---------------มีคนเขาบอกว่า ผมถูกหลอก-----------
#51
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 10:41
เชื่อโดยปราศจากการคิดเองเป็น มันจะตอบที่ผมถามไว้ # 29 ไม่ด้ายยยยยคร้าา
#52
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 10:43
ที่ช่วยดันกระทู้เพราะสงสารหรอกวะ
ลืมใส่ตัว ซ ว ว
Edited by จีรนุช, 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 10:43.
รำคาญสลิ่มเที่ยมที่เข้ามาปล่อยสารพิษเรียกร้องความรุนเเรงเสดงออกถึงความคลั่งสงครามกลางเมืองยุเเยงสร้างภาพชั่วๆ
เอียนวะ เห็นคนเเถวนี้ไอคิวต่ำกว่า 90 หรือไง
#53
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 10:51
แต่คุณทราบมั๊ยว่า เดิมต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 25%รัฐบาลทักษิณ แก้พรบพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยมีนายโภคิน พลกุล ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานแก้ “กฎหมายขยายเพดาน” จากร้อยละ 25 ไปเป็นร้อยละ 49 อดีต กฎหมายเขียน “กัน” ไม่ให้ชาวต่างชาติถือหุ้นเกิน 25% เพราะการ “ซื้อ” ใจผู้ถือหุ้นไทย 24% นั้น ย่อมทำได้ยากกว่าการ “ซื้อ” ใจผู้ถือหุ้นไทยเพียง 1% คือมันแก้ให้มีช่องว่างของกฏหมาย แก้เสร็จอุ่นๆคนแรกที่นำกฏหมายไปใช้ คือทักษิน นั่นแหละ เขาดูเจตนา..
ดังนั้นเขาจึงเอาจริยธรรมมาเพื่อให้ร้าย ผิดกลับไปดูสาเหตุ ข้อ 1
ตอบไปแล้ว
ผมเริ่มรู้ว่า ดาวเทียมที่ขายไปนั้น เป็นแค่ดาวเทียมสื่อสาร ดังนั้นรัฐบาลต่อๆมาจึงไม่มีใครคิดซื้อคืนเอาลูกเเอา !!! .เงินไหนไปซื้อ เอาเงินคุณหรือ ภาษีรึ เขาคิดแต่หาเงินไม่ได้ เขาเกรงใจคนเสียภาษี (คิดได้ไงเหลือเชื่อ)
ผมเริ่มรู้ว่า หวยบนดินไม่เกี่ยวกับการคอรัปชั่น เพียงแต่ผิดระเบียบ??? นีไม่ผิดเหรอ ? คนโกหกไม่ทำชั่วต่อ มีเหรอ?
ผมเริ่มรู้ว่า ประชานิยมนั้น ถ้าทำให้ประเทศชาติล่มจมจริง ทำไมทุกรัฐบาลยังคงไว้ซึ่งประชานิยม อันนี้จริง ทำให้ประชาชนเพื่อประชาชน แต่นี่ อ้างประชาชนเพื่อนายทุน ไปศึกษาใหม่ ?
ผมเริ่มรู้ว่า ปฏิญญาฟินแลนด์เป็นเพียงการใส่ร้าย เพื่อหวังผลทางการเมือง สีสรรการเมือง
ผมเริ่มรู้ว่า หลังยุคทักษิณ การคอรัปชั่นกลับทวีความรุนแรงมากกว่าเก่าเสียอีก อันนี้จริง ไม่เชื่อดูยิ่งลักษณ์สิ โกงถึงส้วมแจกน้ำท่วม
ผมเริ่มรู้ว่า เพียงแค่สลับขั้ว ผู้ร้องถึงกับไปเป็นพยานให้กับจำเลยเสียเอง มีเห็นทั่วไปไม่ว่ายุคไหน ยุคนี้ขนาดจะทำผลพิสูจน์ใหม่เลย
ผมเริ่มรู้ว่า องค์กรอิสระหลังยุคทักษิณ แม้ไม่ถูกแทรกแซง แต่กลายเป็นถูกครอบงำเลยทีเดียว มิน่าพล.ต.อ.วาสนา ได้หันไปปลูกผักเลย แถมยุคน้องทักษินนี้ เขาไม่แทรกแซงแล้ว แต่จะออกกฏหมาย ยุบไปเลย !!
ผมเริ่มรู้ว่า สื่อฯต่างๆไม่ใช่ถูกแทรกแซง แต่เป็นเพราะสื่อฯไทยขาดจรรยาบรรณกันมากกว่า นี่คุณด่ามติชนหรือประชาไท
ผมเริ่มรู้ว่า เผด็จการรัฐสภาเป็นเพียงวาทกรรมของเสียงข้างน้อยที่ไม่เคารพกติกาเท่านั้นเอง...กินปลาเยอะๆนะ คุณไม่ได้โง่หรอก คุณซื่อ คนเชื่อคำบอกเล่า คุณอคติ ซึ่งเรื่องพวกนี้ คนที่นี่ เรียกนิยามว่า อีโง่ ครับ
Edited by susu, 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 10:53.
- พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน, ศรอรชุน and สุกี้น้ำ like this
#54
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:36
ร่ายมาซะยาว แต่ทำไมใช้ ฯ ไม่เข้าใจครับ ช่วยอธิบายหน่อยครับ
#55
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:47
เฮ้อ........
จะมีเรื่อง พธม ปิดสนามบินด้วยป่ะ
Edited by O2Mini, 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:47.
#56
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 13:36
- My Will, พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน, Bookmarks and 2 others like this
สิทธิตามระบอบประชาติปไตยมีไว้สำหรับให้เสื้อแดงผู้เรียกร้องประชาติปไตยเท่านั้น
ผู้อื่นห้ามใช้มิเช่นนั้นจะโดนประชาติปไตยลงโทษ
#57
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 13:41
ช่วงนี้ คนเป่านกหวีดเสียงดังกันเยอะ ปีนี้เลยกลายเป็น " ปี แสบ หู "
#58
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 13:57
ถ้าแค้นมากก็ไป ASTV ไป๊ พล่ามอะไรที่นี่
#59
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 14:00
#60
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 14:10
ยังดีที่มีรีพลายนี้
ทวดเอง หนึ่งในล็อคอินขวัญใจไพร่แดงเขาละ
เขียนบทความมายาวๆ ใช้ความเท็จ ผสมผสานความจริง ไม่บอกให้เชื่อ แต่ให้คิดเองตามเป้าที่มันกำหนด
แล้วชักนำให้ควายที่คิดว่าตัวเองเป็นราชสีห์ หลงไหลได้ปลื้ม ว่าสิ่งที่ตัวเองเป็น
สิ่งที่ตัวเองเชื่อ นั้นถูกต้องแล้ว ลักษณะการเขียนผ่านการกลั่นกรองอย่างดี
เข้าลากดำนาเมื่อไหร่ ก็มองหาอีตาทวดเองนี่แหละ ก่อนใคร
แล้วชี้จุดโกหกให้คนอื่นๆเห็น ครับ...
แต่ที่ผมชมเชยอย่างหนึ่งที่หายากในไพร่แดงทั้งหลาย
พอเข้าไปชี้ว่า "เอ็งโกหก" พวกก็ยอมรับความผิด แบนตัวเองเจ็ดวัน เลยละ...
ไม่งั้นจะคิดว่าคนเขียนที่ชื่อทวดเองมีอาชีพปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อหล่อเลี้ยงความเชื่อ ให้รากหญ้าลุ่มหลง งงงวย
ถ้าเป็นอย่างข้างบนก็ต้องคิดใหม่ว่าคงจะหลงผิด
ขอบคุณคุณศรอรชุนค่ะ
#61
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 14:22
คุณอยากเชื่ออะไรก็ตามแต่กรรมของคุณแล้วกันนะ
ที่นี่ไม่ได้เชื่อตัวบุคคล ที่นี่เชื่อข้อมูลที่สามารถอ้างอิงแบบพิสูจน์ได้
จะมายั่วยุโดยเอาสนธิ มายั่วคงไม่ได้
คนเราเมื่อทำหน้าที่ เห่าเฝ้าบ้าน แถมมีสื่อปชส มันก็ดีที่เริ่มต้นให้และสานต่อมาช่วงนึง มันก้ดีนะ ก็เป็นจุดเริ่มที่ยังชื่นชม
แต่เมื่อทัศนคติไม่ตรงกันในเวลาต่อมา ต่างคนต่างไป ก้ถูกแล้วนี่ มันน่าจะเเปลได้ว่ามีจุดยืนเป็นของตัวเองรู้ว่าไม่ใช่ ก็ไป
แต่ไม่ได้กล่าวหาหรือต่อว่า แค่ไม่เห็นด้วย
พวกคุณล่ะมีจุดยืนอะไรบ้างนอกจาก แยกไม่ได้ มองไม่เห็น ว่าใคร ทำอะไรไว้
ที่จริงถ้าพวกคุณเอาพลังแบบนี้มาใช้เพื่อประโยชน์ในระยะยาวกัูบลูกหลาน มันจะน่าสนใจกว่า
กว่าที่จะมาอ่านว่าคุณพวกงมงาย ไม่ได้โง่ แต่เห็นแก่ได้ จะคิดอะไร
#62
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 21:06
19 มงกุฎ..555 แค่18 ก็เยอะแล้วอะครับ ของคุณ เพิ่มมาอีก 1
ขอโทษด้วยที่ไม่ได้อ่านกระทู้จนจบ..5555 แบบว่าขี้เกียจอะ
#63
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 21:16
#64
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 21:49
#65
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 23:10
#66
ตอบ 8 กันยายน พ.ศ. 2555 - 23:26
เมื่อก่อนก็ใช้ 18 แหละ เมื่อไม่นานนี้เอง เพิ่งรู้ว่ามีเขางอกเลยเข้าใจว่าเป็นมงกุฏ เลยเพิ่มซะงั้นแค่ดูชื่อก็รู้ครับว่าคุณหลอกเขาหรือเขาหลอกคุณ
19 มงกุฎ..555 แค่18 ก็เยอะแล้วอะครับ ของคุณ เพิ่มมาอีก 1
ขอโทษด้วยที่ไม่ได้อ่านกระทู้จนจบ..5555 แบบว่าขี้เกียจอะ
- kokkai likes this
#67
ตอบ 9 กันยายน พ.ศ. 2555 - 01:15
เงินได้จากการขายหุ้น ที่จะได้รับยกเว้นภาษี ตาม
กฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509)
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(23) เงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแต่ไม่รวมถึงเงินได้จากการขายหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นกู้หรือพันธบัตร
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้กำหนดวิธีการซื้อขายหลักทรัพย์ไว้ดังนี้
วิธีการซื้อขายหลักทรัพย์
ผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อขายหลักทรัพย์โดยผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ได้ 2 วิธี ได้แก่
3.1 Automatic Order Matching (AOM)
เป็นวิธีการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายส่งการเสนอซื้อและเสนอขายด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเข้ามายังระบบ การซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ โดยที่ระบบคอมพิวเตอร์ของตลาดหลักทรัพย์จะทำการเรียงลำดับ และจับคู่คำสั่งซื้อขายให้โดยอัตโนมัติ
3.1.1 การจัดเรียงลำดับคำสั่งซื้อขายเมื่อสามารถส่งคำสั่งซื้อขายเข้ามา ระบบการซื้อขายจะเก็บคำสั่งซื้อขายไว้ตั้งแต่เวลาที่ส่งคำสั่งซื้อขาย จนถึงสิ้นวันทำการ และจัดเรียงคำสั่งซื้อขายตามลำดับของราคาและเวลาที่ดีที่สุด (Price then Time Priority) โดยมีหลักการคือ
(1) คำสั่งซื้อที่มีราคาเสนอซื้อสูงที่สุดจะถูกจัดเรียงไว้ในลำดับที่หนึ่ง และถ้ามีราคาเสนอซื้อที่สูงกว่าถูกส่งเข้ามาใหม่ จะจัดเรียง ราคาเสนอซื้อที่สูงกว่าเป็นการเสนอซื้อในลำดับแรกก่อนและถ้ามีการเสนอซื้อในแต่ละราคามากกว่าหนึ่งรายการ ให้จัดเรียงตามเวลา โดยการเสนอซื้อที่ปรากฏในระบบการซื้อขายก่อนจะถูกจัดไว้เป็นการเสนอซื้อในลำดับก่อน
(2) คำสั่งขายที่มีราคาเสนอขายต่ำที่สุดจะถูกจัดเรียงไว้ในลำดับที่หนึ่ง และถ้ามีราคาเสนอขายที่ต่ำกว่าถูกส่งเข้ามาใหม่จะจัดเรียงราคาเสนอขายที่ต่ำกว่า เป็นการเสนอขายในลำดับแรกก่อนละถ้ามีการเสนอขายในแต่ละราคามากกว่าหนึ่งรายการให้จัดเรียงตามเวลา โดยการเสนอขายที่ปรากฏในระบบการซื้อขาย ก่อนจะถูกจัดไว้เป็นการเสนอขายในลำดับก่อน
3.1.2 การจับคู่การซื้อขาย (Matching)เมื่อคำสั่งซื้อขายผ่านเข้ามาในระบบซื้อขายแล้ว ระบบซื้อขายจะตรวจสอบว่าคำสั่งนั้นสามารถจับคู่กับคำสั่ง ด้านตรงข้ามได้ทันทีหรือไม่ ถ้าคำสั่งนั้นสามารถจับคู่ได้ทันที ระบบก็จะทำการจับคู่ให้ แต่ถ้าคำสั่งนั้น ไม่สามารถจับคู่ได้ ระบบจะจัดเรียงคำสั่ง ซื้อขายนั้นตามหลักการ Price then Time Priority ตามที่กล่าวข้างต้นเพื่อรอการจับคู่คำสั่งต่อไป
3.2 Trade Report
เป็นวิธีการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายได้ทำการเจรจาต่อรองเพื่อตกลงซื้อขายกัน (Dealing) แล้วจึงบันทึกรายการซื้อขายนั้นเข้ามา ในระบบการซื้อขาย (Trade Report) โดยบริษัทสมาชิกสามารถประกาศ โฆษณา (Advertise) การเสนอซื้อหรือ เสนอขายของตนผ่านระบบการซื้อขายได้
การซื้อขายด้วยวิธี Trade Report แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
(1) การซื้อขายระหว่างสมาชิก (Two-firm Trade Report ) โดยเมื่อมีการตกลงซื้อขายกันแล้ว ให้สมาชิกผู้ขายและสมาชิกผู้ซื้อบันทึกรายการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขาย
(2) การซื้อขายโดยสมาชิกผู้ซื้อและผู้ขายเป็นรายเดียวกัน (One-firm Trade Report) โดยเมื่อสมาชิกสามารถจับคู่การซื้อขายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้แล้ว ให้สมาชิกบันทึกรายการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขาย
ปล. สมาชิกผู้ซื้อและผู้ขาย = บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์)
บุคคลธรรมดา จะเข้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยตรงกับตลาดหลักทรัพย์ไม่ไ้ด้ ต้องดำเนินการผ่านโบรกเกอร์
Edited by mongdoodee, 9 กันยายน พ.ศ. 2555 - 01:18.
#68
ตอบ 9 กันยายน พ.ศ. 2555 - 02:07
#69
ตอบ 9 กันยายน พ.ศ. 2555 - 16:21
1. การเสียภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ | 9.03.06
-
กรณีที่หนึ่ง ดร.ทักษิณและภรรยามีหุ้นชินคอร์ปฯ 49% ตั้งบริษัทเอง 22 ปีก่อน เข้าตลาดหุ้น 15 ปีก่อน หุ้นทั้งหมดนี้หากขายให้ลูก คือ พาน/พิณ ทั้งหมด 49% ในตลาดหุ้น จะไม่มีภาษี (เหมือนคนครึ่งล้านที่ลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ทุกวัน) เมื่อพาน/พิณขายต่อให้ใคร ก็ไม่มีภาษีอีกเช่นกัน เพราะฉะนั้น เป็นสิทธิ์พื้นฐานที่มีอยู่แล้วของดร.ทักษิณและลูก คือนักลงทุนบุคคลไม่มีภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหุ้น
- ดังนั้น ดร.ทักษิณไม่จำเป็นต้องทำอะไรซับซ้อนเพื่อเลี่ยงภาษี (เช่นแอมเพิลริช) เพราะไม่มีภาษีให้ลด
- ที่ดร.ทักษิณทำแอมเพิลริชในปี 42 เพราะจะเอาชินคอร์ปฯเข้าตลาดหุ้นสหรัฐ (ดู หนังสือถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ใน เอกสารประกอบ) ตอนหลังตลาดหุ้นสหรัฐตกมาก เลยหยุดแผน (ดู ข่าวชินคอร์ประงับเข้าตลาดแนสแดค ในเอกสารประกอบ) แต่หุ้นชินคอร์ปฯ 11% ก็อยู่ที่แอมเพิลริชไปเรื่อยๆ ปลายปี 43 ก่อนเป็นนายกฯ ดร. ทักษิณก็ขายโอนแอมเพิลริชให้ลูก
-
กรณีที่สอง ต้นปี 49 ที่จริงพาน/พิณสามารถขายแอมเพิลริช (ที่ถือหุ้นชินคอร์ปฯอยู่) ให้ผู้ซื้อในต่างประเทศได้เลย ไม่มีภาษี เป็นสิทธิพื้นฐานเช่นกัน แต่เงินจะอยู่นอกประเทศ (อาจโดนว่าเก็บเงินนอกประเทศ) -
กรณีที่สาม ดังนั้น เพื่อจะขายให้เงินอยู่ในประเทศ พาน/พิณ ในฐานะเจ้าของแอมเพิลริช ทำการโอนหุ้นชินคอร์ปฯที่แอมเพิลริชถืออยู่ มาถือเองโดยตรง และเมื่อขายให้ผู้อื่นในตลาดหุ้น ทั้งส่วน 38% แรกที่ถือตรงอยู่แล้ว บวกกับอีก 11% ที่มาถือตอนหลังโอนมาจากแอมเพิลริช (คืนสู่เหย้า)รวม 49% ก็ไม่มีภาษี
- ปรากฏว่า ส่วนแอมเพิลริช 11% ถูกกล่าวหาว่าหนีภาษี ทั้งที่เป็นสิทธิ์แต่เดิมที่ไม่มีภาษี หากขายแอมเพิลริชในต่างประเทศเหมือนในกรณีที่สอง หรือหากถือตรงมาตลอดโดยไม่มีแอมเพิลริชเหมือนในกรณีที่หนึ่ง
กรณีที่ 1 กรณีที่ 2 กรณี 3 หากพาน/พิณถือหุ้นชิน โดยตรง 49% มาตลอด (ไม่มีแอมเพิลริช) แล้วขายในตลาดหุ้น ภาษี = 0 เป็นสิทธิ์พื้นฐาน หากพาน/พิณขายแอมเพิลริชในต่างประเทศเลย (หุ้นชินส่วน 11% ติดไป) ภาษี = 0 (แต่เงินจะอยู่นอกไทย) พาน/พิณซื้อหุ้นชินส่วน 11% คืนกลับจากแอมเพิลริช (เจ้าของเดียวกัน) แล้วขายในตลาดหุ้น ภาษี = 0 (เพื่อเงินอยู่ในไทย) ไม่ต้องเลือกกรณีใดกรณีหนึ่งเพื่อลดภาษีเพราะทั้ง 3 กรณีไม่มีภาษีอยู่แล้ว
-
ข้อกล่าวหาคือ การที่แอมเพิลริชโอนหุ้นชินคอร์ปฯให้พาน/พิณที่ราคาพาร์ 1 บาท ทั้งคู่ต้องเสียภาษีเพราะมีเงินได้เพิ่ม (ได้มา 1 บาท ขาย 49 บาท เป็นกำไร 48 บาทที่ต้องเสียภาษี) หรือจะเป็นเหมือนกรณีบริษัทออกหุ้นจูงใจพนักงานในราคาถูกพิเศษ (สต็อกออปชั่น หรือ ESOP) ว่า ต้องเสียภาษีส่วนต่างระหว่างราคาหุ้นชินคอร์ปฯที่ ซื้อขายในตลาดกับราคาที่ได้มา (ได้มา 1 บาท ในวันที่หุ้นชินคอร์ปฯราคา 42 บาท เป็นกำไร 41 บาท ซึ่งหากจะเสียภาษีต้องจ่ายวันที่ซื้อ ไม่ใช่วันที่ขายที่ 49 บาทไม่มีภาษีเพราะได้เป็นเจ้าของหุ้นนั้นแล้ว) -
ข้อกล่าวหานี้ เป็นการตีความคนละหลักการ
- เพราะทั้งพาน/พิณเป็นเจ้าของแอมเพิลริชก็ถือว่าเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ 11% นี้อยู่แล้ว เป็นบุคคลเดียวกันดังที่รายงานตลาดหุ้นมาตลอด ดังนั้น การที่แอมเพิลริชโอนหุ้นชินคอร์ปฯ 11% ที่ถืออยู่ ให้พาน/พิณถือเองโดยตรงในราคาพาร์ ไม่ทำให้พาน/พิณมีรายได้เพิ่ม เพราะเป็นหุ้นและต้นทุนของตนแต่เดิม
- เป็นคนละกรณีกับ นายจ้างจ่ายผลตอบแทนลูกจ้างด้วยการออกหุ้นใหม่ขายให้ในราคาพิเศษ หรือ การให้รางวัลจับสลาก หรือ การขายตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีส่วนลดหน้าตั๋ว ล้วนทำให้ผู้ซื้อมีรายได้เพิ่ม ต้องเสียภาษี
- ประเด็นนี้หารือกับสรรพากรตั้งแต่กลางปีที่แล้ว สรรพากรก็ยืนยันว่าเรื่องนี้ถูกต้อง แต่ก็ไม่ฟังกัน กล่าวหาว่าลูกนายกฯหนีภาษี นายกฯไม่มีจริยธรรม สรรพากรผิดจรรยาบรรณเพราะตีความเข้าข้างรับใช้นายกฯ
-
หากแคลงใจในแง่กฎหมาย ก็ควรให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ไม่ควรเอาเป็นประเด็นโจมตีทางการเมืองไปที่นายกฯและสรรพากร และเป็นสิทธิ์ของประชาชนตามกฎหมาย ที่มีหน้าที่เสียภาษีเท่าที่จำเป็น
หากเสียภาษีเกิน ยังไปเรียกคืนจากสรรพากรได้ ตามที่พวกเราทำยื่นแบบกันทุกปี (เปรียบเหมือนถนนข้างล่างว่างขับรถได้เร็วอยู่แล้ว แต่กลับถูกกล่าวหาว่าการไม่ขึ้นทางด่วนและเสียเงินค่าทางด่วน เป็นการหลีกเลี่ยง) -
ตลาดหลักทรัพย์ตั้งใจส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาที่ซื้อขายหุ้นในตลาดไม่มีภาษีจากกำไร เพราะไม่งั้นเสียเปรียบบริษัทนิติบุคคลที่สามารถทำงบกำไรขาดทุน ที่สามารถนำการขาดทุน การเสียภาษีเงินปันผล การเสียภาษีกำไรขายหุ้น ไปหักลบในงบกำไรขาดทุน ทำให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลน้อยลง
- บุคคลธรรมดาทำงบไม่ได้ หากขาดทุน เสียภาษี หักลบอย่างอื่นไม่ได้เลย หากตลาดหลักทรัพย์ไม่ส่งเสริมเช่นนี้ นักลงทุน 500,000 คนต้องไปตั้งบริษัทกันหมด วุ่นวายกันใหญ่ ทั้งทำบัญชี สอบบัญชี
-
ทั้งตัวดร.ทักษิณ ครอบครัว บริษัท และพนักงานกว่า12,000 คน เสียภาษีทุกรูปแบบ ทั้งเงินได้จากเงินปันผล เงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล รวมถึงค่าสัมปทานต่างๆ ทั้งมือถือ ดาวเทียม ฯลฯ ปีละหลายหมื่นล้านบาท สิบกว่าปีนี้หลายแสนล้านบาท เป็นผู้จ่ายภาษีรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของประเทศไทย ร่วม 5% ของยอดจัดเก็บของสรรพกร ทำขนาดนี้ ทั้งผู้ก่อตั้งและตัวบริษัทเอง เป็นผู้เสียภาษีที่รักชาติไม่น้อยกว่าใครที่มาโจมตี (หลายปีก่อนตอนยังทำธุรกิจ ดร.ทักษิณเคยเป็นบุคคลที่เสียภาษีสูงสุดของไทยปีละหลายร้อนล้านบาทหลายปี) -
กลุ่มบริษัทชินคอร์ปฯ ได้ชื่อว่า เป็นบริษัทดีเด่นของไทย มูลค่าทางตลาดรวมในตลาดหลักทรัพย์ (Market Capitalization) กว่า 350,000 ล้านบาท เท่ากับ 7% ของทั้งตลาดหุ้นไทย เป็นหนึ่งในสามบริษัทไทยที่ติด 500 อันดับแรกของบริษัทใหญ่ที่สุดในโลกจัดโดยฟอร์จูน (อีกสองบริษัทคือปูนซีเมนต์ไทยและปตท) ได้รับรางวัลจากตลาดหลักทรัพย์ไทยและสถาบันการเงินระหว่างประเทศจำนวนมาก ในความดีเด่นในแง่ผู้บริหาร การจัดการ ธรรมธิบาล การรายงานการเงิน ความเชื่อถือทางการเงิน (เครดิตทางการเงินของเอไอเอส ในเครือชินคอร์ปฯคอร์ป สูงกว่าของรัฐบาลไทย) ทำได้ขนาดนี้ ต้องมีความสามารถและจริยธรรมเพียงพอแน่
#70
ตอบ 9 กันยายน พ.ศ. 2555 - 16:35
สรุปย่อ | 9.03.06
เนื่องจากเอกสารนี้ยาวและรายละเอียดมาก อาจไม่สะดวกกับทุกคน อ่านย่อสรุปนี้แล้วสนใจรายละเอียดค่อยไปดูแต่ละบทก็ได้
การเสียภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ
- ขายหุ้นในตลาดไม่มีภาษี
- ครอบครัวชินวัตรมีสิทธิ์พื้นฐานในฐานะบุคคลธรรมดาขายหุ้นชินคอร์ปฯที่ถืออยู่ 49% ในตลาดหุ้น ไม่มีภาษี
- หากครอบครัวชินวัตรในฐานะบุคคลธรรมดาขายหุ้นชินคอร์ปฯในตลาดหุ้นครั้งนี้ต้องภาษี แสดงว่าคนซื้อขายหุ้น 5 แสนคนในตลาดต้องเสียภาษีกันทุกคน (ไม่งั้นควรช่วยกันประท้วงพวกประท้วงให้เลิกประท้วงเรื่องนี้)
- หากยังคาใจ ก็ควรไปหาทางฟ้องศาลให้ตัดสิน อย่าตัดสินกันเอง หรืออ้างศาลถูกครอบงำ
- ขายแอมเพิลริชนอกประเทศก็ไม่มีภาษี ขายโอนตัวหุ้นที่ถืออยู่ให้ตัวเอง ไม่มีเงินได้เพิ่มที่ต้องเสียภาษี ทั้งสองกรณีได้เท่าสิทธิ์เดิม
- ที่เอาหุ้นชินคอร์ปฯเข้าแอมเพิลริช 11% ในปี 42 เพราะเตรียมเอาชินคอร์ปฯเข้าตลาดหุ้นสหรัฐ (ตอนหลังเลิกแผน) หากขายนอกประเทศ ก็ไม่มีภาษี (แต่ตั้งใจโอนกลับเพื่อให้เงินอยู่ในประเทศ)
- ตัวดร.ทักษิณ ครอบครัว บริษัท และพนักงานกว่า12,000 คน เสียภาษีและค่าสัมปทานสูงมากรวมปีละหลายหมื่นล้านบาท ไม่ใช่พวกเลี่ยงภาษีไม่รักชาติแน่
- เมืองไทยก็มี Offshore เรียกว่า BIBF วาณิชธนกิจ คนต่างชาติมาตั้งในไทยได้ไม่เสียภาษีไทยเช่นกัน
- แอมเพิลริช มีหน้าที่เป็นผู้ถือหุ้นชินคอร์ป ไม่ใช่เพื่อฟอก (หุ้นมีทะเบียน) ไม่ใช่เพื่อเลี่ยงภาษี (ไม่มีภาษีอยู่แล้ว)
- บริษัท Offshore จำนวนมากเข้าตลาดหลักทรัพย์สากล เช่น แนสแดก เป็นเรื่องธรรมดา
- ชินคอร์ปและดร.ทักษิณก็รายงานตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 42 มีจดหมายหลักฐานชัดเจน
- ไม่ใช่ขายทั้งบริษัท 100% เพราะที่เหลือเป็นของผู้ถือหุ้นอื่น
- ไม่ใช่ขายสัมปทาน, ความถี่, เครือข่าย, หรือหุ้นของบริษัทสัมปทานผู้ให้บริการมือถือ ดาวเทียม ทีวี
- ชินคอร์ปถือหุ้นในเอไอเอส 43% ในชินแซทเทลไลท์ 41% ในไอทีวี 53% ดังนั้น ถือได้ว่าเทมาเสก (ผ่านการถือหุ้น49% ในชินคอร์ป) มีความเป็นเจ้าของ เอไอเอส 21% ชินแซทเทลไลท์ 20% ไอทีวี 26% ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ถือว่าปกติ
- บริษัทโทรคมนาคมในภูมิภาค มีผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติจำนวนมาก เช่น Singtel ถือหุ้น 100% ใน Optus บริษัทมือถือและดาวเทียมอันดับสองของออสเตรเลีย เป็นโลกาภิวัฒน์ ไม่กระทบความมั่นคงของชาติ เพราะอยู่ภายใต้กฎหมายไทยและเครือข่ายติดอยู่ในประเทศ (ถอดออกไปไม่ได้) ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและนโยบายของกระทรวงไอซีที, กทช
- ต้องแยกเรื่อง “เงินลงทุนและผู้ถือหุ้น” ออกจาก “บริษัทและใบอนุญาต” เพราะโทรคมนาคมลงทุนสูง ต้องส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ต้องหลีกเลี่ยงลัทธิปกป้องหรือกีดกันการค้า
- ไทยมีพันธสัญญาต่อ WTO เปิดเสรีโทรคมนาคม ภายในปี 2549
- วงโคจรดาวเทียมได้รับสิทธิจากสหประชาชาติ (UN) และ ITU ต้องทำตามกฎนานาชาติ รัฐบาลไทยได้สิทธิ์แต่ไม่ใช่เจ้าของ การให้บริการต้องเป็นสากล เน้นธุรกิจ อิงการเมืองไม่ได้ หากไทยอ้างหรือเน้นความมั่นคงหรือชาตินิยม ชาติอื่นก็จะเกิดกีดกันบ้าง
- ยูคอม ดีแทค มือถือรายใหญ่อันดับสองของไทย ก็เป็นของบริษัทเทเลนอร์ ของรัฐบาลนอร์เวย์เกือบ 100% ไม่มีภาษีจากการขายหุ้นเช่นกัน มีการถือหุ้นทางอ้อมผ่านตัวแทน ทำไมไม่ประท้วง
- ขณะนี้นายสนธิทำโทรทัศน์ดาวเทียมช่อง ASTV แพร่ภาพในไทยโดยใช้ดาวเทียมต่างชาติ (New Sky Network NSN ยิงสัญญาณภาพจากฮ่องกง) ผิดกฎหมายไทย ทั้งโทรคมนาคมและโทรทัศน์ อ้างเรื่องเสรีสื่อ แต่เป็นภัยต่อความมั่นคงในการร่วมมือกับต่างชาติเพื่อทำสื่อข้ามประเทศเข้ามาประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย
- ปี 2543 รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้เสนอร่าง พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยตาม พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว (ต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 50%) แต่ปี 2544 วุฒิสภาได้แปรญัตติให้สัดส่วนเป็น 25% แทน
- ทำให้ ดีแทค ออเร้นจ์ ทีทีแอนด์ที มีปัญหา จึงร้องเรียนเสนอพรรคการเมืองทุกพรรคให้ปรับ มีการอภิปราย แปรญัตติ มาตลอด 4 ปี จึงผ่านสองสภาปี 2548 ให้สัดส่วนต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 50% ตามร่างแรกเมื่อปี 2542
- สอดคล้องพันธสัญญาต่อ WTO เปิดเสรีโทรคมนาคม ภายในปี 2549
- เวลาที่กฎหมายมีผลใช้ใกล้กับการขายหุ้นเป็นความบังเอิญ เพราะเรื่องนี้ทุกพรรคและทุกสภาทำมา 4 ปี ผ่านสภา 14 กันยายน 2548
- ไม่มีผลต่อชินคอร์ป เพราะไม่ใช่ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการโทรคมนาคมโดยตรง และยังไม่มีผลต่อเอไอเอสหรือชินแซทเทลไลท์ตามใบอนุญาตเดิม จะมีผลเมื่อมีใบอนุญาตใหม่ในอนาคต
- ตาม พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ปี 2542 ที่มีการควบคุมธุรกิจบางประเภท รวมถึงสื่อสาร ซึ่งชินคอร์ปเป็นสัญชาติไทยและไม่ได้ทำธุรกิจควบคุมตาม พ.ร.บ. ธุรกิจต่างด้าว แต่ถือหุ้นในบริษัทที่ทำ (ถือหุ้นในเอไอเอส 43% ในชินแซทเทลไลท์ 41% ในไอทีวี 53% ในไทยแอร์เอเชีย 49%)
- ตาม กฎ กลต เรื่องการครอบงำกิจการ ต่างชาติซื้อหุ้นชินคอร์ปเกิน 25% ต้องทำ Tender Offer ซื้อหุ้นคนอื่นหมด 100% จึงมีการนำพันธมิตรมาร่วมซื้อและถือหุ้นหลายราย ทั้งบริษัทกุหลาบแก้ว และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นความเหมาะสมในทางธุรกิจ
- ครอบครัวชินวัตรขายหุ้นชินคอร์ป 49% ที่ตัวเองถือ ไม่ได้ขายทั้งบริษัทเพราะคนอื่นถือส่วนที่เหลือ หากมีปัญหานี้ ผู้ขายหุ้นชินคอร์ป คนอื่นเป็นผู้รับผิดชอบ และ ผู้ซื้อหุ้นชินคอร์ปต้องแก้ปัญหานี้ ไม่ใช่ปัญหาของผู้ขาย คือครอบครัวชินวัตร
- บริษัทใหญ่ๆในตลาดหลักทรัพย์ มีคำว่า Nominee ดังๆจำนวนมาก หากวันนี้กรณีเทมาเสกทำไม่ได้ จะมีปัญหากฎหมายตามมาอีกมาก กระทบการลงทุนจากต่างชาติ เพราะเราให้สิทธิ์ต่างชาติซื้อหุ้นน้อยกว่าหลายประเทศ ที่เปิดกว้างให้ต่างชาติถือหุ้นมาก
- ยูคอม ดีแทค ก็มีการถือหุ้นทางอ้อมผ่านตัวแทนให้บริษัทเทเลนอร์ เช่นกัน ทำไมไม่ประท้วง
ไทยคม กับ BOI
- ปกติ BOI ส่งเสริมให้บริษัทไทยและต่างประเทศลงทุนในประเทศในโครงการต่างๆจำนวนมาก รวมถึง ไทยคม 3 (ปี 40) และ ไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) (ปี 46 มีผลปี 49) ยกเว้นภาษีรายได้จากต่างประเทศ 8 ปี เพื่อส่งเสริมการลงทุน การส่งออก การแข่งขันกับดาวเทียมต่างชาติ การสร้างรายได้ที่มาจากนอกประเทศอยู่แล้ว ไทยคม1-2 ไม่ได้
- การส่งเสริมนี้ไม่ได้มาก เพราะประโยชน์ภาษีได้ปีหลังๆ และ ไทยคมมีต้นทุนแฝงสูงกว่าดาวเทียมต่างชาติมาก
- สามสี่ปีแรก รายได้ส่วนใหญ่มาจากในประเทศ และต้นทุนและค่าเสื่อมสูงมาก ยังไม่กำไร ไม่มีภาษีอยู่แล้ว
- คู่แข่งฮ่องกงไม่เสียภาษีรายได้นอกฮ่องกง รายได้จากในฮ่องกงภาษี 17.5% (ไทย 30%) ไม่มีค่าสัมปทาน (ไทยคม 15-25% ของรายได้ ขณะที่ต่างชาติมาขายในไทยอาจไม่เสียค่าสัมปทานด้วย?), ไม่ต้องยกทรัพย์สินดาวเทียมให้รัฐ ทำธุรกิจง่าย ต้นทุนต่ำกว่า (ไทยคมต้องยกให้รัฐ), ฮ่องกงเป็นประเทศปลอดภาษีนำเข้าอุปกรณ์ ต้นทุนถูกกว่ามาก
- ไทยคมและไอพีสตาร์เป็นการฉีกแนวให้ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าเทคโนโลยีของตนเอง มีน้อยรายมาก
- ที่กล่าวหาว่า มูลค่าเม็ดเงินที่ได้รับการยกเว้นภาษีนี้สูงถึง 16,459 ล้านบาท จริงๆแล้ว กฎหมายให้ยกเว้นภาษีไม่เกินเงินที่ลงทุน คือ 16,549 ล้านบาท เป็นขอบเขตสูงสุด ไม่ใช่ได้ลดภาษีในจำนวนนี้ หากจะให้ได้ พบว่าไอพีสตาร์ต้องมียอดขาย 8 ปี = 2.75 แสนล้านบาท (ปีที่มีกำไร = 4 ปี) ปัจจุบัน ชินแซทมีรายได้ไทยคมราว 4 พันล้านบาท/ปี ต้องโต 20 เท่าในไม่กี่ปีข้างหน้า โอกาสยากมาก
สรุปย่อ คำอธิบาย กรณีขายหุ้นชินคอร์ป 3 6 มีนาคม 2549
- จนบัดนี้ ชินแซทยังไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆเป็นกรณีพิเศษจาก FTA
- เช่น ในปี 2548 ยอดขายของชินแซทในออสเตรเลียมีน้อยกว่า 1 ล้านเหรียญ (40 ล้านบาท) จากยอดรวมกว่า 4,000 ล้านบาท (~1%) น้อยมาก ทั้งที่มี FTA ตั้งแต่ 46 เพราะไม่มีสิทธิพิเศษต่อชินแซท
- FTA ไทย-ออสเตรเลียเขียนว่า: ออสเตรเลียจะไม่จำกัดโควตาของปริมาณบริการดาวเทียมและมือถือ และจะไม่จำกัดการถือหุ้นของไทยในบริษัท Optus และ Vodafone แต่จะไม่ผูกมัดในการให้ถือหุ้นโดยคนไทยในบริษัท Telstra
- ข้อเท็จจริง: ปกติออสเตรเลียก็ไม่จำกัดโควตาดังกล่าวอยู่แล้ว, Optus และ Vodafone ก็เป็นของต่างชาติ 100% ไปเจรจาเอาเอง Telstra ก็บอกจะไม่ช่วย และใหญ่เกินกว่าที่บริษัทไทยจะไปซื้อหรือลงทุน (Telstra มีมูลค่าตลาดราว 2.8 ล้านล้านบาท เอไอเอสของไทยใหญ่สุดแล้ว ราวสามแสนล้านบาท เล็กกว่ามาก)
- ที่รายการนี้ปรากฎใน FTA โดยไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทย เพราะประเทศคู่เจรจาจะขึ้นรายการที่เปิดเสรีอยู่แล้วให้ดูเหมือนยอมให้เรามาก เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เปิดรับการค้าและลงทุนโทรคมนาคมจากต่างชาติ 100% อยู่แล้ว
- ตั้งแต่ปี 41 รัฐบาลพม่าซื้อของและบริการไทยคม ใช้งบประมาณ แต่ใน ปี 46 รัฐบาล กัมพูชา ลาว พม่า ไทย และเวียดนามร่วมลงนาม “ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แม่น้ำอิรวดี - เจ้าพระยา – แม่โขง” หรือ ACMECS (Ayeyawady - Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy)
- ไทยให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 3% แบบรัฐต่อรัฐ (G2G Soft Loan) ประเทศละ 100 ล้านเหรียญให้ซื้อสินค้าไทย 3 ประเทศ 300 ล้านเหรียญ (12,000 ล้านบาท)
- ปลายปี 47 เมื่อรัฐบาลพม่าซื้อไทยคมไอพีสตาร์ ก็ใช้สิทธิ์เลือกใช้เงินกู้นี้ชำระ ราว 9.5 ล้านเหรียญ (380 ล้านบาท) (แค่ 3% ของเงินกู้ 3 ประเทศ, ตั้งแต่ปี 37 ลาว เขมร ซื้อไทยคมไอพีสตาร์ ไม่เคยใช้เงินกู้ของไทยเพื่อชำระ)
- EXIM Bank มีภารกิจสนับสนุนผู้ส่งออกด้วยการให้เงินกู้แก่ผู้ซื้อที่มีเครดิต เช่นชินแซทซื้อดาวเทียมและบริการยิง ไทยคม 1, 2, 3, 4, 5 ก็มี EXIM Bank ของสหรัฐและฝรั่งเศส ให้เงินกู้รวมกว่า 4 หมื่นล้านบาท
- กรณีพม่า ปี 38 รัฐบาลนายกบรรหารเคยให้เงินกู้ 120 ล้านเหรียญช่วยพม่าในการจ่ายเงินค่าก่อสร้างสนามบินมันดะเลให้บริษัทอิตัลไทย เป็นเรื่องปกติของการช่วยเหลือการเงินแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) และส่งเสริมผู้ขายหรือบริษัทในประเทศในการค้าขายต่างประเทศ
- พม่า ลาว เขมร ซื้อสินค้าญี่ปุ่น เกาหลี จีน รัฐบาลประเทศผู้ขายให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเป็นจำนวนมาก ของไทยยังน้อยมาก
#71
ตอบ 9 กันยายน พ.ศ. 2555 - 20:13
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ทักษิณ ชินวัตร และ ชินคอร์ป
สรุปย่อ | 9.03.06
เนื่องจากเอกสารนี้ยาวและรายละเอียดมาก อาจไม่สะดวกกับทุกคน อ่านย่อสรุปนี้แล้วสนใจรายละเอียดค่อยไปดูแต่ละบทก็ได้
การเสียภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปฯการจัดตั้งบริษัทนอกอาณาเขต (Offshore Company) แบบแอมเพิลริช ไม่ผิดกฎหมาย ทำกันทั่วไป
- ขายหุ้นในตลาดไม่มีภาษี
- ครอบครัวชินวัตรมีสิทธิ์พื้นฐานในฐานะบุคคลธรรมดาขายหุ้นชินคอร์ปฯที่ถืออยู่ 49% ในตลาดหุ้น ไม่มีภาษี
- หากครอบครัวชินวัตรในฐานะบุคคลธรรมดาขายหุ้นชินคอร์ปฯในตลาดหุ้นครั้งนี้ต้องภาษี แสดงว่าคนซื้อขายหุ้น 5 แสนคนในตลาดต้องเสียภาษีกันทุกคน (ไม่งั้นควรช่วยกันประท้วงพวกประท้วงให้เลิกประท้วงเรื่องนี้)
- หากยังคาใจ ก็ควรไปหาทางฟ้องศาลให้ตัดสิน อย่าตัดสินกันเอง หรืออ้างศาลถูกครอบงำ
- ขายแอมเพิลริชนอกประเทศก็ไม่มีภาษี ขายโอนตัวหุ้นที่ถืออยู่ให้ตัวเอง ไม่มีเงินได้เพิ่มที่ต้องเสียภาษี ทั้งสองกรณีได้เท่าสิทธิ์เดิม
- ที่เอาหุ้นชินคอร์ปฯเข้าแอมเพิลริช 11% ในปี 42 เพราะเตรียมเอาชินคอร์ปฯเข้าตลาดหุ้นสหรัฐ (ตอนหลังเลิกแผน) หากขายนอกประเทศ ก็ไม่มีภาษี (แต่ตั้งใจโอนกลับเพื่อให้เงินอยู่ในประเทศ)
- ตัวดร.ทักษิณ ครอบครัว บริษัท และพนักงานกว่า12,000 คน เสียภาษีและค่าสัมปทานสูงมากรวมปีละหลายหมื่นล้านบาท ไม่ใช่พวกเลี่ยงภาษีไม่รักชาติแน่
ครอบครัวชินวัตรขายแค่หุ้นชินคอร์ปแค่ที่ตนเป็นเจ้าของ 49% ให้กองทุนเทมาเสกและพันธมิตร
- เมืองไทยก็มี Offshore เรียกว่า BIBF วาณิชธนกิจ คนต่างชาติมาตั้งในไทยได้ไม่เสียภาษีไทยเช่นกัน
- แอมเพิลริช มีหน้าที่เป็นผู้ถือหุ้นชินคอร์ป ไม่ใช่เพื่อฟอก (หุ้นมีทะเบียน) ไม่ใช่เพื่อเลี่ยงภาษี (ไม่มีภาษีอยู่แล้ว)
- บริษัท Offshore จำนวนมากเข้าตลาดหลักทรัพย์สากล เช่น แนสแดก เป็นเรื่องธรรมดา
- ชินคอร์ปและดร.ทักษิณก็รายงานตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 42 มีจดหมายหลักฐานชัดเจน
การออกกฎหมายให้ต่างชาติถือหุ้นบริษัทโทรคมนาคมไทยได้ไม่เกิน 50%
- ไม่ใช่ขายทั้งบริษัท 100% เพราะที่เหลือเป็นของผู้ถือหุ้นอื่น
- ไม่ใช่ขายสัมปทาน, ความถี่, เครือข่าย, หรือหุ้นของบริษัทสัมปทานผู้ให้บริการมือถือ ดาวเทียม ทีวี
- ชินคอร์ปถือหุ้นในเอไอเอส 43% ในชินแซทเทลไลท์ 41% ในไอทีวี 53% ดังนั้น ถือได้ว่าเทมาเสก (ผ่านการถือหุ้น49% ในชินคอร์ป) มีความเป็นเจ้าของ เอไอเอส 21% ชินแซทเทลไลท์ 20% ไอทีวี 26% ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ถือว่าปกติ
- บริษัทโทรคมนาคมในภูมิภาค มีผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติจำนวนมาก เช่น Singtel ถือหุ้น 100% ใน Optus บริษัทมือถือและดาวเทียมอันดับสองของออสเตรเลีย เป็นโลกาภิวัฒน์ ไม่กระทบความมั่นคงของชาติ เพราะอยู่ภายใต้กฎหมายไทยและเครือข่ายติดอยู่ในประเทศ (ถอดออกไปไม่ได้) ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและนโยบายของกระทรวงไอซีที, กทช
- ต้องแยกเรื่อง “เงินลงทุนและผู้ถือหุ้น” ออกจาก “บริษัทและใบอนุญาต” เพราะโทรคมนาคมลงทุนสูง ต้องส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ต้องหลีกเลี่ยงลัทธิปกป้องหรือกีดกันการค้า
- ไทยมีพันธสัญญาต่อ WTO เปิดเสรีโทรคมนาคม ภายในปี 2549
- วงโคจรดาวเทียมได้รับสิทธิจากสหประชาชาติ (UN) และ ITU ต้องทำตามกฎนานาชาติ รัฐบาลไทยได้สิทธิ์แต่ไม่ใช่เจ้าของ การให้บริการต้องเป็นสากล เน้นธุรกิจ อิงการเมืองไม่ได้ หากไทยอ้างหรือเน้นความมั่นคงหรือชาตินิยม ชาติอื่นก็จะเกิดกีดกันบ้าง
- ยูคอม ดีแทค มือถือรายใหญ่อันดับสองของไทย ก็เป็นของบริษัทเทเลนอร์ ของรัฐบาลนอร์เวย์เกือบ 100% ไม่มีภาษีจากการขายหุ้นเช่นกัน มีการถือหุ้นทางอ้อมผ่านตัวแทน ทำไมไม่ประท้วง
- ขณะนี้นายสนธิทำโทรทัศน์ดาวเทียมช่อง ASTV แพร่ภาพในไทยโดยใช้ดาวเทียมต่างชาติ (New Sky Network NSN ยิงสัญญาณภาพจากฮ่องกง) ผิดกฎหมายไทย ทั้งโทรคมนาคมและโทรทัศน์ อ้างเรื่องเสรีสื่อ แต่เป็นภัยต่อความมั่นคงในการร่วมมือกับต่างชาติเพื่อทำสื่อข้ามประเทศเข้ามาประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย
ประเด็นการใช้ตัวแทนถือหุ้นให้ต่างชาตินอมินี (Nominee) เกิดจากการเอาประเด็นกฎหมายสองฉบับมาปนกัน คือ
- ปี 2543 รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้เสนอร่าง พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยตาม พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว (ต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 50%) แต่ปี 2544 วุฒิสภาได้แปรญัตติให้สัดส่วนเป็น 25% แทน
- ทำให้ ดีแทค ออเร้นจ์ ทีทีแอนด์ที มีปัญหา จึงร้องเรียนเสนอพรรคการเมืองทุกพรรคให้ปรับ มีการอภิปราย แปรญัตติ มาตลอด 4 ปี จึงผ่านสองสภาปี 2548 ให้สัดส่วนต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 50% ตามร่างแรกเมื่อปี 2542
- สอดคล้องพันธสัญญาต่อ WTO เปิดเสรีโทรคมนาคม ภายในปี 2549
- เวลาที่กฎหมายมีผลใช้ใกล้กับการขายหุ้นเป็นความบังเอิญ เพราะเรื่องนี้ทุกพรรคและทุกสภาทำมา 4 ปี ผ่านสภา 14 กันยายน 2548
- ไม่มีผลต่อชินคอร์ป เพราะไม่ใช่ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการโทรคมนาคมโดยตรง และยังไม่มีผลต่อเอไอเอสหรือชินแซทเทลไลท์ตามใบอนุญาตเดิม จะมีผลเมื่อมีใบอนุญาตใหม่ในอนาคต
กรณีไทยคมกับ BOI, FTA, Exim Bank
- ตาม พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ปี 2542 ที่มีการควบคุมธุรกิจบางประเภท รวมถึงสื่อสาร ซึ่งชินคอร์ปเป็นสัญชาติไทยและไม่ได้ทำธุรกิจควบคุมตาม พ.ร.บ. ธุรกิจต่างด้าว แต่ถือหุ้นในบริษัทที่ทำ (ถือหุ้นในเอไอเอส 43% ในชินแซทเทลไลท์ 41% ในไอทีวี 53% ในไทยแอร์เอเชีย 49%)
- ตาม กฎ กลต เรื่องการครอบงำกิจการ ต่างชาติซื้อหุ้นชินคอร์ปเกิน 25% ต้องทำ Tender Offer ซื้อหุ้นคนอื่นหมด 100% จึงมีการนำพันธมิตรมาร่วมซื้อและถือหุ้นหลายราย ทั้งบริษัทกุหลาบแก้ว และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นความเหมาะสมในทางธุรกิจ
- ครอบครัวชินวัตรขายหุ้นชินคอร์ป 49% ที่ตัวเองถือ ไม่ได้ขายทั้งบริษัทเพราะคนอื่นถือส่วนที่เหลือ หากมีปัญหานี้ ผู้ขายหุ้นชินคอร์ป คนอื่นเป็นผู้รับผิดชอบ และ ผู้ซื้อหุ้นชินคอร์ปต้องแก้ปัญหานี้ ไม่ใช่ปัญหาของผู้ขาย คือครอบครัวชินวัตร
- บริษัทใหญ่ๆในตลาดหลักทรัพย์ มีคำว่า Nominee ดังๆจำนวนมาก หากวันนี้กรณีเทมาเสกทำไม่ได้ จะมีปัญหากฎหมายตามมาอีกมาก กระทบการลงทุนจากต่างชาติ เพราะเราให้สิทธิ์ต่างชาติซื้อหุ้นน้อยกว่าหลายประเทศ ที่เปิดกว้างให้ต่างชาติถือหุ้นมาก
- ยูคอม ดีแทค ก็มีการถือหุ้นทางอ้อมผ่านตัวแทนให้บริษัทเทเลนอร์ เช่นกัน ทำไมไม่ประท้วง
ไทยคม กับ BOIไทยคมกับ FTA:
- ปกติ BOI ส่งเสริมให้บริษัทไทยและต่างประเทศลงทุนในประเทศในโครงการต่างๆจำนวนมาก รวมถึง ไทยคม 3 (ปี 40) และ ไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) (ปี 46 มีผลปี 49) ยกเว้นภาษีรายได้จากต่างประเทศ 8 ปี เพื่อส่งเสริมการลงทุน การส่งออก การแข่งขันกับดาวเทียมต่างชาติ การสร้างรายได้ที่มาจากนอกประเทศอยู่แล้ว ไทยคม1-2 ไม่ได้
- การส่งเสริมนี้ไม่ได้มาก เพราะประโยชน์ภาษีได้ปีหลังๆ และ ไทยคมมีต้นทุนแฝงสูงกว่าดาวเทียมต่างชาติมาก
- สามสี่ปีแรก รายได้ส่วนใหญ่มาจากในประเทศ และต้นทุนและค่าเสื่อมสูงมาก ยังไม่กำไร ไม่มีภาษีอยู่แล้ว
- คู่แข่งฮ่องกงไม่เสียภาษีรายได้นอกฮ่องกง รายได้จากในฮ่องกงภาษี 17.5% (ไทย 30%) ไม่มีค่าสัมปทาน (ไทยคม 15-25% ของรายได้ ขณะที่ต่างชาติมาขายในไทยอาจไม่เสียค่าสัมปทานด้วย?), ไม่ต้องยกทรัพย์สินดาวเทียมให้รัฐ ทำธุรกิจง่าย ต้นทุนต่ำกว่า (ไทยคมต้องยกให้รัฐ), ฮ่องกงเป็นประเทศปลอดภาษีนำเข้าอุปกรณ์ ต้นทุนถูกกว่ามาก
- ไทยคมและไอพีสตาร์เป็นการฉีกแนวให้ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าเทคโนโลยีของตนเอง มีน้อยรายมาก
- ที่กล่าวหาว่า มูลค่าเม็ดเงินที่ได้รับการยกเว้นภาษีนี้สูงถึง 16,459 ล้านบาท จริงๆแล้ว กฎหมายให้ยกเว้นภาษีไม่เกินเงินที่ลงทุน คือ 16,549 ล้านบาท เป็นขอบเขตสูงสุด ไม่ใช่ได้ลดภาษีในจำนวนนี้ หากจะให้ได้ พบว่าไอพีสตาร์ต้องมียอดขาย 8 ปี = 2.75 แสนล้านบาท (ปีที่มีกำไร = 4 ปี) ปัจจุบัน ชินแซทมีรายได้ไทยคมราว 4 พันล้านบาท/ปี ต้องโต 20 เท่าในไม่กี่ปีข้างหน้า โอกาสยากมาก
สรุปย่อ คำอธิบาย กรณีขายหุ้นชินคอร์ป 3 6 มีนาคม 2549ไทยคมกับ EXIM BANK:
- จนบัดนี้ ชินแซทยังไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆเป็นกรณีพิเศษจาก FTA
- เช่น ในปี 2548 ยอดขายของชินแซทในออสเตรเลียมีน้อยกว่า 1 ล้านเหรียญ (40 ล้านบาท) จากยอดรวมกว่า 4,000 ล้านบาท (~1%) น้อยมาก ทั้งที่มี FTA ตั้งแต่ 46 เพราะไม่มีสิทธิพิเศษต่อชินแซท
- FTA ไทย-ออสเตรเลียเขียนว่า: ออสเตรเลียจะไม่จำกัดโควตาของปริมาณบริการดาวเทียมและมือถือ และจะไม่จำกัดการถือหุ้นของไทยในบริษัท Optus และ Vodafone แต่จะไม่ผูกมัดในการให้ถือหุ้นโดยคนไทยในบริษัท Telstra
- ข้อเท็จจริง: ปกติออสเตรเลียก็ไม่จำกัดโควตาดังกล่าวอยู่แล้ว, Optus และ Vodafone ก็เป็นของต่างชาติ 100% ไปเจรจาเอาเอง Telstra ก็บอกจะไม่ช่วย และใหญ่เกินกว่าที่บริษัทไทยจะไปซื้อหรือลงทุน (Telstra มีมูลค่าตลาดราว 2.8 ล้านล้านบาท เอไอเอสของไทยใหญ่สุดแล้ว ราวสามแสนล้านบาท เล็กกว่ามาก)
- ที่รายการนี้ปรากฎใน FTA โดยไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทย เพราะประเทศคู่เจรจาจะขึ้นรายการที่เปิดเสรีอยู่แล้วให้ดูเหมือนยอมให้เรามาก เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เปิดรับการค้าและลงทุนโทรคมนาคมจากต่างชาติ 100% อยู่แล้ว
http://sanpaworn.vis...-corp-deal/285/
- ตั้งแต่ปี 41 รัฐบาลพม่าซื้อของและบริการไทยคม ใช้งบประมาณ แต่ใน ปี 46 รัฐบาล กัมพูชา ลาว พม่า ไทย และเวียดนามร่วมลงนาม “ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แม่น้ำอิรวดี - เจ้าพระยา – แม่โขง” หรือ ACMECS (Ayeyawady - Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy)
- ไทยให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 3% แบบรัฐต่อรัฐ (G2G Soft Loan) ประเทศละ 100 ล้านเหรียญให้ซื้อสินค้าไทย 3 ประเทศ 300 ล้านเหรียญ (12,000 ล้านบาท)
- ปลายปี 47 เมื่อรัฐบาลพม่าซื้อไทยคมไอพีสตาร์ ก็ใช้สิทธิ์เลือกใช้เงินกู้นี้ชำระ ราว 9.5 ล้านเหรียญ (380 ล้านบาท) (แค่ 3% ของเงินกู้ 3 ประเทศ, ตั้งแต่ปี 37 ลาว เขมร ซื้อไทยคมไอพีสตาร์ ไม่เคยใช้เงินกู้ของไทยเพื่อชำระ)
- EXIM Bank มีภารกิจสนับสนุนผู้ส่งออกด้วยการให้เงินกู้แก่ผู้ซื้อที่มีเครดิต เช่นชินแซทซื้อดาวเทียมและบริการยิง ไทยคม 1, 2, 3, 4, 5 ก็มี EXIM Bank ของสหรัฐและฝรั่งเศส ให้เงินกู้รวมกว่า 4 หมื่นล้านบาท
- กรณีพม่า ปี 38 รัฐบาลนายกบรรหารเคยให้เงินกู้ 120 ล้านเหรียญช่วยพม่าในการจ่ายเงินค่าก่อสร้างสนามบินมันดะเลให้บริษัทอิตัลไทย เป็นเรื่องปกติของการช่วยเหลือการเงินแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) และส่งเสริมผู้ขายหรือบริษัทในประเทศในการค้าขายต่างประเทศ
- พม่า ลาว เขมร ซื้อสินค้าญี่ปุ่น เกาหลี จีน รัฐบาลประเทศผู้ขายให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเป็นจำนวนมาก ของไทยยังน้อยมาก
ตีความเข้าข้างตัวเองสุดๆๆ อ่ะ บางคดี ที่ศาลยังไม่ตัดสิน ผมรอฟังผลของศาล ดีกว่าครับ
#72
ตอบ 9 กันยายน พ.ศ. 2555 - 23:44
เกือบหลงเชื่อว่า คนที่เขียนสิ่งเหล่านี้ ว่า เริ่มกลับมาฉลาดพี่น้องเกือบหลงเชื่อว่า.... อะไรไปบ้างหรือเปล่าครับ
เพราะอะไร ลองย้อนคิด ดูเองนะครับ เพราะเริ่มจะฉลาดแล้วนิครับ แต่ผมยังเชื่อว่า..................เกือบครับ
#73
ตอบ 9 กันยายน พ.ศ. 2555 - 23:49
แถมเงินทางรัฐสนับสนุนโดยที่ รัฐบางครั้งต้องยอมขาดทุน อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม.........
Edited by ฟังทั้งสองฝ่าย, 9 กันยายน พ.ศ. 2555 - 23:54.
#74
ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 00:58
- ครอบครัวชินวัตรมสิทธิ์พื้นฐานในฐานะบุคคลธรรมดาขายหุ้นชินคอร์ปฯที่ถืออยู่ 49% ในตลาดหุ้น ไม่มีภาษี
- การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ต้องเป็นไปตามวิธีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศกำหนด หากไม่เป็นไปตามวิธีที่กำหนด ถือเป็นการซื้อ-ขาย โอน นอกตลาดหลักทรัพย์
- การโอนหุ้น ระหว่าง นิติบุคคล (บริษัท) กับบุคคลธรรมดา ตามกฎหมายภาษี ถือเป็น "การขาย" และืถือว่า นิติบุคคล (บริษัท) กับ บุคคลธรรมดา เป็นบุคคลคนละคนกัน มีหน้าที่เสียภาษีต่างกัน
- ตามกฎหมายภาษี เจ้าหน้าที่สรรพากร มีอำนาจประเมินภาษีจากรายได้ที่ขาดหายไปจากที่ควรจะเป็น หาก ผู้เสียภาษี (บริษัท / บุคคล) ขายสินค้าหรือทรัพย์สินในราคาต่ำกว่าราคาตลาดที่ควรจะเป็น
- "ในกรณีโอนทรัพย์สิน ให้บริการหรือให้กู้ยืมเงินโดยไม่มีค่าตอบแทน ค่าบริการหรือดอกเบี้ย หรือมีค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมิน ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ยนั้น ตามราคาตลาดในวันที่โอน ให้บริการหรือให้กู้ยืมเงิน "
- หากครอบครัวชินวัตรในฐานะบุคคลธรรมดาขายหุ้นชินคอร์ปฯในตลาดหุ้นครั้งนี้ต้องภาษี แสดงว่าคนซื้อขายหุ้น 5 แสนคนในตลาดต้องเสียภาษีกันทุกคน (ไม่งั้นควรช่วยกันประท้วงพวกประท้วงให้เลิกประท้วงเรื่องนี้)
- คนซื้อขายหุ้น กว่า 5 แสนคนในตลาด ที่ทำการซื้อขายหุ้นในตลาดตามระเบียบวิธีที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด (ซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งโบรกเกอร์จะได้รับค่านายหน้าจากการซื้อขาย และจะเป็นตัวแทน ในการรับเงินและจ่ายเงิน (รับจ่ายผ่านโบรกเกอร์) ซึ่งจะมีหลักฐานจากโบรกเกอร์ในการนี้ทุกรายการซื้อขาย และมีการชำระ VAT ตามที่กฎหมายกำหนด
- หากยังคาใจ ก็ควรไปหาทางฟ้องศาลให้ตัดสิน อย่าตัดสินกันเอง หรืออ้างศาลถูกครอบงำ
เป็นหน้าที่โดยตรงของกรมสรรพากร ในการประเมินภาษี และ ยื่นฟ้องต่อศาล เพื่อบังคับให้เสียภาษีตามที่ประเมิน
Edited by mongdoodee, 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 01:12.
#75
ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 03:16
ตอนนี้รัฐบาลกู้แหลก กู้บ้าคลั่ง แถมผลงานแทบไม่มี...
/人=‿‿=.u人\
╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Hello, I'm a Kyubey /人◕ ‿‿ ◕人\
╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Please Make a contract with me and become a Magical girl! /人◕ ‿‿ <人\
ข้าพเจ้าขอสนับสนุนท่านผู้นำที่น่ารักที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ!!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!!
#76
ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 09:55
เกือบหลงเชื่อว่าเสื้อแดงฉลาด และไม่กินหญ้า!!!!!!!!!!พี่น้องเกือบหลงเชื่อว่า.... อะไรไปบ้างหรือเปล่าครับ
เอ็งขอเป็น"ขี้ข้าโจร" ข้าเลือกเป็น"ข้าธุลีพระบาท" เอ็งขอเป็น"ไพร่" ข้าเลือกเป็น"พสกนิกร"
#77
ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 15:18
#78
ตอบ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 - 16:21
พี่น้องเกือบหลงเชื่อว่า.... อะไรไปบ้างหรือเปล่าครับ
เกือบหลงเชื่อว่า เอ็ง ฉลาด
ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน