ผมตัดเนื้อความจากบล็อกคุณปกรณ์เนชั่น มาเฉพาะที่ตรงกับหัวข้อกระทู้นะครับ
http://www.oknation....2/10/10/entry-1
ศ.ดร.สมคิด กล่าวต่อว่า จากที่ได้ฟังความเห็นของภาคเอกชน ทำให้ได้รับข้อมูลของโครงการจำนำข้าวแตกต่างจากที่รัฐบาลอธิบาย โดยภาคเอกชนบางส่วนสนับสนุนแนวนโยบาย"2 สูง" คือด้านหนึ่งยกค่าแรงให้สูงเป็น 300 บาท เงินเดือนผู้ที่จบปริญญาตรี 15,000 บาท ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ยกระดับราคาสินค้าเกษตรให้สูง ซึ่งสินค้าเกษตรที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ย่อมหนีไม่พ้น "ข้าว"
"แนวคิดของภาคเอกชนที่ผมได้รับฟังมาก็คือ ประเทศใดมีสินทรัพย์ใดที่สำคัญ ต้องทำให้สินทรัพย์นั้นราคาสูง อย่างเช่นน้ำมัน ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันโดยเฉพาะในแถบตะวันออกกลางที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มโอเปก (Organization of Petroleum Exporting Countries-OPEC) สามารถดันราคาน้ำมันให้สูง และเป็นผู้กำหนดราคาน้ำมันในตลาดโลก สำหรับประเทศไทยมีพืชเศรษฐกิจคือข้าว และเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก เราจึงต้องทำราคาให้สูง และเป็นผู้กำหนดราคาของโลกให้ได้"
ศ.ดร.สมคิด ขยายต่อว่า ไอเดียของภาคเอกชนมี 2 สเต็ป (ขั้น) คือ 1.รับจำนำ เพื่อดูดข้าวทั้งหมดไปอยู่ในมือของรัฐบาลตามหลักดีมานด์ ซัพพลาย กล่าวคือ ข้าวน้อยราคาย่อมสูง ข้าวมากราคาย่อมต่ำ เมื่อซัพพลายหายไปจากตลาดเพราะข้าวมาอยู่ในมือรัฐบาลจำนวนมาก ราคาก็จะเพิ่มสูงขึ้นเอง เพียงแต่ในปีแรกนี้มีการคาดการณ์ผิดพลาดเล็กน้อย คือเดิมคาดว่าอินเดียจะผลิตไม่ได้ แต่จริงๆ กลับผลิตได้ และส่งออกค่อนข้างเยอะ
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม หลังจากนี้เมื่อข้าวของอินเดียและเวียดนามหมดสต็อก ข้าวล็อตใหม่ที่ตลาดโลกต้องการก็จะเป็นโอกาสของไทย และไทยก็จะเป็นผู้กำหนดราคา
2.วางแผนจับมือกับเวียดนามและอินเดียในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่เหมือนกับไทย เพื่อกำหนดราคาข้าวเอง เหมือนกับที่กลุ่มโอเปกทำ ซึ่งแน่นอนว่าการจับมือกันอย่างแนบแน่นอย่างกลุ่มโอเปกอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับการกำหนดราคาสินค้าเกษตร แต่หากสามารถจับมือกันหลวมๆ หรือพูดคุยสื่อสารกันระหว่างประเทศผู้ส่งออกข้าวด้วยกัน ก็จะช่วยดันราคาได้มากทีเดียว และเชื่อว่า 2 ชาติผู้ส่งออกรายใหญ่ทั้งอินเดียและเวียดนามก็น่าจะต้องการขายข้าวในราคาสูงเหมือนกับไทย
"ผมได้ฟังคำอธิบายแบบนี้แล้วเก็ต รู้สึกเห็นด้วย และมองว่ารัฐบาลไม่มีการอธิบายที่ดีพอ ไม่มีคนที่สามารถชี้แจงเรื่องยากๆ แบบนี้ให้สังคมเข้าใจได้ ทราบว่านโยบายจำนำข้าว หากจะทำให้สำเร็จหรือเป็นผู้กำหนดราคาตลาดได้จะต้องทำต่อเนื่องหลายปี ไม่ใช่ทำปีแรกแล้วเห็นผลทันที ฉะนั้นการทำความเข้าใจจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก" อธิการบดี มธ.ระบุ
เมื่อถามถึงการปลุกระดมมวลชนออกมาเคลื่อนไหว จะทำให้ประเด็นนี้บานปลายเป็นความขัดแย้งในบ้านเมืองหรือไม่ ศ.ดร.สมคิด มองว่า ไม่น่าจะบานปลาย เพราะการต่อสู้ของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายรับจำนำข้าว อยู่บนพื้นฐานของกฎหมายและวิชาการแท้ๆ ยังไม่มีใครออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลหรือต่อสู้นอกรูปแบบที่ควรจะเป็น ส่วนมวลชนที่ออกมาชุมนุมกดดันกลุ่มนักวิชาการจากนิด้า ถือเป็นปกติของกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลที่ใช้ต่อสู้กับกลุ่มที่เห็นต่างทุกกรณีอยู่แล้ว
"แต่ผมเป็นห่วงเรื่องเสรีภาพทางวิชาการ เพราะสิ่งที่อาจารย์นิด้าทำเป็นไปตามกฎหมายและครรลองที่ถูกต้อง ส่วนกลุ่มที่ประท้วง เป็นการกระทำที่ต้องการให้ฝ่ายที่เห็นต่างหยุดพูดอย่างชัดเจน ซึ่งไม่ถูกต้องและไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย"
ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตนั้น ศ.ดร.สมคิด บอกว่า ทุกคนรู้ว่ามีการทุจริตรั่วไหล แต่ยังไม่มีหลักฐานหรือชี้ให้เห็นชัดๆ ว่าอยู่ตรงไหน ทั้งนี้ ส่วนตัวอยากให้มีการดีเบต (ตั้งเวทีถกเถียง) กันในเรื่องจำนำข้าวในแง่ของแนวทางการแทรกแซงราคาข้าวในตลาดโลก และหากคนไทยต้องกินข้าวแพงขึ้นเพื่อให้ชาวนาขายข้าวได้ในราคาดีขึ้น สังคมไทยจะยอมรับได้หรือไม่
ประเด็นเหล่านี้น่าหยิบมาพูดกันให้กว้างขวาง แต่กลับยังมีน้อยอยู่!
*****************************************************************************************************************************************************
สำหรับคำตอบของผมในกระทู้ มีดังนี้
อจ.สมคิดอธิบายได้เข้าใจง่ายดีครับ และอยู่บนพื้นฐานของวิชาการ
แต่อจ.ก็ได้หลุดตัวแปรออกมาตัวหนึ่ง ซึ่งปัจจัยนี้เป็นตัวการทำให้การจำนำข้าว "ไม่เป็นไปตามความคาดหมายของเอกชนที่เห็นด้วยกับการจำนำข้าวเพื่อดึงราคาสินทรัพย์ของประเทศให้สูง"
นั่นคือ...อินเดียผลิตข้าวได้มากกว่า"ที่ไทยคาดคิดไว้"
Variable factors เหล่านี้ต้องเอามาคำนวณในสมการด้วย"ล่วงหน้า" เพื่อหาแผนรองรับ แต่ไม่ได้มีการคำนวณไว้ จึงเห็นชัดว่าเอกชนที่เห็นด้วยกับโครงการจำนำข้าวก็ไม่ได้คำนวณ"ทางเสีย"ไว้เลยเช่นกันครับ คำนวณแต่"ทางได้"
หากเราคำนวณทางเสียไว้ก่อนตั้งแต่แรก เมื่อตัวแปรเกิดขึ้น เราจะหาทางแก้ไขได้ด้วยแผนสำรอง แต่นี่ไม่มีเลย...
ปล. ชื่อในบล็อกโอเคของผม ตั้ง"ผึ้งน้อย"แล้วเว็บไม่ให้ใช้ครับ บอกว่าซ้ำ
ผมเลยเอาชื่อพระเอกนางเอกในนิยายของเพื่อนที่ส่งให้ผมลองอ่าน(ที่ชาตินี้เธอคงเขียนไม่เสร็จ)มาใส่แทน เพราะขี้เกียจคิดจริงๆ