นงนุช สิงหเดชะ
เข้าสู่ฤดูแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกันแล้ว ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองว่าการโยกย้ายนั้นจะยึดหลักการแต่งตั้งตามความรู้ความสามารถและหลักคุณธรรมเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการ
ซึ่งหากยึดหลักการนี้ประเทศชาติและประชาชนจะได้ประโยชน์สูงสุด (มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17-23 สิงหาคม 2555)
หรือว่าจะยึดหลักการเดิมๆ น้ำเน่าที่นักการเมืองใช้มาตลอด (แม้จะผ่านมาถึง 80 ปี ความน้ำเน่ายิ่งเข้มข้นขึ้น) นั่นก็คือขึ้นอยู่กับว่าเป็น "คนของใคร" คนนั้นก็ได้ดีไป ความสามารถไม่ค่อยเกี่ยว เรียกว่ายุคใครยุคมัน
ซึ่งสุดท้ายแล้วยังก้าวไม่พ้น "การแก้แค้น เอาคืน" กันทุกเม็ด แม้ตอนหาเสียงจะพูดสวยหรูว่า "จะแก้ไข ไม่แก้แค้น" ก็ตาม
พูดถึงการย้ายข้าราชการในรัฐบาลนี้ เห็นทีต้องกล่าวถึงกรณี นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช). ที่ถูกนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ย้ายเข้ากรุไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี หลังเพื่อไทยเป็นรัฐบาลได้ไม่นาน
ซึ่งแม้จะให้เหตุผลที่ดูดีอย่างไร แต่ย่อมไม่พ้นถูกมองว่านายถวิลคือข้าราชการที่เคยทำงานร่วมกับรัฐบาลประชาธิปัตย์ยุคที่ต้องรับมือกับม็อบเสื้อแดงเผาเมือง
ไม่ต้องอธิบายก็เป็นอันรู้กันว่านายถวิล ถูกมองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลปัจจุบัน และคงเป็นเพราะท่าทีที่ไม่เปลี่ยนแปลงของนายถวิลเรื่องเหตุการณ์เมื่อปี 2553 อาจเป็นสาเหตุให้นายถวิลเก้าอี้หลุด
ขณะที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังเก้าอี้เหนียวหนึบ ไม่ถูกโยกย้าย ซึ่งคงเป็นเพราะนายธาริต มีศิลปะสูงก็ว่าได้จึงอยู่รอด
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ท่าทีของนายธาริต เปลี่ยนไป โดยเฉพาะคดีเกี่ยวกับเสื้อแดง
หากจำกันได้ สมัยเป็นอธิบดีดีเอสไอยุคประชาธิปัตย์ นายธาริต ถูก จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง ออกมาแฉว่าเคยใช้บริการอาบ อบ นวด ที่ชวาลา ซึ่งนายธาริต ออกมายอมรับว่าจริงแต่แค่ไปนวดให้หายเมื่อยเท่านั้น ไม่ได้ทำอย่างอื่น
เวลาที่อยู่กับรัฐบาลประชาธิปัตย์ นายธาริต ถูกพรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงโจมตีว่าเป็นเครื่องมือรัฐบาล เด้งรับคำสั่งของรัฐบาลทุกอย่าง
จำเนียรกาลผ่านไป มาถึงรัฐบาลเพื่อไทย นายธาริต มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายจตุพร คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งที่สมัยประชาธิปัตย์ นายธาริตพูดเองว่าคำปราศรัยของนายจตุพรเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (นายจตุพรกล่าวปราศรัยเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2554 ก่อนการเลือกตั้งและ ปชป. ยังเป็นรัฐบาล)
จะว่าไปแล้วตามสายตาของคนทั่วไป หากเทียบกับกรณีของ ดา ตอร์ปิโด (ซึ่งถูกจำคุก 18 ปี) คำพูดของนายจตุพร มีความชัดเจนทาง "เจตนา" ไม่แพ้กรณี ดา ตอร์ปิโด
หากอยากจะทราบ "ตัวตน" และจุดยืนในการทำงานของนายธาริต อาจดูได้จากเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2555 ซึ่งมีการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 ที่มีการพิจารณางบประมาณในส่วนของดีเอสไอและนายธาริตต้องไปชี้แจง
ในตอนหนึ่ง นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นกรรมาธิการชุดดังกล่าวได้ซักถามนายธาริตเรื่องบทบาทของดีเอสไอที่ถูกมองว่าไม่เป็นกลาง
ซึ่งนายธาริตยอมรับว่าดีเอสไอเป็นเครื่องมือรัฐบาล ทำงานภายใต้รัฐบาล
"ที่สำคัญในกฎหมายเขียนระบุไว้ชัดเจนว่าข้าราชการพลเรือนต้องปฏิบัติตามคำสั่งและนโยบายของรัฐบาล ไม่เช่นนั้นจะได้รับโทษ นอกจากนั้น ในส่วนของความเป็นกลาง ตามกฎหมายระบุชัดเจนว่าต้องวางตนเป็นกลางเฉพาะการเลือกตั้งเท่านั้น"
ขณะที่นายธาริตเห็นว่าข้าราชการต้องทำตามคำสั่งของรัฐบาลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น (อาจจะหมายถึงว่าแม้จะเป็นคำสั่งที่ขัดระเบียบ กฎหมายและจริยธรรมก็ต้องทำ)
แต่หากฟังนายถวิลที่ให้สัมภาษณ์นักข่าวหลังจากถูกเด้งจากเลขาธิการ สมช. เกี่ยวกับการทำงานของข้าราชการ เราจะเห็น "ความคิด" ที่แตกต่างระหว่างสองคนนี้
คําให้สัมภาษณ์ของนายถวิล มีอยู่ว่า "ข้าราชการถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับฝ่ายการเมือง ไม่ใช่เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกไล่ของอีกฝ่ายหนึ่ง ต่างคนต่างมีหน้าที่ตามขอบเขตของกฎหมาย ข้าราชการต้องเชื่อมั่นในระบบคุณธรรม ทำงานโดยสุจริต เพราะวันหนึ่งต้องพ้นหน้าที่ไปตามกติกา แต่สิ่งที่เหลือในชีวิตคือความภาคภูมิใจ แม้ว่าฝ่ายการเมืองจะมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย แต่ฝ่ายประจำก็ต้องทำภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย อะไรที่ผิดกฎหมายต้องบอกว่าทำไม่ได้ อย่าไปห่วงว่าจะกระทบต่อความเจริญก้าวหน้า ผมยังเชื่อว่ายังมีข้าราชการที่คิดแบบนี้อยู่ในทุกหน่วยงาน ซึ่งก็เหมือนกับนักข่าว หากกลัวเหมือนกันหมดก็คงไม่มีกล้าถามอะไรตรงไปตรงมา แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีข้าราชการหลายคนที่คิดแต่เรื่องความก้าวหน้าของตนเองจนยืมมือฝ่ายการเมืองมากลั่นแกล้งกันเอง" นายธาริตอาจคิดว่าต้องสนองทางการเมืองทุกอย่างตามที่รัฐบาลสั่งมาไม่เช่นนั้นตำแหน่งหน้าที่ของตนจะมีปัญหา
แต่นายถวิลเห็นว่าข้าราชการก็คือหนึ่งในเสาหลักของบ้านเมืองเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกไล่ของฝ่ายการเมืองเสมอไปหากเห็นว่าไม่ถูกต้อง
ถ้าเปรียบเป็นหุ้น นายถวิลอาจเป็นหุ้นบลูชิป (กล่าวให้เห็นภาพก็คือหุ้นในเครือ ปตท. และธนาคารขนาดใหญ่ 5 แห่ง) คือหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ถึงแม้จะถูกภาวะและอารมณ์ตลาดเล่นงาน ถูกปล่อยข่าวลือทุบให้ราคาดิ่งลงในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเมื่อทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ ราคาจะพุ่งกลับมาที่เดิมสะท้อนราคาที่แท้จริงของมัน ใครลงทุนจะได้กำไรมาก หุ้นประเภทนี้ เล่นแล้วไม่เครียด และไม่ต้องเฝ้าหน้าจอดูราคาทั้งวัน เพียงแต่มีความอดทนในการรอก็พอแล้ว
ผิดกับหุ้นปั่นที่แมลงเม่าชอบซื้อ หุ้นประเภทนี้ไม่มีราคาในตัวเอง ต้องคอยอาศัยการปั่นราคา แต่จะยืนระยะได้ไม่นาน และเมื่อราคาตกลงไปแล้วจะตกลึกถึงก้นเหว ไม่มีทางฟื้นกลับมาอีก ใครขืนไปลงทุนมีหวังหมดตัว
ความเป็นหุ้นบลูชิป ทำให้ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2555 สมาคมข้าราชการพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้มอบรางวัล "ครุฑทองคำ" ให้แก่นายถวิล ในฐานะผู้บริหารราชการพลเรือนดีเด่นประจำปี 2553-2554 โดยได้เชิญคุณยิ่งลักษณ์ เป็นประธานมอบรางวัล แต่คุณยิ่งลักษณ์ มอบหมายให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ มามอบแทน
รางวัลดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศเกียรติคุณข้าราชการที่มีผลงานสร้างสรรค์ อุทิศตนเป็นประโยชน์ต่อสังคมและระบบราชการ มีผลงานเป็นที่ยอมรับและเลื่อมใสศรัทธาจากประชาชน
นายธาริต เป็นตัวอย่างอันคลาสสิคของข้าราชการไทย [/font]
จนทำให้นึกถึงคำคมประโยคหนึ่งว่า"เมื่อฝนตก ก็หลบฝนสิ จะมัวมานั่งให้ตัวเปียกทำไม"
แต่นายถวิล เป็นประเภทที่ว่า "ถึงแม้ฝนจะตก ตัวจะเปียก แต่ไม่นานฝนก็จะหยุดตก ต้องยืนหยัดสู้กับมัน"
ต้องยึดมั่นในหลักการและความถูกต้อง
http://www.matichon....atid=&subcatid=
คงไม่ต่างจากแนวคิด "โกงได้แต่ให้มีผลงาน - ใครๆก็ทำกันทั้งนั้น" มั๊งครับ...
ยังไงสำหรับผม คงต้องขอคารวะท่านถวิลครับ ที่ไม่ทำตัวเป็นไม้หลักปักขี้เลน...
Edited by Suraphan07, 24 August 2012 - 10:44.