุกวัน ดังนั้น พอมาตอบ ที่ จะรวบมาตอบในครั้งเดียวอาจจะรวม ของท่านอื่นด้วย ต้องขออภัย

 

 

ข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับ การศึกษาธรรมะแต่อย่างไร

ที่จริงแล้ว ไม่เขียน ก็ไม่ทำให้เนื้อหาสาระ ที่จะพูด ขาดความถูกต้องไป แม้แต่น้อย

แต่ตราบใดที่เรานำความเห็นส่วนตัว มาปะปนกับ คำสอนพระพูทธเจ้า เราผิดตั้งแต่ต้น

 

กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็อย่าหวังว่า จะกลัดเม็ดต่อไปได้ถูกต้อง


บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#69 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 20:58

ผมคงไม่ตอบอะไรให้มากความไปกว่านี้ครับ

เพราะท่าน ยังเห็นพระไตรปิฏก คลาดเคลื่อนไป

 

อีกทั้งผมไม่คิดว่า พระพุทธศาสนาเป็นเหมือนรถเมล์

ที่มีสาย ต่างๆ สำหรับผมมีเพียงสายเดียว คือสายที่

มีองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้นำทาง

 

เรื่องพระธาตุอะไรนั้น ยังงงอยู่ครับ ว่ามาเกี่ยวข้อง

กับผมได้อย่างไร เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่

เพราะผมถือ เอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นใด

 

 

ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ

ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ  

ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ.

 

แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ

แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ

แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ.

 

แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ

แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ

แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#70 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 17:22

ผมคงไม่ตอบอะไรให้มากความไปกว่านี้ครับ

เพราะท่าน ยังเห็นพระไตรปิฏก คลาดเคลื่อนไป

 

ครับ ผม เข้าใจคลาดเคลือน ท่านเข้าใจถ่องแท้ ครับ เพราะผมศึกษามาน้อย ท่านแตกฉาน

อาจารย์ที่ผมเข้าหาหลายท่านบอกเสมอว่า เวลาปฏิบัติ เอาหนังสือยัดเก็บตู้ไปเสมอ ไม่ต้องเอาออกมา  ผมจึงเห็นมัน เป็นเพียง แค่ เครื่องบันทึก

 

อีกทั้งผมไม่คิดว่า พระพุทธศาสนาเป็นเหมือนรถเมล์

ที่มีสาย ต่างๆ สำหรับผมมีเพียงสายเดียว คือสายที่

 

เรื่องพระธาตุอะไรนั้น ยังงงอยู่ครับ ว่ามาเกี่ยวข้อง

กับผมได้อย่างไร เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่

เพราะผมถือ เอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นใด

ถ้าท่านอ้างแต่พระธาตุ เรื่องจิตไม่เอาอ่าวเลย ผมคงไม่มานั้งเถียงให้ เมื่อยหรอครับ  อย่างที่ท่านคิดและครับ ผมไม่ได้เข้ามาทุกวัน ดังนั้น พอมาตอบ ที่ จะรวบมาตอบในครั้งเดียวอาจจะรวม ของท่านอื่นด้วย ต้องขออภัย  (สามท่านนี้ คนละบริบท กัน)

 

ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ

ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ  

ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ.

 

แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ

แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ

แม้ครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ.

 

แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ

แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ

แม้ครั้งที่ ๓ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ


บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#71 อิ่มอร่อย

อิ่มอร่อย

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 17 posts

ตอบ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 23:00

 สมัยพุทธกาล มีพระวินัยธรณ์ กับพระธรรมกถึก ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ยึดธรรม วินัยเป็นตัวแทนของพระองค์หลังปรินิพพาน ปััจุบันเข้าใจว่าพระไตรปิฎกคือการรวมพระธรรมวินัยคือตัวแทนพระพุทธเจ้า  เพราะพระวินัยธรณ์เก่งปริยัติความจำแต่พระธรรมกถึกเก่งปฎิบัติคือความจริงเหมือนรู้จำกับรู้จริง การมีพระวินัยธรณ์จึงเป็นผู้เก่งข้อบังคับให้ปฎิบัติไม่เกินพระพุทธเจ้าเหมือนกรอบกำหนดซึ้งเป็นเหมือนขั่นแรก พระธรรมกถึกสอนวิธีภาวนาทำความสงบของใจให้อุบายในการปฎิบัติเพราะท่านผ่านการปฎิบัติมาแล้วไม่ใช่แค่อ่านแค่ท่องจำเพื่อให้เกิดปัญญาจากการรู้ข้อเท็จจริง ในไตรสิกขากล่าวถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ตามลำดับ ในพระโสดาบันสีลัพพตปรามาส ถ้ายังลูบคลำศีลไม่ภาวนาคิดว่าศีลเป็นตัวสำคัญ ก็ผ่านตรงนี้ไม่ได้ ส่วนการที่คุณยึดพระไตรปิฎกเน้นว่ามีองค์พระศาสดาเป็นผู้นำทาง คุณไม่ชัดเจนในพระรัตนไตรเพราะขาดพระสงฆ์ ให้ระวังเรื่องปรามาสพระรัตนไตรด้วยน่ะครับคุณกล่าวถึงพระพุทธเจ้าเยอะมากว่าเคารพเทอดทูนแต่คุณมีปัญหาแม้กระทั้งศีล5 จะกลายเป็นเอาพระรัตนไตรมาอ้างเพื่อชนะคะคาน บางคนใช้แค่คำบริกรรมก็ทำความสงบของใจได้เป็นสมาธิอบรมปัญญา แต่ถ้าวุ่นวายยุ่งยากในหัวใจมากจนคำบริกรรมเอาไม่อยู่ก็ให้พิจรณาเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าไม่เข้าใจประโยคนี้ก็ให้กลับไปทำทานบ่อยๆจดจำอารมณ์เวลาสละของนอกกายตัวเองให้เอามาพิจรณา เงินทองของนอกกายห่วงมันมากใช่มั๊ยสละมันออกไปได้เหมือนกันนี้ อันโลภ โกรธ หลง ที่อยู่ในใจ สละมันได้มั๊ยหากจะผิดศีล5คิดให้ออกเอาอารมณ์ตอนสละสิ่งของตัวนี้มาใช้พิจรณา เมื้อสงบเป็นสมาธิ ในมิตินั้น คุณจะเหมือนอยู่บนโลกอีกโลก ธรรมารมณ์ได้ยากแต่ถ้าได้ชนะกามคุณ5ทุกตัว



#72 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 14:23

 สมัยพุทธกาล มีพระวินัยธรณ์ กับพระธรรมกถึก ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ยึดธรรม วินัยเป็นตัวแทนของพระองค์หลังปรินิพพาน ปััจุบันเข้าใจว่าพระไตรปิฎกคือการรวมพระธรรมวินัยคือตัวแทนพระพุทธเจ้า  เพราะพระวินัยธรณ์เก่งปริยัติความจำแต่พระธรรมกถึกเก่งปฎิบัติคือความจริงเหมือนรู้จำกับรู้จริง การมีพระวินัยธรณ์จึงเป็นผู้เก่งข้อบังคับให้ปฎิบัติไม่เกินพระพุทธเจ้าเหมือนกรอบกำหนดซึ้งเป็นเหมือนขั่นแรก พระธรรมกถึกสอนวิธีภาวนาทำความสงบของใจให้อุบายในการปฎิบัติเพราะท่านผ่านการปฎิบัติมาแล้วไม่ใช่แค่อ่านแค่ท่องจำเพื่อให้เกิดปัญญาจากการรู้ข้อเท็จจริง ในไตรสิกขากล่าวถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ตามลำดับ ในพระโสดาบันสีลัพพตปรามาส ถ้ายังลูบคลำศีลไม่ภาวนาคิดว่าศีลเป็นตัวสำคัญ ก็ผ่านตรงนี้ไม่ได้ ส่วนการที่คุณยึดพระไตรปิฎกเน้นว่ามีองค์พระศาสดาเป็นผู้นำทาง คุณไม่ชัดเจนในพระรัตนไตรเพราะขาดพระสงฆ์ ให้ระวังเรื่องปรามาสพระรัตนไตรด้วยน่ะครับคุณกล่าวถึงพระพุทธเจ้าเยอะมากว่าเคารพเทอดทูนแต่คุณมีปัญหาแม้กระทั้งศีล5 จะกลายเป็นเอาพระรัตนไตรมาอ้างเพื่อชนะคะคาน บางคนใช้แค่คำบริกรรมก็ทำความสงบของใจได้เป็นสมาธิอบรมปัญญา แต่ถ้าวุ่นวายยุ่งยากในหัวใจมากจนคำบริกรรมเอาไม่อยู่ก็ให้พิจรณาเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าไม่เข้าใจประโยคนี้ก็ให้กลับไปทำทานบ่อยๆจดจำอารมณ์เวลาสละของนอกกายตัวเองให้เอามาพิจรณา เงินทองของนอกกายห่วงมันมากใช่มั๊ยสละมันออกไปได้เหมือนกันนี้ อันโลภ โกรธ หลง ที่อยู่ในใจ สละมันได้มั๊ยหากจะผิดศีล5คิดให้ออกเอาอารมณ์ตอนสละสิ่งของตัวนี้มาใช้พิจรณา เมื้อสงบเป็นสมาธิ ในมิตินั้น คุณจะเหมือนอยู่บนโลกอีกโลก ธรรมารมณ์ได้ยากแต่ถ้าได้ชนะกามคุณ5ทุกตัว

ใครไม่เคยเข้าถึงไม่รู้หรอ เรียกว่า อยู่จนตายตรงนั้นก็ อยู่ได้ แต่ความสุขจากการหลุด พ้น หลวงตาท่านเปรียบกับ อันนี้มันแค่กองขี้ควาย

เคยเข้าไปสัมผัสยังไม่เคยลืมความรู้สึกนั้นเลย ท่านยังบอกว่า มันจะสุขยิ่งกว่านี้ จนมีคนติดอยู่ผมก็เชื่อเพราะแค่เข้าไปสัมผัสนิดเดียวความรู้สึกยังไม่ลืมเลยแล้วจะไม่ติดได้ไง แต่เปรียบกับการหลุดพ้น มันแค่กองขี้ควาย มันจะขนาดไหนหนอ ความสุขจากการหลุดพ้น พระไตรปิฏก ก็บอกแค่สุขอย่างยิ่ง แต่ไม่รู้หรอกว่าสุขอย่างยิ่ง มันเป็นสุขขนาดไหน


Edited by ter162525, 12 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 14:26.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป




ผู้ใช้ 0 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 0 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน