Jump to content


Photo
- - - - -

จัดไป คุณ amplepoor "เสื้อแดง เอ๋ย เรายังไม่จำเป็นต้องทำหรอก สถานการณ์มันจะทำให้พวกเขารู้เอง ขืนไปพูดเดี๋ยวก็โดนด่า "


  • Please log in to reply
113 ความเห็นในกระทู้นี้

#51 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 7 กันยายน พ.ศ. 2555 - 02:41


ปริญญาโง่ๆ พวกศิลปศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์เลิกหมด มีแต่ปริญญาวิชาชีพเท่านั้น

เดี๋ยวมาต่อจ้า


ผมจบ art แบบนี้ ผมก็เป็น "ปริญญาโง่ๆ" ในสายตาคุณเปิ้ลสิครับ
สมเด็จพระเทพท่านทรงจบคณะอักษรฯนะครับ


คุณไม่บังควรอ้างพระนามในการเสนอข้อโต้แย้งนะครับ

ถ้าประเทศไทยผลิตบุคคลากรได้ในระดับนั้นมากมายเป็นมาตรฐาน
เราก็คงไม่ต้องมานั่งเสนอความเห็นเรื่องทำให้ประเทศดีขึ้นอย่างนี้หรอก

ผมไม่รู้ว่าคุณเข้าใจความแตกต่างระหว่าง BA กับ BFA หรือเปล่า
แต่ในความรู้ที่ผมมี คนที่จบ BFA มีน้อยมากที่มีความรอบรู้และหลักวิชาสูงถึงระดับปริญญาตรี
ในขณะที่พวกจบ BA ในสายที่แข็ง จะมีมากกว่าและถูกต้องกว่า

มาตรฐานปริญญาตรีสำหรับผมคือ
เขียนจดหมายสมัครงานและทำเรซูเม่ได้อีกภาษานอกเหนือจากภาษาไทย
สามารถพูดปากเปล่าเกี่ยวกับคนสำคัญในวิชาของตนได้เกินครึ่งชั่วโมง โดยไม่มั่ว
หรือเขียนได้ 2 หน้ากระดาษ 34 บันทัด โดยมีความผิดพลาดน้อยกว่า5 จุด

#52 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 7 กันยายน พ.ศ. 2555 - 03:02

ส่วนปริญญาของคุณโง่จริงหรือเปล่า ลองวัดดูสิครับว่าคุณเรียนอะไรที่ฉลาดจากมหาวิทยาลัยบ้าง
ผมก็จบสาขาวิชาประมาณนี้ ผมจึงกล้าระบุว่าปริญญาของผมนั้น ทั้งโง่ทั้งล้าหลังอย่างน่าสงสาร

อย่างน้อยที่ผมมาออกความเห็นในสรท. ก็ขอบอกว่า ไม่ได้มาจากปริญญาที่เรียนเลย
ผมจึงอดจะอิจฉาเพื่อนๆ ที่มันจบแล้วมีอะไรมาพูดได้ จบกฏหมายก็ไล่หลักการยุติธรรมได้สบายๆ
จบเศรษฐศาสตร์ก็อธิบายเงินเฟ้อ อธิบายงานของสภาพัฒน์ได้ ทันทีที่ขอ
หรือพวกจบวิศวะ ก็แม่นหลักวิชาพื้นฐาน ไม่มั่ว

ในขณะที่ปริญญาโง่ๆ ของผม แม้แต่เรื่องง่ายๆ เช่นสะกดให้ถูกต้องตลอดเวลา ยังทำไม่ได้
จดรายงานการประชุมก็ทำไม่เป็น
ร่างจดหมายชี้แจงการให้บริการที่บกพร่องก็ทำไม่ได้
ถ้าจะวัดผลกันจริงๆ ไม่มีใครผ่านโปรได้เป็นพนักงานประจำซักคน

ไอ้ที่แย่ก็คือ เราต้องรับเขาเพราะไม่มีดีกว่านี้แล้ว แล้วก็สอนงานเขาใหม่ พอเขาอยู่ได้ซักสามปี เขาก็คิดว่าตัวเองเก่ง จะเอาเงินเดือนเพิ่มแยะๆ ทั้งๆ ที่เขาเก่งเพราะบริษ้ทสอนเขาชดเชยกับที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน.....ก็ต้องให้มันออกไป แล้วรับคนใหม่เข้ามา

Edited by amplepoor, 7 กันยายน พ.ศ. 2555 - 03:04.


#53 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 7 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:32

ส่วนปริญญาของคุณโง่จริงหรือเปล่า ลองวัดดูสิครับว่าคุณเรียนอะไรที่ฉลาดจากมหาวิทยาลัยบ้าง
ผมก็จบสาขาวิชาประมาณนี้ ผมจึงกล้าระบุว่าปริญญาของผมนั้น ทั้งโง่ทั้งล้าหลังอย่างน่าสงสาร

อย่างน้อยที่ผมมาออกความเห็นในสรท. ก็ขอบอกว่า ไม่ได้มาจากปริญญาที่เรียนเลย
ผมจึงอดจะอิจฉาเพื่อนๆ ที่มันจบแล้วมีอะไรมาพูดได้ จบกฏหมายก็ไล่หลักการยุติธรรมได้สบายๆ
จบเศรษฐศาสตร์ก็อธิบายเงินเฟ้อ อธิบายงานของสภาพัฒน์ได้ ทันทีที่ขอ
หรือพวกจบวิศวะ ก็แม่นหลักวิชาพื้นฐาน ไม่มั่ว

ในขณะที่ปริญญาโง่ๆ ของผม แม้แต่เรื่องง่ายๆ เช่นสะกดให้ถูกต้องตลอดเวลา ยังทำไม่ได้
จดรายงานการประชุมก็ทำไม่เป็น
ร่างจดหมายชี้แจงการให้บริการที่บกพร่องก็ทำไม่ได้
ถ้าจะวัดผลกันจริงๆ ไม่มีใครผ่านโปรได้เป็นพนักงานประจำซักคน

ไอ้ที่แย่ก็คือ เราต้องรับเขาเพราะไม่มีดีกว่านี้แล้ว แล้วก็สอนงานเขาใหม่ พอเขาอยู่ได้ซักสามปี เขาก็คิดว่าตัวเองเก่ง จะเอาเงินเดือนเพิ่มแยะๆ ทั้งๆ ที่เขาเก่งเพราะบริษ้ทสอนเขาชดเชยกับที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน.....ก็ต้องให้มันออกไป แล้วรับคนใหม่เข้ามา

ผมเป็นอยู่บ่อยเรื่องแบบนี้

#54 overtherainbow

overtherainbow

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,295 posts

ตอบ 7 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:57

ตามอ่าน
อืมคุณแอมคะเรื่องมหาลัยนอกระบบนี่รุ้งว่าค่อนข้างเห็นด้วยนะคะ
คือคนไทยเราเรียนต่อมหาลัยเป็นแฟชั่น ซึ่งเป็นการอำพรางการว่างงานแท้จริง

เราน่าจะมีค่านิยมส่งเสริมให้คนส่วนใหญ่เรียนวิชาชีพแบบช่าง แต่ก็นั่นล่ะตีกันตายบ่อยจนผู้ปกครองขยาด
เราน่าจะวางแผนการศึกษาที่ไปในทิศทางเดียวกับที่ตลาดแรงงานที่ต้องการ ในแต่ละช่วงห้าปี สิบปี อะไรแบบนี้

คนต่อมหาลัยต้องเป็นคนที่เลือกเรียนแบบมีจุดหมาย หนึ่ง สอง สาม สี่
ทุนการศึกษาต้องเป้นระบบเข้มแข็ง กระจายอย่างเป็นธรรม เหมาะกับคน เวลา สถาณที่

เราอุ้มคนรวยไม่ตั้งใจเรียนมาหลายสิบปีเกินไปแล้วค่ะ
แต่อย่างว่าทุนการศึกษาแก่เด็กเรียนดีไม่มีทุนต้องทำให้ดี
ทุกวันนี้ลูกคนรวยก็ขอทุนด้วยนะคะ

แฮ่ จบศิลปศาสตร์บัณฑิตเหมือนกันค่ะ

Edited by overtherainbow, 7 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:58.


#55 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 7 กันยายน พ.ศ. 2555 - 13:32

ถ้ารัฐบริหารการศึกษาระดับปริญญาตรีโดยการให้ทุน
การวางแผนระยะยาวระดับทศวรรษ จะกำหนดได้ชัดขึ้น

สมมติว่า ต้องการวิศวะเพิ่มในระบบอีก 10 ปี แสนอัตรา
ก็จ่ายทุนให้ปีละซัก 8000 ทุน ที่เหลือให้เอกชนเขาแบ่งเค๊กไปบ้าง
ต้องการหมออีก ห้าหมื่น ก็แจกทุนซะสี่หมื่น แบ่งเอกชนไปหมื่นนึง

ใครที่รับทุนเรียน จบแล้วก็ทำงานจ่ายภาษีใช้ทุนไป พอครบวงจร รัฐก็ไม่ต้องออกเงินอีกแล้ว บริหารอย่างเดียว
สมมติว่า คิดค่าใช้ทุน 10 ปี พวกหมอที่ทำงานห้าปี เงินเดือนเหยียบแสน ก็หักมาอุ้มชูน้องๆ รุ่นใหม่ได้สบายๆ
ใครอยากใช้ทุนเร็วก็โปะเงินก้อนลงมา.....ทำตามนี้ ภาระจะตกแค่สี่ห้าปีแรก หลังจากนั้นก็มีรายได้เข้า




ผมยกตัวอย่างที่น่าสยดสยองให้ท่านขนหัวลุกดีกว่า
นมโรงเรียน
รัฐจ่ายเงินซื้อวันละ 3 ล้านห้าแสนกล่อง ปีละ 260 วัน
คิดเป็นเงิน 16 พันล้านต่อหนึ่งปีงบประมาณ

ประเทศที่โง่ขนาดจ่ายเงินปีละหมื่นหกพันล้านให้เด็กเปลี่ยนเป็นขี้เป็นเยี่ยว
ทำยังงัยก็ไม่เจริญครับ

#56 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 7 กันยายน พ.ศ. 2555 - 13:36

หัวข้อนี้ ถ้าพูดหนักเกินไปก็ขอได้โปรดเห็นใจด้วยครับ
การศึกษาที่สูญเปล่าพวกนี้อะ ผมให้เป็นวิกฤติอันดับหนึ่งของชาติเลย
นักการเมืองว่าเลวแล้ว พวกที่นั่งในกระทรวงศึกษากลับเลวกว่า

เลวสุดคือสีกากีครับ

#57 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 7 กันยายน พ.ศ. 2555 - 13:39

กลับไปดูผลงานของนปช
ผมว่าพวกนี้เก่งนะ

ภายในสามปี สามารถผลิตพลเมืองแดงที่ท่องอาขยานเรื่องอำมาตย์ออกมาได้เป็นล้านคน
นั่นอาจจะแปลความไปอีกทางได้ว่า พลเมืองไทยยังยกระดับได้อีก ถ้าใช้วิธีการที่เหมาะเจาะ
ไอ้วาทกรรมอำมาตย์เป็นศัตรูกับประชาธิปไตยนี่ อัดฉีดให้เชื่อยากกว่ากลัวผีคอมมิวนิสต์อีกนะครับ

#58 overtherainbow

overtherainbow

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,295 posts

ตอบ 7 กันยายน พ.ศ. 2555 - 14:49

กลับไปดูผลงานของนปช
ผมว่าพวกนี้เก่งนะ

ภายในสามปี สามารถผลิตพลเมืองแดงที่ท่องอาขยานเรื่องอำมาตย์ออกมาได้เป็นล้านคน
นั่นอาจจะแปลความไปอีกทางได้ว่า พลเมืองไทยยังยกระดับได้อีก ถ้าใช้วิธีการที่เหมาะเจาะ
ไอ้วาทกรรมอำมาตย์เป็นศัตรูกับประชาธิปไตยนี่ อัดฉีดให้เชื่อยากกว่ากลัวผีคอมมิวนิสต์อีกนะครับ

กลับไปดูผลงานของนปช
ผมว่าพวกนี้เก่งนะ

ภายในสามปี สามารถผลิตพลเมืองแดงที่ท่องอาขยานเรื่องอำมาตย์ออกมาได้เป็นล้านคน
นั่นอาจจะแปลความไปอีกทางได้ว่า พลเมืองไทยยังยกระดับได้อีก ถ้าใช้วิธีการที่เหมาะเจาะ
ไอ้วาทกรรมอำมาตย์เป็นศัตรูกับประชาธิปไตยนี่ อัดฉีดให้เชื่อยากกว่ากลัวผีคอมมิวนิสต์อีกนะครับ

ไอ้นั่นมันสอนให้คนไม่ชอบยกระดับจิตใจให้สูง ให้ริษยา อิจฉา ลังเลสงสัย สารพัดค่ะสอนให้โลภหวังแก่อามิสสินจ้าง สอนเรื่องมืดที่ซ่อนอยู่ในใจ
ส่วนการศึกษาที่พัฒนาคน มันคงยากกว่า
ทำให้เปื้อนกับทำให้สะอาดมันต่างกันเห็นๆ

รอและคอยว่าเมื่อไหร่กรรมกำหนดจะทำงานซักที
หลายหนท้อและหน่ายทั้งกับความเลวที่พุ่งเพิ่มทุกวัน
ในขณะที่ความดี ความเหมาะควร เริ่มล้าและท้อ
คำว่าท้อแต่ไม่ถอย น่าจะมีรางวัลทางนามธรรมบ้างเพราะไม่หวังอะไรอยู่แล้ว
เช่นไอ้พวกเป็นมะเร็งทั้งหลาย มันไม่สามารถเชื่อมโยงได้แท้จริงว่าทำกรรมอะไรไว้
เพราะคนดีดีก็เป็นได้



แนวคิดการศึกษาจัดส่งให้ตลาดแรงงานเคยมีใครคิดทำบ้างมั้ยคะ
ถ้ามีทำได้ผลแค่ไหน
ถ้าไม่มีทำอย่างไรจึงจะส่งเสริมได้คะ

#59 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 21:58

เขยฝรั่งคนนี้ พูดเหมือนที่ผมคิดเลย
สิ่งที่ต้องแก้ไขโดยด่วนในประเทศไทยคือเรื่องการศึกษา
ต้องปฎิรูปให้คนไทยเห็นคุณค่าของภาคเกษตรกรรม
http://www.matichon....catid=
---------------------------
" ผมอยู่ไทยมา 19 ปี ตอนแรกที่มานั้นมาเที่ยวเฉยๆ ไม่ได้จะมาประกอบอาชีการเกษตร ผมเจอภริยาที่ภูเก็ต ภรรยาผมมาจากขอนแก่น ต่อมาภรรยาก็บอกว่าอยากกลับบ้าน ภริยาผมเป็นคนรวย เพราะมีที่ดินในครอบครอง ถ้าเป็นคนอังกฤษนี่ เรื่องที่ดินไม่ต้องพูดถึงเลย คนอังกฤษเป็นเจ้าของที่ทำกินแค่ 0.5% ของประชากร คนที่ครอบครองที่ดิน ในอังกฤษได้ต้องเป็นพวกขุนนาง เป็นนักธุรกิจ เป็นคนรวย คนอังกฤษส่วนใหญ่เป็นลูกจ้าง ไม่มีที่ดินครอบครอง เมื่อผมมาอยู่อีสาน ผมรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเยอะ"


" ผมว่า เดี๋ยวนี้ ฝรั่งมาอยู่ในประเทศไทยเยอะ เขยฝรั่งเยอะมาก แต่ฝรั่งส่วนมากที่มาอยู่อีสาน อาจจะมีที่ดินจำนวนหนึ่ง อาจจะเป็นคนละสิบไร่ ยี่สิบไร่ สามสิบห้าไร่ ห้าสิบไร่ซึ่งจะอยู่ในชื่อของเมีย ไม่ได้มีเป็นร้อยไร่ พันไร่ เพราะฝรั่งอีสาน ไม่ได้รวยอะไร ฝรั่งส่วนใหญ่ที่มาเอาเมียไทยส่วนมากเป็นฝรั่งที่ฐานะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พูดง่ายๆคือเป็นชาวบ้าน ไม่ใช่นายทุน เป็นคนรับจ้าง หาเช้ากินค่ำ แต่ว่ามาจากเมืองนอก เพราะฉะนั้นเวลามาอยู่เมืองไทยก็มีเงินนิดหน่อย และต้องยอมรับว่าเมียฝรั่งส่วนมากเป็นชาวบ้าน เขยฝรั่งส่วนใหญ่ที่มาอยู่นี่ไม่ใช่นายทุน ไม่ได้เพื่อทำธุรกิจ จริงๆแล้วเป็นเขยฝรั่งที่ช่วยเมียทำนาข้าวเหนียว"

" ฝรั่งที่ไปอยู่อีสานนี่เป็นคนละแบบกันเลย ถ้า ผมทำที่อังกฤษรับจ้างแป๊ปเดียวก็เป็นหมื่นแล้ว เราไม่ใช่นายทุน ไม่ได้มีการเก็งกำไรอะไร แต่จริงๆ แล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขยฝรั่ง ปัญหาอยู่ที่คนไทยไม่เห็นคุณค่าของที่ดิน ไม่มีใครอยากเป็นเกษตรกร คนไทยอยากเป็นลูกจ้าง ลูกหลานเกษตร ไม่มีใครอยากทำนา "



เดิมคนไทย อะลุ่มอล่วย ง่ายๆ สมัยก่อนก็ไม่ค่อยมีปัญหาหรอก เพราะคนไทยอยู่แบบพอมีพอกิน ฝรั่งส่วนมากที่อยู่อีสานมีปัญหามากที่สุดคือ เรื่องวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมฝรั่งคิดแบบปัจเจก ชีวิตใครชีวิตมัน แต่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในอีสานหรือในชนบท วัฒนธรรมเป็นแบบวัฒนธรรมร่วม พึ่งพาอาศัยกัน แต่ระยะหลังคนไทยเปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้เป็นฝรั่ง แนวคิดของคนไทย มองเรื่องความสำเร็จส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม


มาร์ติน เห็นว่า เมืองไทยเหมาะกับเกษตรกรรม มากที่สุด อุตสาหกรรมนี่คุณไปทำที่ไหนก็ได้ แต่เรื่องของการเกษตรเป็นเรื่องเฉพาะ ที่ดินในประเทศไทยเหมาะสมที่สุดที่จะทำการเกษตร ถ้าวันใด คนไทยต้องซื้อข้าวเขากินนี่ฝรั่งก็คงต้องอุทานว่า "คนไทยเสียกรุงเสียแล้ว" .

มาร์ติน ยืนยันว่า สิ่งที่ต้องแก้ไขโดยด่วนในประเทศไทยคือ เรื่องการศึกษา ต้องปฎิรูปให้คนไทยเห็นคุณค่าของภาคเกษตรกรรม

" อย่างคนอีสานนี่อยากให้ลูกเป็นอะไรก็ได้ แต่อย่าเป็นเกษตรกรก็แล้วกัน เพราะภาพลักษณ์เกษตรกร ไม่ค่อยหรู มันเหนื่อย โง่ จน เจ็บ แล้วก็ติดหนี้อย่างเดียว แต่ทุกวันนี้ฝรั่งกลับเห็นว่าเกษตรกรเป็นอาชีพอิสระ แต่แปลกมากที่คนไทยทุกวันนี้ อยากไปรับจ้าง จริงๆทุกวันนี้การเกษตรน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ว่าค่านิยมของสังคม และจุดอ่อนของคนไทยที่ไม่รัก ไม่ภูมิใจในตัวเอง แล้วคนไทยก็ขายที่ดิน อย่างนี้จะโทษต่างชาติได้อย่างไร " เขยฝรั่งชื่อ มาร์ติน วีลเลอร์ กล่าวในที่สุด
---------------------------

#60 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 20:50

พลังงานทางเลือกก็เป็นส่วนหนึ่งที่ ต้องไปรองรับการเกษตรก่อน เพราะทำไม่ยาก และลงทุนน้อย พวกนักวิชาการ ที่มุดอยู่กับตำรา จะค้านตลอดว่าไม่คุ้ม เพราะมันมองไปที่อุตสาหกรรมทุกที่ ผมเคยมีบทเรียนสมัยไปติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ให้ชาวบ้าน กฟภ. เจ้าภาพ จะพยามหาทางดึงเรื่องหรือปล่าวไม่แน่ใจ แต่ส่งชุดประชาสัมพันธ์บอกชาวบ้านผิดตลอด
จนชาวบ้านไม่เชื่อมั่นในระบบ พลังงานทางเลือก สมมุติง่ายๆ มีห้วยหรือคลองเล็กๆอยู่ต่ำกว่าที่ของเกษตรกร
สิ่งแรกที่เขาคิดคือ ทำอย่างไรให้มีไฟฟ้า เริ่มก็ลงทุนสูงแล้ว เพราะคิดว่าถ้าใช้ไฟฟ้าจะสามารถดูดน้ำมาใช้ได้ ถ้าน้ำมัน แพงเกินไป
ถ้าดูนี่นะ เขาจะรู้เลยว่า ไม่ต้อง


ถ้ารัฐเอาจริง เชื่อเถอะ ต้นทุนประเทศลดจนนึกไม่ถึงเลย



#61 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 20:52



#62 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 20:52



#63 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 20:53



#64 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 20:57

ทำไม่ปล่อยให้ เกษตรกร และนักวิชาการที่ดี สู้อย่างเดียวดาย


#65 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 20:58


ดูนะ ทำง่ายมาก อาจไม่เหมาะทุกพื้นที่ แต่พื้นที่แบบนี้ คนทำอาชีพเกษตร อาศัยอยู่ทั้งนั้น

#66 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

ตอบ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 - 05:06



ปริญญาโง่ๆ พวกศิลปศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์เลิกหมด มีแต่ปริญญาวิชาชีพเท่านั้น

เดี๋ยวมาต่อจ้า


ผมจบ art แบบนี้ ผมก็เป็น "ปริญญาโง่ๆ" ในสายตาคุณเปิ้ลสิครับ
สมเด็จพระเทพท่านทรงจบคณะอักษรฯนะครับ


คุณไม่บังควรอ้างพระนามในการเสนอข้อโต้แย้งนะครับ

ถ้าประเทศไทยผลิตบุคคลากรได้ในระดับนั้นมากมายเป็นมาตรฐาน
เราก็คงไม่ต้องมานั่งเสนอความเห็นเรื่องทำให้ประเทศดีขึ้นอย่างนี้หรอก

ผมไม่รู้ว่าคุณเข้าใจความแตกต่างระหว่าง BA กับ BFA หรือเปล่า
แต่ในความรู้ที่ผมมี คนที่จบ BFA มีน้อยมากที่มีความรอบรู้และหลักวิชาสูงถึงระดับปริญญาตรี
ในขณะที่พวกจบ BA ในสายที่แข็ง จะมีมากกว่าและถูกต้องกว่า


ผมไม่ได้อ้างพระนามโดยไม่สมควร
คุณเขียนมาแบบไหนผมก็ตอบแบบนั้นตามบริบทนั่นแหละครับ

ปริญญาโง่ๆ พวกศิลปศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์เลิกหมด มีแต่ปริญญาวิชาชีพเท่านั้น


ถ้าการศึกษาบ้านเรามีปัญหาที่ระบบ ก็ควรเขียนที่จุดนั้น
ไม่น่าเขียนว่า... "ปริญญาโง่ๆ พวกศิลปศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์เลิกหมด มีแต่ปริญญาวิชาชีพเท่านั้น"
เพราะเราไม่สามารถตีกรอบโลกว่าปริญญาวิชาชีพหรือศิลป์ถูกต้องที่สุด เนื่องจากความเหมาะสมของแต่ละคนไม่ตรงกันอยู่แล้ว
คนบางคนไม่ได้เกิดมาอยากเรียนวิชาชีพครับ เราจะบังคับเขาได้อย่างไร

ผมเรียนศิลป์ แต่เรียนต่อสาขาวิชาชีพด้วยซึ่งเป็นคนละทางกับสายศิลป์
ทุกวันนี้ได้งานทำมาทั้งชีวิตจากงานศิลป์ ไม่ได้ทำงานสายวิชาชีพที่เรียนมาเลย
จึงไม่น่าจะเกี่ยวกับข้อสงสัยที่คุณว่าผมจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ BA BFA หรือเปล่า

ด้วยความเคารพ
ความเห็นส่วนตัวของแต่ละคน ใช่ว่าจะถูกต้องเป็นบรรทัดฐานโลกไม่ใช่หรือครับ

Edited by ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, 11 กันยายน พ.ศ. 2555 - 05:24.

gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#67 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 - 08:38

----------------
ถ้าการศึกษาบ้านเรามีปัญหาที่ระบบ ก็ควรเขียนที่จุดนั้น ไม่น่าเขียนว่า... "ปริญญาโง่ๆ พวกศิลปศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์เลิกหมด มีแต่ปริญญาวิชาชีพเท่านั้น"
----------------
คุณอาจจะไม่เข้าใจความหมายของผม ที่ขีดเส้นใต้นี่แหละ คือปัญหา
ปรัชญาของมหาวิทยาลัยคือผลิตคนออกไปทำงาน....ไม่ใช่ผลิตคนเพื่อให้เป็นปริญญาชน
BA คือปริญญาชน จบออกมาแล้วทำงานไม่ได้ ต้องไปเรียนงานใหม่
เราเสียเวลา 4 ปีเพื่อสิ่งนี้หรือ ผมจึงเสนอให้เลิก เอาทรัพยากรตรงนั้น มาทำอย่างอื่น

ผมไม่คุยเรื่องปริญญาแล้วนะครับ

เห็นตัวอย่างที่ท่านสู้ๆ ยกมา ผมว่าปัญหาประเทศเลยเรื่องศักดิ์ศรีปริญญาตรีไปหลายขุมแล้วละ
พวกนั้นเป็นแค่เครื่องประดับหน้าเค๊ก ที่คุณสู้ๆ ยกตัวอย่างน่ะ มันคือก้อนข้างในของเค๊กประเทศไทย
มันมีของดีอยู่ แต่มันโดนผิวเค๊กกลบ

ตั้งแต่เราเข้าแผนพัฒนามา ถึงวันนี้ก็ห้าสิบกว่าปี
แผนนี้พาประเทศเราบ้าปริญญา และสร้างคนเป็นลูกจ้าง
ละเลยรากฐานที่แท้จริงของตัวเราเอง คือดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เราได้มาโดยไม่ต้องลงทุน
แทนที่จะต่อยอด คนเขียนแผนพัฒนาก็กุดยอดมันซะ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ขายนาไปซาอุ
คือที่ดิน ไม่มีความหมายเมื่อเทียบกับการรับจ้าง

เป็นปรากฏการณ์เดียวกับที่มีคนแต่งนิยายรักชาติเรื่อง คนไทยทิ้งแผ่นดิน
ยังงัยยังงั้นเลย

แต่นิยายนั่นผูกเรื่องว่าถูกรุกรานก็เลยต้องทิ้ง ส่วนซาอุนี่ ทิ้งเองครับ

#68 ก๊องส์ไข่กวน

ก๊องส์ไข่กวน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,012 posts

ตอบ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 - 09:21

เขยฝรั่งคนนี้ พูดเหมือนที่ผมคิดเลย
สิ่งที่ต้องแก้ไขโดยด่วนในประเทศไทยคือเรื่องการศึกษา
ต้องปฎิรูปให้คนไทยเห็นคุณค่าของภาคเกษตรกรรม
http://www.matichon....catid=


มาร์ติน ยืนยันว่า สิ่งที่ต้องแก้ไขโดยด่วนในประเทศไทยคือ เรื่องการศึกษา ต้องปฎิรูปให้คนไทยเห็นคุณค่าของภาคเกษตรกรรม

" อย่างคนอีสานนี่อยากให้ลูกเป็นอะไรก็ได้ แต่อย่าเป็นเกษตรกรก็แล้วกัน เพราะภาพลักษณ์เกษตรกร ไม่ค่อยหรู มันเหนื่อย โง่ จน เจ็บ แล้วก็ติดหนี้อย่างเดียว แต่ทุกวันนี้ฝรั่งกลับเห็นว่าเกษตรกรเป็นอาชีพอิสระ แต่แปลกมากที่คนไทยทุกวันนี้ อยากไปรับจ้าง จริงๆทุกวันนี้การเกษตรน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ว่าค่านิยมของสังคม และจุดอ่อนของคนไทยที่ไม่รัก ไม่ภูมิใจในตัวเอง แล้วคนไทยก็ขายที่ดิน อย่างนี้จะโทษต่างชาติได้อย่างไร " เขยฝรั่งชื่อ มาร์ติน วีลเลอร์ กล่าวในที่สุด
---------------------------

เห็นด้วยครับ
เคยไปฝึกงานต่างเมือง
ฝรั่งคนหนึง่พูดกับผมว่า
ประเทศยูจะ พัฒนา ต้องเริ่มจากการศึกษาก่อน

#69 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 - 10:17

กรณีขายนาไปซาอุนี่แหละ วิกฤติของเสื้อแดง
ผมมีเพื่อนเป็นชาวนาทั้งภาคกลางและภาคอิสาน
พบว่าสำนึกต่อที่ดินของสองภาคนี้ต่างกัน
ต่างกันอย่างไร ท่านที่สนใจลองศึกษาดู

ระบอบสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์ ห้ามการถือครองที่ดิน
ระบอบกษัตริย์โบราณของเราก็ห้ามการถือครองที่ดิน
ที่จิตรภูมิศักดิ์ เอาเรื่องศักดินากี่ไร่กี่ไร่มาด่าว่าผู้ปกครองยึดครองทรัพยากรนั้น จึงเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง
การที่บอกว่าใครมีศักดินากี่ไร่นั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาคนนั้นมีที่ดินเท่านั้นจริงๆ มันเป็นเพียงมาตราที่ใช้ในทางกฏหมาย กรณีที่ต้องเปรียบเทียบปรับ

สังคมใดก็ตาม ไม่มีการถือครองที่ดิน ก็เท่ากับตัดข้อพิพาทคอขาดบาดตายไปได้ข้อนึง
แต่พอรัชกาลที่ 5 ท่านแปลงทรัพย์สินเป็นทุน เราก็เกิดคัลเจอร์ช๊อค
คือเดิมไม่เคยคิดว่าจะต้องสะสมที่ ก็เกิดความนิยมเล่นที่ ทำให้เห็นที่ดินเป็นสิ่งของไม่ใช่ที่ทำกิน

ผมคิดว่าสำนึกต่อที่ดินอย่างนี้ เป็นเรื่องสำคัญ แต่ชาวนาจำนวนมาก มองที่ดินเป็นวัตถุ เหมือนรถ เหมือนมอไซค์ มากกว่าเป็นปัจจัยการผลิต

พี่น้องเสื้อแดงทั้งหลาย จึงมองหามูลค่าส่วนเกินจากที่ดิน มากกว่ามองว่าเป็นทุน
พอทักษิณหว่านเงินลงมา พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าที่ได้มาเพราะตัวเองจน ถูกเอาเปรียบ
ไม่ได้มองว่าเงินที่หว่านลงมา ควรเอาไปพัฒนาท้องถิ่นเพิ่มมูลค่าให้กับหมู่บ้าน จะได้มีกินนานๆ

ก็เลยเกิดอาการเสพติดทักษิณ เพราะมันได้ง่าย ได้แยะ และได้แต่พวกตัวเอง
กรรมจริงๆ

#70 IFai

IFai

    รักในหลวง

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,782 posts

ตอบ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 - 11:10

*ผมกรอกหูลูกตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาลว่า ชาตินี้ต้องจบปริญญาให้ได้ สาขาอะไรก็ได้ ที่ต้องจบปริญญาเพื่อเป็นไม้กันหมา
และออกสตาร์ทในการดำรงค์ชีวิตสูงกว่าคนที่ไม่มีปริญญาเท่านั้น เพราะเยอะมากที่จบออกมาแล้วไม่ได้ทำงานตามสายที่
เรียนมา จบหมอยึดอาชีพขายประกันก็มี จบการเงินมาแต่มาขายเย็นตาโฟ ก็มี

*ผมบอกลูกว่าการจบสูงๆ จะได้เปรียบตอนเลือกทำงานได้มากกว่า เมื่อทำงานจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดีกว่า โดย
วิเคราะห์ได้ ค้นคว้าหาเหตุผลจากแหล่งต่างๆ นำข้อมูลมาสรุปเป็นวิธีแก้ไขได้ ..ได้ดีกว่าคนที่เรียนมาน้อย

*ผมบอกลูกว่า คนจบป.4 มักจะมีเพื่อนที่พอพึ่งพากันได้ส่วนใหญ่ก็จะมีเพื่อนในระดับการศึกษาเท่าๆกันคือป.4
ถ้าเทียบการทำงานในบ. ก็ระดับคนงาน หัวหน้าคนงาน(ปลายทางของการทำงานอาจได้เป็นผจก.) ซึ่งต่างจาก
จบปริญญา ก็มีเพื่อนระดับเดียวกัน อาจเริ่มทำงานในตำแหน่งรองผจก.เลย ..ปลายทางการทำงานมันผิดกัน

*พอลูกเรียนม.ปลาย มันเลือกเรียนอะไร ผมก็ไม่เคยท้วงเลย

*แต่ระบบการเรียนสมัยนี้ห่วยแตก
-ในการสอบเทียบกับมาตรฐาน(ไม่รู้เรียกอะไร) ผลสอบไม่เกิน50% โดยเฉลี่ยทุกวิชา
-เรียนมหา-ลัย(โควต้ามั๊ง) เขียนเดือนทั้ง12 เป็นภาษาอังกฤษไม่ได้

ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ


#71 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 - 11:14

-เรียนมหา-ลัย(โควต้ามั๊ง) เขียนเดือนทั้ง12 เป็นภาษาอังกฤษไม่ได้


เดือนไทยก็ใช่ว่าจะเขียนได้ถูกนะครับ



ผมเจออยู่ตัวนึง รวย จบนอก ตำแหน่งสูง อายุเลข 4 แล้วด้วย
มารดามันยังเรียกเดือน












พฤศจิกาคม
เลย

Edited by amplepoor, 11 กันยายน พ.ศ. 2555 - 13:31.


#72 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:42


-เรียนมหา-ลัย(โควต้ามั๊ง) เขียนเดือนทั้ง12 เป็นภาษาอังกฤษไม่ได้

เดือนไทยก็ใช่ว่าจะเขียนได้ถูกนะครับ



ผมเจออยู่ตัวนึง รวย จบนอก ตำแหน่งสูง อายุเลข 4 แล้วด้วย
มารดามันยังเรียกเดือน


พฤศจิกาคม
เลย

ในส่วนตัวผม การปรับระบบการศึกษาคือ การนำความรู้มาสรุปว่าชีวิตต้องเดินเช่นไร ?
การตั้งโจทย์ เริ่มให้ลูกเรา แค่เริ่มก็ผิดแล้ว เราตั้งโจทย์ ว่าพวกเขา
ต้องสบาย การจะสบาย ต้องมีเงิน เมื่อมีเงินจะมีความสุข
การมีเงินต้องเรียนเก่ง เพราะคนเรียนเก่งจะเรียนได้ในที่ดีๆและจบสูงและจะได้เงินมาทำให้ชีวิตสบาย
แต่การถึงจุดนั้นได้ ต้องลงทุน(เงิน) เราจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาทุน ให้ลูก

คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี เรียนหนังสือจนจบตรี ไปแล้ว 35% ของอายุ คือ25ปีถ้าไปอีก 30 ปี ถามว่าคนเราเริ่มทำงานตอนครึ่งชีวิต
จะได้พบความสุขเมื่อไหร่ เพราะเมื่อครึ่งชีวิตเราแต่งงาน มีลูกอีก แล้วและ ย้อนไปที่เริ่มต้น

หัวข้อแค่นี้ แหละ ผมทำไมจึงบอกว่า แก้ที่การศึกษา แก้ที่ทำอย่างไรเรียนไปให้มีเงิน
เพราะคือ ปลายเส้นทาง สิ่งที่แก้ได้ เริ่มต้นคือ

หลักการคิด ถ้าเริ่มด้วยเงิน ก็อยากจบด้วยเงิน

การหาความรู้ ดีที่สุดครับ แต่ การที่จะให้คนมีความรู้ สรุปแนวคิดได้ นี่แหละ การแก้ระบบการศึกษา

มีเวลาจะมาเล่า เรื่องตลกของการศึกษามันเกี่ยวกับที่ดินหายไปเป็นของนายทุนอย่างไร ? เอาแค่นี้ก่อนครับ



#73 butadad

butadad

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,119 posts

ตอบ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:48

เสื้อแดงเขาว่า ทักษิณเป็นเครื่องมือของเขา เขาหลอกใช้ทักษิณกันอยู่

รอกันไปก่อนนะ สหายแดง


หลอกใช้ คนเลวระดับ 1 ใน 5 ของโลกนี่อ่ะนะ คิดไปเองแล้วเสื้อแดงเอ๋ย
ที่เจ็บที่ตาย ทักกี้ มันเจ็บมันตายด้วยเหรอ
เงินที่มาผลาญให้พวกเมิง ก็เงินพวกเราทั้งนั้นแหละ มันควักเองซะที่ไหน อย่าประเมิณตัวเองสูงไปนะ ป้าธิดา เวลาโดนถีบตกลงมามันจะเจ็บ

#74 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 - 13:45

ที่จริง ประเทศเราเอง การศึกษาไม่ใช่ว่าห่วยนะครับ
ดูแค่รัชกาลที่ 1 ลงมา เราสามารถสังคายนาพระไตรปิฎกได้
ลังกาต้องส่งสมณฑูตมาขอสืบศาสนา และเราไปตั้งนิกายสยามวงศ์ได้เป็นปึกแผ่น
ในยุคที่ระบบภูมิปัญญา ผูกกับศาสนา สยามก็ถือว่ามีหน้ามีตาทีเดียว

แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบียบโลกมันเปลี่ยนแยะ
แล้วเมกากับรัสเซียก็กลายเป็นคู่แค้น ทำให้ประเทศเล็กๆ อยู่ลำบาก
เราก็ตัดสินใจเข้าข้างเมกา.....ก็เลยรับระบบ แ ด ร ก ด่วนมาแยะ

เมกามันเป็นประเทศแปลก คือใหญ่มาก ตั้งโรงเรียนไม่ไหวก็ใช้วิธีให้ครูไปหาเด็ก
เดือนละครั้งหรือ 2 ครั้ง ไปแล้วก็ทิ้งการบ้านไว้
จุดเน้นก็คือ ให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ถึงได้มีปรัชญาเลินนิ่งบายดูอิ้ง ให้ทำเป็น ไม่ใช่เน้นให้ใช้ปัญญา
เรียนแค่อ่านหนังสือราชการได้ก็พอ แต่ขอให้คิดเลขง่ายๆ ได้ ซ่อมรั้วเป็น เลียงวัวได้ ทำไร่ได้ ยิงปืนเป็น

ของเราต่างกันมาก รัชกาลที่ 5 ท่านฉลาด บอกเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีว่า เอาวัดนี่แหละเป็นโรงเรียน เอาภิกษุเป็นครู รัฐบาลสนับสนุนให้เดินได้ก็พอ เพราะชุมชนกับวัดเขาพึ่งพากันอยู่แล้ว แล้ววัดของเรา มีมากกว่าโรงแรมเสียอีก ตั้งแต่มีระบบโรงเรียนขึ้นมา พลเมืองไทยก็อ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้น โดยที่ไม่ได้เสียแรงงานอะไรมากมาย

มาเจอยุคประชาธิปไตยเข้าไป ซ้ำด้วยยุคพัฒนาของสฤษดิ์ เด็กไทยก็เลยกลายเป็นจับกัง เช้าขึ้นแบกกระเป๋าใบละสามสี่กิโลไปโรงเรียน อยู่ที่นั่นจนเย็น กลับมาบ้านก็หมดแรง แทนที่จะเรียนไปช่วยงานบ้านไป กลายเป็นพลเมืองชั้นสูง เพราะค่านิยมว่าเรียนไปเป็นเจ้าคนนายคน แทนที่จะเรียนเพื่อมาทำครอบครัวให้เข้มแข็ง


เรื่องนี้ยาวครับ และเป็นมูลเหตุสำคัญให้เกิดพลเมืองแดงในทุกวันนี้

#75 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 19 กันยายน พ.ศ. 2555 - 22:22

ผมเขียนใว้ ในกระทู้ที่นี้
ไม่ได้ร่างใว้ก่อน เลยเอามาลงรวมที่นี้อีกครั้ง
มีนโยบาย ที่ผมคิดเล่นๆอยาก ให้ไทยมี
1 เดินหน้าแบบเมืองช้า http://www.kanlayana...ra/sara124.html
2 นำภาษีมา ช่วยเกื้อโครงการ พลังงานทางเลือก ให้โตได้รวดเร็ว
3 ห้ามนำรถยนต์เข้าเขตเมืองใหญ่ (เช่นสีลม หรือ เยาวราช)
4 ยกระดับการศึกษาเพื่อประกอบอาชีพ ในท้องถิ่น ยกเลิก การเขียนคำตอบลงในตำรา 1 ตำราวิชาใช้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี
5 แยกการรถไฟ ออกจาก ที่ดินรถไฟ เอาที่ดิน รถไฟแจกไม่เก็บค่าเช่ากับ นักเรียนที่สอบได้ทุนด้านเกษตร
6 เพิ่มโฉนดชุมชน (โดยเฉพาะที่มีปัญหาโดนครอบด้วยป่าสงวน)
7. เพิ่มจังหวัดท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เอาเฉพาะที่ใหม่เช่น ระนอง , สกลนคร,เลย,นครพนม 9ล9 เมืองเล็กที่ยังน่าอยู่ อย่ารวมกรุงเทพ ,เชียงใหม่ , อุดร,ชลบุรี,ภูเก็ต
โดยออกกฏหมายห้ามซื้อขายที่ดินถ้าความลาดชันเกิน ไม่ว่าที่นั้นใครครอบครองมาก่อนหรือหลัง
8.นำผังเมืองมาอิงกฏหมาย แบ่งโซนเมือง โดยเริ่มจากเมือง เล็กไปหาเมืองใหญ่
9. เก็บภาษีเพิ่ม 100% สำหรับ ร้านบันเทิงขายเหล้าบุหรี่ ที่เปิดบริการหลัง ตี สอง แต่ต้องอยู่ในโซน
10. ตั้งโครงการเกษียรหลังครบอายุ เพิ่มเวลา เกษียร อีก 2 ปี ถ้ายังมีความสามารถ
11. งดเก็บภาษี สำหรับร้านขายหนังสือเรียน และ ผู้ผลิตหนังสือ
12. ยกเลิกการเลือกตั้ง องค์การบริหารส่วนจังหวัด เพราะซ้ำซ้อน
13.เพิ่มภาษี รถที่เกิน 3000 cc
14. ออกกฏหมายปรับ ผู้จำหน่าย NGV.หากไม่มีปั๊มทุก อำเภอ จากผู้จัดจำหน่าย
15. ประกันราคาสินค้าเกษตร


Edited by susu, 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 18:00.


#76 GuoJia

GuoJia

    Siam

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,463 posts

ตอบ 19 กันยายน พ.ศ. 2555 - 22:36

.....
1 เดินหน้าแบบเมืองช้า http://www.kanlayana...ra/sara124.html
....

อยากรู้ว่าเป็นยังไงแต่กด link แล้วเข้าไม่ได้ครับ
มันเป็นแบบนี้
http://www.kanlayana...ra/sara124.html
ขอ link แบบเต็ม ๆ ด้วย

“ ...คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา ,

ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ “


#77 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 19 กันยายน พ.ศ. 2555 - 22:42


.....
1 เดินหน้าแบบเมืองช้า http://www.kanlayana...ra/sara124.html
....

อยากรู้ว่าเป็นยังไงแต่กด link แล้วเข้าไม่ได้ครับ
มันเป็นแบบนี้
http://www.kanlayana...ra/sara124.html
ขอ link แบบเต็ม ๆ ด้วย

http://www.kanlayanatam.com/sara/sara124.html


#78 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 19 กันยายน พ.ศ. 2555 - 22:47

เขียนเชิงเอาไปทำได้นะครับ สุดโต่งหรือ มากกว่านี้ อาจทำยากในการปฏิบัติ อาจไม่ได้ทำล้มเสียก่อน เช่น
แยก ตำรวจ เป็น แต่ละภาค มีอำนาจ อิสระ ในตัว มีผู้ควบคุมแบบ ผู้พิภาคษา สมทบ ไม่มีการย้ายหากไม่เกิน 2 ปี

ตั้งเมืองหลวงแต่ละภาคเพิ่ม ,แยกศูนย์กลาง ราชการออก สู่เมือง ใหม่
สร้างฝายทดน้ำขนาดกลาง ภาคละ 1000 จุด จะได้ไม่ต้องสร้างเขื่อนหรือโครงการขนาดใหญ่ แต่ใช้โครงการขนาดกลาง แต่กระจายทั่วแทน

Edited by susu, 19 กันยายน พ.ศ. 2555 - 22:51.


#79 IFai

IFai

    รักในหลวง

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,782 posts

ตอบ 20 กันยายน พ.ศ. 2555 - 09:35

อยากเลี้ยงหมาที่บ้านให้เชื่องได้อย่างนี้บ้างจัง

ต้องหาหมาที่มีคุณสมบัติข้อแรกก่อนครับ โง่และแถก

ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ


#80 Titan

Titan

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 136 posts

ตอบ 20 กันยายน พ.ศ. 2555 - 09:44

อยากเลี้ยงหมาที่บ้านให้เชื่องได้อย่างนี้บ้างจัง


ฝากธิดา ตู่ เต้น เหวง เลี้ยงซิครับสัปดาห์เดียวได้ผลแน่นอน

เออ......แต่พวกนี้มันป้อนแต่หญ้านี่หว่า

#81 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 20 กันยายน พ.ศ. 2555 - 10:09

ไอเดียดีครับ ผมชอบ
---------------

ดีท็อกซ์ชีวิตด้วย “Slow Living”

7.00น. ตื่นนอน อาบน้ำ 7.30 น. แต่งตัว กินข้าว ขับรถ 8.30 น. ถึงที่ทำงาน โทรศัพท์ ส่งแฟกซ์ นัดลูกค้า ปั่นงาน 12.00 น. กินข้าว 12.30 น. ทำงานต่อ ประชุม 19.00 น. กลับบ้าน 20.30 น. กินข้าวเย็น อาบน้ำ ดูละครหลังข่าว เคลียร์งานต่อ 24.00 น. หมดเวลา ปิดไฟ นอน

ท่ามกลางความเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม ดูเหมือนว่าจะทำให้ชีวิตเล็กๆ ที่เป็นกลไกขับเคลื่อนสังคมวิ่งวนอย่างรีบเร่ง ไม่ว่าจะเป็นความเร่งรีบในที่ทำงาน ความเร่งรีบบนโต๊ะอาหาร ไปจนถึงความเร่งรีบที่จะล้มตัวลงนอนเพื่อชาร์จแบตให้มีแรงตื่นขึ้นมาพบกับ ความเร่งรีบอีกครั้งในเช้าวันใหม่
แน่นอนว่าความเร่งรีบเหล่านี้ไม่ส่งผลดีแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ความรีบเร่งในทุกจังหวะชีวิตกลับทำให้สุขภาพกายย่ำแย่ ที่สำคัญ ยังก่อให้เกิดมลพิษทางจิตและสร้างมลพิษแก่โลกใบนี้อีกด้วย
ก่อนที่ความเร่งรีบจะทำร้ายตัวเราและโลกไปมากกว่านี้ นักสิ่งแวดล้อมและนักบำบัดทั้งหลายจึงได้คิดค้นการใช้ชีวิตแนวใหม่ที่ช้าลง ในแบบที่เรียกว่า Slow Living ขึ้น
สิงคโปร์ แชมป์ Fast Living
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเฮิร์ตฟอร์ดเชียร์ (University Of Herfordshier) ประเทศอังกฤษ ได้ทำการวิจัยพบว่าในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา คนเมืองอย่างเราๆใช้ชีวิตเร่งรีบมากขึ้น อย่างเห็นได้ชัด โดยความเร่งรีบนี้สามารถวัดได้จากความเร็วในการเดิน ซึ่งปัจจุบันคนทั่วโลกเดินเร็วขึ้นประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของความเร็วที่เราใช้เดินกันในช่วง พ.ศ. 2537 ส่วนแชมป์ในการเดินเร็วนั้นต้องขอยกให้ประชากรจากเกาะสิงคโปร์ ซึ่งเดินเร็วมากกว่าในอดีตถึง 30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ซึ่งตัวเลขนี้ถือได้ว่าเป็นดรรชนีวัดความเร่งรีบและความเจริญเติบโตแบบก้าว กระโดดของประเทศเล็กๆแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

ทำไมต้อง ช้า
หลายคนคงตั้งคำถามอยู่ในใจว่า ทำไมชีวิตต้องเชื่องช้าคำตอบก็คือ หากหันไปมองรอบๆ ตัวเรา จะพบว่าทุกวันนี้ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟสายด่วน อาหารจานด่วน บทสนทนาที่รีบเร่ง ชะโงกทัวร์แบบด่วนจี๋ เอสเอ็มเอสย่อยข่าวทุกนาทีฯลฯ

แม้ความเร็วจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย แต่หากมากไปก็อาจทำให้เราลืมรายละเอียดสำคัญๆ รอบกายได้ เช่น ลืมให้เวลากับคนที่เรารัก ลืมใส่ใจความอร่อยของอาหารรสเลิศที่อยู่ตรงหน้า หรือลืมแม้กระทั่งความสุขที่อยู่สองข้างทางระหว่างบ้านถึงที่ทำงาน

ความเร็วนอกจากจะเป็นตัวการสำคัญในการบั่นทอนความสุขทางใจแล้ว ในทางการแพทย์ ความเร่งรีบยังก่อให้เกิดโรค Hurry Sickness Syndrome ทำให้คนที่ใช้ชีวิตเร่งรีบเกินไป รู้สึกหายใจไม่ทันหรือหายใจหอบ หัวใจเต้นเร็ว ส่งผลให้แขนขาหมดแรง ใจหวิว และทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา
ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น ก็คือ ความรีบเร่งยังเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดมลพิษแก่สิ่งแวดล้อม เพราะความเร่งรีบทำให้ต้องใช้สารเคมีมากมายเพื่อกระตุ้นผลผลิตทางการเกษตร และเพิ่มศักยภาพทางการผลิตในภาคอุตสาหกรรม

เพื่อเป็นการหยุดชีวิตที่เร่งรีบ ขอเสนอเทคนิคการใช้ชีวิตแช่มช้าในแบบที่เรียกว่า Slow Living ซึ่งสามารถนำมาปฏิบัติได้จริงในทุกที่ ทุกเวลา และทุกวัน ดังนี้

๑. ตื่นให้เร็วขึ้น แต่หายใจให้ช้าลง
ใครที่เคยชินกับชีวิตในแบบที่เร่งรีบ และรู้สึกว่าเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันนั้นไม่เคยพอ ให้ลองเริ่มต้นใหม่ด้วย การตื่นให้เช้าขึ้น เพื่อที่คุณจะได้มีเวลาเพิ่มขึ้น พร้อมทั้ง หายใจให้ช้าลง เพื่อเรียกสติให้กลับมาจดจ่อกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่

เคยสังเกตไหมว่า เมื่อไรที่คุณตื่น คุณก็จะรีบอาบน้ำ รีบกินข้าว โดยที่ใจไม่เคยได้สัมผัสกับความเย็นฉ่ำของน้ำหรือความอร่อยของอาหารมื้อแรก เลยสักนิด แต่หากเมื่อไรคุณตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิม แล้วค่อยๆล้างหน้า แปรงฟัง อาบน้ำ และถ้าใครไม่ต้องใช้เวลาในการเดินทางไปทำงานนานนัก อาจจะลองเดินออกจากบ้านไปตักบาตร หรืออาจจะเดินไปรดน้ำต้นไม้สักนิด พร้อมทั้งสำรวจว่าต้นไม้แต่ละต้นไม้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง นับแต่วันแรกที่เราซื้อมาแล้ว ที่สำคัญอย่าลืมสูดอากาศยามเช้าให้เต็มปอด เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่
เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างสุขใจและ ไม่เร่งรีบได้แล้ว ประสิทธิภาพสมองกับ Slow Morning รู้ไหมว่า หากเราตื่นนอนอย่างงัวเงีย เราจะสามารถดึงประสิทธิภาพของสมองมาใช้ได้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การจะดึงอีก 90 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือมาใช้ ทำได้ด้วยการทำให้คลื่นสมองช้าลง ด้วยการหยุดความเร่งรีบในยามเช้านั่นเอง
๒. ปฏิบัติการเพื่อความเงียบ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเมืองหลวงหรือมหานครที่มีแต่ความวุ่นวาย ขอให้คุณลอง หามุมเงียบๆให้ใจได้พักบ้าง สักสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี มุมเงียบๆที่ว่าไม่ได้หมายถึงการหนีไปไหนไกลๆ แต่ทำได้ง่ายๆเพียงแค่อยู่กับตัวเองเงียบๆ สักวัน แล้วปิดโทรศัพท์มือถือ เลิกดูโทรทัศน์ ไม่ฟังวิทยุ รวมทั้งงดใช้งานอินเทอร์เน็ตและการแชตชั่วคราว เพื่อให้คุณได้หยุดวิ่งตามกระแสต่างๆ แล้วหันกลับมาฟังเสียงธรรมชาติดูบ้าง

ที่สำคัญการอยู่เงียบๆคนเดียว ยังทำให้เราได้ยินเสียงลมหายใจเข้า-ออก และเสียงของหัวใจตัวเองชัดเจนขึ้นอีกด้วย
วันหยุดเพื่อหยุด อย่ากลัวที่จะปิดโทรศัพท์มือถือในช่วงวันหยุดพักร้อนของคุณ ทั้งนี้ก็เพื่อให้กายและใจของคุณได้พักผ่อนอย่างแท้จริง หลังจากทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งปี
๓. ทำงานช้าลง แต่ได้ผลเต็มร้อย
บางครั้งการทำงานด้วยความรีบเร่งก็ไม่ได้เกิดประโยชน์เสมอไป ตรงกันข้าม การทำงานด้วยความรอบคอบและมีสติ ต่างหากที่จะทำให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ ลองหัดทำงานให้ช้าลง แต่ได้ผลเต็มร้อยด้วยเทคนิคง่ายๆเหล่านี้
  • ทำให้คลื่นสมองช้าลง หากเรากำลังเครียด ลองผ่อนคลายด้วยการนั่งหลับตา ผ่อนคลายใบหน้า วางมือและเท้าในท่าที่สบายแล้วจินตนาการถึงภาพที่สวยงาม เพื่อให้คลื่นสมองทำงานช้าลงรู้สึกเบาสบาย และสามารถคิดสร้างสรรค์งานได้ดีขึ้น
  • รอบคอบ แต่ไม่คิดมาก หัวใจของการทำงานแบบเชื่องช้าก็คือการคิดและทำอย่างรอบคอบ แต่ไม่ใช่การคิดมาก เพราะการคิดมากจะทำให้เรากลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำอยู่ที่เดิม โดยไม่ได้พบทางออกของปัญหา
  • ใส่ใจกับปัจจุบัน ฝึกตัวเองไม่ให้กังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เลิกวิตกกับกำหนดเวลา แต่มีสมาธิอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างผ่อนคลาย
  • รับมือกับความเครียดด้วยสติ ความเครียดเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แต่เมื่อความเครียดเกิดขึ้น เราสามารถรับมือกับความเครียดอย่างมีสติด้วยการเตือนตัวเองให้ค่อยๆคิดทบทวน อย่างช้าๆ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา วิธีนี้จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและสามารถหาทางแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีและถูก ต้องตรงจุดยิ่งขึ้น
๔. รักษ์โลกและร่างกายด้วย Slow Food
slow food ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธอาหาร fast food เท่านั้น แต่ slow food ยังหมายรวมถึงการให้ความสำคัญกับศิลปะในการปรุงอาหาร ตั้งแต่การเตรียมส่วนผสม การคัดสรรวัตถุดิบ รวมทั้งการปรุงอาหารแต่ละจานด้วยความใส่ใจ ไปจนถึงการค่อยๆเคี้ยวอาหารแต่ละคำ เพื่อให้ได้รับรสของอาหารอย่างแท้จริง

ลองฝึกเทคนิคการบริโภคแบบ slow food ดังนี้
  • ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อให้ได้ของสดใหม่ รวมทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่ง
  • กินตามฤดูกาล เพื่อลดการใช้ยาปราบศัตรูพืช ปุ๋ย และสารเคมีในการเร่งดอกออกผล
  • สนับสนุนเกษตรอินทรีย์ แบบไม่ใช่สารเคมี ซึ่งแม้ว่าจะทำให้ได้ผลผลิตช้ากว่าการใช้สารเคมี แต่รับรองว่าปลอดภัยกว่าแน่นอน
  • ปรุงด้วยการนึ่ง ต้ม ตุ๋น แทนการผัดและทอดที่อุณหภูมิสูงเพื่อรักษาคุณค่าของสารอาหาร และลดการปล่อยความร้อนออกสู่สิ่งแวดล้อม
  • เคี้ยวอย่างเชื่องช้า เพื่อช่วยระบบการย่อยอาหาร และทำให้ได้สัมผัสถึงรสชาติของอาหารอย่างแท้จริง

ผัก-ผลไม้สดกู้โลก
แทบไม่น่าเชื่อว่า การบริโภคผัก-ผลไม้สดแทนผลิตภัณฑ์บรรจุกระป๋องหรือแช่แข็งจะช่วยลดภาวะโลก ร้อนได้อย่างมาก เพราะแค่ในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว ก็สูญเสียพลังงานจากการแช่แข็งและผลิตผัก-ผลไม้กระป๋องไปถึงสามพันล้าน กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากพอจะทำให้หลอดไฟทุกดวงในมหานครนิวยอร์กสว่างไสวได้นานถึงสามปี

๕. ชีวิตแช่มช้าด้วย Slow Shopping
เชื่อไหมว่าการ ช็อปปิ้ง ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการใช้ชีวิตอย่างแช่มช้าได้เช่นกัน ด้วยการสนับสนุนสินค้าในท้องถิ่นหรือสินค้าแฮนด์เมด ที่ต้องใช้เวลาในการผลิต รวมทั้งการซื้อผัก ผลไม้ตามฤดูกาล เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพและได้รับประทานอาหารสดใหม่ อีกทั้งยังช่วยลดปรากฏการณ์เรือนกระจกเพราะมลพิษจากการขนส่งสินค้าทางไกลอีก ด้วย

ใช้บริการร้านค้าใกล้บ้าน
อีกวิธีที่จะช่วยประหยัดพลังงาน หรือพยายามซื้อสินค้าจากร้านและตลาดใกล้บ้าน หรือแวะซื้อจากร้านที่เป็นทางผ่านแทนการตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปห้างสรรพ สินค้าไกลๆ เพื่อซื้อของเพียงไม่กี่ชิ้น

๖. ชีวิตไร้มลพิษกับ Slow Travel
ใครที่ชอบเดินทางด้วยความด่วนจี๋ ลองเปลี่ยนวิธีเดินทางเป็นแบบ slow travel ดูบ้าง

เริ่มจากเปลี่ยนการเดินทางด้วยเครื่องบินมาเป็นรถไฟ เรือ จักรยาน หรือแม้แต่การเดิน เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกสู่โลก และใช้เวลาต่อหนึ่งทริปให้นานขึ้น โดยให้ความสำคัญกับกิจกรรมระหว่างทาง เช่น แวะไปเที่ยวตลาดสดกลางหมู่บ้าน ทักทายผู้คนสองข้างทาง และเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยการเลือกไปพักแบบโฮมสเตย์ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการเดินทางในครั้งนี้ให้เต็มที่
๗. ออกกำลังกายสร้างสมาธิ
อีกวิธีที่จะสลัดความเคร่งเครียดที่มาพร้อมกับความเร่งรีบก็คือการออก กำลังกายในแบบที่แช่มช้า เช่น โยคะ ไทเก๊ก ชี่กง และการออกกำลังกายตามแบบเต๋า ซึ่งนอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อที่ตึงจากความเครียดผ่อนคลายลงแล้ว ยังช่วยให้เรามีสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจและการเคลื่อนไหวของร่างกายมากขึ้น ส่งผลให้สติและสมาธิที่กระเจิงไปเพราะความรีบเร่งกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว อีกครั้ง ซึ่งท้ายที่สุด สติและสมาธิที่เกิดขึ้นนี้เอง จะเป็นตัวการสำคัญในการดึงจังหวะชีวิตของเราให้ช้าลงโดยอัตโนมัติ

เมื่อคุณวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อจะไปสู่จุดหมาย
ความสนุกย่อมหล่นหายไประหว่างทาง
เมื่อคุณพะวงและรีบร้อนให้แต่ละวันผ่านพ้น
ก็เท่ากับคุณได้โยนของขวัญที่ยังไม่ได้เปิดทิ้งไป
ชีวิตไม่ใช่การแข่งขัน จงปล่อยให้มันดำเนินไปอย่างช้าๆ


หยุดฟังเสียงดนตรีอันมีค่า ก่อนหมดเวลาของเสียงเพลง
Slow Life City วิถีชีวิตใหม่ของชาวญี่ปุ่น
เป็นที่น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่อยู่ๆ พลเมืองญี่ปุ่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นประชากรของประเทศที่มีวิถีชีวิตเร่งรีบและบ้างานถึงขั้น เป็นโรค workaholic ได้ลุกขึ้นมา เรียกร้อง ให้รัฐบาลหาทางออกให้พวกเขากลับไปใช้ชีวิตที่เรียบง่ายในแบบ slow life

รัฐบาลจึงตอบรับด้วยการประกาศให้เมืองเล็กๆบางเมืองนำวิถีชีวิตแบบแช่มช้ามาเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญ
เมืองคะเกะกะวะ จังหวัดซิซุโอะกะ คือเมืองหนึ่งที่ได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าเป็น slow life city และได้ออกบัญญัติการใช้ชีวิตแบบ slow life สำหรับประชาชนไว้ 8 ประการ ได้แก่
๑. Slow pace สร้างจังหวะให้ชีวิตช้าลง ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาเดินแทนการใช้รถยนต์ ซึ่งนอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการจราจรด้วย
๒. Slow wear รณรงค์ให้ประชาชนสวมใส่ผ้าพื้นเมืองที่ทำจากวัสดุในท้องถิ่น จะได้ไม่ต้องเสียค่าขนส่งและยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุนชน อีกทั้งยังเป็นการรักษาเอกลักษณ์ของประเทศเอาไว้ด้วย
๓. Slow food รับประทานอาหารญี่ปุ่นที่ปรุงด้วยวัตถุดิบตามฤดูกาลและปฏิเสธอาหารจานด่วน ที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ
๔. Slow house อยู่บ้านแบบญี่ปุ่นโบราณที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและไม่ก่อให้เกิดมลพิษ
๕. Slow industry รณรงค์ให้ประชาชนดูแลเรื่องทรัพยากรธรรมชาติการทำฟาร์มหรืออุตสาหกรรม จะต้องไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมของเมือง
๖. Slow education ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้ทางศิลปะวิถีแห่งชีวิต วัฒนธรรมญี่ปุ่น และเน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในสังคมมากกว่าความเป็นเลิศทางการ ศึกษา
๗. Slow aging มุ่งไปสู่การมีชีวิตที่ยืนยาวด้วยวิถีธรรมชาติ
๘. Slow life ดำเนินชีวิตอย่างแช่มช้าตามวิธีที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเพื่อวิถีชีวิตที่ดีขึ้นของสังคมโดยรวม

บทความจากนิตยสารซีเคร็ต



#82 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 20 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:31

ไอเดียดีครับ ผมชอบ
---------------

๑. Slow pace สร้างจังหวะให้ชีวิตช้าลง ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาเดินแทนการใช้รถยนต์ ซึ่งนอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการจราจรด้วย
๒. Slow wear รณรงค์ให้ประชาชนสวมใส่ผ้าพื้นเมืองที่ทำจากวัสดุในท้องถิ่น จะได้ไม่ต้องเสียค่าขนส่งและยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุนชน อีกทั้งยังเป็นการรักษาเอกลักษณ์ของประเทศเอาไว้ด้วย
๓. Slow food รับประทานอาหารญี่ปุ่นที่ปรุงด้วยวัตถุดิบตามฤดูกาลและปฏิเสธอาหารจานด่วน ที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ
๔. Slow house อยู่บ้านแบบญี่ปุ่นโบราณที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและไม่ก่อให้เกิดมลพิษ
๕. Slow industry รณรงค์ให้ประชาชนดูแลเรื่องทรัพยากรธรรมชาติการทำฟาร์มหรืออุตสาหกรรม จะต้องไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมของเมือง
๖. Slow education ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้ทางศิลปะวิถีแห่งชีวิต วัฒนธรรมญี่ปุ่น และเน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในสังคมมากกว่าความเป็นเลิศทางการ ศึกษา
๗. Slow aging มุ่งไปสู่การมีชีวิตที่ยืนยาวด้วยวิถีธรรมชาติ
๘. Slow life ดำเนินชีวิตอย่างแช่มช้าตามวิธีที่กล่าวมา]

หากอยากเปลี่ยนประเทศ ต้อง เดินตรงข้ามกับแนวคิด นักการเมืองยุคปัจจุบัน แต่ ค่อยทำ อย่าทำอย่าทำอะไรสุดโต่ง จนกว่าคนเริ่มเข้าใจ และเริ่มเสนอออกสู่สายตาประชาชนตั้งแต่วันนี้
หาเสียงนโยบาย ตั้งแต่ วันนี้

Edited by susu, 20 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:32.


#83 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 20 กันยายน พ.ศ. 2555 - 15:02

ปัญหาอีกเรื่องที่คนเสื้อแดงแยกแยะไม่ได้ ก็คือคำว่า

เฟ้อ

อย่างหมอเหวงกับมารดามัน คือตัวอย่างของความเฟ้อ ที่อาจจะเรียกอีกอย่างว่าสุดโต่ง
แต่ความสุดโต่งนั้น ผมยังมองว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีของความเป็นคน
เพราะการไปให้ถึงซึ่งสัจธรรมนั้น ...ต้องสุดโต่ง แม่แต่ปรัชญาทางสายกลางของพระพุทธเจ้า ก็ต้องใช้การดิ่งลึกอย่างสุดโต่ง
ไม่เช่นนั้น ก็หลง

แต่ความเฟ้อ เป็นอาการอีกแบบหนึ่ง
เสื้อแดงชอบใช้ อาจจะเพราะไม่สามารถปกป้องหลักการของตัวเองได้ ก็เอาปริมาณเข้าข่ม
เหมือนเจ้าด๊อกโสภณ เคยมาตั้งกระทู้ว่า เสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง....นี่ก็เฟ้อแบบหนึ่ง

นังธิดานั่นก็เพ้อเจ้อ เฟ้อหนัก ขนาดเอาผัวไปยืนท่าเกาหลี....มารดามันเหอะ รุ่นแง้มฝาโลงแล้วยังไม่เจียม
นังยิ่งลักก็ขอใช้เงินทีละสองสามแสนล้าน ตาปริบๆ ไม่รู้สึกรู้สม...นี่ก็ความเฟ้ออย่างหนัก

สรุปก็คือ พวกเสื้อแดงนี่ ไม่รู้จักคำว่าขอบเขตที่เหมาะสม เอาแต่กิเลศตัวเองเป็นใหญ่

ไอ้พวกที่โง่ ก็นั่งท่องจำคำสอนของแกนนำจนเป็นนกแก้วนกขุนทอง
เราแค่มาใช้สิทธิ
ย้านเมืองยังไม่ป็นประชาธิปไตย
คนจนเป็นไพร่ ไม่มีใครเห็นค่า
สองมาตรฐาน
ไม่มีความยุติธรรม....บล่าๆๆๆๆๆๆๆๆ

ใช้คำพวกนี้กับรัฐบาลอำมาตย์ ตอนนี้ได้รัฐบาลไพร่
ก็ยังใช้คำชุดนี้ได้ เหมือนเดิม....แต่ไม่กล้าใช้ เพราะไมมีสิทธิ มีเสียงอยู่แล้ว



เฮ้อ
นี่คือประชาธิปไตยเฟ้อ เหมือนเงินเฟ้อยังงัยยังงั้น
มี เห็น จับต้องได้















แต่ไม่มีราคา

#84 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 21 กันยายน พ.ศ. 2555 - 22:00

มันกล้าพูดว่า อาจแค่ คนชุดดำไปถ่ายรูป ยิงนกตกปลา เยาะเย้ย มัน ผยอง มาก ไม่สนใจ เหมือน คนเสื้อแดง โง่บัดซบ กููพูดอะไร มันเชื่ออยู่แล้ว
จำใว้ครับ คนพวกนี้ นิ่มกับมันไม่ได้ครับ

#85 taze

taze

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 732 posts

ตอบ 21 กันยายน พ.ศ. 2555 - 23:59

ไอเดียดีครับ ผมชอบ
---------------

ดีท็อกซ์ชีวิตด้วย “Slow Living”

บทความจากนิตยสารซีเคร็ต



ผมก็โหยหาชีวิตแบบนี้ครับตอนนี้ จริงๆมันก็ไม่ได้หนีไปจากผมเลย เพราะมันคือชีวิตสมัยเด็กที่บ้านนอกของผมนั้นเอง เพียงแต่ผมต่างหากที่เป็นคนเดินจากมันมา

"Power tends to corrupt, and absolute power corrupts absolutely."


#86 IFai

IFai

    รักในหลวง

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,782 posts

ตอบ 22 กันยายน พ.ศ. 2555 - 07:20

*ชีวิตชาวนาไทย ยุคที่ผมนิยมชมชอบ เพราะผู้คนยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำงานหนักปีละ 6-8เดือน
1.หวานไถ-ปลูก หลังสงกรานต์ เริ่มหน้าฝน ย้ายคนวัยแรงงานไป "นานอก" อยู่ห่างบ้านสัก 8กม
ด้วยเดินท้าว, เกวียน,เลื่อน, กะแทะ เป็นเวลาสัก3-4เดือน
2.เก็บเกี่ยว ช่วงปลายปี เพราะจะเก็บเกี่ยว -นวด-เก็บเข้ายุ้ง เสร็จก่อนตรุษไทย ใช้เวลาสัก3-4เดือน
*ช่วงว่างของข้อ1-2 คือการหาความสุขใส่ตัว จิตใจจึงแจ่มใส ยิ้มง่าย จนเป็นเอกลักษณ์ ของชนชาว
ไทย ...ความคิดเห็นส่วนตัว

**ที่ผมชอบเพราะเป็นชีวิตเรียบง่าย ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ที่สำคัญคือช่วยเหลือกัน ลักษณะ "ลงแขก"
เช่นกลุ่ม "นานอก" ของผมมี3ครอบครัว จะย้ายไป-ย้ายกลับ ต้องพร้อมกัน

**ชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อมีการสร้างเขื่อนภูมิพลเสร็จ มีคลองชลประทานเข้ามา ชาวนาทำนา "นาใน"
(นาไกล้บ้าน) ได้ปีละ2-3ครั้ง จากนั้นมาการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่น้อยลง ขยับตัวทีเป็นค่าแรงไปหมด เลิก
พูดถึงการ"ลงแขก" (ในแง่นี้นะ ..แง่รุมโทรมยังคงอยู่อย่างเหนียวแน่น)


ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ


#87 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:37


ไอเดียดีครับ ผมชอบ
---------------

ดีท็อกซ์ชีวิตด้วย “Slow Living”

บทความจากนิตยสารซีเคร็ต



ผมก็โหยหาชีวิตแบบนี้ครับตอนนี้ จริงๆมันก็ไม่ได้หนีไปจากผมเลย เพราะมันคือชีวิตสมัยเด็กที่บ้านนอกของผมนั้นเอง เพียงแต่ผมต่างหากที่เป็นคนเดินจากมันมา


"จริงๆมันก็ไม่ได้หนีไปจากผมเลย" " เพียงแต่ผมต่างหากที่เป็นคนเดินจากมันมา"
ชอบมากครับ เป็นบทสรุป ที่ดีเลย

#88 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:38

*ชีวิตชาวนาไทย ยุคที่ผมนิยมชมชอบ เพราะผู้คนยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำงานหนักปีละ 6-8เดือน
1.หวานไถ-ปลูก หลังสงกรานต์ เริ่มหน้าฝน ย้ายคนวัยแรงงานไป "นานอก" อยู่ห่างบ้านสัก 8กม
ด้วยเดินท้าว, เกวียน,เลื่อน, กะแทะ เป็นเวลาสัก3-4เดือน
2.เก็บเกี่ยว ช่วงปลายปี เพราะจะเก็บเกี่ยว -นวด-เก็บเข้ายุ้ง เสร็จก่อนตรุษไทย ใช้เวลาสัก3-4เดือน
*ช่วงว่างของข้อ1-2 คือการหาความสุขใส่ตัว จิตใจจึงแจ่มใส ยิ้มง่าย จนเป็นเอกลักษณ์ ของชนชาว
ไทย ...ความคิดเห็นส่วนตัว

**ที่ผมชอบเพราะเป็นชีวิตเรียบง่าย ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ที่สำคัญคือช่วยเหลือกัน ลักษณะ "ลงแขก"
เช่นกลุ่ม "นานอก" ของผมมี3ครอบครัว จะย้ายไป-ย้ายกลับ ต้องพร้อมกัน

**ชีวิตเปลี่ยนไป เมื่อมีการสร้างเขื่อนภูมิพลเสร็จ มีคลองชลประทานเข้ามา ชาวนาทำนา "นาใน"
(นาไกล้บ้าน) ได้ปีละ2-3ครั้ง จากนั้นมาการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่น้อยลง ขยับตัวทีเป็นค่าแรงไปหมด เลิก
พูดถึงการ"ลงแขก" (ในแง่นี้นะ ..แง่รุมโทรมยังคงอยู่อย่างเหนียวแน่น)

เราคงกลับไปแบบนั้น ยากมากครับ ถ้าเรายังไม่เปลี่ยนวิธี คิด
เงินมี.....ความสุขเกิด
กับ ความสุขเกิด .....เงินจะตามมา

#89 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 - 13:16

เราผิดที่ไปผูกความสุขกับเงินน่ะครับ

#90 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 - 17:42

.
เคยได้ยินความจริง แบบนี้มั๊ยครับ

คนต่างจังหวัด(สังคมชนบท) อยากให้ลูกสบายมีเงินเยอะ ส่งเรียนกรุงเทพฯหรือเมืองใหญ่ พอลูกจบมา ก็ทำงานมีครอบครัวที่นั่น พ่อแม่ต้องมาช่วยดูแลหลาน

ลูกๆก็อยากให้แม่พ่ออยู่ใกล้ แต่ตนเองไปอยู่ที่บ้านไม่ได้ เพราะต้องทำงาน

พ่อแม่เลยขายที่ขายบ้าน มาสร้างตัวอยู่กับลูกๆ วันนึงลูกทำงาน มีเงิน อยากซื้อที่ดิน ก็กลับไปซื้อที่บ้าน วนเวียนแบบนี้

แต่หากคนไหนไม่ประสพความสำเร็จ ที่ดินนั้นก็จะหายไปสู่ระบบ...

นี่คือสังคมชนบทที่หายไปในระบบนี้ และที่ดินส่วนนั้นได้หายไปสู่ระบบ ทุนนิยม นับวันจะมากขึ้นมากๆ

ถาม มันผิดที่ใคร ?

จนมาถึง ระบบการเลือกผู้นำชุมชน ..คนใฝ่ฝันเพื่อพบกับความสำเร็จ(คนเก่งๆ) เดินออกจากบ้านแล้ว เข้าสู่ระบบที่ว่า

ที่นี้ ชุมชนก็จะเหลือ คนที่ ศึกษาน้อยไปไหนไม่ได้ ไม่เก่งพอ แต่พวกเยอะ เมื่อต้องเลือกผู้นำ คนเหล่านั้นก็เสนอตัวเข้ามา

ที่นี้ก็เห็นภาพแล้ว ว่า ทำไมเราจึงไม่เหลือผู้นำที่ เก่งและมีศักยภาพพอที่จะ สร้างสังคมที่ดี ระบบพื้นฐานที่ดี

และนี้คือคำตอบว่า ทำไมทุกวันนี้ เราจึงมีผู้นำที่ ซิกแซก กฏหมู่ มีแต่นักเลงหรืออันธพาลเอาแต่พวกพ้อง

#91 David_GinoLa

David_GinoLa

    สมาชิกระดับไพร่

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,561 posts

ตอบ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 - 18:03


ปริญญาโง่ๆ พวกศิลปศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์เลิกหมด มีแต่ปริญญาวิชาชีพเท่านั้น

เดี๋ยวมาต่อจ้า


ผมจบ art แบบนี้ ผมก็เป็น "ปริญญาโง่ๆ" ในสายตาคุณเปิ้ลสิครับ
สมเด็จพระเทพท่านทรงจบคณะอักษรฯนะครับ


คุณแอมไม่ได้หมายความไปถึงด้านอักษรศาสตร์ ภาษาศาสตร์หรอกครับ

เพราะคนเชี่ยวชาญเฉพาะด้านภาษาศาสตร์ในประเทศไทย หายากจริงๆ เช่นเดียวกับคนที่เรียนด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์เฉพาะด้านในบ้านเราก็ยังมีน้อย

แต่คุณแอมคงหมายถึงพวกสาขาวิชาที่บัณฑิตตกงานเพียบ อย่างด้านประวัติศาสตร์,ปรัชญา,บรรณารักษ์ พวกนี้จบไปจะทำอะไร? ตำแหน่งงานรองรับมีน้อยมากครับ

ถ้าจะเปิดสาขาพวกนี้ ปีนึงผมว่ารับไม่เกิน 10 คน ก็เกินพอแล้ว
"การเมืองต้องเป็นเรื่องการเสียสละ การเมืองคือภาระของทุกผู้การเมืองเรื่องส่วนรวมร่วมรับรู้ การเมืองต้องต่อสู้เพื่อส่วนรวม"เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

#92 Huligan

Huligan

    ดาวพยศนภา

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,880 posts

ตอบ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 - 21:20

ที่จริง ประเทศเราเอง การศึกษาไม่ใช่ว่าห่วยนะครับ
ดูแค่รัชกาลที่ 1 ลงมา เราสามารถสังคายนาพระไตรปิฎกได้
ลังกาต้องส่งสมณฑูตมาขอสืบศาสนา และเราไปตั้งนิกายสยามวงศ์ได้เป็นปึกแผ่น
ในยุคที่ระบบภูมิปัญญา ผูกกับศาสนา สยามก็ถือว่ามีหน้ามีตาทีเดียว

แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบียบโลกมันเปลี่ยนแยะ
แล้วเมกากับรัสเซียก็กลายเป็นคู่แค้น ทำให้ประเทศเล็กๆ อยู่ลำบาก
เราก็ตัดสินใจเข้าข้างเมกา.....ก็เลยรับระบบ แ ด ร ก ด่วนมาแยะ

เมกามันเป็นประเทศแปลก คือใหญ่มาก ตั้งโรงเรียนไม่ไหวก็ใช้วิธีให้ครูไปหาเด็ก
เดือนละครั้งหรือ 2 ครั้ง ไปแล้วก็ทิ้งการบ้านไว้
จุดเน้นก็คือ ให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ถึงได้มีปรัชญาเลินนิ่งบายดูอิ้ง ให้ทำเป็น ไม่ใช่เน้นให้ใช้ปัญญา
เรียนแค่อ่านหนังสือราชการได้ก็พอ แต่ขอให้คิดเลขง่ายๆ ได้ ซ่อมรั้วเป็น เลียงวัวได้ ทำไร่ได้ ยิงปืนเป็น


ของเราต่างกันมาก รัชกาลที่ 5 ท่านฉลาด บอกเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีว่า เอาวัดนี่แหละเป็นโรงเรียน เอาภิกษุเป็นครู รัฐบาลสนับสนุนให้เดินได้ก็พอ เพราะชุมชนกับวัดเขาพึ่งพากันอยู่แล้ว แล้ววัดของเรา มีมากกว่าโรงแรมเสียอีก ตั้งแต่มีระบบโรงเรียนขึ้นมา พลเมืองไทยก็อ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้น โดยที่ไม่ได้เสียแรงงานอะไรมากมาย

มาเจอยุคประชาธิปไตยเข้าไป ซ้ำด้วยยุคพัฒนาของสฤษดิ์ เด็กไทยก็เลยกลายเป็นจับกัง เช้าขึ้นแบกกระเป๋าใบละสามสี่กิโลไปโรงเรียน อยู่ที่นั่นจนเย็น กลับมาบ้านก็หมดแรง แทนที่จะเรียนไปช่วยงานบ้านไป กลายเป็นพลเมืองชั้นสูง เพราะค่านิยมว่าเรียนไปเป็นเจ้าคนนายคน แทนที่จะเรียนเพื่อมาทำครอบครัวให้เข้มแข็ง


เรื่องนี้ยาวครับ และเป็นมูลเหตุสำคัญให้เกิดพลเมืองแดงในทุกวันนี้


แปลว่าเราก็รับของเขามาแบบไม่เต็มเต็ง ใช่ป่าวครับ? คืออย่างน้อยเขายังเน้นการพึ่งตัวเองได้ก่อน แต่เรากลับไปทำวิชาการซะหนัก จนทักษะการพึ่งตัวเองขาดหาย
*หมายเหตุ ผมอ่านตรงที่เน้นตัวสีน้ำเงินแล้ว นึกถึงหนังคาวบอยเลย พวกนี้ผมทึ่งในฝีมือการอยู่ได้ด้วยตัวเองนะ...สันติอโศกก็อีกพวก แนวทางการดำรงชีพของพวกนี้ผมว่าน่าสนใจมากทีเดียว(ถ้าไม่นับบทบาททางการเมืองของจำลอง ซึ่งผมไม่ค่อยเห็นด้วย)
ทฤษฎีของ เดล คาเนกี ใช้กับเหิ้ยหางแดงไม่ได้*สิ่งที่มองไม่เห็นใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มองเห็นได้นั้นน่าเชื่อถือมากกว่า*

#93 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 - 21:36

ถูกต้องครับ เรารับเขามาแค่เปลือก

ตอนที่ทหารอเมริกันออกไปเจอกับชาวโลก ทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
พวกเขานึกว่าโลกคือสหรัฐเทานั้นเอง ทหารเกณฑ์ก็มาจากบ้านนอก พออ่านออกเขียนได้เท่านั้น
ปรัชญาการศึกษาของเขา ตั้งหลักแค่ตรงนั้น เพราะประเทศเขาไม่ต้องพึ่งใครเลย

ไม่เหมือนเราที่อยู่ท่ามกลางเสือสิงห์.....ตัวเองก็เป็นสาวงาม ใครๆ ก็อยากงาบ
สมัยแรกเริ่มเราจึงเน้นเรื่องภาษา เพื่อให้คุยกับฝรั่งรู้เรื่อง แล้วก็เน้นคนเข้ารับราชการ ก็เน้นภาษาอีกเหมือนกัน
วิชาอื่นๆ ก็เลยอ่อนแอ พอมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทีนี้เข้าป่าไปเลย ไม่รู้ว่าจะไปทางใหน

ประเทศเราคงจะเป็นประเทศเดียว ที่ตำราพื้นฐานเปลี่ยนทุกปี
ที่จริงแล้วมันต้องไม่เปลี่ยนเลย แล้วก็ต้องวางหลักให้ชัดว่า เด็กเริ่มหัดเรียนเขียนอ่านแล้ว รัฐจะดันพวกเขาไปทางใหน
จะให้เป็นเด็กมีวินัยหรือเด็กซน เด็กแข็งแรงหรือเด็กวิชาการ เด็กมีความสุขหรือเด็กมีใจเสียสละ

พวกนี้ต้องเริ่มตั้งแต่ประถมหนึ่ง

แต่กระทรวงศึกษาเรามันรับใช้สำนักพิมพ์ มันก็เลยเปลี่ยนตำราเพื่อต้องซื้อใหม่เสมอ
ประเทศอื่นนี่ ตำราพื้นฐาน พ่อ พี่ น้อง ลูก หลาน....เรียนเล่มเดียวกันทั้งนั้น

#94 อู๋ ฮานามิ

อู๋ ฮานามิ

    สมาชิกหน้าเก่า

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,018 posts

ตอบ 26 กันยายน พ.ศ. 2555 - 16:47

รออ่านต่อนะครับ

ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด

 

เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ


#95 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 26 กันยายน พ.ศ. 2555 - 17:07

รออ่านต่อนะครับ


ทู้นี้พี่สู้ๆ เขาเป็นเสาหลักครับ

ผมตามน้ำ....สบาย


55555

#96 อู๋ ฮานามิ

อู๋ ฮานามิ

    สมาชิกหน้าเก่า

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,018 posts

ตอบ 26 กันยายน พ.ศ. 2555 - 17:29

ถือว่าดันกระทู้แล้วกันนะครับ ตอนนี้

ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด

 

เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ


#97 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 26 กันยายน พ.ศ. 2555 - 18:18

เอาของดีมาใส่ทู้นี้หน่อย
มวยไทย

เป็นการต่อสู้ดัวต่อตัวที่สมบูรณ์แบบอย่างหนึ่งในโลก
แปลกใหมครับ รัฐบาลไม่ส่งเสริม นักการเมืองก็ไม่สนใจ
ปล่อยให้มันค่อยๆ กลายพันธุ์ไป จนกระทั่งชาติอื่นเอาไปยำ เราก็มาโวยว่าถูกแย่งไป

ผมยกตัวอย่างนี้มาเพื่อจะบอกว่า เราไม่ยอมสร้างชาติจากสองขาของเราเอง
แต่ไปเอาขาเทียมคนอื่นมาใส่ ฐานก็เลยไม่มั่น ผลักเบาๆ ก็ล้ม
ที่เมกา เวลารับคนแปลงสัญชาติ ทุกคนต้องร้องเพลงชาติได้ แล้วก็ต้องสาบานต่อรัฐธรรมนูญ
ในโรงเรียน ตั้งแต่เด็กๆ ก็จะให้คนสำคัญบ้าง ผู้ใหญ่ของชุมชนบ้าง มาแสดงตัวในชั้นเรียน
พวกนี้เป็นการแทรกซึมความรักชาติเข้าไป

ของเรา แค่ตีเด็ก ก็โวยวายว่าป่าเถื่อน
พอเด็กเอาปืนไล่ยิงกัน ครู ตำรวจ นักการเมือง ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้

พอบอกว่าต้องอัดฉีดความรักชาติ ก็หาว่าคลั่งชาติ

เขมรอพยพตอนมาอยู่เขาอีด่าง ยังสอนรำเขมร โขน ดนตรีประจำชาติ
ขนาดเขาสิ้นชาติอล้ว เขายังรักชาติ

คิดแล้วก็งงว่าทำไมระบบของไทยมันกระจอกอย่างนี้

เราเคยเอาเรื่องนายขนมต้มมาสอนเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นไทย
แต่ทุกวันนี้ห้ามเรื่องนี้ เพราะฝรั่งมันไม่ชอบ.......



กรรม



#98 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 26 กันยายน พ.ศ. 2555 - 18:41

เล


รออ่านต่อนะครับ


ทู้นี้พี่สู้ๆ เขาเป็นเสาหลักครับ

ผมตามน้ำ....สบาย


55555

ผมคนรู้น้อยนะครับ ก็พยามเพื่อให้แนวคิดที่เราคิดว่าดีๆ ได้เดินทางออกจากหัวใจ เราบ้าง ใครผ่านแวะดื่มกิน ยิ่งคุณมาเติม สิ่งที่คิดก็เดินทางง่ายขึ้นนะครับ

#99 Huligan

Huligan

    ดาวพยศนภา

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,880 posts

ตอบ 27 กันยายน พ.ศ. 2555 - 01:03

เอาของดีมาใส่ทู้นี้หน่อย
มวยไทย

เป็นการต่อสู้ดัวต่อตัวที่สมบูรณ์แบบอย่างหนึ่งในโลก
แปลกใหมครับ รัฐบาลไม่ส่งเสริม นักการเมืองก็ไม่สนใจ
ปล่อยให้มันค่อยๆ กลายพันธุ์ไป จนกระทั่งชาติอื่นเอาไปยำ เราก็มาโวยว่าถูกแย่งไป

ผมยกตัวอย่างนี้มาเพื่อจะบอกว่า เราไม่ยอมสร้างชาติจากสองขาของเราเอง
แต่ไปเอาขาเทียมคนอื่นมาใส่ ฐานก็เลยไม่มั่น ผลักเบาๆ ก็ล้ม
ที่เมกา เวลารับคนแปลงสัญชาติ ทุกคนต้องร้องเพลงชาติได้ แล้วก็ต้องสาบานต่อรัฐธรรมนูญ
ในโรงเรียน ตั้งแต่เด็กๆ ก็จะให้คนสำคัญบ้าง ผู้ใหญ่ของชุมชนบ้าง มาแสดงตัวในชั้นเรียน
พวกนี้เป็นการแทรกซึมความรักชาติเข้าไป

ของเรา แค่ตีเด็ก ก็โวยวายว่าป่าเถื่อน
พอเด็กเอาปืนไล่ยิงกัน ครู ตำรวจ นักการเมือง ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้

พอบอกว่าต้องอัดฉีดความรักชาติ ก็หาว่าคลั่งชาติ

เขมรอพยพตอนมาอยู่เขาอีด่าง ยังสอนรำเขมร โขน ดนตรีประจำชาติ
ขนาดเขาสิ้นชาติอล้ว เขายังรักชาติ

คิดแล้วก็งงว่าทำไมระบบของไทยมันกระจอกอย่างนี้

เราเคยเอาเรื่องนายขนมต้มมาสอนเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นไทย
แต่ทุกวันนี้ห้ามเรื่องนี้ เพราะฝรั่งมันไม่ชอบ.......


กรรม


โดยส่วนตัว ผมก็เห็นด้วยถ้ารัฐจะส่งเสริมเรื่องอย่างว่า > ส่งเสริมให้กับผู้ที่สนใจนะครับ
แต่ไอ้ที่ไม่เห็นด้วยคือ ใส่ค่านิยมเชิงบังคับว่าเด็กไทยต้องรักศิลปะแบบไทยๆ ต้องรักดนตรีไทยเดิม ต้องทำประดิษฐ์ประดอยเป็น ไอ่คนที่ไม่ได้สนใจนัก(แต่ก็ไม่ได้ดูถูก)ก็ถูกบังคับกะเกณฑ์แบบกูให้มึงต้องรักไปด้วย แบบที่ครูสมัยประถมบางคนชอบพล่ามให้ผมฟังบ่อยๆสมัยผมยังอยู่ชั้นประถม อย่างนี้ผมว่างี่เง่าว่ะ
ผมเองไม่เคยดูถูกศิลปกรรมไทยเดิมเหล่านี้ >แต่ถ้าถึงขั้นจะต้องมาบังคับให้ผมต้องเชิดชู ต้องทำให้เป็นนี่ >ปัญญาอ่อนว่ะ
หรือแค่ผมชอบดนตรีสากลมากกว่า ก็หาว่าไม่รักชาติ ไม่รักบรรพบุรุษ นี่ก็ปัญญาอ่อนเหมือนกัน
*ไม่รู้นะ ผมอาจจะดูมีอคติกับพวก Conservative มากสักหน่อย...เพราะผมรู้สึกว่าตอนเด็กๆผมถูกปิดกั้นสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างโดยไอ่พวกนี้

Edited by Huligan, 27 กันยายน พ.ศ. 2555 - 01:05.

ทฤษฎีของ เดล คาเนกี ใช้กับเหิ้ยหางแดงไม่ได้*สิ่งที่มองไม่เห็นใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มองเห็นได้นั้นน่าเชื่อถือมากกว่า*

#100 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 27 กันยายน พ.ศ. 2555 - 01:47

เรื่องนี้มันมีสองมุมครับ
คือมุมภาระหน้าที่ กับมุมเจตจำนงเสรี

แต่ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมจะมองมุมวัคซีนครับ
ฉีดไว้ก่อน ไม่เกี่ยวกับว่าจะชอบหรือไม่ชอบ
แต่ฉีดในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ใช่ฉีดจนแพ้ยา กลายเป็นเด็กเอ๋อไปเลย

ของบางอย่างก็ต้องบังคับ เหมือนเกณฑ์ทหาร ต้องโดนทุกคน
แต่พ้นเกณฑ์แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นทหารต่อจนตายซะเมื่อไหร่
หรือภาษีที่จ่ายทุกครั้ง ที่เงินผ่านมือ ชอบไม่ชอบไม่เกี่ยว จ่ายจนตาย ตายแล้วบางคนก็ยังต้องจ่าย

ทีนี้ของบางอย่าง มันเป็นยาน่ะครับ ก็ขมหน่อย
แต่หวานเป็นลม ขมเป็นยา

ส่วนที่คุณฮูลิแกนบอกว่า ถูกปิดกั้นไม่ให้ได้เจออะไรที่น่าสนใจ
นั่นก็เป็นข้อผิดพลาดของรัฐอีกเหมือนกัน

เกาะเล็กๆ อย่างฮ่องกง คนรอคิวเข้าไปดูงานของปีกัสโสแบบเดียวกับรอซื้อไอโฟน
ของเรามันมีแต่ไอโฟน ไม่มีปิกัสโส ซึ่งถึงมีก็ไม่มีคนต่อแถวรอแน่ๆ เพราะรัฐไม่ป้อนความหิวกระหายด้านนี้ให้ ป้อนให้แต่ยาพิษ เช่นหวย หรือธรรมกาย




ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน