ส่วนความดีอื่นๆน่ะถ้าเลิกทำชั่วจนเป็นนิสัยแล้ว เดี๋ยวมันก็อยากจะทำดีเองแหละ จะทำทานหรืออะไรก็แล้วแต่
ส่วนเรื่องจะฝึกสมาธิน่ะ ถ้ามีศีลครบ จิตใจมันก็สงบเป็นปัทสัทธิ เดี๋ยวสมาธิมันก็ตามมาเองเป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องฝืน
ศีลข้อ 1 ถ้าถือเป็นธรรมชาติ ความเมตตามันก็ตามมาเอง และเมื่อมีเมตตา มันก็มีความกรุณากับมุทิตาตามมาเป็นสาย
เดี๋ยวก็อยากทำทาน อยากช่วยคนโน้นคนนี้ถ้าทำได้ไปตามธรรมชาติ
เพราะงั้น สรุปง่ายๆ อยากเป็นคนดีไม่ต้องมีพิธีรีตรองเยอะ แค่เลิกทำชั่วก่อน แค่นี้ทำได้มั้ยล่ะ? ![:lol:](http://static.serithai.net/webboard/public/style_emoticons/default/laugh.png)
ลำพังแค่ศีล เมตตามันไม่มาหรอกครับ
อันนี้เป็นหนึ่งของการเข้าใจหลักการถือศีลผิดอย่างแรง การมีศีลบริสุทธิ์นั้นเป็นปลายทาง และความบริสุทธิ์ของศีลนั้นมีเป็นขั้นๆ และจุดสำคัญของศีลคือมีเจตนาที่จะถือเป็นจุดตั้งต้น
อย่างเช่นศีลข้อมุสาวาทา ก็เริ่มต้นที่การไม่กล่าวคำหยาบ ไม่โกหกเป็นพื้นฐาน แต่ในขั้นสูงๆขึ้นไปก็คืองดเว้นจากการพูดไร้สาระ พูดเพ้อเจ้อ แม้แต่การพูดเล่นก็งดเว้น
นั่นก็คือศีลทุกข้อมีการพัฒนาเป็นขั้นตอน มีตั้งแต่ศีลขั้นปุถุชนไปถึงขั้นพระอริยะ การวัดระดับคนนั้นดูกันที่การพัฒนา ไม่ใช่เอาผลลัพธ์ชั้นโน้นชั้นนี้มาวัด
ลักษณะแบบนั้นมันเป็นการจับผิดกันแบบคนพาล ไม่ใช่วิสัยของนักปราชญ์
คำแปลของคำว่า...เวรมณี สิขาปะทังสมาทิยามิ ไม่ได้แปลว่าห้ามทำ แต่หมายถึงมีเจตจำนงที่จะละเว้น ไม่กระทำเป็นเบื้องต้น นั่นคือศีลห้ามีลักษณะเป็น Active เจ้าตัว
ตั้งใจที่จะปฏิบัติทุกครั้งที่สามารถจะทำได้ ไม่ใช่เป็น Passive ที่ต้องทำเพราะมีใครมาบังคับหรือกลัวการลงโทษ และศีลมีลักษณะเป็นพลวัตร คือพัฒนาขึ้นได้เรื่อยๆ
จนถึงขั้นสุดก็คือศีลกลายเป็นอินทรีสังวร ทุกการกระทำมีสติเข้ามากำกับเสมอ ทุกการกระทำจึงไม่มีเจตนาร้าย ไม่มีความเผลอเรอ ไม่มีความโลภที่จะทำให้ก่อบาปก่อเวรอีกต่อไป
การเอาข้อบกพร่องคนโน้นคนนี้มาเทียบหรือกล่าวโทษเพื่อเป็นข้ออ้างทำชั่วหรือเข้าข้างพวกตัวเองแบบข้างๆคูๆ
แบบที่พวกคนกลางทั้งหลายนิยมทำกัน ลงท้ายที่สุด คนอ้างนั้นแหละ จะกลายเป็นคนที่ชั่วที่สุด ที่อาศัยการอ้างความชั่ว
หรือจับผิดข้อบกพร่องของคนอื่นเพื่อปิดบังความชั่วของตัวเอง เพราะเจตนาไม่บริสุทธิ์มีเจตนาที่จะทำชั่วและกลบเกลื่อนความชั่วของตัวเองตั้งแต่ต้นแล้ว
คนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ ย่อมไม่มีเจตนารมณ์ที่จะพัฒนาตัวเองไปเป็นคนดีอย่างแน่นอน
หนำซ้ำก็ยังแถมพกคุณสมบัติคนพาลเข้าไปอีกข้อ เพราะในพระสูตรก็มีกล่าวไว้ชัดเจนว่าคนพาลมีข้อปฏิบัติ 4 ข้อ ข้อแรก ไม่สรรเสริญคนที่พึงสรรเสริญ 2 สรรเสริญคนที่ไม่พึงสรรเสริญ
3 ประนามคนที่ไม่พึงประนาม 4 ไม่ประนามคนที่พึงประนาม
...นักวิชาการกับสื่อยุคนี้เป็นแบบข้างบนกันเยอะครับ ลองดูรอบๆตัวก็เห็นแล้ว ![-_-](http://static.serithai.net/webboard/public/style_emoticons/default/sleep.png)
เหมือนจะใช้ได้นะครับ...
จริงครับ
ความที่แกแถจนติดเป็นนิสัย
ทำให้แกห่างสัมมาทิษฐิออกไปเรื่อยๆ
ตอนนี้น่าจะกลับไม่ได้แล้ว
คุณ hentai ไม่ได้แถหรอก แกรู้ตัวแกเองด้วยว่าทำอะไร แต่ใช่ว่าจะถูกหรือผิดหมด
คุณนั่นแหละทราบหรือยังว่าตัวสัมมาทิฏฐิเป็นตัวยังไง
ตรรกะอันนี้ดูเหมือนจะงงๆนะครับ
โจรเวลาปีนเข้าบ้านคน มันก็รู้นะครับว่าจะปีนเข้าไปขโมยของ
คนหื่นเวลาจะปีนเข้าไปข่มขืนสาว ก็รู้อยู่ว่าจะเข้าไปข่มขืนคน มีเจตนา มีการวางแผงดูทางหนีทีไล่
ฆาตรกรอาชีพเวลาจะฆ่าคนก็รู้ว่าจะไปทำอะไร จะใช้อาวุธอะไร จะเข้าไปจังหวะไหน
นั่นคือสาเหตุว่าทำไมถึงมีคำว่า มิจฉาสมาธิ มิจฉาสติ มิจฉาทิฐิ เอาไว้ให้เปรียบเทียบกับคำว่าสัมมาสมาธิ สัมมาสติ สัมมาทิษฐิ
สิ่งเดียวที่โจร คนหื่น หรือฆาตกรไม่รู้ก็คือ สิ่งที่ตัวเองจะทำนั้นมันคือความชั่วที่เป็นภัยกับคนอื่นและตนเอง หรืออาจจะรู้ แต่ไม่ยอมรับ
อีกอย่าง การถือศีลถ้าถือจนถึงขั้นเป็นธรรมชาติไม่ต้องฝืนใจตนเองแล้ว เมตตาจะมาเองครับ เพราะจิตใจที่บริสุทธิเป็นพื้นฐานรองรับสิ่งดีๆอยู่แล้ว
อย่างเวลาที่เราอารมณ์ดีๆ เห็นเด็กๆหน้าตาน่ารักๆหรือหมาแมวน่ารักๆวิ่งผ่านมา เราก็เกิดเมตตาโดยอัตโนมัติแล้ว
แต่ถ้ายังอยู่ในขั้นของการฝืนใจ อยากเตะคน อยากด่านคน แต่ต้องฝืนใจห้ามตัวเอง แบบนี้ต้องอาศัยแผ่เมตตาช่วยครับ
เมตตามาเองไม่ไหว