Jump to content


Photo
* * * * * 1 votes

ทุจริตจำนำข้าว กระบวนการและข้อมูลยืนยัน

จำนำข้าว

  • Please log in to reply
200 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:50

*
POPULAR

คุณ TFEX กำลังทำหน้าที่นักการเมืองที่ดี คือตรวจสอบรัฐบาล
ตอนนี้ กำลังเน้นเรื่องทุจจริตจำนำข้าวอยู่

ผมคิดว่า ในฐานะเพื่อนร่วมเว็บ แม้จะไม่เห็นด้วยกับรสนิยมทางการเมือง
แต่การตรวจสอบนักการเมือง ใครทำก็ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น

ผมขอตั้งกระทู้นี้ เพื่อเป็นคลังข้อมูลเรื่องการทุจริตจำนำข้าว
ท่านใดสนใจ ก็พับแขนเสื้อ โดดลงมาเลยครับ

Posted Image
http://thaipublica.o...pledge-of-rice/

Edited by amplepoor, 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:09.


#2 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:53

“พงศ์อินทร์ อินทรขาว” มือปราบดีเอสไอ เปิดกระบวนการทุจริตจำนำข้าว โกงได้ทุกขั้นตอน ระบุสาวไม่ถึงต้นตอ



18 เมษายน 2012

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวเป็นปัญหาเรื้อรังเกินความสามารถที่หน่วยงานภาครัฐจะเยียวยาแก้ไข แม้จะมีความพยายามป้องกันและปรามปราม รวมถึงดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดทุจริตจำนำข้าว แม้จะมีหลักฐานพยานชัดเจนแต่ไม่สามารถเอาผิดได้ และไม่ได้ช่วยทำให้กระบวนการรับจำนำข้าวมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้มากขึ้นแต่อย่างใด
ล่าสุดเกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวในฤดูการผลิต 2554/2555 ของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่นำระบบรับจำนำกลับมาใช้อีกครั้ง หลังจากยกเลิกไปช่วงหนึ่งในรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ซึ่งหันไปใช้นโยบายประกันรายได้เกษตรกรแทน
โครงการรับจำนำของรัฐบาลชุดนี้การันตีว่าจะควบคุมดูแลไม่ให้มีการทุจริต โดยแต่งตั้งคณะกรรมการหลายๆ ชุดขึ้นมากำกับตรวจสอบ แต่ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย พบการทุจริตจำนำข้าวเกิดขึ้นจนได้
โดยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กระทรวงพาณิชย์ส่งเรื่องคดีทุจริตจำนำข้าวเป็น “คดีพิเศษ” ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม รับไปดำเนินการ 2 คดี คือ คดีการทุจริตโครงการจำนำข้าวจังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดนครนายก ซึ่งอาจมีพื้นที่อื่นเพิ่มเติมเข้ามาอีก เช่น ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น
การทุจริตทั้งสองคดี พบพฤติกรรมของผู้กระทำความผิดคือ มีการสวมสิทธิ์แทนเกษตรกรตัวจริงโดยผู้ที่เข้าสวมสิทธิ์ไม่ได้เป็นเกษตรกร เพื่อเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกจำนวนหลายราย ซึ่งจะทำให้รัฐเกิดความเสียหาย

Posted Image
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว

ทั้งนี้ คดีทุจริตจำนำข้าวที่ยกระดับเป็นคดีพิเศษ อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสำนักคดีความมั่นคงของดีเอสไอ มีมือปราบที่ดูแลในเรื่องนี้คือ “พ.ต.ท. พงศ์อินทร์ อินทรขาว” ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง ซึ่งได้กล่าวถึงทำคดีทุจริตจำนำข้าวว่า “ไม่ง่ายเลยที่จะทำคดีเกี่ยวกับการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เพราะแต่ละกระบวนการที่เกี่ยวข้องมีผลประโยชน์เยอะมาก”
โดยสำนวนเกี่ยวกับโครงการรับจำนำจำนำพืชผลเกษตร รวมถึงจำนำข้าวจะมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญแบ่งเป็น 3 ส่วน
1. เกษตรกรที่นำพืชผลหรือข้าวเปลือกไปจำนำ
2. คนกลาง เพราะรัฐไม่มีที่รับจำนำหน้างาน ไม่มีไซโล ส่วนใหญ่ถ้าจำนำมันสำปะหลังก็ไปโรงมัน โรงแป้ง ถ้าเป็นข้าวก็ไปโรงสี ส่วนลำไยก็เป็นโรงอบ แล้วแต่กรณี จะมีคนกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง
3. เมื่อรับจำนำเสร็จก็ต้องเอาไปเข้าคลังสินค้ากลาง จากนั้นก็ไปสู่โครงการระบายสินค้า



พ.ต.ท.พงศ์อินทร์กล่าวว่า โครงการรับจำนำพืชผลเกษตรทุกอย่างจะมีเกษตรกร หลังจากนั้นจะมีเรื่องของคนกลาง กรณีจำนำข้าวคือโรงสี จากโรงสีไปคลังสินค้ากลาง จากนั้นก็ขั้นตอนสุดท้ายคือการระบายข้าว

ในกรณีการทุจริตตรงเกษตรกร จะมีเรื่องการสวมสิทธ์ ประเด็นต่อมา พอเอาข้าวมาที่โรงสีเกษตรกรจะถูกเอาเปรียบหลายกรณี เช่น สิ่งปลอมปน ความชื้น น้ำหนัก รับจำนำบางส่วน กีดกันทุกอย่างเพื่อให้เกิดกระบวนการต่อรอง เพราะเครื่องมือชั่ง ตวง วัด อยู่ที่โรงสีทั้งหมด และเนื่องจากการรับจำนำข้ามเขตไม่ได้ ก็อาจถูกโรงสีกีดกันหรือจำกัดให้รับจำนำบางส่วน

ตัวอย่างเช่น มีข้าว 100 ตัน แต่รับจำนำแค่ 50 ที่เหลือโรงสีบวกของตัวเองเข้าไปอีก 50 ตัน ถ้าไม่ยอมเช่นนั้นก็จะอ้างในเรื่องต่างๆ ทำให้เกษตรกรต้องยอม กระบวนการตรงนี้เกษตรกรถูกเอาเปรียบมาก นอกจากนี้โรงสียังมีรายได้จากค่าแปลงสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวขาว

“ปกติชาวบ้านจะไม่ได้มาที่โรงสีเอง จะวานรถมาส่งที่โรงสี เขาก็ไม่มีปากมีเสียงแทน หรือแม้แต่ชาวนามาเองก็ไม่มีอำนาจต่อรอง สุดท้ายชาวนาจะถูกเอาเปรียบตรงนี้มาก และท้ายสุดก็เป็นช่องว่างให้มีการแทรกแซงการสวมสิทธิ”

ประเด็นต่อมา ที่คลังสินค้ากลาง เขาเรียกว่า กินรายวันเหมือนหอพัก แต่ไม่ได้เอาคนพัก กลายเป็นเอาข้าวมาพัก ใครมีคลังสินค้ากลางก็เหมือนมีหอพักเก็บข้าว ซึ่งมีผลประโยชน์มหาศาล ทั้งที่ได้โดยสุจริต คือ ค่าเก็บรักษา และค่าขนส่ง

แต่ตรงคลังสินค้าก็มีช่องว่าการทุจริต คือ เวลาเอาข้าวเข้ามาเป็นข้าวใหม่ เก็บนานเป็นข้าวเก่า เขาก็เอาข้าวเก่าไปขาย แล้วเอาข้าวใหม่มาแทนที่ หรือบางกรณีเอาข้าวที่ยังไม่เสียมารอสำหรับรองพื้นข้างล่าง (กรณีที่รับเอาข้าวใหม่เข้ามาในคลังสินค้า) บางครั้งก็ลักไปขายแล้วเอามาคืนไม่ทัน ก็ถือว่าขโมยไปขาย นอกจากนี้ บางกรณีเอาข้าวคุณภาพไม่ดีมาเปลี่ยนหรือปลอมปน เป็นต้น

“มีการพูดกันว่า เวลามีโครงการรับจำนำข้าว บางคนสร้างคลังสินค้ากลางขึ้นมารอเลย ตรงนี้โกงรัฐ เพราะเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีใครมาไถ่จำนำคืน เท่ากับรัฐรับซื้อทั้งหมด ถ้ามีความเสียหายคนที่เสียหายคือรัฐไม่ใช่เกษตรกร”

สุดท้าย กระบวนการระบายข้าว รัฐบาลจะเป็นผู้รับขาดทุนเสมอ เพราะรับจำนำในราคาสูง หรืออีกนัยหนึ่งคือการซื้อขาดนั่นเอง เนื่องจากเกษตรกรเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มาไถ่ถอนคืน เมื่อรัฐซื้อข้าวมาในราคาแพง แต่เวลาขายกลับต้องขายถูกเพื่อแข่งขันกับต่างประเทศ เช่น เวียดนาม เพราะฉะนั้น รัฐต้องขาดทุนอย่างแน่นอน

พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ระบุว่า หลักการของการรับจำนำคือ เอาข้าวออกจากตลาด 20% เพื่อดึงซัพพลายออกจากตลาด ทำให้ดีมานด์หรือควาต้องการสูงขึ้น ซัพพลายลดลงราคาข้าวจะได้เพิ่มขึ้น แต่เมื่อเอาข้าวออกไปแล้ว ก็ต้องการระบายข้าวออกนอกประเทศ เพื่อที่ข้าวฤดูใหม่เกิดขึ้นมาจะได้ราคาไม่ตก หรือทำให้ข้าวราคาสูง

“แต่ประเด็นคือ ข้าวไปต่างประเทศจริงหรือไม่ กระบวนการทั้งหมดตรงนี้น่ากลัวที่สุด ซึ่งมีตัวอย่างในอดีตเกิดขึ้นแล้วในกรณีมีบริษัทที่ประมูลข้าวชนะ แต่ไม่ส่งข้าวออกไปต่างประเทศ”

โดยรูปแบบที่ทำกันคือ ตั้งบริษัทตัวแทน หรือ นอมินี ขึ้นมาบอกว่า มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ แล้วทำหลักฐานเท็จขึ้นมา เช่น มี L/C (Letter of Credit) เป็นต้น แล้วก็เข้าโครงการระบายข้าว ที่มีกระบวนการประมูล สุดท้ายได้โควตาไปดำเนินการ แต่ไม่ได้ส่งข้าวออกนอกประเทศจริง

ล่าสุดในรัฐบาลที่แล้ว มีอยู่คดีหนึ่งที่ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่า มีการระบุจะส่งข้าวโดยทางเรือแต่ไม่ได้เป็นไปตามนั้น ท้ายสุด ข้าวกลับมาเป็นข้าวในประเทศ ข้าวไม่ได้ไปไหน นี่คือเหตุผลที่ข้าวถุงแพงแต่ชาวนาจน

“กระบวนการจำนำข้าวที่น่ากลัวที่สุดคือ การระบายข้าว แต่ผลกระทบมากที่สุดตกอยู่ที่เกษตรกร ทั้งที่โครงการนี้เป็นการช่วยเหลือเกษตรกร แต่เกษตรกรกลับถูกเอาเปรียบอย่างสาหัสตรงโรงสี ส่วนรัฐถูกเอาเปรียบตรงคลังสินค้า”


สำหรับการดำเนินการของดีเอสไอที่รับคดีจำนำข้าวเปลือกนาปี 2554/2555 เข้ามา 2 คดี คือที่กาญจนบุรีกับนครนายกนั้น พ.ต.ท.พงศ์อินทร์กล่าวว่า การปฏิบัติของดีเอสไอในคดีคือ ได้รับเชิญให้ไปร่วมการตรวจสอบของคณะกรรมตรวจสอบและประเมินผลของการรับจำนำข้าวนาปี แต่พบว่าผลของการตรวจสอบไม่ได้เข้มข้นจริงจัง ทั้งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่การไปตรวจต้องจริงจัง และเจ้าหน้าที่ที่ไปตรวจสอบต้องมีอำนาจ มีความรู้ สามารถไปโต้เถียงกับโรงสีได้ เพราะโรงสีเขามีความเชี่ยวชาญและมีอิทธิพลมาก

พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ยอมรับว่าแนวทางการดำเนินคดีจะเน้นตั้งรับมากกว่าเชิงรุก เพราะมีคดีพิเศษที่รับผิดชอบจำนวนมากที่สำคัญเช่น คดีทุจริตยาสูตรผสมซูโดอีเฟรดรีน และ คดีทุจริตเงินกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต หรือ กรอ. เป็นต้น แค่คดีซูโดอีเฟรดรีนก็ใช้เวลานานเป็นครึ่งปีแล้ว

ที่สำคัญ จากบทเรียนหรือประสบการณ์เกี่ยวกับการดำเนินคดีทุจริตในโครงการจำนำพืชผลเกษตร เช่น คดีเกี่ยวกับรับจำนำมันสำปะหลัง เกี่ยวกับการะบายสินค้า ระบายข้าว การทุจริตเกี่ยวกับโกดังข้าว ทุจริตเรื่องลำไย ทำให้รู้ว่า แผนประทุษกรรมพวกนี้มีขบวนการอย่างไร และก็มีประสบการณ์เรื่องนี้พอสมควร ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กระทรวงพาณิชย์โอนคดีทุจริตจำนำข้าวมาให้ดีเอสไอรับผิดชอบเป็นคดีพิเศษ แต่เรื่องนี้ไม่ง่าย

พ.ต.ท.พงศ์อินทร์กล่าวว่า จากประสบการณ์ เคยทำคดีกรณีทุจริตโครงการจำนำมันสำปะหลังซึ่งมีการสวมสิทธิเกษตรกร ทางเราลงพื้นที่ไปสอบพยานบุคคลเพื่อหักล้างพยานเอกสาร มีการสอบเกษตรกรเป็นร้อยคนจนได้รับการยืนยันจากเกษตรกรว่า เขาถูกจ้างคนละ 5,000 บาท เพื่อเซ็นชื่อโอนสิทธิ์ให้คนอื่นที่ไม่ใช่เกษตรกรมาสวมสิทธิ์แทนเพื่อเข้าโครงการรับจำนำ แต่สุดท้าย คนในกระบวนการทางกฎหมายเขาเชื่อพยานหลักฐานมากกว่าพยานบุคคล

“คดีนี้เราทำงานละเอียดมาก และทุ่มเทมากกับสำนวนนี้ ทุ่มความรู้ทุกอย่าง หมดไปครึ่งปี แต่สุดท้ายยื่นฟ้องที่อัยการคดีพิเศษในปี 2543 อัยการสั่งไม่ฟ้องทั้งหมด คดีก็จบ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้”

พ.ต.ท.พงศ์อินทร์สรุปบทเรียนจากการทำคดีทุจริตโครงการจำนำพืชผลเกษตรว่า อุปสรรคที่สำคัญคือ ปัญหาเรื่องผู้มีอิทธิพล และอุปสรรคของพนักสอบสวนที่หนักสุดคือ การฮั้วกันของผู้ว่าจ้างกับชาวบ้านที่ถูกว่าจ้างมาให้ทุจริต ซึ่งในกรณีทุจริตจำนำมันสำปะหลัง มีการเรียกชาวบ้านมาสอบสวนครั้งแรกกับครั้งที่สองปฏิเสธ จนครั้งที่สามถึงยอมรับ แต่สุดท้ายในทางกฎหมายพยานเอกสารน่าเชื่อถือว่าพยานบุคคล จึงทำอะไรไม่ได้

“อย่างไรก็ตาม กรณีทุจริตจำนำข้าว ผมฟ้องได้อยู่แล้ว แต่เขาจะเอาตามผมหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องข้าว 2-3 กรณี ส่วนกรณีมันสำปะหลังที่ผมทำผมมีพยานบุคคลเป็นร้อยเขายังไม่เชื่อผมเลย เขาเชื่อเอกสาร เขาว่าอย่างนั้น”

แม้จะมีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ แต่พ.ต.ท.พงศ์อินทร์มั่นใจว่า ถ้ามีเครื่องมือให้ดีเอสไอจะช่วยลดปัญหาได้บ้าง โดยเครื่องมือที่ต้องการมากที่สุดคือ ผู้ตรวจสอบคุณภาพสินค้า (Surveyor) ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบคุณภาพข้าว

“ถ้าผมมี surveyor เป็นของผมเอง จะตรวจได้เลยว่าทำดีไม่ดี ทำถูกไม่ถูก มีการระบายจริงหรือไม่ ถ้าได้อันนี้จะทำให้ดีเอสไอมีอำนาจมากขึ้นในการตรวจสอบ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ surveyor จะรู้จักกับเจ้าของโกดังกลาง ก็อาจทำให้การตรวจสอบไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้”

นอกจากนี้ยังเสนอแนะว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐมีกวดขันและเอาจริงเอาจังในขั้นตอนโรงสี จะช่วยชาวนาไม่ให้ถูกเอาเปรียบได้ลดลง และควรคัดเลือกคนที่ไม่มีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับโรงสีออกไป แล้วให้มีการหมุนเวียนเปลี่ยนชุดใหม่ทุกปี ซึ่งปัจจุบันใช้แต่คนซ้ำๆ บางครั้งก็ไม่อยู่ เนื่องจากมีงานประจำ และบางครั้งก็เซ็นอนุมัติให้ไปก่อนทั้งที่ไม่ได้อยู่ตรวจ

พ.ต.ท.พงศ์อินทร์กล่าวทิ้งทายว่า ปัญหาใหญ่ของการทุจริตจำนำข้าวหรือจำนำพืชผลเกษตรเป็นปัญหา “เชิงระบบ” ของโครงการจำนำข้าว และปัญหาการ “บริหารจัดการ” ในแต่ละกระบวนการ ส่วนการไล่จับหรือการดำเนินคดีเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

“การดำเนินคดีทุจริตจำนำข้าว ดีเอสไอมองทั้งกระบวนการในภาพรวมทั้งระบบ ไม่ได้ดำเนินคดีเฉพาะจุด หรือจับกุมเฉพาะหน้างานแต่ละจุดเท่านั้น ทำให้เห็นปัญหาภาพรวมทั้งระบบ และที่พูดมาทั้งหมดเพราะต้องการให้เกิดการแก้ํปัญหาอย่างแท้จริง”


#3 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:53

ความคืบหน้าโครงการรับจำนำข้าว

นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นอีกนโยบายที่ใช้หาเสียงจนสามารถเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา และได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาด้วยว่า จะดำเนินนโยบายจำนำข้าวนาปีในฤดูการผลิตปี 2554/2555 และจะรับจำนำทุกเมล็ด โดยจะรับจำนำข้าวเปลือก 100% ที่ราคาตันละ 15,000 บาท และข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท

โครงการรับจำนำข้าวนาปี 2554/2555 เริ่มตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2554 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2555 การดำเนินการดังกล่าวรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 435,547 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 25% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยคาดว่าจะมีข้าวเข้าโครงการรับจำนำ 25 ล้านตัน

แต่จากการสรุปผลโครงการจำนำข้าวเปลือกนาปี 2554/2555 ของกระทรวงพาณิชย์ โดยนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปรากฏว่า มีชาวนานำข้าวมาเข้าโครงการรับจำนำข้าวจำนวน 6,770,306 ตัน ต่ำกว่าเป้าหมาย 25 ล้านตัน โดยข้าวที่เข้าโครงการรับจำนำแบ่งเป็นข้าวเปลือกหอมมะลิ 3,065,473 ตัน ข้าวเปลือกเจ้า 2,905,302 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว 438,075 ตัน

ทั้งนี้รัฐบาลใช้งบประมาณรวม 130,000-140,000 ล้านบาท แยกเป็นงบค่าดำเนินการและฝากเก็บข้าวในโกดัง 30,000 – 40,000 ล้านบาท และงบเงินทุนหมุนเวียนอีก 100,000ล้านบาท ต่ำกว่างบประมาณที่ตั้งไว้กว่า 400,000 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่เกษตรกรนำข้าวเปลือกเข้าร่วมโครงการน้อยกว่าที่คาด กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า เนื่องจากเกษตรกรมีทางเลือกในการนำข้าวไปขายในตลาดด้วยตนเอง

แม้จะมีปัญหาการทุจริตจำนำข้าวนาปีฤดูการผลิต 2554/2555 แต่รัฐบาลก็เดินหน้าต่อ โดยเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรับฤดูการผลิต 2555 ซึ่งเปิดดำเนินการไปแล้วในวันที่ 1 มีนาคม ถึง 30 มิถุนายน 2555 (รายละเอียดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2555)


#4 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:56

สยามอินดิก้า
ขาใหญ่ส่งออกข้าว ประสงค์ดอทคอม เกาะติดไม่ปล่อย


Edited by amplepoor, 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:56.


#5 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:59

งาบข้าวโครงการขายให้อินโด
นับเป็นข่าวสะเทือนขวัญคนวงการค้าข้าว ส่งท้ายปีเถาะกระต่าย เมื่อ องค์การคลังสินค้า (อคส.)รัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ประกาศเปิดประมูลปรับปรุงคุณภาพข้าวสารส่งมอบองค์การสำรองอาหารแห่งประเทศอินโดนีเซีย (บูล็อก) จำนวน 300,000 ตัน โดยอ้างว่าคำประกาศดังกล่าวคนวงการค้าข้าวส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้อย่างกว้างขวาง จึงทำให้มีบริษัทยื่นซองประมูลเพียง 2 บริษัทเท่านั้นคือ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด กับบริษัท นครสวรรค์ค้าข้าว จำกัด และเมื่อนับจากวันประกาศประมูลรวมระยะเวลาไม่ถึง 10 วัน อคส.ก็ประกาศบริษัทชนะประมูลคือบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด
ผลการคัดเลือกให้บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ชนะประมูลปรับปรุงข้าวสารส่งมอบประเทศอินโดนีเซียครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับสมาคมผู้ส่งออกข้าวเป็นอย่างมาก โดยอ้างว่าไม่มีการแจ้งข่าวสารผ่านสมาคมซึ่งถือเป็นศูนย์รวมของบริษัทผู้ส่งออกข้าว ทำให้สมาคมมีความจำเป็นต้องทำหนังสือถึงนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเจ้ากระทรวงต้นสังกัดเพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
"ชูเกียรติ โอภาสวงศ์" นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่าได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปแล้ว 1 ฉบับ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ กลางสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงยื่นอีก 1 ฉบับ หากยังไม่ได้รับคำตอบ จะขอเข้าพบเพื่อให้ท่านรัฐมนตรีได้ชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะสมาคมเห็นว่ามีความไม่ชอบมาพากล อาจจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการเพียงรายเดียว และไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการรายอื่น
สำหรับข้าวที่อคส.ประกาศหาบริษัทปรับปรุงคุณภาพเพื่อส่งมอบบูล็อกครั้งนี้ เป็นข้าวที่อคส.ได้เจรจาขายให้กับบูล็อกราวเดือนสิงหาคม โดยการเดินทางไปเจรจาขายข้าวของอคส.ได้รับคำแนะนำจากผู้ส่งออกให้ไปช่วยเจรจาขายแบบจีทูจี (รัฐบาลต่อรัฐบาล) เพราะบูล็อกซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาลจัดซื้อข้าวของประเทศอินโดนีเซีย ได้มีการซื้อข้าวจากประเทศเวียดนามจำนวนมาก ความต้องการข้าวจำนวนมากของอินโดนีเซียรัฐบาลไทยจึงน่าจะไปเจรจาขายจีทูจี
ผลการเจรจาขายข้าวอคส.ได้ข้อสรุปขายข้าว 15% ปริมาณ 300,000 ตัน ราคาเอฟโอบีตันละ 559 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาดังกล่าวผู้ส่งออกที่แนะนำไปเจรจาขายเห็นว่าเป็นราคาที่ต่ำเกินไป ราคาที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ระดับ 590-600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ผู้ส่งออกกลุ่มดังกล่าวไม่ค่อยพอใจราคาขายของอคส.ขณะที่รัฐบาลขณะนั้นนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังไม่ทันเซ็นอนุมัติขายก็หมดวาระลงเสียก่อน ประกอบกับช่วงรับตำแหน่งของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ได้ไม่นานเกิดสถานการณ์น้ำท่วมเรื่องดังกล่าวได้เงียบไป และมีความเคลื่อนไหวการขายข้าวให้กับบูล็อกอีกครั้งเมื่ออคส.อนุมัติให้บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ชนะประมูล
"ผมยังไม่ทราบข้อมูลว่าการที่อคส.ให้สิทธิ์บริหารจัดการข้าวอินโดนีเซียล็อตนี้กับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นั้นเป็นการให้ปรับปรุงคุณภาพข้าว หรือว่าให้ส่งมอบข้าวให้เลย โดยที่อคส.ได้ค่านายหน้า และค่านายหน้าอคส.ได้รับเท่าไร"ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่รายหนึ่งตั้งข้อสังเกต


อย่างไรก็ดีกรณีของอคส.กับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เหตุการณ์คล้ายๆกันนี้ เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 2545 สมัยที่พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นบริษัท เพรซิเดนท์อะกริเทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ต่อมาถูกฟ้องล้มละลายและมาดำเนินกิจการในนามบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด
ได้รับสิทธิ์ส่งมอบข้าวให้กับบูล็อกปริมาณ 500,000 ตัน มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท โดยข้าวจำนวนดังกล่าวองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นหน่วยงานทำข้อตกลงขาย โดยบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด ได้ค่าส่งมอบตันละ 21 บาท
กรณีออร์เดอร์ข้าวอินโดนีเซีย 500,000 ตัน เมื่อปี 2545 นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร กรรมการผู้จัดการบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด เคยให้สัมภาษณ์กับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เนื่องจากเขาเห็นว่าประเทศอินโดนีเซียไม่ซื้อข้าวจากประเทศไทยมานานแล้ว จึงคิดว่าประเทศไทยน่าจะขายข้าวให้กับอินโดนีเซีย เขาจึงเดินทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-อินโดนีเซีย เดือนละหลายครั้งเพื่อเจรจาขายข้าวกับเจ้าหน้าที่ของบูล็อก แต่ไปกี่ครั้งก็ไม่ได้ผล โดยทางบูล็อกอ้างว่าข้าวไทยราคาแพง แต่ผมรับปากว่าจะหาข้าวราคาถูกให้
"ผมได้มีโอกาสพบกับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น) ในโอกาสที่สมาคมผู้ส่งออกข้าวเข้าพบพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ผมไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว ไปพบเหมือนกับพ่อค้าข้าวทั่วไป แต่ผมอยากขายข้าวให้กับอินโดนีเซีย ผมจึงให้ท่านช่วยเจรจาขายให้กับอินโดนีเซีย เมื่อท่านทักษิณ เยือนอินโดนีเซียและเจรจาขายข้าวจีทูจี อินโดฯตอบตกลงซื้อข้าวจากรัฐบาลไทย ผมจึงได้สิทธิ์ส่งมอบ เพราะผมได้เจรจาไว้ก่อนหน้านี้" เขาให้สัมภาษณ์กับ "ฐานเศรษฐกิจ" เมื่อปี 2547


สำหรับข้าวอินโดนีเซียล็อตล่าสุด 300,000 ตัน มีลักษณะคล้ายๆ กันนั่นคือเป็นความต้องการอยากจะขายข้าวให้อินโดนีเซียของผู้ส่งออก แต่อินโดนีเซียมีความต้องการซื้อข้าวจีทูจีเป็นหลัก เอกชนจึงแนะนำให้ อคส. ช่วยเจรจาขายให้ แต่การเปิดประมูลปรับปรุงคุณภาพข้าวหรือให้สิทธิ์ส่งมอบข้าว ทำไมผู้ส่งออกจึงไม่รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ถึงขั้นต้องทำหนังสือถึงนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต้นสังกัดชี้แจงข้อเท็จจริง ไฉนหวยจึงไปออกที่บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เพียงบริษัทเดียว

ที่สำคัญเลยนั้น มีกระแสข่าวระบุว่าการเดินทางเยือนประเทศอินโดนีเซีย ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2554 ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นมีคนพบเห็นนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร อยู่ที่ประเทศอินโดนีเซียด้วย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด ภายใต้การบริหารของนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ยิ่งใหญ่ขึ้นมาผงาดคับวงการค้าข้าว และก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของประเทศ ชนะการประมูลข้าวล็อตใหญ่ 1.7 ล้านตัน ที่กระทรวงพาณิชย์เปิดประมูลขาย เพราะนโยบายรัฐบาลทักษิณ รับจำนำข้าวราคาสูง และเกิดการปั่นราคาข้าวในท้องตลาดให้สูงขึ้นตาม ผู้ที่ชนะประมูลข้าวของรัฐบาลราคาถูกจึงมีความได้เปรียบ แต่หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ บริหารประเทศ ได้ปรับลดราคารับจำนำข้าวลง ส่งผลให้ราคาข้าวในท้องตลาดลดลง บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้งฯ ประสบปัญหา ข้าวในสต๊อกมีต้นทุนที่สูงกว่าข้าวในท้องตลาด ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงนั้น จึงทำให้บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด ประสบปัญหาขาดทุนและถูกฟ้องล้มละลายในที่สุด กระทั่งต้องหันมาดำเนินธุรกิจในนามบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด
จึงเป็นที่น่าจับตาว่าบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ว่าผู้มีอำนาจของบริษัทในทางนิตินัยจะไม่ได้ชื่อ "อภิชาติ จันทร์สกุลพร" แต่ในทางพฤตินัยแล้วคงไม่มีใครปฏิเสธ จะผงาดขึ้นเหมือนกับบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด ยุค "ทักษิณ ชินวัตร" หรือไม่ ที่สำคัญ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" จะคลี่คลายสถานการณ์ความไม่เป็นธรรมที่กำลังเกิดขึ้นกับวงการค้าข้าว ส่งท้ายปีเถาะนี้อย่างไร

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,699 25-28 ธันวาคม พ.ศ. 2554




#6 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:02

สำนักข่าวอิสราเจ้าเก่า ก็เกาะติดอินดิก้าอีกแรง
http://www.isranews....5879--105-.html


เจาะกลยุทธ์ “สยามอินดิก้า” ช่วย “เพรซิเดนท์” ใช้หนี้กรุงไทย 1.05 พันล. เข้าตำรา “อัตยายซื้อขนมยาย” พบข้อมูลใหม่ผู้บริหาร ฯ ไฟเขียวแทงหนี้สูญ ผู้สอบบัญชี ชี้ข้อสงสัยเงินเบิกเกินบัญชี – เงินกู้ยืมระยะสั้น กระทบความสามารถการดำเนินงานต่อเนื่อง !!

การตรวจพบความสัมพันธ์ในตัวกรรมการ และผู้ถือหุ้น ระหว่าง บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด กับ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ที่ปรากฏข้อมูลชัดเจนว่า บริษัททั้งสองแห่ง เป็นบริษัทกลุ่มเดียวกัน อาจไม่ใช่เรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของใครหลายคน

(อ่านรายละเอียดในเรื่อง เปิดสัมพันธ์ลึก “สยามอินดิก้า-เพรซิเดนท์ ฯ ”เมีย นพ. หุ้นใหญ่ ก่อนคว้าข้าวรัฐฯ 3 แสนตัน)

แต่การที่ บริษัท สยามอินดิก้า มีการเปลี่ยนตัวกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท และผู้ถือหุ้นใหญ่หลายครั้ง ในช่วงการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงปี 2551 เป็นต้นมา ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า บริษัท สยามอินดิก้า มีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ ??

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ในช่วงปี 2551 บริษัท สยามอินดิก้า เคยเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้านการเงินกับ บริษัท เพรซิฯโดยการเข้าไปทำสัญญาซื้อหนี้ ของบริษัท เพรซิเดนท์ ฯ จากธนาคารกรุงไทย ในราคา 1,050 ล้านบาท จากมูลหนี้ 1,286 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 556 ล้านบาท เป็น 856 ล้านบาท ( บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด จดทะเบียนเพิ่มทุน เป็น 856,000,000 บาท เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2550 ) และแต่งตั้งบริษัทอื่นตามความเห็นชอบของธนาคารควบคุมกระแสเงินสดเข้า-ออก ร่วมลงนามในการเบิกถอนเงินจากบัญชีของบริษัทฯ และควบคุมการรับ-จ่ายสินค้าสำเร็จรูปและวัตถุดิบ

นอกจากนี้ บริษัท สยามอินดิก้า จะไม่เข้าทำสัญญาซื้อขายหนี้กับธนาคาร แทนและ/หรือในนามของบริษัท เพรซิเดนท์ ฯ หรือขายหรือโอนหนี้ที่ซื้อไปจากธนาคารภายใต้สัญญาซื้อขายหนี้ (ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน) คืนให้กับบริษัท/หรือบุคคลที่ถือได้ว่าเกี่ยวข้องกันกับบริษัท เพรซิเดนท์ ฯ

หากบริษัทฯ ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามคำยืนยันข้างต้น บริษัท สยามอินดิก้า ยินยอมชำระหนี้ส่วนที่ธนาคารลดให้ทั้งจำนวนเป็นเงิน 236 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเข้าซื้อหนี้กว่าพันล้านดังกล่าวสเกิดขึ้นหลังจากบริษัท เพรซิเดนท์ ฯ ผิดนัดชำระหนี้และมีการไปกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงินหลายแห่ง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินของธนาคารพาณิชย์ ในช่วงระหว่างปี 2548-2549 เป็นมูลค่าประมาณ 6,234 ล้านบาท (เฉพาะเงินต้น) ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มอบหมายให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้ามาดำเนินการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า บริษัทใช้วิธีทำสัญญาซื้อขายข้าวปลอม เพื่อไปขอกู้เงินจากธนาคาร 8-9 แห่ง จนทำให้เกิดหนี้สูญเป็นจำนวนมาก และถูกฟ้องร้องล้มละลายในเวลาต่อมา

(อ่านข่าวประกอบ เรื่อง วิบากกรรม"เพรซิเดนท์ อะกริฯ"รุ่งโรจน์และโรยรา เปิดชื่อ 30 เจ้าหนี้รุมทึ้ง อภิยักษ์ค้าข้าว )

ต่อมา ในช่วงปี 2552 ผู้บริหารบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ได้อนุมัติให้บันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในสิทธิเรียกร้องหนี้ดังกล่าว ทั้งจำนวน โดยปรับย้อนหลังกับงบการเงินปี 2551

จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าการที่บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด มีการเปลี่ยนแปลงตัวกรรมการ และผู้ถือหุ้นหลายครั้ง ในช่วงที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะต้องการทำตามเงื่อนไขสัญญาที่ให้ไว้กับธนาคารกรุงไทยหรือไม่ ?? และปัจจุบันการชำระหนี้ดังกล่าว มีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด??

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลกำไรขาดทุนของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด พบว่า

ปี 2547 แจ้งรายได้รวม 18,152,153.82 บาท รายจ่ายรวม 20,478,276.16 บาท มีกำไร (ขาดทุน) สุทธิ ติดลบ ( -) 3,969,623.69 บาท

ปี 2548 แจ้งรายได้รวม 49,034,124.12 บาท รายจ่ายรวม 42,192,999.71 มีกำไร(ขาดทุน)สุทธิ 1,689,925.94 บาท

ปี 2549 แจ้งรายได้รวม 88,731,566 บาท รายจ่ายรวม 82,602,674.00 บาท มีกำไร(ขาดทุน)สุทธิติดลบ( -) 127,822 บาท

ปี 2550 แจ้งรายได้รวม 106,692,752 บาท รายจ่ายรวม 126,600,879 บาท มีกำไร (ขาดทุน)สุทธิติดลบ -40,419,593 บาท

ปี 2551 แจ้งรายได้จากการขาย 849,523,896.87 บาท รายได้จากการให้เช่า 13,270,584.29 บาท ต้นทุน สินค้าที่ขาย 826,987,308.77 บาท ต้นทุนการให้เช่า 28,768,285.82 บาท กำไร(ขาดทุน)ขั้นต้น 7,038,886.57 บาท ดอกเบี้ยรับ 12,836,547.74 บาท รายได้อื่น 6,408,619.51 บาท ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร 99,773,490.15 ต้นทุนทางการเงิน 122,163,903.87 กำไร(ขาดทุน)สุทธิ ติดลบ-195,653,340.20 บาท

ปี 2552 แจ้งรายได้จากการขาย 5,495,111,405.57 บาท ต้นทุนสินค้าที่ขาย 4,866,182,683.71 บาท กำไร(ขาดทุน)ขั้นต้น 628,928,721.86 กำไร(ขาดทุน)จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา 68,138,086 บาท ดอกเบี้ยรับ 420,925.74 บาท รายได้อื่น 3,335,187.01 บาท ค่าใช้จ่ายในการขาย 108,548,754.77 บาท ค่าใช้จ่ายในการบริหาร 83,079,010.84 บาท กำไร(ขาดทุน)ก่อนต้นทุนทางการเงิน 509,195,155 บาท ต้นทุนทางการเงิน 141,034,999.94 บาท กำไร(ขาดทุน)สุทธิ 368,160,155.06 บาท

ขณะที่เงินกู้ยืมระยะสั้น ระบุว่า บริษัทฯ มีเงินกู้ยืมกรรมการเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนภายในกิจการ โดยไม่มีการทำสัญญาและไม่คิดดอกเบี้ย แต่ไม่มีการระบุวงเงินกู้ที่ชัดเจนแต่อย่างใด

ผู้สอบบัญชีรายเดิม ยังได้ตั้งข้อสังเกตในงบดุล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 และ 2551 ว่า บริษัทฯ มีหนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน จำนวน 375 ล้านบาท และ 418 ล้านบาท ตามลำดับ และการที่บริษัทฯต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ยืมจากธนาคาร ทั้งเรื่องเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน และเงินกู้ยืมระยะยาว เป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อ เนื่องของบริษัท

โดยในส่วนเงินเบิกเกินบัญชี และเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถานบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 และ 2551 บริษัทมีวงเงินเบิกเกินบัญชีและวงเงินแพคกิ้งเครดิต จากธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ร่วมกับเงินกู้ระยะยาว จำนวน 1,064 ล้านบาท ในการซื้อที่ดินก่อสร้างโรงงานและซื้อเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงคุณภาพข้าว สาร ค้ำประกันโดยที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร และโอนผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันและบุคคลท่านหนึ่งค้ำประกันส่วนตัวเต็มวง เงิน


#7 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:04

หมอวรงค์ตามติด

http://www.manager.c...D=9550000089659
ปชป.แฉโครงการรับจำนำข้าวทุจริตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่โกงชาวนาเรื่องความชื่น เรียกหัวคิวค่าเก็บ นำข้าวเก่า ข้าวเน่า ข้าวจากเขมร พม่า มาสวมสิทธิ์ สุดท้ายแอบประมูลเพื่อเอื้อประโยชน์คนของรัฐบาล เตรียมรวบรวมหลักฐานเพื่อซักฟอก รมว.พาณิชย์

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ในฐานะ รมช.พาณิชย์ เงาพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าพบการทุจริตเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ เกรงว่าประเทศจะไปไม่รอด เนื่องจากประเด็นส่วนใหญ่ที่ได้รับการร้องเรียน คือ โครงการรับจำนำมีการทุจริตในทุกขั้นตอน

โดยขั้นที่ 1 การนำข้าวจากชาวนาไปยังโรงสี ชาวนาถูกโกงความชื้น น้ำหนัก และสิ่งเจือปน ซึ่งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ภาครัฐลงไปดูแล ขั้นที่ 2 เอาข้าวไปเก็บไว้ในโกดัง โดยปกติหน่วยงานรัฐจะจ่ายค่าเช่ากระสอบละ 2 บาท แต่ในเดือนแรกจะหักให้เจ้าหน้าที่เป็นค่าต๋ง นอกจากนั้นยังมีหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพข้าวก่อนเก็บเข้าโกดัง โดยมีการเรียกเก็บค่าหัวคิว ตั้งแต่ 7-100 บาท แต่ระยะหลัง 7 บาทไม่ค่อยมี โดยอ้างว่าข้าวที่ชาวนานำมาไม่ได้คุณภาพ

“ผมทราบมาว่ามีการนำข้าวที่ไม่ได้มาตรฐาน และข้าวเก่าจากโครงการเดิม ในปี 51-52 มาสวมสิทธิ์ เข้าโครงการใหม่ และนำข้าวในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศพม่า และกัมพูชา เข้ามาสวมสิทธิด้วย และจากการตรวจสอบพบว่า ตามโกดังต่างๆ จะมีข้าวเน่าผสมกับข้าวคุณภาพดีถึง 30 เปอร์เซ็นต์ จนทำให้ข้าวที่มีอยู่เน่า”

นพ.วรงค์ กล่าวอีกว่า ขั้นที่ 3 คือ การประมูลข้าวอย่างลับๆ ของรัฐบาล ที่ส่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทของคนใกล้ชิดกับรัฐบาล ดังนั้นตนคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล ให้เข้าตรวจสอบในเรื่องนี้ และขอให้ตั้งคณะกรรมการร่วม โดยมีฝ่ายค้านเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย และหากคิดว่าโครงการดังกล่าวมีความบริสุทธิ์ ก็ไม่น่าจะเสียหาย แต่หากรัฐบาลไม่มีการตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อเข้าไปตรวจสอบข้าวตามโกดังต่างๆ จะส่อให้เห็นว่ารัฐบาลมีส่วนได้เสียกับโครงการนี้ และอยากย้ำว่านี่คือโครงการมหากาพย์ของการโกงโครงการรับจำนำของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

อย่างไรก็ตามขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อที่จะให้สาวไปถึงตัวรมว.พาณิชย์ เพราะเรื่องนี้จะต้องถูกนำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอน


#8 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:06

มติชนก็ไม่ตกข่าว

ปชป.แฉเทคนิคโกงรับจำนำข้าว "บุญทรง"รับปากไปจัดการตรวจสอบ


วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555



เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญนิติบัญญัติ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนฯ พิจารณากระกระทู้ถามสด เรื่อง ปัญหาโครงการจำนำข้าวของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ มอบหมายนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ชี้แจงแทน ทั้งนี้ นพ.วรงค์กล่าวว่า นำนโยบายรับจำนำที่ผ่านมาล้มเหลว ทั้งข้าว มันสำปะหลัง และได้ถามกระทู้ รมว.พาณิชย์หลายครั้งก็ไม่เป็นผล จึงหันมาถามนายกฯ แต่ รมว.พาณิชย์ก็มาตอบอีก จึงเชื่อว่านโยบายจำนำจะเจ๊งเหมือนเดิม ขณะนี้เกิดปัญหาการโกงค่าความชิ้นโกงทั้งแผ่นดิน โดยหลายรายถูกวัดค่าความชื้นได้ที่ 37-38 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่เครื่องวัดความชื้นวัดได้สูงสุดแค่ 35 เปอร์เซ็นต์ ตนเคยไปลองวัดค่าความชื้นพบเกษตรกรถูกค่าความต่างไปถึง 12 เปอร์เซ็นต์ อ้างโน่นอ้างนี้เพื่อไม่รับจำนำ เกษตรกรถูกหักค่าจำนำที่ควรได้ไปถึงตันละ 2,000 บาท โกงตาชั่ง โกงเวลารับใบประทวนเป็นเดือนๆ แล้วรัฐบาลทำอะไรอยู่จึงปล่อยให้ชาวนาถูกโกงทั้งแผ่นดิน


“แล้วอนุกรรมการที่ตั้งขึ้นมาตรวจการรับจำนำนั้น รู้ไหมว่าเวลาลงพื้นที่ มีการใส่ซองให้ แล้วการขู่ขึ้นแบล๊กลิสต์โรงสีก็เป็นเพียงการตั้งมาเพื่อต่อรองกับโรงสีเท่านั้น” นพ.วรงค์กล่าว

ด้านนายบุญทรงชี้แจงว่า เรื่องค่าความชื้นได้รับทราบว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าพบว่ามีเจตนาโกงเกษตรกรจริง หน่วยราชการที่ตั้งขึ้นแล้วจะเข้าตรวจสอบและจะดำเนินคดีอย่างเคร่งครัดโดยจะขึ้นแบล๊กลิสต์โรงสีทันที ทั้งนี้ จะสั่งการให้มีการตรวจสอบทุกโรงสี 100 เปอร์เซ็นต์ และที่ผ่านมากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับคดีทุจริต เช่น ที่ จ.กาญจนบุรีไว้เป็นคดีพิเศษแล้ว ทั้งนี้ นพ.วรงค์ทิ้งท้ายว่า เมื่อรับปากกลางสภาแล้ว ต่อไปนี้ถ้าเกิดทุจริตรับจำนำอีก นายบุญตรงต้องรับผิดชอบ

#9 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:13

http://www.mmthailan...99&view=article

ปปช.ชงครม.วางกรอบป้องโกงจำนำข้าว


Posted Image



รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.วันที่ 19 มิ.ย.นี้จะพิจารณาข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีการดำเนินตามนโยบายของรัฐบาลในการรับจำนำข้าวเปลือก ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช.ที่ได้เสนอให้พิจารณาโดยเฉพาะในเรื่องของการระบายข้าวสารจากคลังสินค้าของรัฐบาล

ทั้งนี้ป.ป.ช.เสนอว่าเพื่อไม่ให้ข้าวที่ได้มาจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 54/55 ก่อให้เกิดความสูญเสียงบประมาณของรัฐเป็นจำนวนมาก เพราะต้องรักษาข้าวเป็นเวลานานทำให้ข้าวเสียหายเสื่อมคุณภาพเสียน้ำหนักและป้องกันการทุจริตที่เกิดขึ้น จึงสมควรมอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหรือที่เกี่ยวข้องกำหนดแผนการบริหารจัดการการระบายข้าวที่เก็บรักษาไว้ในโกดังกลางอย่างเป็นระบบ การปิดบัญชีโครงการฯ และให้รายงานผลการดำเนินการหรือไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามแผนได้ให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) พิจารณาโดยเร็วและต่อเนื่อง

นอกจากนี้ในเรื่องของหลักเกณฑ์ วิธีการ และรายละเอียดในการดำเนินการระบาย หรือจำหน่ายข้าวที่อยู่ในคลัง หรือโกดังกลางซึ่งอยู่ในความดูแลและรับผิดชอบขององค์การคลังสินค้า (อคส.) หรือองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) ให้ประกาศโดยเปิดเผยเป็นที่ทราบแก่บุคลคลทั่วไป และดำเนินการด้วยความโปร่งใส

ส่วนการดำเนินการตามนโยบายยกระดับราคาข้าวที่จำเป็นต้องกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกแต่ละชนิด ให้เหมาะสมสอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เกษตรกรรับภาระอยู่โดยอยู่บนพื้นฐานของความสมเหตุสมผล และไม่บิดเบือนกลไกตลาด รวมทั้งต้องเน้นช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอย่างเป็นรูปธรรม โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบพิจารณาหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิตข้าว
นอกจากนี้ในการขึ้นทะเบียนและรับรองเกษตรกร นอกจากการกำหนดให้มีกระบวนการทำประชาคมและให้ผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับรองเกษตรแล้ว ให้กรมส่งเสริมการเกษตรนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประโยชน์ในการขึ้นทะเบียนและรับรองเกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย เพื่อให้เฉพาะเกษตรกรซึ่งเพาะปลูกข้าวจริงและสุจริตเท่านั้น ที่จะได้รับประโยชน์จากการดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการลงโทษที่เหมาะสมและจริงจังกับเกษตรกรที่ไม่สุจริต



#10 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:24

กรุงเทพโพล เผยผลสำรวจ นักเศรษฐศาสตร์ 67 ราย เชื่อ มีการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างแน่นอนถึง 82.1% ชี้ โรงสี ได้รับประโยชน์ถึง 86.6% รองลงมานักการเมือง

ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพล) เผยผลสำรวจความเห็น นักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจชั้นนำของประเทศ 31 แห่ง จำนวน 67 คน ในหัวข้อ "อนาคตโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี : ใครกำไร ใครขาดทุน?" เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 26 ก.ย. - 3 ต.ค.54 พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ 50.7% เชื่อว่า ราคารับจำนำข้าวเปลือกที่ ชาวนา จะได้จะต่ำกว่าราคาที่รัฐบาลประกาศไว้ ขณะที่ 38.8% เชื่อว่า ราคารับจำนำที่ชาวนาจะได้จะเท่ากับราคาที่รัฐบาลประกาศไว้

อย่างไรก็ตาม ต่อคำถามถึงความเห็นที่มีต่อราคาข้าวสารในตลาดโลกโดยรวม ในปี 2555 จะสูงกว่าราคาที่รัฐบาลจะขายหรือไม่ นักเศรษฐศาสตร์ 56.7% เชื่อว่า มีโอกาสน้อย ที่ราคาข้าวสารในตลาดโลกโดยรวม จะสูงกว่าราคาที่รัฐบาลจะขาย ในส่วนปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น โครงการฯ นักเศรษฐศาสตร์ 82.1% เชื่อว่า จะมีการทุจริตคอร์รัปชั่นแน่นอน เพียง 4.5% เชื่อว่าจะไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น

สำหรับ กลุ่มผู้ได้รับประโยชน์ 3 ลำดับแรกในโครงฯ คือ โรงสี/ไซโล 86.6% นักการเมือง 61.2% และ ผู้ส่งออก 43.3% ในขณะที่ กลุ่มผู้เสียประโยชน์ 3 ลำดับแรก คือ ผู้บริโภค 74.6% ชาวนา 41.8% รัฐบาล 37.3% พร้อมเสนอผลสำรวจต่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อแก้ปัญหาราคาข้าวด้วยวิธีใดจึงจะดีและมีความเหมาะสมที่สุด นักเศรษฐศาสตร์ 59.7% เห็นว่า ควรแก้ปัญหาโดยไม่เข้าไปแทรกแซงกลไกราคา แต่ควรใช้การประกันราคาในระดับที่เหมาะสมกับต้นทุน ดังที่ได้ดำเนินมาในโครงการประกันรายได้เกษตรกรของพรรคประชาธิปัตย์



Posted Image


#11 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:30

ก่อนจะเป็นสยามอินดิก้า



ปิดตำนานเพรซิเดนท์ อะกริฯ "อภิชาติ จันทร์สกุลพร" แบกหนี้ 25,345 ล้านบาท
12 เมษายน 2553 แหล่งข้อมูล: ประชาชาติธุรกิจ
หลังจากที่ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด/นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร กรรมการผู้จัดการ ในวันที่ 8 ตุลาคม 2552 ตามกระบวนการฟ้องล้มละลายระหว่างธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮแบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น ในฐานะโจทย์ กับบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ จำเลย พร้อมกับ ตรวจคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่มีถึง 30 ราย คิดเป็นเงินถึง 25,345,720,473.20 บาท โดยมีองค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดจำนวนเงินกว่า 5,300 ล้านบาทนั้น

ถือเป็นการปิดฉากตำนานบริษัทผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่บริษัทหนึ่งของประเทศ ที่เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีของอดีตรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (2545-2549) จากบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนแรกตั้งในปี 2535 เพียง 120 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจการผลิตและจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุง ภายใต้ร่มเงาของกลุ่มสหพัฒน์ ยักษ์ใหญ่ทางด้านผลิตภัณฑ์อาหารที่ถูกกุมบังเหียนโดย นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ในฐานะ ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทแห่งนี้ ในนาม บริษัท เพรซิเดนท์ ไรซ์โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)

ทะยานสู่เบอร์ 1 ผู้ส่งออกข้าวไทย

ตำนานของเพรซิเดนท์ อะกริฯ น่าจะเริ่มต้นจาก การประมูลขายข้าวลอตใหญ่ จำนวน 500,000 ตัน ให้กับ "บูล็อก" องค์การสำรองอาหารแห่งประเทศอินโดนีเซีย ในปี 2547 โดยการประมูลข้าวครั้งนั้น เพรซิเดนท์ อะกริฯ จะไม่มีทางชนะได้เลย ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากอินโดนีเซียซื้อข้าวในลักษณะ G to G เท่านั้น การขายข้าวให้กับบูล็อกถูกตามมาด้วยการเปิดประมูลขายข้าวสต๊อกรัฐบาลในปีเดียวกันนั้นเอง ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2544/45 และ 2546/47 ในจำนวน 1.9 ล้านตัน แน่นอนว่าบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ เพียงบริษัทเดียวที่ชนะการประมูลได้ข้าวไปถึง 1.68 ล้านตัน ท่ามกลางการโจษจันในวงการค้าข้าวในขณะนั้นที่ว่า นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในเวลานั้น "เอื้อประโยชน์" ให้กับบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ ด้วยการยอมรับข้อเสนอของบริษัทที่ขอ "ค่าการตลาด" ตันละ 4.5 เหรียญ บวกกับค่าปรับปรุงข้าวอีกตันละ 16.25 เหรียญ โดยที่บริษัทผู้ประมูลรายอื่นไม่สามารถล่วงรู้ข้อตกลง "ลับ" ระหว่างนายวัฒนา กับบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯได้

การเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯ ได้พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง นายวัฒนา เมืองสุข กับนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ต่อมาอย่างยาวนาน ในขณะที่ความสัมพันธ์กับ "นายเก่า"อย่างนายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ เริ่มเสื่อมทรามลง เมื่อฝ่ายหลังเห็นว่า นายอภิชาติกำลังนำบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ส่งผลให้การค้าข้าวกับนักการเมืองผู้มีอำนาจในขณะนั้น "แยกกันไม่ออก"ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของเครือ สหพัฒน์

และนำมาซึ่งการแจ้งขายหุ้นจำนวน 51% ที่ บริษัท เพรซิเดนท์ ไรซ์โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ถือในบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ ให้กับบริษัทจัสมิน เซอร์เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในมูลค่า 300 ล้านบาท ในเดือนตุลาคม 2547 โดยนายอภิชาติยอมรับว่า บริษัทจัสมิน เซอร์เวย์ฯ ก็คือบริษัทส่วนตัวที่ตั้งมาตั้งแต่ปี 2538 นั่นหมายความว่าในปี 2547 นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร คือ "นายใหญ่" เพียงผู้เดียวในบริษัทแห่งนี้ จากหุ้นที่ถืออยู่ถึง 97% พร้อม ๆ กับ การก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของประเทศ แซงหน้ากลุ่มนครหลวงค้าข้าว ที่เคยครองอันดับ 1 มา อย่างยาวนาน

ช่วงเวลาแสนสั้นเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว

แต่ตำนานของบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ ไม่ได้จบลงที่การเป็นผู้ส่งออกข้าวเบอร์ 1 ของประเทศในปี 2547 เมื่อบริษัทผู้ส่งออกข้าวด้วยกันเอง เริ่ม "สงสัย" ว่า เพรซิเดนท์ อะกริฯ มีการส่งออกข้าวไปต่างประเทศจริงหรือไม่ ? เมื่อยอดการส่งออกข้าวของคณะกรรมการตรวจข้าว สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ไม่ตรงกันกับตัวเลขส่งออกของกรมศุลกากร โดยมีปริมาณข้าวที่แตกต่างกันอยู่ระหว่าง 200,000-300,000 ตัน พร้อมกับข้อสังเกตที่ว่า ข้าวจำนวนนี้ถูกนำมาหมุนเวียนภายในประเทศ รวมไปถึงความเป็นไปได้ที่จะถูกนำมารวมในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในปี 2547

การตรวจสอบกรณีอื้อฉาวดังกล่าวได้ดำเนินมาตลาดปี 2548 ภายใต้ คณะอนุกรรมาธิการการเศรษฐกิจด้านการพาณิชย์ วุฒิสภา พบความผิดปกติใน เส้นทางการส่งออกข้าวระหว่างเรือฉลอมไปยังเรือใหญ่ ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมศุลกากร และองค์การคลังสินค้า (อคส.) ต้องปรับเปลี่ยนตัวเลขการส่งออกและรับมอบข้าวกันยกใหญ่ เพื่อลบล้างความผิดปกติที่เกิดขึ้นให้ได้ ในขณะที่บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯเองได้ยื่น "ใบขน" เพิ่มเติมเข้ามา เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันถึงการส่งออกข้าวจริง พร้อมกับยอมรับด้วยว่ามีข้าวส่วนหนึ่งถูกขายให้กับผู้ส่งออกข้าวภายในประเทศ โดยอ้างว่าเป็นการขาย เพื่อส่งออกอีกต่อหนึ่ง

กระบวนการตรวจสอบดังกล่าวสิ้นสุดลง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลชุดใหม่จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ภายหลังการรัฐประหารโดยคณะ คมช. ในเดือนกันยายน 2549 พลันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้น การเอื้อประโยชน์จากนายวัฒนาก็สิ้นสภาพตามไปด้วย ส่งผลให้การรับมอบข้าวที่ซื้อไปจากรัฐบาลจำนวน 1.68 ล้านตัน เริ่ม "ติดขัด" เมื่อราคาข้าวในช่วงเวลานั้น "ผันผวน" ขึ้นลงอย่างหนัก ประกอบกับบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ ไม่ได้กลายเป็นผู้ผูกขาดการซื้อขายข้าวเพียงรายเดียวในประเทศอีกต่อไป

เรื่องของนกฟินิกซ์ที่รอการฟื้นจากกองไฟ
ขึ้นปี 2550 ฐานะทางการเงินของบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ ได้ตกต่ำลงอย่างเห็น ได้ชัด เมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้ธนาคาร จนธนาคารหยุดปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัท ส่งผลให้การรับมอบข้าวในจำนวนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน ที่บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯซื้อจากรัฐบาลหยุดชะงักไปด้วย วิธีการที่บริษัทนำมาใช้ก็คือ การยื่นหนังสือขอเลื่อนระยะเวลาการส่งมอบข้าวออกไปจากกำหนดระยะเวลาเดิมที่ทำไว้ในสัญญาซื้อขายข้าวกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) รวมไปถึงการขอ "ยกเลิก" สัญญาซื้อขายข้าวที่เหลืออีก 500,000 ตัน ในปลายปีเดียวกันนั้น และนำมาซึ่งการทิ้งสัญญาข้าวในที่สุด

นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ได้หายหน้าไปจากวงการค้าข้าวไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ก่อตั้งโดยคณะรัฐประหาร 19 กันยายน ได้ไต่สวนเอาผิดกับนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หลังจากที่ถูกย้ายไปจากกระทรวงพาณิชย์ ในข้อกล่าวหาทุจริตและรับสินบนจากบริษัท พาสทิญ่า ไทย จำกัด ผู้รับเหมาโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) โดยตรวจพบว่ามีการจ่ายสินบนผ่านบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ และลูกจ้างของบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯ ในวงเงิน 82.6 ล้านบาท และยังพบ พฤติกรรมการ "ฟอกเงิน" อีกกว่า 8.5 พันล้านบาท อีกด้วย โดยคดีนี้ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ

ต่อมาตัวบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯเองได้ปิดกิจการลง ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันนั้น ตามมาด้วยการถูกสถาบันทางการเงินหลายต่อหลายแห่ง รวมทั้งหน่วยงานของรัฐฟ้องดำเนินคดีทั้งในกรณีผิดสัญญา-ยักยอก-ผิดนัดชำระหนี้ และฉ้อโกง ตามมาด้วยการถูกฟ้องล้มละลายโดย ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮแบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น ในระหว่างปี 2551-2552 ซึ่งในขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย ผ่านมูลหนี้ถึง 25,345,720,473.20 บาท สูงเป็นประวัติการณ์ในวงการค้าข้าวไทย

ถึงอย่างไรก็ตาม แม้บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริฯจะปิดฉากตัวเองลงไปแล้วก็ตาม แต่นั่นมิได้หมายความว่า นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร คนแซ่จันแห่งโรงสีหย่งฮงหมง จ.พิจิตร ในอดีต จะหยุดการค้าข้าวตามไปด้วย เนื่องจากในช่วง 2 ปี ของความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา ได้ปรากฏชื่อของ บริษัทสยามอินดิก้า เข้าร่วมการประมูลสต๊อกข้าวจากโครงการรับจำนำของรัฐบาลอย่างสม่ำเสมอ นั้นเป็นการส่งสัญญาณที่ว่า นายอภิชาติยังไม่ได้วางมือหลังการถูกฟ้องล้มละลาย และบางทีอาจจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หากสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนขั้ว และสามารถเชื่อมต่อนักการเมืองเก่า จากสายสัมพันธ์เดิมที่พร้อมจะสานต่อ "ผลประโยชน์" ร่วมกัน


#12 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:39

Posted Image

รัตนา แซ่เฮง ตัวละครเดิมๆ
รัตนา แซ่เฮง หรือเฮ้ง ไม่ใช่ชื่อใหม่ในวงการคอรับชั่น เธอโด่งดังตั้งแต่สมัยบ้านเอื้ออาทรกับวัฒนา เมืองสุข ยุคไทยรักไทยโน่น (รูปข้างบน เธอมีรายชื่อในกลุ่มเพรสสิเด้นท์มานาน)

ทุจริตบ้านเอื้ออาทร ใกล้บทสรุป เตรียมยื่นอสส.ฟ้อง - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
www.thairath.co.th/content/pol/12756 - Cached - Translate this page
14 มิ.ย. 2009 – รัตนา แซ่เฮ้ง น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว และบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ รวม 7 คน ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ...

ฟาดเงินไป 7 ล้าน อริสมันต์ เป็นตัวกลางรับสินบน จากบล็อก โอเคเนชั่น ...

www.oknation.net/blog/print.php?id... - Cached - Translate this page... 7 ล้านบาท นางรัตนา แซ่เฮง เลขาคนสนิทของบริษัทเพรสซิเดนท์ ในฐานะตัวกลางเรียกรับสินบน และผู้บริหารบริษัทไทยเฉนหยู ซึ่งไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล " ใจไม่ด้านพอ .

http://www.newsplus....le.php?id=41072
ที่พรรคประชาธิปัตย์ 23 มีนาคม 2555 นางสาวมัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์แถลงว่า ขอเรียกร้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช.กับสำนักงานอัยการสูงสุดว่า ทั้ง2หน่วยงานกรุณาแถลงข่าวความก้าวหน้าของสำนวนคดีทุจริตบ้่านเอื้ออาทรที่มี นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถูกชี้มูลความผิด เพราะคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือ คตส.เคยส่งสำนวนสุดท้ายทุจริตบ้านเอื้ออาทรกล่าวหา “วัฒนา เมืองสุข” ทุจริตจัดจ้างเอกชน ให้อัยการพิจารณา

โดยครั้งสุดท้าย นางวันเพ็ญ มัธยมจันทร์ อนุกรรมการไต่สวนคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้นำสำนวนการไต่สวนสำนวนสุดท้ายจำนวน 10 ลัง รวม 33 แฟ้ม พร้อมชี้มูลความผิด นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับพวก ทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างเอกชนโดยการเคหะแห่งชาติ ในโครงการบ้านเอื้ออาทร ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มามอบให้กับ นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษเพื่อพิจารณาสั่งคดี นอกจากนั้นยังมีผู้ร่วมกระทำความผิด 3 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1. คดีทุจริต-รับเรียกสินบน คือ นายพรพรหม วงศ์พิวัฒน์ หน้าห้องรัฐมนตรี ฐานเป็นผู้สนับสนุนการทุจริต นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนให้รัฐมนตรี โดยได้รับเงินส่วนแบ่ง 7 ล้านบาท
นางรัตนา แซ่เฮง เลขาคนสนิทของบริษัทเพรสซิเดนท์ ในฐานะตัวกลางเรียกรับสินบน และผู้บริหารบริษัทไทยเฉนหยู ซึ่งไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล

Edited by amplepoor, 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:42.


#13 RaRa

RaRa

    Seien Sie loyal zu Majesty

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,976 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 03:23

ขอบคุณท่านแอม มากครับ
สำหรับข้อมูลทั้งหลายที่ท่านสละเวลาหามาให้อ่าน
ข้อมูลเหล่านี้ได้ตีแผ่ข้อมูลที่จะมีการ"คอรัปชั่น"เชิงนโยบายอย่างมโหฬารบานตะไท
อยากให้เพื่อนๆชาว. สรท. ที่รักความยุติธรรมช่วยกันเผยแพร่และช่วยกันแฉพฤติกรรมการโกง
เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติด้วยกันนะครับ

ขอเทิดทูนศักดิ์ศรียิ่งสิ่งใด

...แม้แต่ลมหายใจก็ยอมพลี

โลกยังไม่สิ้นหวัง ถ้ายังมั่นในความดี

...ศรัทธาไม่เคยหน่ายหนี คนดีไม่มีวันตาย


#14 คนกรุงธน

คนกรุงธน

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,129 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 06:35

http://money.impaqms...id=31814&ch=222
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลถูกโจมตีการทำโครงการประชานิยมอย่างหนัก ว่าสร้างความเสียหายมากกว่าประโยชน์ โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว ที่ต้องใช้เงินเกือบ 3 แสนล้านบาท เป็นเงินของ ธ.ก.ส. 9 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินกู้
ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมา มีแต่ข่าวไม่ดีเรื่องโครงการรับจำนำข้าว เริ่มตั้งแต่ ลักษณ์วจนานวัช ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ออกมาเปิดเผย โครงการรับจำนำข้าวจะเกิดความเสียหายในปีแรกถึง 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งในครั้งนั้นลักษณ์ถูกการเมืองเล่นงานอย่างหนักว่า ทำให้รัฐบาลเสียหาย
ต่อมา บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ออกมายอมรับว่า ความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวจะเสียหายไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาท เป็นการตอกฝาโลงว่าโครงการนี้ทำแล้วเจ๊งจริง เจ๊งเยอะ
ขณะที่วงการค้าขายประเมินว่า รัฐบาลจะเสียหายจากการรับจำนำไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท เพราะการรับจำนำรอบแรกมีข้าวอยู่ในโกดังถึง 10 ล้านตัน ต้นทุนตันละ 800 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าราคาตลาดโลกถึงเท่าตัว หากรัฐบาลต้องการระบายข้าวก็ต้องยอมขาดทุนครึ่งหนึ่งไม่มีทางเลือก เพราะยิ่งเก็บไว้ก็ยิ่งมีแต่เข้าเนื้อมากขึ้น
และยิ่งเมื่อก่อนเข้า ครม. ไม่กี่วันมีการรายงานข้อมูลของลักษณ์ ชี้แจงกับคณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยงโครงการรับจำนำข้าว ระบุชัดว่า เป็นห่วงการระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลที่ล่าช้า อาจส่งผลกระทบกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวในฤดูกาลถัดไป
โดยปัญหาที่เป็นห่วงคือ 1.สถานที่เก็บข้าวที่รับจำนำจากชาวนาไม่เพียงพอ และ 2.จะขาดเงินทุนที่ใช้ในการรับจำนำ เพราะหากไม่มีการขายข้าวออก ทำให้รัฐบาลขาดสภาพคล่องที่จะนำมาใช้ ทำให้ต้องกู้เงินเพิ่ม ซึ่งจะกลายเป็นภาระงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้น
ทั้งหมดเป็นภาพลบความเสียหายอภิมหาโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ที่หลั่งไหลออกมาต่อเนื่อง และเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ ครม. ต้องเบรกการเพิ่มทุนของ ธ.ก.ส. กลางคัน เพื่อเป็นการตัดไฟที่จะลุกเผาตัวตายเสียก่อน
การจะเพิ่มทุนให้กับ ธ.ก.ส. ในช่วงนี้ จะทำให้รัฐบาลเสียหายอย่างหนัก เป็นการตอกย้ำความล้มเหลวของโครงการรับจำนำข้าวทำแบงก์เจ๊งจนต้องเอาเงิน ภาษีประชาชน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด เพราะการเพิ่มทุนให้ธนาคารก็ต้องไปปล่อยกู้โครงการรับจำนำรอบใหม่ และหากมีรับจำนำอีกก็ต้องเพิ่มทุนให้อีกไม่จบสิ้น เพราะโครงการนี้ใช้เงินหลายแสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีความเสียหายเก่าจากโครงการรับจำนำที่รัฐบาลยังค้างจ่ายให้ ธ.ก.ส. อีก 1.7 แสนล้านบาท ที่เป็นโครงการรับจำนำในหลาย 10 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งสินค้าที่รับจำนำเสียหายจนเป็นฝุ่นไม่เหลืออะไรจะมาขายมาใช้หนี้ได้แล้ว
ความเสียหายเก่าใช้ไม่หมด ความเสียหายใหม่กำลังจะมาถมอีกเป็นแสนล้านบาท ขณะเดียวกันยังต้องหาเงินมาโปะเพิ่มทุน เพื่อเดินหน้าโครงการรับจำนำรอบใหม่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องการซุกไว้ใต้พรม ไม่ต้องการให้โผล่ขึ้นมาหลอกหลอนรัฐบาลทำประเทศเสียหาย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่สามารถหนีความจริงพ้นจากฐานะของ ธ.ก.ส. ที่อ่อนแอมากขึ้นเรื่อยๆ การเพิ่มทุนเพิ่มกำลังให้กับธนาคารเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
รัฐบาลรู้อยู่เต็มอกว่า ธ.ก.ส.ไม่ได้รับภาระจำนำข้าวให้รัฐบาลจนหมดตัวที่เห็นอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น ยังมีโครงการประชานิยมอื่น เช่น การพักหนี้ดีไม่เกิน 5 แสนบาท เข้าเนื้อรายได้ธนาคารไป 8,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับหางเลขโดยเก็บค่าธรรมเนียมเงินฝาก 0.47% ไปอีก 6,000 ล้านบาท ทำให้ธนาคารมีผลกำไรจะออกมาขาดทุนในปีนี้ทันที
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ต้องการให้แบงก์รัฐเจ๊งเพราะสนองนโยบายประชานิยมของรัฐบาล จึงรีดเงินงบประมาณมาโปะให้ ธ.ก.ส. ในส่วนของโครงการพักหนี้ดีครึ่งหนึ่ง ทำให้ผลการดำเนินงานของ ธ.ก.ส.ยังออกมาไม่ขาดทุน
ความเสียหายของ ธ.ก.ส.จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง เพราะตั้งแต่รัฐบาลเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวแทนโครงการรับประกันราคาของ รัฐบาลเก่า นักวิชาการก็ออกมาเตือนว่าจะสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้กับประเทศ ทั้งเป็นภาระทำให้หนี้เพิ่ม เพราะต้องกู้เงินมารับจำนำ
ทำให้แบงก์รัฐเสียหายอ่อนแอ เพราะต้องใช้เงินไปรับจำนำ ทำให้ตลาดค้าข้าวพัง เพราะรัฐบาลรับจำนำข้าวสูง ทำให้ข้าวไทยแพงกว่าประเทศคู่แข่ง และการส่งออกมาในครึ่งแรกก็แสดงให้เห็นว่าการส่งออกข้าวไทยมีปัญหาลดลงถึง 50% และกำลังเสียแชมป์การส่งออกข้าว 30 ปี ให้กับประเทศเวียดนาม
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการทุจริตตลอดเส้นทางการรับจำนำ ตั้งแต่การสวมสิทธิข้าวต่างประเทศมารับจำนำ ปัญหาข้าวที่รับจำนำไม่มีตัวตน และตอนนี้ข่าวล้นโกดังรัฐบาลจนมุมต้องระบายข้าวออก ก็จะมีนายทุนนักการเมืองใช้กำลังภายในเส้นสายซื้อข้าวจากรัฐบาลราคาถูกไปขาย ราคาแพง เป็นมหกรรมทุจริตบนความสุจริตบนซากความเสียหายของประเทศหลายแสนล้านบาท
ทั้งหมดส่งผลให้โครงการรับจำนำข้าวมีแผลเน่าเต็มตัว เริ่มโชยกลิ่นเหม็นไปทั่ว ทำให้รัฐบาลไม่ต้องการให้การเพิ่มทุนแบงก์ ธ.ก.ส. มาเป็นมีดกรีดแผลเน่าให้ส่งกลิ่นเหม็นเพิ่ม
ซึ่งการหมกปัญหาโครงการรับจำนำไว้ใต้พรม ส่งผลให้ฐานะ ธ.ก.ส.มีปัญหา และในไม่ช้าก็จะมีปัญหาเหมือนกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ที่ปล่อยสินเชื่อนโยบายรัฐบาลจำนวนมาก เกิดหนี้เสียเพิ่ม เงินกองทุนต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ก็ไม่ได้รับเงินเพิ่มทุนจากรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลถังแตก และไม่ต้องให้การเพิ่มทุนถูกมองว่าเป็นการกลบหนี้เน่าประชานิยม
ส่งผลให้ทุกวันนี้เอสเอ็มอีแบงก์ ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อทั้งที่เงินกองทุนไม่ถึง โดยรัฐบาลอ้างว่า แบงก์รัฐไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ ไม่จำเป็นต้องทำตามมาตรการของ ธปท.
ขณะที่ ธ.ก.ส.วันนี้ กำลังมีเส้นทางไม่ต่างจากเอสเอ็มอีแบงก์ ปล่อยสินเชื่อมาก ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นก้อนโต และรัฐบาลไม่ยอมเพิ่มทุนให้ เพราะต้องการกลบเรื่องเน่าโครงการประชานิยม ที่ส่งกลิ่นเหม็นเอาไม่อยู่ไปทั่วแล้ว


Post Today
Last update : 7/20/2012 11:34:37 AM

"น้อมส่งเสด็จสู่พระนิพพาน"


#15 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:44

เปิดใจกูรูข้าว “นิพนธ์ พัวพงศกร” สิ่งที่ไม่อยากเห็นในโครงการรับจำนำ หวั่นการเมืองทำตลาดข้าวไทยล่มสลาย
21 กันยายน 2011
http://thaipublica.o.../09/nipon-rice/

Posted Image
ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

หลังจากปล่อยให้นักวิชาการ “คาดเดา” “ฝากการบ้าน” และโยน “คำถาม” ผ่านสื่อมวลชนไว้มากมาย รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ 1″ ซึ่งมี “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในโครงการรับจำนำข้าว ปี 2554/55 ออกมาแล้วในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2554
มติครม. ได้วางกรอบ 4 ประเด็น ประเด็นแรก ให้รับจำนำข้าวเปลือกนาปีฤดูการผลิต 2554/2555 ตามข้อเสนอคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ซึ่งไม่จำกัดทั้งปริมาณข้าวเปลือกที่จะเข้าโครงการรับจำนำ และปริมาณข้าวเปลือกที่เกษตรกรแต่ละรายจะนำมาเข้าโครงการ แต่ต้องเป็นข้าวเปลือกที่เกษตรกรปลูกเองในฤดูกาลผลิต 2554/2555 ทั้งนี้ต้องมีหนังสือรับรองเกษตรกรของกรมส่งเสริมการเกษตร และเกษตรกรลงชื่อรับรองตัวเอง
ประเด็นที่สอง เงื่อนเวลาการรับจำนำ จะเริ่มต้นโครงการตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2554 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 โดยมีระยะเวลาไถ่ถอน 4 เดือนนับจากวันรับจำนำ
ประเด็นที่สาม อนุมัติค่าใช้จ่ายการดำเนินการ 435,547 ล้านบาท รายละเอียดของงบก้อนนี้ แยกเป็นวงเงินหมุนเวียนที่ใช้ในการรับจำนำข้าว 25 ล้านตัน ทั้งสิ้น 410,000 ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาดอีก 25,547 ล้านบาท
ประเด็นที่สี่ ราคารับจำนำข้าว กำหนดชนิดข้าวเปลือกนาปีความชื้นไม่เกิน 15% โดยประกอบด้วย 1.ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 20,000 บาท 2.ข้าวเปลือกหอมจังหวัด ตันละ 18,000 บาท 3.ข้าวเปลือกปทุมธานี ตันละ 16,000 บาท 4.ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว 10% ตันละ 16,000 บาท 5.ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดสั้น 10% ตันละ 15,000 บาท 6.ข้าวเปลือกเจ้า 100% ตันละ 15,000 บาท 7.ข้าวเปลือกเจ้า 5% ตันละ 14,800 บาท 8.ข้าวเปลือกเจ้า 10% ตันละ 14,600 บาท 9.ข้าวเปลือกเจ้า 15% ตันละ 14,200 บาท 10.ข้าวเปลือกเจ้า 25% ตันละ 13,800 บาท
อย่างไรก็ตามต่อเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อนี้ ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานมูลนิธิ สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) หนึ่งในนักวิชาการที่ติดตามเรื่องตลาดข้าวมาอย่างต่อเนื่อง ให้สัมภาษณ์ “ไทยพับลิก้า” เมื่อเร็วๆ นี้ โดยแสดงความเป็นห่วงว่า
“ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์นโยบายจำนำข้าวว่าควรทำหรือไม่ควรทำ เพราะในอดีตผมเคยเสนอให้ยกเลิกการจำนำข้าว แต่ผมเห็นว่าสิ่งที่ต้องมองในขณะนี้คือ ไม่อยากเห็นอะไรบ้างในโครงการจำนำข้าว”
อย่าผูกขาดตลาดข้าว
ดร.นิพนธ์กล่าวว่าสิ่งที่ไม่อยากเห็นในโครงการจำนำข้าวครั้งนี้คือ การผูกขาดตลาดส่งออกข้าว และครอบงำตลาดข้าวในประเทศ เพราะถ้ารัฐบาลทำแบบนั้นจริงๆ จะเกิดความเสียหายมหาศาล
“ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่แนวคิดของกลุ่มนี้คือ ผูกขาดแน่นอน โดยให้รัฐผูกขาด เพราะเชื่อว่าถ้าประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ส่งออกข้าวรายใหญ่ จะกำหนดราคาข้าวส่งออกในตลาดโลกได้ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด ไปคิดว่าเหมือนหุ้น ไม่เข้าใจว่าข้าว ถ้าราคาขึ้นเมื่อไร เกษตรทั่วโลกจะปลูกข้าวมากขึ้น โดยเฉพาะคู่แข่งจะปลูกข้าวกันมากมาย”
ดร.นิพนธ์ขยายความว่า การผูกขาดระบบค้าข้าวของพรรคเพื่อไทย ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าถ้าผูกขาดระบบค้าข้าวในประเทศและต่างประเทศได้ ไทยจะสามารถค้าข้าวในตลาดโลกได้ในราคาแพง
“เป็นความเชื่อบนพื้นฐานว่า ปริมาณข้าวไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่จริง แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ เรากำลังสร้างอานิสงส์ หรืออาจพูดได้ว่าเรากำลังส่งเสริมการค้าของเวียดนาม และอินเดีย เพราะข้าวไทยจะราคาแพง เนื่องจากรัฐบาลรับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท โรงสีทั่วไป พ่อค้าทั่วไป ก็ต้องรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาใกล้เคียงหรือเท่าๆ กับราคาจำนำคือตันละ 15,000 บาท เพื่อจะแข่งกับรัฐบาล และยังต้องจ่ายเงินสด ทำให้ราคาข้าวในประเทศสูงมาก”
ทั้งนี้หากปล่อยให้ราคาสูงมากจะมีปัญหาตามมา กล่าวคือเมื่อไปขายในตลาดต่างประเทศก็ขายแพงกว่าคนอื่น ทำให้ขายไม่ได้เพราะคนจะไปซื้อข้าวเวียดนาม และข้าวอินเดียแทน ผลกระทบตรงนี้ “ไม่อยากเห็น” เพราะไทยจะสูญเสียตลาดอย่างรวดเร็ว
“ไม่อยากให้ทำแบบทฤษฎีผูกขาด ซึ่่งไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะใครๆ ก็ปลูกข้าวได้ เมื่อข้าวเราแพง คู่แข่งจะปลูกข้าวขายแข่ง เราแข่งเขาไม่ได้ ก็จะสูญเสียตลาดส่งออกไปเรื่อยๆ ส่วนเกษตรกรจะปลูกข้าวมากขึ้นเพราะต้องการได้ราคาจำนำ 15,000 บาท ข้าวยิ่งมีคุณภาพต่ำลง เรายิ่งขายข้าวคุณภาพต่ำ ซึ่งจะขายได้น้อยลงทุกวัน เหตุการณ์แบบนี้ผมไม่อยากให้เกิด”
ดร.นิพนธ์เล่าว่าสมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้พยายามผูกขาดตลาดส่งออก โดยให้บริษัทเดียวประมูลข้าวได้เยอะๆ ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2547 ที่ให้บริษัทเพรสซิเดนท์อะกรี จำกัด สร้างประวัติศาสตร์สามารถประมูลข้าวสารของรัฐบาลได้เป็นจำนวนมาก กลายเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ที่สุด
“ในตอนนั้นการผูกขาดยังไปไม่ถึงตลาดข้าวในประเทศ แต่ถ้าเข้ามาถึงตลาดข้าวถุงในประเทศด้วย เป็นห่วงว่าจะทำลายระบบการแข่งขันในตลาดที่ดีอยู่แล้ว นี่เป็นอีกประเด็นที่ไม่อยากเห็น”
ขณะนี้ตลาดข้าวถุงในประเทศค่อนข้างมีประสิทธิภาพสูง เห็นได้จากข้าวถุง 5 กิโลกรัม มีหลากหลายราคาตั้งแต่ 90 กว่าบาทไปจนถึง 200 กว่าบาท สะท้อนว่าตลาดในประเทศมีการแข่งขันสูง ทั้งนี้ตลาดข้าวในประเทศมี 2 ตลาดคือ ตลาดที่อยู่นอกซูเปอร์มาร์เก็ต หรือตลาดชั่งกิโลขายกับตลาดในซูเปอร์มาร์เก็ต ปัจจุบันทั้งสองตลาดมีการแข่งขันที่มีประสิทธิภาพ
หวั่นตลาดข้าวชั่งกิโลพัง
ดร.นิพนธ์บอกว่า จริงๆ แล้วไม่มีความจำเป็นที่รัฐบาลจะแทรกแซงตลาดในประเทศเพื่อให้ค่าครองชีพต่ำ เพราะตลาดข้าวถุงเวลานี้ราคาค่อนข้างต่ำอยู่แล้วจากการแข่งขันของพ่อค้าและผู้ประกอบการรายย่อย ดังนั้นแนวคิดที่จะใช้องค์การคลังสินค้า (อคส.) มาทำแข่ง ก็ไม่แน่ใจว่าอคส. จะเก่งกว่าพ่อค้าโดยทั่วไป
ถ้าจะให้ทำ ก็ทำแต่น้อยๆ เฉพาะบางส่วน คือจะขายข้าวถุงธงฟ้าก็ทำไป แต่ทำเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นพอ อย่าไปทำลายพ่อค้ารายเล็กๆ ที่เขาแข่งขันกันดีอยู่แล้ว เพราะถ้าทำลายลงเมื่อไร วันหลังจะกู่ไม่กลับ จะไม่มีใครกลับมาทำธุรกิจนี้อีก และวันหลังเมื่อเลิกโครงการรับจำนำข้าว จะพบว่าข้าวตกอยู่ในมือผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น
“ถ้ารัฐบาลผูกขาดตลาดข้าวในประเทศ ตลาดที่จะพังก่อนคือ ตลาดชั่งกิโลขายที่มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 60-70 % เพราะตลาดชั่งกิโลขายเป็นรายย่อยทั้งนั้น พ่อค้าพวกนี้ถ้าเข้าไปแทรกแซงมาก โดยเอาข้าวที่อคส. แทรกแซงมาขาย ธุรกิจพวกนี้ก็จะเจ๊ง เนื่องจากแข่งขันสู้ไม่ได้ ดังนั้นเพื่อให้ความเสียหายน้อยลงที่สุดต้องอย่าแทรกแซงตลาดส่งออก อย่าแทรกแซงตลาดในประเทศ”

ระวังบริษัทใหญ่ฮุบตลาด ทุบรายเล็กเจ๊ง
ดร.นิพนธ์ย้ำว่า ตลาดข้าวมีค่ามากเกินกว่าจะมาสร้างความเสียหาย และข้อดีของการแข่งขันตลาดข้าวในประเทศที่มีบริษัทเล็กๆ มีโรงสีต่างจังหวัดคือ สามารถทำข้าวถูกขายได้ เช่น ที่โคราชและจังหวัดอื่นๆ โดยเอาข้าวที่คนพื้นเมืองกิน ซึ่งเหมาะกับรสนิยมคนพื้นเมืองมาชั่งกิโล หรือทำข้าวถุงแล้วขายได้ถูกกว่าผู้ประกอบการที่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ จนทำให้บริษัทใหญ่ๆแข่งสู้ไม่ได้ก็มีเจ๊งไปหลายราย
ดังนั้นวิธีเดียวที่บริษัทใหญ่จะทุบบริษัทเล็กๆ ก็คือ ผูกขาดตลาด ด้วยการซื้อข้าวจากรัฐบาล โดยให้รัฐบาลรับจำนำ หรือซื้อข้าวเข้าไปเก็บในสต๊อกไว้เยอะๆ แล้วเขาก็ไปประมูลซื้อได้ในราคาต่ำ โดยบริษัทอื่นประมูลซื้อไม่ได้ เพราะเขาจะประมูลล็อตใหญ่ เมื่อเขาได้ข้าวราคาต่ำ ก็สามารถขายข้าวได้ราคาถูกกว่าบริษัทเล็ก ทำให้บริษัทเล็กแข่งไม่ได้ก็เจ๊งไป
“นี่คือเหตุผลที่ไม่อยากให้ผูกขาดตลาดข้าวในประเทศและตลาดส่งออก”
นอกจากไม่อยากเห็นตลาดข้าวพังแล้ว ดร.นิพนธ์ ไม่อยากเห็นคุณภาพข้าวไทยแย่ลงด้วย โดยเป็นห่วงว่าราคาจำนำข้าวที่สูงถึงตันละ 15,000 บาท และยิ่งรับจำนำจำนวนมาก จะยิ่งทำให้เกษตรกรปลูกข้าวคุณภาพแย่ลง ไม่สนใจคุณภาพ เน้นแต่ปริมาณ เพราะเมื่อปลูกข้าวแล้วก็เข้าโครงการรับจำนำ ซึ่งรัฐบาลดูตามความชื้้นเท่านั้น ไม่ดูคุณภาพข้าว
ต่างจากพ่อค้าโรงสีเมื่อซื้อข้าวจะดูคุณภาพข้าว ถ้าข้าวดีโรงสีให้ราคาดี ข้าวไม่ดีก็ให้ราคาไม่ดี แต่พอซื้อข้าวเข้าโครงการรับจำนำ จะไม่สนใจแล้ว เนื่องจากวัดดูตามความชื้น 15% ก็จบ และได้ราคาตันละ 15,000 บาท โดยไม่สนใจว่าจะเป็นข้าวสั้น ข้าวยาว ข้าวคุณภาพเป็นอย่างไร ผลที่จะตามมาคือ ต่อไปเกษตรกรก็จะปลูกข้าวเบา ข้าวอายุสั้น เพื่อเพิ่มรอบการเพาะปลูกให้ได้มากที่สุด
“ที่เป็นห่วงคือ ปีหนึ่งจะจำนำกี่รอบ ถ้ายิ่งเยอะก็ยิ่งผูกขาดมาอยู่ในมือรัฐบาล เท่ากับรัฐเอาเงินไปส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวคุณภาพต่ำเก็บไว้ในยุ้งจนกระทั่งเสียหาย แล้วรัฐเอาออกมาขาย ตอนเวลาขายก็ส่งเสริมให้คนขายเจ้าเดียว แล้วก็ให้กำไรตกอยู่ในมือคนเจ้าเดียว นี่คือสิ่งที่ไม่อยากเห็น”
โรงสีไม่มีประสิทธิภาพเหตุไร้คู่แข่ง
เมื่อกลับมามองที่โรงสี ดร.นิพนธ์มองว่า จะเหลือแต่โรงสีที่ไม่มีประสิทธิภาพ คือโรงสีที่อยู่ในโครงการ ค้าขายไม่เก่ง เพราะไม่ต้องแข่งขันกับใคร ที่ผ่านมาโรงสีมีกำลังการผลิตส่วนเกินประมาณ 60 ล้านตัน อันนี้นับเฉพาะโรงสีทันสมัย โรงสีมืออาชีพ แต่ผลผลิตข้าวมีเพียง 30-32 ล้านตันต่อปี จะเห็นว่าโรงสีมีกำลังการผลิตเกินกว่าเท่าตัวแล้ว
ฉะนั้นถ้ารับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ถ้านโยบายนี้ทำเยอะ โรงสีจะลงทุนกันอีกจำนวนมาก และโรงสีคงพยายามหาช่องทางเพื่อให้ได้เข้าโครงการจำนำข้าว จะเกิดกระบวนการการพยายามเอาข้าวเข้าโครงการให้มากที่สุด กระบวนการดังกล่าวจะเบียดภาคเอกชน พ่อค้าที่ค้าขายข้าวเปลือกรายย่อยหมดอาชีพ เหลือแต่โรงสีที่เข้าโครงการ
“เรามีข้าวคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก ขายข้าวได้ราคาแพงกว่าคนอื่น และอร่อยที่สุด ในที่สุดแล้วข้าวดีๆ จะไม่มี ข้าวอร่อยก็จะไม่มี ข้าวดีๆ จะเริ่มหายไป นี่คือสิ่งที่จะทำลายคุณภาพข้าวไทย ทำลายการแข่งขันของข้าวไทย ทำลายสิ่งดีของข้าวไทยทั้งหมด ถ้าทำแบบนี้ตลอดไป แต่เชื่อว่าไม่ต้องตลอดไปหรอกแค่ 3-4 ปี ก็เห็นผลแล้ว”
จำนำข้าวผลประโยชน์กระจุกไม่กระจาย
อย่างไรก็ตาม โครงการจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ไม่ได้มีแต่ด้านลบ ด้านบวกก็มีคือ เกษตรกรได้เงินเยอะ โรงสีบางโรงได้เงินเยอะ ผู้ส่งออกเฉพาะบางคนที่ประมูลข้าวได้จะกำไรสูง แต่ดร. นิพนธ์บอกว่า นั่นคือผลดีกับคนบางคน แต่ผลเสียกับคนมากมาย
ดร. นิพนธ์ ย้ำว่า โครงการจำนำข้าวแม้ผลดีจะตกกับเกษตรกร แต่ไม่ใช่เกษตรกรทั่วประเทศ ถ้าดูจากข้อมูลที่เคยศึกษาโครงการจำนำข้าวปี 2548/49 พบว่าเกษตรกรได้เพียง 37% ที่เหลือตกอยู่กับโรงสีและผู้ส่งออก ที่สำคัญโครงการจำนำต้องเป็นเกษตรกรที่มีข้าวเหลือขายทำให้เกษตรกรในภาคเหนือ ภาคอีสานที่ปลูกข้าวเหนียวจะไม่ได้ประโยชน์
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า เรากำลังจะเปลี่ยนนโยบายจากช่วยเหลือเกษตรมาเป็นช่วยเหลือโรงสี พ่อค้าและผู้ส่งออกจำนวนน้อย ผิดกับโครงการรับประกันรายได้ที่เกษตรกร 4 ล้านครัวเรือนได้ประโยชน์ เพราะเกษตรกรที่ไม่ได้ขายข้าวก็ได้ประโยชน์ด้วย
เนื่องจากเกษตรกรได้จดทะเบียนมีพื้นที่ปลูกข้าวจริง เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนจะได้เงินส่วนต่างจากการประกันรายได้ และวิธีนี้รัฐบาลไม่ยุ่งกับตลาดข้าว ปล่อยให้แข่งขันตามกลไกตลาด ใครเก่งคนนั้นอยู่ ใครไม่เก่งก็ไม่อยู่ คุณภาพข้าวไทยจะดีขึ้น เงินทั้งหมดก็เทไปที่เกษตรกรเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่โรงสีและผู้ส่งออกไม่ได้สักบาท
“โครงการรับจำนำเป็นการนำระบบของเราไปสู่ระบบการผูกขาด การค้าข้าวจะอยู่ในมือคนไม่กี่คนที่มีอำนาจทางการเมือง แทนที่จะอยู่ในมือของธุรกิจเอกชนรายย่อยที่เข้มแข็ง เรากำลังทำลายธุรกิจเอกชน ทำลายโรงสีไปจนถึงผู้ส่งออก ทำลายคุณภาพข้าวไทย และวันดีคืนดี ถ้าเลิกนโยบายนี้ โรงสีก็จะค้าขายทำธุรกิจไม่เป็น”
บริหารสต็อกจำกัดความเสียหาย
ดร.นิพนธ์มองว่า การรับจำนำข้าวตามที่รัฐบาลสัญญาต้องใช้เงินมโหฬารแน่นอน แต่ประเด็นคือ ต้องจำกัดความเสียหายให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด โดยวิธีลดความเสียหายง่ายที่สุดที่จะเสนอคือ พยายามมีนโยบายบริหารจัดการสต็อกให้มีประสิทธิภาพ อย่าให้สต็อกค้างปี และเวลาขายข้าวออกรัฐบาลต้องทำให้โปร่งใส โดยประมูลขายผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFED) เป็นหลัก และประมูลตลอดเวลาเป็นล็อตเล็กๆ อย่าไปขายข้าวให้แต่บริษัทใหญ่
กระบวนการคือ เมื่อรัฐบาลซื้อข้าวมาแล้วต้องประกาศชัดเจนว่ามีนโยบายระบายข้าวออกทุกๆ กี่เดือน เพื่อให้พ่อค้ารู้ว่ารัฐบาลจะขายข้าวเมื่อไร และรัฐบาลทยอยขายข้าวในปริมาณไม่มาก เพื่อให้ผู้ส่งออกทุกรายมีสิทธิ์ที่จะซื้อ ราคาข้าวจะลดลง ทำให้ราคาข้าวในประเทศไม่สูงเกินไป การส่งออกข้าวจะแข่งกับตลาดโลกได้ ที่สำคัญวิธีนี้จะไม่มีการทุจริต เพราะวิธีนี้ใช้ซื้อขายผ่านตลาดล่วงหน้า และที่สำคัญตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าจะฟื้นคืนชีพ อย่างที่รัฐบาลอยากให้เป็น
ดร.นิพนธ์มั่นใจว่า นี่คือข้อเสนอแนะที่พูดได้ว่าโปรงใสที่สุด เพราะลดความเสียหายให้จำกัดอยู่เฉพาะเงินที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับเกษตรกรเท่านั้น แต่จะจำกัดความเสียหายให้น้อยที่สุด ดีที่สุด ต้องไม่ใช่ราคาที่ 15,000 บาทต่อตัน
“ข้าวคือพืชสำคัญตัวใหญ่ที่สุดของประเทศไทย จึงต้องระวังมาก และขอความกรุณาว่ารัฐบาลต้องจำกัดความเสียหายต่ออุตสาหกรรม ต่อเศรษฐกิจข้าวไทยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้”

Edited by amplepoor, 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:46.


#16 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:47

TDRI ชี้โครงการรับจำนำข้าว รบ.ทุจริตเกือบทุกขั้นตอน Posted Image โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 กรกฎาคม 2555 13:17 น.



นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ระบุว่า โครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาล ดำเนินอยู่ถือเป็นโครงการที่อาจจะสร้างภาระหนี้ให้กับประเทศ เพราะเป็นโครงการที่เสี่ยงต่อวินัยทางการคลัง เนื่องจากการรับจำนำข้าวเป็นจำนวนมาก โดยไม่คำนึงถึงการระบายข้าวออกอาจส่งผลกระทบในระยะยาว พร้อมระบุว่า โครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริตในเกือบทุกขั้นตอน ซึ่งหากต้องการเดินหน้ารับจำนำต่อ รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางขึ้นมาตรวจสอบ
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า รัฐบาลควรทบทวนโครงการจำนำข้าวโดยการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์บางอย่างเช่น การตั้งราคาที่เหมาะสมเพื่อลดภาระงบประมาณและสถานที่เก็บรักษา ซึ่งในปีหน้าคาดว่า จะมีผลผลิตเฉพาะข้าวนาปี 26 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มสูงขึ้นจากปีนี้ ซึ่งอยู่ที่ 24 ล้านตัน
สำหรับสถานการณ์ส่งออกข้าวในปีหน้าเชื่อว่าตลาดข้าวไทยจะยังคงชะลอตัว เนื่องจากราคารับจำนำที่สูงกว่าราคาตลาดกว่าประมาณ 3,000-5,000บาท
ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช.วันนี้ ( 27 ก.ค.) จะพิจารณาทบทวนการจำนำข้าวเปลือกนาปีรอบใหม่ ซึ่งเดิมกำหนดจะเริ่มจำนำตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ พร้อมทั้งจะปรับวิธีการรับจำนำใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับชาวนาที่มีที่นามากน้อยต่างกัน แต่ราคารับจำนำจะยังคงเดิม โดยข้าวเปลือกเจ้า รับจำนำตันละ 15,000 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 20,000 บาท


#17 ดราม่า

ดราม่า

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,395 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:49


คุณamplepoor ผมสงสัยว่านโบายประกันราคาข้าวของอภิสิทธิ์ มีผลทำให้เนวินแพ้ภาคอีสาน

แต่นโยบายจำนำราคาข้าว ทำให้หัวคะแนนแถบอีสานเทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย ทฤษฎีนี้จริงมั๊ยครับ
"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ" อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สนับสนุนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินคนรวย สนันสนุนกฎหมายเก็บภาษีมรดก “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”หนูดี

#18 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:31

*
POPULAR



คุณamplepoor ผมสงสัยว่านโบายประกันราคาข้าวของอภิสิทธิ์ มีผลทำให้เนวินแพ้ภาคอีสาน

แต่นโยบายจำนำราคาข้าว ทำให้หัวคะแนนแถบอีสานเทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย ทฤษฎีนี้จริงมั๊ยครับ


ถูกต้องครับ
คะแนนเสียงต้องเลี้ยงด้วยเงิน

แม้วชำนาญในการซื้อคน ทำมาตั้งแต่เป็นตำรวจ และใช้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อมาเป็นนักการเมือง
สำหรับคนไทยระดับรากหญ้า พวกเขายังชอบฮีโร่แบบปล้นคนรวยช่วยคนจน
ในขณะที่ สำนึกโดยส่วนลึกก็ยังยอมสยบต่อเงิน

แม้วรวมสองตัวนี้เข้าด้วยกัน
เขารวย ชาวบ้านก็นับถืออยู่แล้ว เขาซื้อชาวบ้าน ชาวบ้านยิ่งเทิดทูน
เขาอ้างอีกว่า เงินพวกนี้ ควักมาจากพวกที่เคยกดขี่คนจน.....โหย คราวนี้เป็นเทพเลย

ผมเพิ่งอ่านข่าวที่คุณซิกรีเอามาลง
นายกเยอรมันคะแนนนิยมพุ่ง เพราะนโยบายรัดเข็มขัด
นี่แหละครับ ความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยจริง กับประชาธิปไตยปลอม

ที่ประเทศไทย นายกได้รับคำชื่นชมว่าแต่งตัวสวย ใช้ของแพง เสื้อผ้าไม่ซ้ำชุด
ทักษิณเอาแต่โชว์ความรวย สาวกก็โชว์ สมุนก็โขว์

ปัจจุบันประเทศไทยจึงปกครองด้วยธนาธิปไตยงัยครับ

#19 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:34

ในเรื่องจำนำข้าวนี่ ทักษิณกำลังตีเมืองขึ้นอยู่

มันใช้อำนาจการเมืองผูกขาดข้าวในประเทศ
วัดพลังกันระหว่างมาเฟียรัฐบาล กับสมาคมพ่อค้าข้าว
จะหาข้าวเพื่อส่งออก ต้องคลานมาหา
ไม่คลานเข้ามา สยามอินดิก้า กวาดหมดนะ

#20 ดราม่า

ดราม่า

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,395 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:59




คุณamplepoor ผมสงสัยว่านโบายประกันราคาข้าวของอภิสิทธิ์ มีผลทำให้เนวินแพ้ภาคอีสาน

แต่นโยบายจำนำราคาข้าว ทำให้หัวคะแนนแถบอีสานเทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย ทฤษฎีนี้จริงมั๊ยครับ


ถูกต้องครับ
คะแนนเสียงต้องเลี้ยงด้วยเงิน

แม้วชำนาญในการซื้อคน ทำมาตั้งแต่เป็นตำรวจ และใช้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อมาเป็นนักการเมือง
สำหรับคนไทยระดับรากหญ้า พวกเขายังชอบฮีโร่แบบปล้นคนรวยช่วยคนจน
ในขณะที่ สำนึกโดยส่วนลึกก็ยังยอมสยบต่อเงิน

แม้วรวมสองตัวนี้เข้าด้วยกัน
เขารวย ชาวบ้านก็นับถืออยู่แล้ว เขาซื้อชาวบ้าน ชาวบ้านยิ่งเทิดทูน
เขาอ้างอีกว่า เงินพวกนี้ ควักมาจากพวกที่เคยกดขี่คนจน.....โหย คราวนี้เป็นเทพเลย

ผมเพิ่งอ่านข่าวที่คุณซิกรีเอามาลง
นายกเยอรมันคะแนนนิยมพุ่ง เพราะนโยบายรัดเข็มขัด
นี่แหละครับ ความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยจริง กับประชาธิปไตยปลอม

ที่ประเทศไทย นายกได้รับคำชื่นชมว่าแต่งตัวสวย ใช้ของแพง เสื้อผ้าไม่ซ้ำชุด
ทักษิณเอาแต่โชว์ความรวย สาวกก็โชว์ สมุนก็โขว์

ปัจจุบันประเทศไทยจึงปกครองด้วยธนาธิปไตยงัยครับ


ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี เพราะถ้าอภิสิทธิ์ใช้จำนำข้าวต่อไป บวกกับปล่อยให้กลุ่มเนวินใช้กฎกลไกรัฐกับงบประมาณให้เต็มที่ ผมเชื่อว่าทักษิณได้เสียงน้อยกว่าครึ่งสภาแน่นอน แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ค่อนข้างเน้นความโปรงใส เนวินก็ทำงานแบบใต้ดินลำบาก

แต่ก็เพราะอภิสิทธิ์เป็นอย่างนี้ผมจึงเลือก
"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ" อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สนับสนุนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินคนรวย สนันสนุนกฎหมายเก็บภาษีมรดก “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”หนูดี

#21 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 17:32

ที่แมกา เมื่อโอบามาอยากจะออกนโยบายช่วยประชาชน
ถูกต่อค้าน เพราะพลเมืองของเขา นับถือตัวเองมากกว่านับถือรัฐบาล
พวกเขามองว่า ภาษีที่เขาจ่าย ไม่ใช่เพื่อมาช่วยคนที่ไม่จ่ายภาษี
แต่มาช่วยให้คน "ต้อง" จ่ายภาษี เพื่อรับผิดชอบประเทศไปด้วยกัน

ตอนนี้ ประเทศไทยอยู่ได้ด้วยภาษีของคนที่จ่ายได้
เพื่อให้คนที่ไม่จ่าย มาปกครองคนจ่าย

นี่เป็นความจริงที่เจ็บปวด

ถ้าผมเป็นนายก ผมจะขยายฐานผู้เสียภาษีออกไปให้ครบทุกคน
การเสียภาษี เป็นใบอนุญาตสำคัญให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียง
ผมจะแก้กฏหมายให้ใช้ใบเสียภาษีแทนเอกสารราชการทุกอย่าง
และใช้แทนบัตรประชาชนในการลงคะแนนเลือกตั้งอีกด้วย

#22 Ricebeanoil

Ricebeanoil

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,320 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 18:06

ที่แมกา เมื่อโอบามาอยากจะออกนโยบายช่วยประชาชน
ถูกต่อค้าน เพราะพลเมืองของเขา นับถือตัวเองมากกว่านับถือรัฐบาล
พวกเขามองว่า ภาษีที่เขาจ่าย ไม่ใช่เพื่อมาช่วยคนที่ไม่จ่ายภาษี
แต่มาช่วยให้คน "ต้อง" จ่ายภาษี เพื่อรับผิดชอบประเทศไปด้วยกัน

ตอนนี้ ประเทศไทยอยู่ได้ด้วยภาษีของคนที่จ่ายได้
เพื่อให้คนที่ไม่จ่าย มาปกครองคนจ่าย

นี่เป็นความจริงที่เจ็บปวด

ถ้าผมเป็นนายก ผมจะขยายฐานผู้เสียภาษีออกไปให้ครบทุกคน
การเสียภาษี เป็นใบอนุญาตสำคัญให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียง
ผมจะแก้กฏหมายให้ใช้ใบเสียภาษีแทนเอกสารราชการทุกอย่าง
และใช้แทนบัตรประชาชนในการลงคะแนนเลือกตั้งอีกด้วย


ประชาธิปไตยระยะแรกของญี่ปุ่นและอังกฤษเริ่มต้นจากวิธีนี้ครับ
ญี่ปุ่น การเลือกตั้งครั้งแรก ผู้มีสิทธิ์คือ ประชาชนที่เสียภาษีเงินได้อย่างน้อย 1 เยน/ปี จึงจะมีสิทธิ์เลือกตั้งครับ
อังกฤษ พัฒนาผู้มีเลือกตั้งจาก ขุนนาง -> ประชาชนผู้เสียภาษี -> ประชาชนเพศชาย -> ประชาชนทุกคน
เถียงกับความจริง เถียงให้ตายก็ไม่มีทางชนะ

#23 ก๊องส์ไข่กวน

ก๊องส์ไข่กวน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,012 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 18:20


ที่แมกา เมื่อโอบามาอยากจะออกนโยบายช่วยประชาชน
ถูกต่อค้าน เพราะพลเมืองของเขา นับถือตัวเองมากกว่านับถือรัฐบาล
พวกเขามองว่า ภาษีที่เขาจ่าย ไม่ใช่เพื่อมาช่วยคนที่ไม่จ่ายภาษี
แต่มาช่วยให้คน "ต้อง" จ่ายภาษี เพื่อรับผิดชอบประเทศไปด้วยกัน

ตอนนี้ ประเทศไทยอยู่ได้ด้วยภาษีของคนที่จ่ายได้
เพื่อให้คนที่ไม่จ่าย มาปกครองคนจ่าย

นี่เป็นความจริงที่เจ็บปวด

ถ้าผมเป็นนายก ผมจะขยายฐานผู้เสียภาษีออกไปให้ครบทุกคน
การเสียภาษี เป็นใบอนุญาตสำคัญให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียง
ผมจะแก้กฏหมายให้ใช้ใบเสียภาษีแทนเอกสารราชการทุกอย่าง
และใช้แทนบัตรประชาชนในการลงคะแนนเลือกตั้งอีกด้วย


ประชาธิปไตยระยะแรกของญี่ปุ่นและอังกฤษเริ่มต้นจากวิธีนี้ครับ
ญี่ปุ่น การเลือกตั้งครั้งแรก ผู้มีสิทธิ์คือ ประชาชนที่เสียภาษีเงินได้อย่างน้อย 1 เยน/ปี จึงจะมีสิทธิ์เลือกตั้งครับ
อังกฤษ พัฒนาผู้มีเลือกตั้งจาก ขุนนาง -> ประชาชนผู้เสียภาษี -> ประชาชนเพศชาย -> ประชาชนทุกคน

หนับหนุน ครับ

#24 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 18:32

ผมขอแค่บัตรประชาชนกับบัตรประจำตัวผู้เสียภาษี
เป็นบัตรเดียวกันก็พอ

#25 Emolution

Emolution

    โคตรพ่อโคตรแม่ควายแดง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,029 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 18:43

ยาวๆงี้ควายแดงจะพาลไม่อ่านเอาน่ะสิครับ

#26 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 19:06

ยาวๆงี้ควายแดงจะพาลไม่อ่านเอาน่ะสิครับ


ไม่ได้หวังให้พวกเขามาอ่าน แต่ตั้งไว้เป็นฐานข้อมูลครับ
เรื่องจำนำข้าวนี่ เป็นโครงการฉ้อราษฎร์หลายระดับ
กินกันปีละเป็นแสนล้าน แล้วยังมีตัวอื่นอีก

อยู่เฉยไม่ได้แล้วละครับ

#27 THE THIRD WAY

THE THIRD WAY

    มาหาความจริง

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,417 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:39

คนทำชั่วไม่ตายดี
แต่ที่เราบหายนี่แหละ เละทั้งระบบ
ผู้รู้กี่ท่านกี่คนออกมาพูดตรงกัน
มันไม่ฟังเลย เพราะนโยบายนี้ได้คะแนน
ส่วนประเทศฉิบหาย ช่างประเทศ

อย่างนี้ไม่ตายดีแน่
คนหรือวงษ์ตระกูลที่ถูกสาปแช่งทั้งแผ่นดินนั้น
นานๆมีที
อยู่เฉยๆ แล้วบอกว่าเป็นกลางทีคนอื่นทำอีกอย่าง บอกว่าเอียง

#28 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:41

http://www.ryt9.com/s/bmnd/1452746

แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าว กล่าวว่า การขายข้าวแบบลับๆ ของกระทรวงพาณิชย์ครั้งนี้ คาดว่าอนุมัติขายไปแล้วเกือบ 3 ล้านตัน แบ่งเป็นสต๊อกข้าวเก่า 1.9 ล้านตัน ที่เหลือมาจากสมัยรัฐบาลชุดก่อน และอีกเกือบ 1 ล้านตันมาจากข้าวในโครงการรับจำนำนาปีฤดูกาล 2554/2555 และข้าวนาปรับฤดูกาล 2555 โดยผู้ที่ได้รับการอนุมัติขายข้าวสต๊อกเก่าเกือบทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว คือบริษัทสยาม อินดิก้า และได้มีการนำข้าวสต๊อกเก่าไปปล่อยให้กับผู้ส่งออกข้าวและโรงสีรายอื่นอีกทอดหนึ่ง สำหรับข้าวสต๊อกใหม่มีการอนุมัติขายให้กับผู้ส่งออกรายใหญ่ ที่มีการส่งออกไปประเทศอิรักและอิหร่าน ส่วนราคานั้นคาดว่าจะต่ำกว่าต้นทุนรับจำนำมาก เพราะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลด้านราคา แต่ใบส่งมอบข้าวที่ให้กับผู้ส่งออกระบุชื่อผู้ซื้อคือกรมการ


กรณีนี้ นายบุญทรง ได้มีการปฏิเสธ ออกมาในข่าวเดียวกัน ...

ถ้าไม่มีข่าวอะไรแรง ๆ มากลบก่อน..เรื่องนี้ คงมีการรื้อกันยาว

นี่แหละที่ผมเชื่อว่า รมต.กลาโหมยอมพลีชีพเป็นตัวตลกระดับคางคก

เพราะข่าวเรื่องโกงข้าวชักจะแรง โดยเฉพาะโพสต์ทูเดย์เกาะติดมาเป็นอาทิตย์แล้ว

:) ...

#29 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:47

ซื้อมาแพง
ขายให้เครือข่ายในราคาถูก (ขาดทุนไม่เป็นไร เอาภาษีพวกเราไปหนุนไว้)
เครือข่ายขายต่อพ่อค้าส่งออก (กำไรแบ่งกัน)

ขายข้าวไม่หมด ทำลายทิ้ง
ปีหน้าทำใหม่

#30 voodoo

voodoo

    ไม่เป็นกลาง

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,202 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:59

ซื้อมาแพง
ขายให้เครือข่ายในราคาถูก (ขาดทุนไม่เป็นไร เอาภาษีพวกเราไปหนุนไว้)
เครือข่ายขายต่อพ่อค้าส่งออก (กำไรแบ่งกัน)

ขายข้าวไม่หมด ทำลายทิ้ง
ปีหน้าทำใหม่

ซื้อแพงมาขายถูก เหมือนนโยบายแชร์ข้าวสาร
" สลิ่มที่ไม่กล้่าเปิดตัวต่อสาธารณชนเท่าไรนัก เนื่องจากไม่ได้ทำประกันอัคคีภัย "

#31 ดราม่า

ดราม่า

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,395 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:00

ซื้อมาแพง
ขายให้เครือข่ายในราคาถูก (ขาดทุนไม่เป็นไร เอาภาษีพวกเราไปหนุนไว้)
เครือข่ายขายต่อพ่อค้าส่งออก (กำไรแบ่งกัน)

ขายข้าวไม่หมด ทำลายทิ้ง
ปีหน้าทำใหม่


ตอนซื้อมาแพงหัวคะแนนก็ได้เงินไปเต็มๆ ตอนขายไปถูกๆตัวมันเองก็ฟังกำไรอีกต่อ

เวรกรรมประเทศไทย

ขอเพิ่มอีกนิด ถ้ายังประกันราคาข้าว รับรองหัวคะแนนทั่วภาคอีสานไม่เอามาร์ก :lol:

Edited by ดราม่า, 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:02.

"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ" อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สนับสนุนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินคนรวย สนันสนุนกฎหมายเก็บภาษีมรดก “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”หนูดี

#32 Robin

Robin

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,097 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:17

ทู้ปลอดควาย :lol:

#33 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:35

เวลานี้ เป็นการสู้กันระหว่างดีกับชั่วอย่างแท้จริง
ความสุจริต สู้กับความทุจริต

เหนื่อยครับ....แต่ทำงัยได้
บ้านเมืองก็เป็นของเรา


Posted Image

Edited by amplepoor, 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:36.


#34 สงสารสาวจันทร์

สงสารสาวจันทร์

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,698 posts

ตอบ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:40

เข้าใจแล้วครับ. ทำนาบนหลังคน มันมีที่มายังงี้นี่เอง.

อ้อ.. อย่าลืมใช้เงินจากพลังงานไทยบนหลังคนไทยด้วยนะ ผมติดตามทุกภาค.

http://webboard.seri...ละสมาชิกทุกท่า/

#35 Ricebeanoil

Ricebeanoil

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,320 posts

ตอบ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:06

ในเรื่องจำนำข้าวนี่ ทักษิณกำลังตีเมืองขึ้นอยู่

มันใช้อำนาจการเมืองผูกขาดข้าวในประเทศ
วัดพลังกันระหว่างมาเฟียรัฐบาล กับสมาคมพ่อค้าข้าว
จะหาข้าวเพื่อส่งออก ต้องคลานมาหา
ไม่คลานเข้ามา สยามอินดิก้า กวาดหมดนะ


รายการคมชัดลึก วันที่ 27/7/55 นโยบาย(หลุด)จำนำข้าว ?
1/3 http://www.nationcha...20727/27827515/
2/3 http://www.nationcha...20727/27827516/
3/3 http://www.nationcha...20727/27827517/

สงสัยจะจริงแล้วละครับ กำลังตีเมืองขึ้นขมักเขม้นอยู่เชียว ดูจากสมาคมโรงสีชาบูไม่ขาดปากแบบนี้
แถมยังบอกว่าความสัมพันธ์ชาวนากับโรงสีดีขึ้น โรงสีไม่ได้กดราคา บลาๆ
แต่ของจริง


Posted Image

Posted Image

Edited by Ricebeanoil, 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:18.

เถียงกับความจริง เถียงให้ตายก็ไม่มีทางชนะ

#36 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:11

ชุดนี้ รวมคลิบ







#37 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:13





#38 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:14





#39 ศรอรชุน

ศรอรชุน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,103 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 07:24

เอาไปเผยแพร่แล้ว คงมีคนกลางๆ หรือแดงอ่อนๆ อ่านบ้างละครับ 555++


เรื่องการจำนำข้าวนโยบายสุดห่วยแตกของรัฐบาลสรุปว่าเป็นยังไงแน่

http://www.pantip.co...2438383.html#25

"ควาย" ในความหมายของผม คือ คนที่มีความคิด เล่นเน็ตเป็น แต่แยกแยะ ดี ชั่ว ถูก ผิด ไม่ได้  

              มิได้หมายถึง ชาวรากหญ้า ที่เป็นเหยื่อในสงครามทางความคิดครั้งนี้

 

"คนชั่ว" จะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา... อยากให้ถึงวรรคท้ายของคำทำนาย ไวๆ ว่ะ...


#40 > mj <

> mj <

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 441 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 07:31

มาช่วยแปะคลิปครับ


#41 > mj <

> mj <

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 441 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 07:34



#42 ก๊องส์ไข่กวน

ก๊องส์ไข่กวน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,012 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:07

ก๊องส์จะดันไม่ให้ตก

#43 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:24

เอาไปเผยแพร่แล้ว คงมีคนกลางๆ หรือแดงอ่อนๆ อ่านบ้างละครับ 555++
เรื่องการจำนำข้าวนโยบายสุดห่วยแตกของรัฐบาลสรุปว่าเป็นยังไงแน่
http://www.pantip.co...2438383.html#25


ขำที่ออกมาถามหาใบเสร็จ....แนะนำคุณศรโฟกัสที่สยามอินดิก้า
และขำที่บอกว่า ข่าวจากสื่อ 10 บาท ไม่เชื่อ
แต่ตัวเองเอาข่าว 10 บาทมาใช้

ผมว่าเรื่องจำนำข้าวนี้แหละ ที่เพื่อไทยเอาคดีหนีทหารมากลบ

#44 > mj <

> mj <

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 441 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:29




#45 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:35

ส่งข้าวอันดับหนึ่ง แต่คนในประเทศ กินข้าวสุกแพง เมื่อคนปลูกน้อยย่อมแพงคนที่ได้ควรเป็นคนปลูก แต่นี่ กลับทำให้ราคาแพง คนที่ขายกลับได้ราคาที่ต่ำกว่าความจริง
เพราะวิธี หลอกราคา ข้าวถ้าจะแก้ควรแก้แบบให้ราคาไปตามกลไก โดยรัฐเป็นแค่กรรมการ ไม่ใช่เจ้าภาพทั้งระบบ

#46 ก๊องส์ไข่กวน

ก๊องส์ไข่กวน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,012 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:43


เอาไปเผยแพร่แล้ว คงมีคนกลางๆ หรือแดงอ่อนๆ อ่านบ้างละครับ 555++
เรื่องการจำนำข้าวนโยบายสุดห่วยแตกของรัฐบาลสรุปว่าเป็นยังไงแน่
http://www.pantip.co...2438383.html#25


ขำที่ออกมาถามหาใบเสร็จ....แนะนำคุณศรโฟกัสที่สยามอินดิก้า
และขำที่บอกว่า ข่าวจากสื่อ 10 บาท ไม่เชื่อ
แต่ตัวเองเอาข่าว 10 บาทมาใช้

ผมว่าเรื่องจำนำข้าวนี้แหละ ที่เพื่อไทยเอาคดีหนีทหารมากลบ

เน้นๆ

#47 มอกะด๊าก

มอกะด๊าก

    น้องใหม่

  • Banned
  • Pip
  • 7 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:01

นโยบายมักง่าย เอาเงินล่อชาวนา แต่มีผลเสียกับคนทั้งประเทศ
หยุดปรองดองจอมปลอม หยุดล้างผิดคนโกง

#48 Toys

Toys

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 641 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:30

จะรอชมต่อไป ว่าจะทำไรได้บ้าง

#49 QueenBee

QueenBee

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 547 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:04

ทู้ปลอดควาย :lol:


ข้อมูลเยอะไปค่ะ ควายไม่อ่าน
เป็นคนธรรมดาๆที่รักในหลวงยิ่งชีวิตเบื่อผู้นำที่คิดไม่เป็นเชื่อว่าแม้วคือศัตรูของชาติรับไม่ได้กับแดงเผาเมือง

#50 QueenBee

QueenBee

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 547 posts

ตอบ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:09

ขอบคุณคุณamplepooมากค่ะสำหรับข้อมูล
น่ากลัวจริงๆ ถ้าปล่อยไว้มีสิทธิ์ที่ตลาดข้าวไทยจะพังทั้งระบบนะคะ
แล้วก็เข้าล็อคเลย ทำให้ข้าวเป็นอีกธุรกิจผูกขาดของตัวเองและพวกพ้อง
เป็นคนธรรมดาๆที่รักในหลวงยิ่งชีวิตเบื่อผู้นำที่คิดไม่เป็นเชื่อว่าแม้วคือศัตรูของชาติรับไม่ได้กับแดงเผาเมือง




ผู้ใช้ 0 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 0 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน