ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 16 - 17 สิงหาคม พ.ศ.2555
ปรโลกนิวส์ ตอน สตีฟ จ็อบส์ ตายแล้วไปไหนสตีฟ จ็อบส์ ตายแล้วไปไหน ตอนที่ 1
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
ผู้เสียชีวิต มิสเตอร์ สตีฟ จ็อบส์
เกิดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498
เสียชีวิตวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554 (อายุ 56 ปี)
ด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน
ผู้ส่งเคส มิสเตอร์ โทนี่ ซวง
(วิศวกรอาวุโสของบริษัทแอปเปิล)
กราบนมัสการท่านเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
ผมโทนี่ ซวง (Tony Tseung) เป็นวิศวกรอาวุโส ของบริษัทแอปเปิล จากนครคิวเปอร์ทีโน่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ผู้คนทั่วโลกได้อาลัยกับการจากไปของบุคคลหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง และอดีตประธานกรรมการบริหาร (CEO) ของบริษัทแอปเปิล ซึ่งมีชื่อเสียงด้วยผลงานนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์แมคอินทอช, Iphone, Ipod, Ipad
เมื่อถึงคราวเปิดตัวสินค้าใหม่ทีไร ผู้คนจำนวนมากต้องปักหลักเข้าคิวรอยาวเหยียดอยู่หน้าร้านค้าของแอปเปิลในแต่ ละประเทศแบบข้ามวันข้ามคืนแอปเปิลประสบความสำเร็จในระดับโลกได้ถึงขนาดนี้ เพราะบุคคลคนหนึ่งที่คอยขับเคลื่อนงานอย่างมุ่งมั่น นั่นคือ สตีฟ จ็อบส์ เองครับ
สตีฟ จ็อบส์ เกิดในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในครอบครัวของพ่อแม่บุญธรรม จนอายุ 17 ปี เขาเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยได้เพียงแค่เพียงหนึ่งภาคการศึกษาเท่านั้น เพราะเขาคิดว่าไม่มีวิชาใดในมหาวิทยาลัยที่น่าสนใจสำหรับเขา ด้วยความเป็นคนคิดนอกกรอบ เขาจึงร่วมกับเพื่อนก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ตั้งแต่อายุได้เพียง 21 ปี
ตลอดชีวิตการทำงานของเขา เขาได้พิสูจน์ฝีมือให้คนในวงการได้ประจักษ์ มิใช่เป็นเพียงผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีหรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่โลกเพียงอย่างเดียว แต่เขาเป็นนักศิลปะ นักคิด นักพูดที่โดดเด่น
แต่แล้วปี 2547 ขณะที่เขากำลังสนุกกับงานที่แอปเปิลอยู่นั้น เขาพึ่งรู้ตัวว่า ตนเป็นมะเร็งตับอ่อน แต่เขาเป็นนักสู้ สู้กับโรคร้ายด้วยการทำงาน โดยไม่ปล่อยบริษัทให้เดินลำพัง จนเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2554 เขาก็จากโลกนี้ไปพร้อมทิ้งตำแหน่งผู้ร่ำรวยมากที่สุดในอันดับที่ 110 ของโลก พร้อมด้วยทรัพย์สินมูลค่า 8,300 ล้าน ดอลล่าร์สหรัฐ เอาไว้เบื้องหลัง
ท่านเจ้าอาวาสที่เคารพครับ สาเหตุที่ผมเขียนจดหมายมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับสตีฟ จ็อบส์ทั้งหมดนี้ เพราะเขาเป็นชาวพุทธครับ ในสมัยที่สตีฟ จ็อบส์ยังเป็นหนุ่ม เขาเคยเดินทางไปอินเดีย และทำให้เขาตัดสินใจหันมานับถือพระพุทธศาสนาจน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเขา สตีฟ จ็อบส์ เคยคิดที่จะออกบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาด้วย แต่เพราะติดโครงการสร้างคอมพิวเตอร์ เขาจึงพลาดโอกาสบวชเป็นพระไปครับฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที
แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะ
คำถามข้อที่ 1. สตีฟ จ็อบส์ ตายแล้วไปไหน ตอนนี้ตัวเขาเป็นอย่างไรบ้างคำตอบ.....ก่อน ที่นักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทั่วโลกจะได้ฟังเรื่องราว Case study ของคุณสตีฟ จ็อบส์นั้น โดยเฉพาะนักเรียนใหม่ เราก็ต้องมาศึกษาเรียนรู้และทำความเข้าใจกันก่อนว่า......
ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ใด ตายแล้วไม่สูญ
ชีวิตหลังความตายนั้น มีอยู่จริง คือ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ใด หรือจะเป็นเด็กน้อยแรกเกิด เด็กปานกลาง หรือเด็กโข่งที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบร้อยปี ที่ไม่ว่าจะอยู่ ณ มุมใดของโลกนี้ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะต้องไปบังเกิดใหม่อยู่ในภพภูมิต่างๆ ซึ่งก็มีทั้งภพภูมิที่เป็นสุคติ หรือภพภูมิที่ดี และภพภูมิที่เป็นทุคติ หรือภพภูมิที่ไม่ดี คือพูดง่ายๆ ว่า ตายแล้วไม่สูญนั่นเอง
ชีวิตหลังความตายทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งสิ้น บุญและบาปตามหลักของกฎแห่งกรรมที่เป็นของสากล
ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อของศาสนาหรือเผ่าพันธุ์ใด
สำหรับชีวิตหลังความตาย บทตัดสินว่าใครจะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่เป็นสุคติหรือทุคตินั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครที่จะมาพิพากษาตัดสินหรือลิขิตชีวิต แต่ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งสิ้น คือก่อนที่จะเสียชีวิต บุคคลนั้นมีใจที่ผ่องใสหรือเศร้าหมอง ซึ่งความผ่องใสและเศร้าหมองของใจแต่ละบุคคลนั้นก็ขึ้นอยู่กำลังของบุญและบาป ที่บุคคลนั้นได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์ ซึ่งบุญและบาปที่กล่าวมานี้ก็คือบุญและบาปตามหลักของกฎแห่งกรรมที่เป็นของ สากลซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อของศาสนาหรือเผ่าพันธุ์ใด อุปมาเหมือนกับมือเปล่าที่จับไฟจับยังไงก็ร้อน คือไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อจะรู้หรือไม่รู้ จับยังไงมันก็ร้อนหรือตรงข้ามเอามือเปล่าจับน้ำแข็ง จับยังไงก็เย็น คือไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อจะรู้หรือไม่รู้ จับยังไงมันก็เย็น
ซึ่งถ้าหากบุคคลใดมีใจที่ผ่องใสบุคคลนั้นก็จะได้ไปบังเกิดอยู่ในสุคติภูมิ แต่ถ้าหากบุคคลใดมีใจที่เศร้าหมองบุคคลนั้นก็จะต้องไปบังเกิดอยู่ในทุคติ ภูมิ ดังหลักธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสสอนเอาไว้ว่า
“ จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา เมื่อจิตผ่องใสไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป
จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป ”
รายละเอียดของสุคติภูมิจะมีการแบ่งเป็นชั้นๆ
ซึ่งรายละเอียดของสุคติภูมิ แบบคร่าวๆ นั้น ก็จะมีการแบ่งเป็นชั้นๆ ตามความผ่องใสของใจว่ามีความผ่องใสมากหรือน้อย ซึ่งถ้าใจของบุคคลใดมีความผ่องใสน้อย คือได้ทำทั้งบุญและบาปตามหลักของกฎแห่งกรรมเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือถ้าเป็นชาวพุทธก็พูดง่ายๆ ว่า วัดก็เข้าเหล้าก็ กิน บุญก็ทำกรรมก็สร้าง เป็นต้น เมื่อบุคคลเหล่านี้ได้ละจากโลกไปแล้ว พวกเขาก็จะไปบังเกิดอยู่ในภพภูมิที่มีความสุขสบายในระดับเบื้องต้น โดยเริ่ม ตั้งแต่ภพภูมิของภุมมะเทวา หรือเทวดาที่มีที่อยู่ที่อาศัยซ้อนอยู่ในเมืองมนุษย์ ซึ่งมีลักษณะเป็นภพซ้อนภพ หรือมิติที่ซ้อนกันอยู่ ไล่เรื่อยไปจนถึงสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา รุกขเทวา หรือเทวดาที่มีที่อยู่ที่อาศัยอยู่กับต้นไม้ เช่น อยู่ในต้นไม้ หรืออยู่บนต้นไม้ เป็นต้น อากาศเทวา หรือเทวดาที่มีที่อยู่ที่อาศัยลอยอยู่บนอากาศ ไล่เรื่อยไปจนถึง นาค, ยักษ์, คนธรรพ์, กุมภัณฑ์, ครุฑที่อยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 1 หรือสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกานั่นเอง
บุคคลใดสั่งสมบุญไว้อย่างมากมายในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่เมื่อละจากโลกไป
ก็จะได้ไปบังเกิดอยู่ในภพภูมิที่มีความสวยงาม สว่างไสว
แต่ถ้าใจของบุคคลใดมีความผ่องใสมาก คือเป็นคนที่มีพื้นฐานจิตใจดี ชอบทำความดี ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ และก็ได้สั่งสมบุญต่างๆ เช่น ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา เป็นต้น เอาไว้อย่างมากมายในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อบุคคลเหล่านี้ได้ละจากโลกไปแล้ว พวกเขาก็จะได้ไปบังเกิดอยู่ในภพภูมิที่มีความสวยงาม สว่างไสว และมีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป เช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานฯ ปรนิมฯ หรือพรหมโลก เป็นต้น
คนที่มีใจเศร้าหมองเพราะบาปอกุศลที่ได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่มีชีวิตอยู่
เมื่อละจะโลกไปก็จะไปบังเกิดอยู่ในทุคติภูมิมีแต่ความมืดมิดเร่าร้อนรุนแรง
ส่วนคนที่มีใจเศร้าหมอง เพราะบาปอกุศลที่ตัวเองได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่มีชีวิตอยู่ได้มาห่อหุ้ม ใจ เช่น ดื่มเหล้า, เจ้าชู้, เล่นการพนัน เป็นต้น เมื่อบุคคลเหล่านี้ได้ละจะโลกไปแล้ว พวกเขาก็จะไปบังเกิดอยู่ในทุคติภูมิ ซึ่งเป็นภพภูมิที่มีแต่ความมืดมิด, เร่าร้อนรุนแรง, เศร้าหมอง, หดหู่, น่าสะพรึงกลัวและมีแต่ความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเกินกว่าที่จะบรรยายได้ เช่น ภพภูมิของสัตว์นรก, เปรต, อสุรกาย เป็นต้น เมื่อลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ ได้ศึกษาเรียนรู้หลักวิชชาในการเดินทางไปสู่ปรโลกตามหลักของพระพุทธศาสนาพอ เป็นสังเขปเช่นนี้แล้ว เราก็มารับฟังเรื่องราว Case Study ของคุณสตีฟ จ็อบส์กันเลย
ก่อนที่คุณสตีฟ จ็อบส์จะเสียชีวิตภายในใจของเขา
ยังเป็นห่วงและกังวลในเรื่องราวต่างๆ มากมาย
ก่อนที่คุณสตีฟ จ็อบส์จะเสียชีวิตนั้น ภายในใจของเขาก็ยังมีความรู้สึกเป็นห่วงและกังวลในเรื่องราวต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องครอบครัว ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้นตัวเขาก็ยังอยากที่จะอยู่กับครอบครัวและยังไม่พร้อมที่จะจาก ครอบครัวของเขาไป หรือ เรื่องของบริษัทที่ตัวเขามีความรู้สึกที่ภาคภูมิใจมากๆ ซึ่งตัวคุณสตีฟ จ็อบส์เอง ก็มีโปรเจ็คต่างๆ ที่ตัวเขาได้แพลน หรือ คิดเอาไว้เยอะแยะมากมาย ซึ่งยังไม่ได้ทำ อีกทั้งตัวเขาก็ยังมีความรู้สึกที่กังวลว่า “ บริษัทที่ตัวเขาได้ทุ่มเทสร้างมาจะมีอนาคตต่อไปเป็นอย่างไร ” เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่ตัวเขาคิดคำนึงนั้นก็ได้กลายเป็นภาพที่ติดเข้าไปอยู่ในใจของเขา ซึ่งภาพเหล่านั้นก็มีทั้งภาพที่ทำให้ตัวเขารู้สึกสบายใจ ไม่สบายใจ และกังวลใจ หรือถ้าพูดเป็นภาษาที่พวกเรานักเรียนอนุบาลฯ คุ้นเคยหรือคุ้นหูกันก็คือภาพเหล่านั้นเป็นภาพที่ทำให้ใจใสและใจหมองนั่นเอง
คุณสตีฟ จ็อบส์รู้สึกเป็นกังวลลึกๆ ว่าเมื่อตัวเขาตายไปแล้ว
ชีวิตหลังความตายของเขาจะเป็นอย่างไร ตัวเขาจะได้ไปอยู่ที่ไหนและที่แห่งนั้นจะเป็นอย่างไร
และที่สำคัญมากๆ มากๆ คุณสตีฟ จ็อบส์เองก็รู้สึกเป็นกังวลลึกๆ ว่า “ เมื่อตัวเขาตายไปแล้วชีวิตหลังความตายของเขาจะเป็นอย่างไร ตัวเขาจะได้ไปอยู่ที่ไหน และที่แห่งนั้นจะเป็นอย่างไร หรือว่าจะเป็นอย่างที่อาจารย์ของ เขา ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นและเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ได้เคยสอนเอาไว้หรือเปล่หรือว่าจะเป็นอย่างอื่น” เรียกได้ว่าทั้งความไม่แน่ใจ, ความวิตกกังวล, และความผูกพันในเรื่องคน งาน เงิน และโปรเจ็คต่างๆ มันได้กลายเป็นความคิดที่วนเวียนอยู่ในใจของคุณสตีฟ จ็อบส์ ณ ช่วงเวลานั้นอยู่ตลอดเวลา
ช่วงเวลาที่คุณสตีฟ จ็อบส์กำลังจะจากโลกนี้ไป
ภาพต่างๆ เช่น ความปลื้มใจ ความไม่ปลื้มใจก็ได้มาปรากฏฉายอยู่ภายในใจ
ดังนั้น จึงทำให้ ณ ช่วงเวลาที่คุณสตีฟ จ็อบส์กำลังจะจากโลกนี้ไป ภาพของความวิตกกังวลและภาพของความทรงจำที่มีทั้งความสุข ความทุกข์ ความปลื้มใจ ความไม่ปลื้มใจ ก็ได้มาปรากฏฉายอยู่ภายในใจของเขา ซึ่งภาพต่างๆ เหล่านั้น ก็มีทั้งภาพที่ทำให้ใจของเขาเศร้าหมอง, ภาพที่ทำให้ใจของเขาผ่องใส และภาพที่ทำให้ใจของเขาไม่เศร้าหมองไม่ผ่องใสสลับปะปนกันไป ซึ่งภาพที่ทำให้ใจของเขาเศร้าหมอง ก็คือ ภาพที่ตัวเขาเป็นคนขี้โมโห, หงุดหงิดง่าย ชอบใช้อารมณ์รุนแรงและโหวกเหวกโวยวายกับลูกน้องที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ดั่งใจ หรือไม่ถูกใจตัวเขาอยู่เป็นประจำ คือบอกให้ทำอย่าง ก็ไปทำอีกอย่าง หรือบอกให้ทำอย่างเดียว ก็ไปทำหลายอย่าง หรือพูดง่ายๆ ว่า ผิดสเป็กตลอด เป็นต้น
ภาพที่ทำให้ใจของเขาไม่เศร้าหมองไม่ผ่องใส
คือภาพที่ตัวเขาไปทำงานหรืออยู่กับครอบครัว
ส่วนภาพที่ทำให้ใจของเขาผ่องใส ก็คือภาพที่ตัวเขาได้บริจาคทรัพย์และสิ่งของให้กับองค์กรการกุศล รวมถึงภาพที่ตัวเขาได้ให้ความรู้เป็นวิทยาทานแก่เพื่อนร่วมงานและนิสิตนัก ศึกษาตามโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นต้น ส่วนภาพที่ทำให้ใจของเขาไม่เศร้าหมองไม่ผ่องใส ก็คือภาพที่ตัวเขาไปทำงาน หรืออยู่กับครอบครัว เป็นต้น
หลังจากที่คุณสตีฟ จ็อบส์ได้ละจากโลกนี้ไปแล้ว
ก็ได้ไปบังเกิดใหม่เป็นเทพบุตรภุมมะเทวา
และด้วยความที่ใจของเขามีทั้งความเศร้าหมอง ทั้งความผ่องใส และทั้งความไม่เศร้าหมองไม่ผ่องใสปนเปกันไป กอปรกับตัวเขาก็ยังมีความผูกพันกับหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างบนโลกมนุษย์นี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน งาน เงิน และโปรเจ็คต่างๆ เป็นต้น เมื่อเหตุดังกล่าวได้มาส่งผลรวมกับอัธยาศัยพื้นฐานของตัวเขาซึ่งเป็นคนที่มี ความรู้ความสามารถทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และสุนทรียภาพทางศิลปะสูงมาก คือเป็นคนที่ชอบอยู่กับสิ่งของที่สวยงาม และชอบความเพอร์เฟ็ค จึงส่งผลทำให้หลังจากที่คุณสตีฟ จ็อบส์ได้ละจากโลกนี้ไปแล้ว ตัวเขาก็ได้ไปบังเกิดใหม่เป็น “ เทพบุตรภุมมะเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ ” ที่มีที่อยู่ที่อาศัยซ้อนอยู่บนโลกมนุษย์ใกล้ๆ กับที่ทำงานเดิมของตัวเขาในทันที
ภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ เวลาโกรธ ก็จะมีเขี้ยวงอกออก
แต่ไม่เหมือนกับเขี้ยวที่เราเข้าใจกันจากหนัง เช่น เขี้ยวของแวมไพร์
เมื่อมาถึงจุดนี้ลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ ก็คงอยากที่จะรู้ว่า “ ภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ ” นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร สำหรับภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์นั้นก็คือภุมมะเทวาที่มีอัธยาศัย 2 อย่างมาผสมผสานกัน ได้แก่ อัธยาศัยของวิทยาธรที่รักในการเรียนรู้ศาสตร์และความรู้ต่างๆ กับอัธยาศัยของยักษ์ที่มักโกรธ ขี้โมโห และหงุดหงิดง่าย ดังนั้น เมื่ออัธยาศัยทั้งสองอย่างดังกล่าว หรืออัธยาศัยที่รักในการเรียนรู้กับอัธยาศัยที่มักโกรธ ได้มาผสมผสานกันแล้ว จึงทำให้ภุมมะเทวาสายนี้มีลักษณะเป็นวิทยาธรกึ่งยักษ์นั่นเองโดยเฉพาะเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ จะมีลักษณะกายเหมือนกับเทพบุตรภุมมะเทวาระดับกลาง เพียงแต่ผิวของเขาจะเป็นสีดำอมแดงมีเลือดฝาดและหยาบกว่าผิวของเทพบุตรภุมมะ เทวาระดับกลาง ซึ่งโดยปกติทั่วไปภุมมะเทวาระดับกลางจะมีผิวขาว ผ่องใสและละเอียดกว่าผิวของมนุษย์ ซึ่งถ้าจะอุปมาให้เห็นภาพกันแบบชัดๆ ผิวของภุมมะเทวาระดับกลางก็จะมีความละเอียดและนุ่มนวลละม้ายคล้ายกับสำลีที่ นุ่มๆ ส่วนผิวของเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ซึ่งเป็นภุมมะเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ จะมีความละเอียดคล้ายกับฟองน้ำ อีกทั้งเวลาโกรธ เทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ก็จะมีเขี้ยวงอกออกมาอีกด้วยซึ่งในเวลาปกติตัวเขาจะไม่มีเขี้ยวงอกออกมา ซึ่งเขี้ยวที่งอกออกมานี้จะมีรายละเอียดอีกเยอะแยะมากมาย และไม่เหมือนกับเขี้ยวที่พวกเราเข้าใจกันจากหนังหรือภาพยนตร์ที่เคยได้ดูได้ ชมหรือคิดคำนึงกัน เช่น เขี้ยวของแวมไพร์ หรือเขี้ยวของแดร็กคิวล่า เป็นต้น
วิมานของท่านเทพบุตรใหม่มีลักษณะเรียบๆ ง่ายๆ ขนาดปานกลาง
ส่วนวิมานหรือที่อยู่ที่อาศัย ของท่านเทพบุตรใหม่จะมีลักษณะเป็นวิมานที่เรียบๆ ง่ายๆ ขนาดปานกลาง ที่สูงประมาณตึก 6 ชั้น ซึ่งตัววิมานจะประกอบด้วยโลหะสีเงินสีขาวและแก้วผลึกขนาดใหญ่ที่มีขอบ เขตกว้างขวาง และอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานเดิมในสมัยที่ตัวเขายังเป็นมนุษย์ ซึ่งโดยรอบวิมานของท่านเทพบุตรใหม่จะมีวิมาน ของเหล่าภุมมะเทวาที่มีความชอบคล้ายๆ กันอยู่หลายวิมาน นอกจากนี้ ท่านเทพบุตรใหม่ยังมีบริวารอันเป็นทิพย์ที่คอยรับใช้ดูแลอยู่ประมาณ 20 ตน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เกิดจากผลแห่งบุญที่ตัวเขาได้เคยทำบุญแบบสงเคราะห์โลกเอา ไว้ในสมัยที่ตัวเขายังเป็นมนุษย์ เช่น บริจาคทั้งเงิน สิ่งของ ความรู้ให้แก่ผู้อื่นและสังคม เป็นต้น
ภายหลังจากที่คุณสตีฟ จ็อบส์เสียชีวิตไปแล้ว
ตัวเขามีความรู้สึกเหมือนกับหลับแล้วตื่นขึ้นบนเตียงกลางวิมาน
และเมื่อมาถึงจุดนี้ลูกๆ นักเรียนอนุบาลฯ ก็คงอยากจะรู้ว่า “ หลังจากที่คุณสตีฟ จ็อบส์ ได้เสียชีวิตไปแล้ว วินาทีแรกที่ตัวเขาได้ลืมตาขึ้นม แล้วก็แปรเปลี่ยนไปเป็นเทพบุตรภุมมะเทวานั้น ตัวเขาจะมีความรู้สึกอย่างไร และจากวันเวลาที่ผ่านมา ในช่วง 10 เดือนหลังจากที่ตัวเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่เขาในภพภูมิใหม่แห่งนี้จะน่าสนุกขนาดไหน ตัวเขาจะได้ไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนบ้านภุมมะเทวาที่อยู่ในหมู่บ้านภุมมะเท วาแห่งนั้นหรือไม่ อย่างไร” ก็ไม่ทราบว่าลูกๆ นักเรียนอนุบาลอยากที่จะฟังกันตอนนี้เลยหรือเปล่า ภายหลังจากที่คุณสตีฟ จ็อบส์เสีย ชีวิตไปแล้ว ตัวเขาก็มีความรู้สึกเหมือนกับหลับแล้วตื่นขึ้นบนเตียงซึ่งตั้งอยู่กลาง วิมาน ของตัวเขาและทันทีที่ตัวเขาได้ลืมตาขึ้นตัวเขาก็รู้สึกตื่นตา ตื่นใจและประหลาดใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่โดยรอบเป็นอย่างมาก นอกจากตัวเขาจะมีความรู้สึกเช่นนั้นแล้วตัวเขายังรู้สึกอีกว่า “ โอ้ช่างอัศจรรย์เหลือเกิน อาการเจ็บป่วยด้วย โรคมะเร็งที่ตัวเขาเป็นอยู่มันได้หายไปเป็นปลิดทิ้งแล้ว อีกทั้งตัวเขายังแลดูหนุ่มขึ้นและหล่อขึ้นไปกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งในตอนนั้นตัวเขาจะแลดูเหมือนกับชายหนุ่มที่มีอายุประมาณ 35-40 ปี ”
เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักหนึ่ก็ได้มีหัวหน้าของเหล่าบริวาร
มากล่าวต้อนรับตัวเขา แล้วก็ได้แนะนำสังคมใหม่
และเมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักหนึ่ง ซึ่งก็ไม่นานนักก็ได้มีหัวหน้าของเหล่าบริวารมากล่าวต้อนรับตัวเขา แล้วก็ได้แนะนำสังคมใหม่ หรือสังคมภุมมะเทวาแห่งนี้ให้ตัวเขาได้รู้จักจากนั้นหัวหน้าของเหล่าบริวาร ก็ได้พาท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ ไปชมทิพยสมบัติที่อยู่ในตัววิมาน ซึ่งตัวท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ ก็รู้สึกตื่นเต้นและอัศจรรย์ใจในทิพยสมบัติต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น เตียงที่ใช้นอน ก็เป็นเตียงที่เรียบหรูดูดีมีสไตล์ไฮคลาส แถมยังลอยได้อีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้นในเวลาที่ตัวเขาอยากจะฟังเพลงที่ เขาชอบ เพลงดังกล่าวก็จะค่อยๆ ดังขึ้นมาเองแบบเป็นอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ใดๆ เหมือนอย่างในโลกมนุษย์นี้เลย หรือในยามที่ตัวเขาต้องการจะรับประทานอาหาร ก็จะมีเหล่าบริวารนำอาหารที่เขาชอบมาให้ตัวเขาได้รับประทาน โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากบอกใครเลย เป็นต้น เรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่วิมานแห่งนี้ ช่างเพอร์เฟ็คและไฮเทค อีกทั้ง ยังตอบสนองความต้องการของเขาในสมัยที่ตัวเขายังมีชีวิตอยู่อย่างสุดๆ
ท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์รู้สึกตื่นตา ตื่นใจ
และอัศจรรย์ใจกับทิพยสมบัติเหล่านั้นอย่างสุดๆ
และหลังจากที่หัวหน้าของเหล่าบริวารได้พาท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ไปชมทิพยสมบัติที่อยู่ในตัววิมานบางส่วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หัวหน้าของเหล่าบริวารก็ได้พาตัวเขาไปชมทิพยสมบัติต่างๆ ที่อยู่ภายนอกตัววิมาน ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรม สวนและสระ เป็นต้น และเมื่อตัวเขาได้เห็นทิพยสมบัติเหล่านั้นแล้ว ตัวเขาก็รู้สึกตื่นตา ตื่นใจและอัศจรรย์ใจกับทิพยสมบัติเหล่านั้นอย่างสุดๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไฮเทค สวยงามและเรียบง่าย ซึ่งโดนใจตัวเขามากๆ
เมื่อมาถึงวันพระใหญ่ขึ้น 15 ค่ำในเมืองมนุษย์ก็ได้มีเพื่อนภุมมะเทวามาหา
ท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์เพื่อเชิญให้ไปประชุมร่วมกับเพื่อนๆและพบกับหัวหน้าหมู่บ้าน
และเมื่อวันเวลาผ่านไปจนกระทั่งมาถึงวันที่พระจันทร์เต็มดวง หรือวันพระใหญ่ขึ้น 15 ค่ำในเมืองมนุษย์ ก็ได้มีเพื่อนบ้านภุมมะเทวาที่มีวิมานอยู่ติดกันมาหาท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ถึงที่วิมานของเขา เพื่อเชิญให้เขาไปประชุมร่วมกับเพื่อนๆ ภุมมะเทวาและพบกับหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งภุมมะเทวาที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้.จะมีการประชุมร่วมกันในทุกๆ วันที่พระจันทร์เต็มดวง หรือในทุกๆ วันพระใหญ่ขึ้น 15 ค่ำในเมืองมนุษย์นั่นเอง เมื่อท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ได้ทราบเช่นนั้นแล้ว ตัวเขาก็เกิดความรู้สึกสนใจและอยากที่จะรู้ว่า จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในที่ประชุมแห่งนั้นบ้าง
หัวหน้าหมู่บ้านภุมมะเทวาได้พูดถึงเรื่องกฎระเบียบและข้อปฏิบัติต่างๆ
ว่า สิ่งไหนควรทำ และสิ่งไหนไม่ควรทำ ให้ท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ได้รับทราบ
และเมื่อท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ได้ไปถึงที่ประชุมแห่งนั้นแล้ว เพื่อนบ้านภุมมะเทวาที่มีวิมานอยู่ติดกับวิมานของเขาก็ได้แนะนำตัวเขาให้หัว หน้าหมู่บ้านและเพื่อนๆ ภุมมะเทวาทุกท่านได้รู้จักจากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านภุมมะเทวาแห่งนั้นก็ได้พูด ถึงเรื่องกฎระเบียบและข้อปฏิบัติต่างๆ ให้กับท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ได้รับทราบว่า “สิ่งไหนควรทำ และสิ่งไหนไม่ควรทำ” ซึ่งหลังจากที่การประชุมได้เสร็จสิ้นลงแล้วท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ก็ได้รีบกลับมายังวิมานของตัวเขาเอง เพราะตัวเขายังรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆ หรือทิพยสมบัติ ที่อยู่ภายในวิมานของเขา
เพื่อนบ้านภุมมะเทวาหลายๆ ท่าน
แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ที่วิมาน
ภายหลังจากที่ท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ ได้เป็นที่รู้จักของเพื่อนๆ ภุมมะเทวาที่อยู่ในหมู่บ้านภุมมะเทวาแห่งนั้นแล้ว ก็ได้มีเพื่อนบ้านภุมมะเทวาหลายๆ ท่านแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ที่วิมานของเขาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเพื่อนบ้านภุมมะเทวาเหล่านั้นก็มักจะกล่าวชื่นชมเกี่ยวกับเรื่องผลงาน ของท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ในเมืองมนุษย์ที่ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับโลกใบนี้
ภุมมะเทวาชอบติดตามผลงานของพวกเขาอยู่เรื่อยๆ แล้วก็จะพยายามไปดลจิตดลใจ
คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้มุ่งมั่นพัฒนางานและทำในสิ่งที่พวกเขาได้ตั้งใจเอาไว้
ซึ่งเรื่องราวการพูดถึงผลงานของกันและกันนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา สำหรับภุมมะเทวาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านภุมมะเทวาแห่งนี้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะภุมมะเทวาแต่ละท่านที่อยู่ในหมู่บ้านภุมมะเทวา แห่งนี้ก็ล้วนแล้วแต่มีผลงานเด่นๆ ดังๆ ที่ตัวเองได้เคยสร้างสรรค์เอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น ดังนั้น ภุมมะเทวาแต่ละท่านจึงมักจะชอบเอาผลงานของตัวเองมาคุยให้กับเพื่อนๆ ภุมมะเทวาท่านอื่นๆ ได้ฟังกันอย่างสนุกสนาน นอกจากนั้นพวกเขาก็จะชอบติดตามผลงานของพวกเขาอยู่เรื่อยๆ แล้วพวกเขาก็จะพยายามไปดลจิตดลใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้มุ่งมั่นพัฒนางานและทำในสิ่งที่พวกเขาได้ตั้งใจเอาไว้ ซึ่งถ้าหากคนเหล่านั้นสามารถทำในสิ่งที่พวกเขาตั้งใจเอาไว้ได้จนกระทั่ง ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจแล้วก็จะนำความสำเร็จของเรื่องนี้ไปคุย ให้เพื่อนๆ ภุมมะเทวาได้รับฟังกันอย่างถ้วนหน้า
ช่วง 10 เดือนที่ผ่านมานี้ท่านเทพบุตรสตีฟจ็อบส์
ไม่ได้มีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นเลย
ซึ่งในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมานี้ท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ ก็ไม่ได้มีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นเลย ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ตัวเขาชอบและตอบสนองความใช่ของตัวเขาทั้ง หมด เรียกได้ว่ามองไปทางไหน ตัวเขาก็รู้สึกถูกใจชอบใจ และสุขใจไปหมดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ตัวเขาไม่มีโอกาสได้โชว์เขี้ยวของเขาเลย หรือพูดง่ายๆ ว่าเขี้ยวของเขายังไม่ได้ทำงานหรือยังไม่ได้งอกออกมาให้ใครได้เห็นเลยนั่น เอง
ใจของเขาบังเกิดความสว่างไสวขึ้นมา แหล่งกำเนิดแสงสว่างมาจาก
คนกลุ่มหนึ่งที่ได้สร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวให้กับตัวเขา
ซึ่งในระหว่างที่ท่านเทพบุตรสตีฟ จ็อบส์ กำลังเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมภุมมะเทวาแห่งนั้นก็ได้มีกระแสธาร แห่งบุญจากที่แห่งหนึ่ง ไปเชื่อมจรดที่ศูนย์กลางกายของท่านเทพบุตรใหม่สตีฟ จ็อบส์ ซึ่งทันทีที่กระแสบุญดังกล่าวได้ไปจรดเชื่อมที่ศูนย์กลางกายของเขา ก็เป็นผลทำให้ใจของเขาบังเกิดความสว่างไสวขึ้นมาในทันที แล้วภาพของแหล่งกำเนิดแสงสว่าง ที่มาจากคนกลุ่มหนึ่งที่ได้สร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวให้กับตัวเขาและก็ นึกถึงเขาก็ได้ไปปรากฏฉายขึ้นภายในใจของเขา
และเมื่อท่านเทพบุตรใหม่สตีฟ จ็อบส์ได้เห็นภาพของการทำบุญดังกล่าวแล้ว ตัวเขาก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไรดังนั้นตัวเขาจึงไม่ได้อนุโมทนาบุญกับคนเหล่า นั้นอีกทั้งตัวเขาก็ไม่รู้ว่าจะอนุโมทนาอย่างไรด้วย แต่สิ่งที่ตัวเขารับรู้ได้ในตอนนั้นก็คือตัวเขารู้สึกดีใจ ชอบใจ และเป็นสุขใจ เมื่อตัวเขารู้สึกเช่นนั้นตัวเขาจึงได้นึกขอบคุณคนเหล่านั้นด้วยความรู้สึก ที่อิ่มเอิบเบิกบานใจนั่นเอง
ส่วนคำถามข้อต่อไป ที่ถามว่าบุพกรรมใดที่ทำให้คุณสตีฟ จ็อบส์ต้องมาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนในภพชาติปัจจุบันนี้
เราก็คงจะต้องมาติดตามกันต่อในตอนต่อไป
http://www.dmc.tv/pa...ที่-1_LEFT.html
บอกตรงๆว่าผมอ่าบทความนี้ไม่จบนะใช้วิธีเดียวกับเครื่องถ่ายเอกสารคือ Copy&paste ผมอ่านถึงแค่ตอน"แดร็กคิวล่า"เท่านั้น ไม่รู้ทำไมว่าคราวนี่ผมค่อนข้างปวดตับ เงิบ facepalm ทุกอาการแห่งการตะลึงพรึงเพริดทั้งโลกมาอยู่ที่นี่ โอยยยย....ก็รู้อยู่แล้วนะว่ามันเพี้ยนแต่ทำอย่างนี้มันกู่ไม่กลับพอๆกับปัดระเบิดเลย - -"
ป.ล. ขอตัดเอารูปออกไปนะถ้าอยากอ่านและดูรูปจริงๆไปที่ Link เลยนะครับ ฮ่าๆ
Edited by นายตัวเกร็ง, 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 02:54.