Jump to content


Photo
- - - - -

พระธาตุ องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


  • Please log in to reply
99 ความเห็นในกระทู้นี้

#51 ramboboy26

ramboboy26

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,532 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:02

อ่านกระทู้แบบนี้แล้วปวดตับทุกที พวกกูรูทั้งหลายเถียงกันแบบหลักกูทั้งนั้น
เจริญๆละกันนะครับ ผมไปอ่านหนังสือท่านพุทธทาสดีกว่า
กูขอปฏิญาณ ต่อหน้าสถูปสถานศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าอิฐหินดินทราย ขอจองล้างจองผลาญจนตาย ต่อผู้ทำลาย แผ่นดิน...

#52 ปังตอ

ปังตอ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,229 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:32

:lol: ............................................!!!!


กลัวตำราหล่นทับตายกันจัง......................

งั้นฝากถามนิดนึงหน๊อ อารมณ์ปฐมฌาน เป็นยังไง ช่วยตอบผมหน่อย
เอาอารมณ์จริงน่ะ...ตามตำราผมไม่เอา

ออ...ที่ถามขอออกตัวไว้ก่อนน่ะครับว่าไม่ได้ยกอะไรมาข่มท่านทั้งหลายดอก
แค่อยากรู้..เท่านั้น

ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ “ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม”

 


#53 pinkpanda

pinkpanda

    คุ้กกี้เกลียดควายแดงค่ะ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,600 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:49

:lol: ............................................!!!!


กลัวตำราหล่นทับตายกันจัง......................

งั้นฝากถามนิดนึงหน๊อ อารมณ์ปฐมฌาน เป็นยังไง ช่วยตอบผมหน่อย
เอาอารมณ์จริงน่ะ...ตามตำราผมไม่เอา

ออ...ที่ถามขอออกตัวไว้ก่อนน่ะครับว่าไม่ได้ยกอะไรมาข่มท่านทั้งหลายดอก
แค่อยากรู้..เท่านั้น



อันนี้ตอบ แต่ไม่ได้ด้วยความอวดรู้นะคะ

แต่มันประสบด้วยตัวเอง เลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร

พอนั่งสมาธิไป คำบริกรรมมันก็ค่อยๆ หายไปค่ะ แล้วก็เหมือนกับจะรู้ว่าลมหายใจหดสั้นลง รับรู้ที่ปลายจมูก

ก็นั่งไปเรื่อยๆ พอหยุดออกสมาธิก็แผ่เมตตา แล้วก็นอน

เหอๆๆ แบบนี้พอได้รึเปล่าคะ

#54 Son of Anarchy

Son of Anarchy

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 831 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:52

ความเชื่อของใครของมันครับ ฝรั่งยังเชื่อเรื่องพระเจ้าอะไรนั่นเลย

แต่สังเกตดูพวกควายแดงมักจะพยายามจะด่าคนที่เชื่อเกี่ยวศาสนา หรือสถานบัน ด่าคนที่เขาเคารพนับถือบ่อยๆ ก็เปลี่ยนเป็นด่าศาสนา ด่าสถาบัน


แต่พวกมันกลับไปเชื่อลัทธิจานบิน เชื่อตำนานมูลแม้ว เชื่อเรื่องปัญาอ่อนที่พวกมันเองกุขึ้น ควายก็ยังเป็นควายอยู่วันยังค่ำ

คุณอาจจะคลั่งเหมือนหมาบ้า กับบางสิงที่เกิดขึ้นในชีวิต
คุณอาจจะสบถ สาปแช่งโชคชะตา
แต่เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง คุณก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป

Curious Case Of Benjamin Button


#55 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:21

:lol: ............................................!!!!


กลัวตำราหล่นทับตายกันจัง......................

งั้นฝากถามนิดนึงหน๊อ อารมณ์ปฐมฌาน เป็นยังไง ช่วยตอบผมหน่อย
เอาอารมณ์จริงน่ะ...ตามตำราผมไม่เอา

ออ...ที่ถามขอออกตัวไว้ก่อนน่ะครับว่าไม่ได้ยกอะไรมาข่มท่านทั้งหลายดอก
แค่อยากรู้..เท่านั้น


อิอิ ไม่แน่ใจ ครับ เห็นหนังสือ บอก ว่า มี วิตก วิจราณา ปิติ ประมาณนี้ เป็นอารมณ์ ก็ ขนลุก ตัวสั่นน้อยๆ ตามหนังสือนะ ไอ้พวกนี้ เจอ แล้ว ไม่คิดว่่ามันจะง่ายแบบในหนังสือ (เป็นก่อนมาแล้วนะครับ ถึงไปเจอหนังสือที่บอก) แต่ ที่เจอกับตัวจริง ๆ เรียกได้ว่า ไม่ลืม คือ จิตวูบเหมือนตกจากที่สูง 3 ครั้ง 2 ครั้ง แรกรั้งไว้ ครั้งที่ 3 ลองดูว่าจะเป็นยังไง มันหยุด แล้ว เป็นดวง คล้าย ๆ สุริยุตปราคาวงแหวน ครับ นิ่งอยู่อย่างนั้น แล้ว อีกครั้ง เป็นเหมือน ทุกอย่างดำมืด ไล่ เขามาในตัวเป็นรัศมี วงกลม กำลังจะมารวม ที่ลิ้นปรี่ ประมาณ จะถึงตัว พอดีมีรถ กระจายเสียง เปิดเสียงดัง ความมืดกระจายไปเลย สรุปจิต รวมไม่ติด อีก ครั้ง อันนี้ผ่านจากการพิจราณากายมาก คือนั้งขัดมาดเพชรแล้วปวดมาก จำทุกวินาทีได้ มันปวด ตั้งแต่ประมาณนาที ที่ 25 แต่ตั้งจิตไว้ ว่า ถึงเชือกที่ดึงดินก้อนนี้จะขาดไป ถ้าเขาไม่ให้ลุก จะไม่ลุกเด็ดขาด ปวด จนเรียกว่า สุดๆ ประมาณ 5 วินาที ที่เขาจะให้ลุก จิตสว่า่ง เหมือน หรี่ตามองหลอดไฟ กลางคืน แบบนั้นเลย สุขเกิดล้นหัวใจเลยไม่มีอารมณ์อื่น เรียกว่า นั้งจนตายก็ได้ หลังจากที่ปวด จนบ้างที่กัดฟันเลย กลายเป็นสุขจนจะนั้งตลอดชีวิตก็ได้ ไอ้ เืรื่องจุดสุดยอดของกามกลายเป็นขี้ประติวเลย สุขมาก จนเขาบอกให้ลุก ก็ไม่ลุก จน พระที่นั้งงข้างๆ กัน สกิด หลายครั้ง จึงออกมา ถ้าไล่ตามในหนังสือ คงถึง 3 มั้ง แต่ผมไม่สนใจหรอก แต่ทางในทางวิทยาศาสตร์ เขาว่ามันเป็นอาการ อดีนลีน หลั่ง

Edited by ter162525, 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:36.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#56 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:29



อิอิ ผม ขี้เกียจเถียงกับพหูสูตรผู้แตกฉานพระไตรปิฏก ที่ยังไม่รู้แม้แต่ว่า สภาวะ ที่จิตไม่ติดกาย เป็นยังไงแล้ว ครับ เสียเวลาเปล่า ก้บคนที่เอา หนังสือมาบอกว่าลิงเป็นแบบนั้น ชอบแบบนั้น แต่ถามว่าเคยเห็นจริงๆป่ะ กลับ ตอบไม่ได้แต่ไปเถียงกับคนที่เห็นมาแล้ว


ครับ ท่านผู้บรรลุธรรมชั้นสูง
แต่ศีลคืออะไร ไม่รู้จัก วจีทุจริตก็ทำกันเป็นประจำ
แต่ก็ยังกล้าประกาศตนเป็นผู้บรรลุคุณธรรมชั้นสูง.
เยี่ยมครับ


เอาอะไรมายัดใส่ปากผม อีกแล้ว ประจำเลยนะครับ ผมไม่เคยบอกว่าบรรลุธรรมขั้นสูง กับพหูสูตร ที่ยังไม่รู้เลยว่าพระอรหันต์ บริสุทธิ์ที่ไหน สำหรับผม มันมีค่าเหมือนใบลานลานธรรมดา ที่ยังไม่ได้แม้แต่จะเอามาทำ คำภีร์ เลย


แล้วคุณเอาอะไรมายัดใส่ปากผม "พหูสูตรผู้แตกฉานพระไตรปิฏก"
เวลาด่าใคร เอากะลามาใส่น้ำ จะได้ดูเงาตัวเองบ้างนะ

ศีล สมาธิ ปัญญา - ศีลยังไม่รักษา แถมยังจะมาสอนคนอื่นเขาผิด
ว่าพระไม่จำเป็นต้องถือศีล มี "วจีทุจริต" ไม่เป็นไร อะไรที่พระรูปอื่นสอน
ตรงกับพระไตรปิฎก อันนั้นใช้ไม่ได้ พยายามเหลือเกินที่จะบิดเบือนคำสอน
พระอรหันต์ต้องมี "พระธาตุ" พอถามว่าพระธาตุคืออะไร ตัดสินยังไงเป็น
พระธาตุ แค่น้ำหมากบ้วนออกมาก็เป็นพระธาตุแล้ว มันจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว

#57 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:29

:) พูดไปต่างคนต่างก็ว่ากูแน่แท้ สภาวะจิตไม่ติดกายบอกตามตรง...ไม่รู้หรอกครับเป็นยังไง เพราะพระพุทธองค์ไม่ได้อธิบายไว้ พระองค์อธิบายแค่อาการของฌาณ 1 2 3 4 และอีก 5 ระดับนั้นมีอาการเช่นไร...ผมสนใจแค่นี้แหละครับเรื่องสมาธิ...

...จะรู้จริงหรือไม่จริงผมก็ไม่รู้ ผมแค่ปฏิบัติตามที่พระอาจารย์ที่สืบค้นพุทธวจนะต่อจากท่านพุทธทาสมาเผยแผ่ แล้วแค่เห็นจริงได้ตามลำดับที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ชอบแล้ว...

^_^ ใครคิดว่าตัวเองเจ๋งแน่แท้ ก็เชิญครับ ผมก็แค่ศรัทธาไม่หวั่นไหวต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามแบบที่ผมเชื่อว่าผมมาถูกทางแล้ว ใครคิดว่าทางตน สิ่งที่ตนเชื่อดีกว่า ก็เชิญตามทางของท่านเถิดครับ แค่มาวิสาสะกันเรื่องธรรม ไม่ได้มาบอกว่านี่คืออรหันต์ นี่ไม่ใช่ กูรู้ กูแน่ นั่นไม่ใช่...ก็เหมือนเดิมครับ...ปัจจัตตัง...ตามสะดวกเลยครับ....
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#58 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:37

:lol: ............................................!!!!


กลัวตำราหล่นทับตายกันจัง......................

งั้นฝากถามนิดนึงหน๊อ อารมณ์ปฐมฌาน เป็นยังไง ช่วยตอบผมหน่อย
เอาอารมณ์จริงน่ะ...ตามตำราผมไม่เอา

ออ...ที่ถามขอออกตัวไว้ก่อนน่ะครับว่าไม่ได้ยกอะไรมาข่มท่านทั้งหลายดอก
แค่อยากรู้..เท่านั้น


:) นิวรณ์ 5 หรืออย่างน้อยอกุศลจิตสองประการคือกาม และพยาบาทเบียดเบียนดับไป คงอยู่แต่วิตก วิจารณ์ ยังไม่เกิดปิติครับ...อาการที่เจอมา

...วิตก วิจารณ์ส่วนใหญ่ผมจะมาใคร่ครวญในอริยสัจสี่ กับหลักปฏิจจสมุปบาทครับ...
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#59 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:55




อิอิ ผม ขี้เกียจเถียงกับพหูสูตรผู้แตกฉานพระไตรปิฏก ที่ยังไม่รู้แม้แต่ว่า สภาวะ ที่จิตไม่ติดกาย เป็นยังไงแล้ว ครับ เสียเวลาเปล่า ก้บคนที่เอา หนังสือมาบอกว่าลิงเป็นแบบนั้น ชอบแบบนั้น แต่ถามว่าเคยเห็นจริงๆป่ะ กลับ ตอบไม่ได้แต่ไปเถียงกับคนที่เห็นมาแล้ว


ครับ ท่านผู้บรรลุธรรมชั้นสูง
แต่ศีลคืออะไร ไม่รู้จัก วจีทุจริตก็ทำกันเป็นประจำ
แต่ก็ยังกล้าประกาศตนเป็นผู้บรรลุคุณธรรมชั้นสูง.
เยี่ยมครับ


เอาอะไรมายัดใส่ปากผม อีกแล้ว ประจำเลยนะครับ ผมไม่เคยบอกว่าบรรลุธรรมขั้นสูง กับพหูสูตร ที่ยังไม่รู้เลยว่าพระอรหันต์ บริสุทธิ์ที่ไหน สำหรับผม มันมีค่าเหมือนใบลานลานธรรมดา ที่ยังไม่ได้แม้แต่จะเอามาทำ คำภีร์ เลย


แล้วคุณเอาอะไรมายัดใส่ปากผม "พหูสูตรผู้แตกฉานพระไตรปิฏก"
เวลาด่าใคร เอากะลามาใส่น้ำ จะได้ดูเงาตัวเองบ้างนะ

ศีล สมาธิ ปัญญา - ศีลยังไม่รักษา แถมยังจะมาสอนคนอื่นเขาผิด
ว่าพระไม่จำเป็นต้องถือศีล มี "วจีทุจริต" ไม่เป็นไร อะไรที่พระรูปอื่นสอน
ตรงกับพระไตรปิฎก อันนั้นใช้ไม่ได้ พยายามเหลือเกินที่จะบิดเบือนคำสอน
พระอรหันต์ต้องมี "พระธาตุ" พอถามว่าพระธาตุคืออะไร ตัดสินยังไงเป็น
พระธาตุ แค่น้ำหมากบ้วนออกมาก็เป็นพระธาตุแล้ว มันจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว


อิอิ ผมไม่ได้ โคส เอาข้อความคุณมา เลย ถามว่าผมไปยัดเยียด คำพูดใส่ปากคุณหรือเปล่าครับ
อิอิ พูดมาก็ยัดเยียด คำพูดใส่ปากหลวงตาอีกหรือเปล่าหว่า หลวงตาท่านบอกว่า พระธาตุเป็นหลักฐาน ว่า ถึงแล้ว แต่ท่านบอกไว้ว่าพระที่ถึงพระอรหันต์ บ้างครั้ง ก็ไม่เป็นเพราะถ้าเกิด ครองธาตุ ขันต์ไม่นาน จิตมันฟอกธาตุขันต์ไม่นาน จะยังไม่เป็น ต้องใช่เวลาอีกพักใหญ่ ถึงจะเป็นได้
หรือว่าพระธาตุ ของท่านพระพุทธเจ้า หรือของท่านอื่นๆ ที่เป็นสาวกที่เอามาให้ดูกันมันปลอม ถ้าปลอมก็แสดงว่า ในประวัิติพระพุทธเจ้าก็มีการโกหก มีคนอุปโลค ขึ้น เพราะพูดถึงเรื่องพระเขี้ยวแก้ว ที่นี้ มาถึงเรื่องพระธาตุ หลวงตาบอกว่ามันเป็นหลักฐาน ซึ่ง ผมเห็นว่าพอเชื่อได้ เพราะมีการกล่าวถึง พระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ทั้งหลาย ไม่เห็นมีกล่าวถถึงคนปกติธรรมๆ หรือคนเลวเลยว่าตายแล้วเป็นพระธาตุ
ที่นี้ท่านบอกว่าเป็นหลักฐาน แต่ใครจะไปกราบไว้หลักฐานแบบไหนก็เรื่องคนนั้น จะไป ยัดเยียดให้ ท่านได้อย่างไร กราบไหว้แค่พระพุทธรูป ยังต่างกันเลย แล้วคุณคิดบางไหมว่ามีคนกราบไห้วพระธาตุเพื่อระลึกถึง ถ้าว่าไม่มีเป็นเรื่องความศักด์สิทธิ์งมงาย งั้นคงต้องทำลาย พระพุทธรูปที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ สถูปเจดีร์ ต่างๆ ที่สร้างทั้งหมดเลยไหมเพราะเป็นเรื่องงมงายเหมือนกัน

Edited by ter162525, 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:57.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#60 Apichai

Apichai

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,093 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 16:12

เห็นเขาว่า
พระบรมสารีริกธาตุ ที่วัดสระเกศ บนภูเขาทอง
รัฐบาลอังกฤษ มอบให้กับ ประเทศสยาม ในสมัย ร 5
เป็น กระดูกสีขาวธรรมดา จนคนที่ไปอราธนาเชิญ
ไม่ เชื่อว่า เป็น พระบรมสารีริกธาตุ
แต่สุดท้าย มีเหตุให้เชื่อว่า เป็น ของจริง

#61 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 16:54

:) พูดไปต่างคนต่างก็ว่ากูแน่แท้ สภาวะจิตไม่ติดกายบอกตามตรง...ไม่รู้หรอกครับเป็นยังไง เพราะพระพุทธองค์ไม่ได้อธิบายไว้ พระองค์อธิบายแค่อาการของฌาณ 1 2 3 4 และอีก 5 ระดับนั้นมีอาการเช่นไร...ผมสนใจแค่นี้แหละครับเรื่องสมาธิ...


มันเป็นสภาวะที่ จิต ไม่ไปรับรู้ กายครับ เป็นอาการกายหายไปเหลือแต่จิต (ถ้าคนที่นั้งสมาธิน่าจะเคยเจอ)น่า จะประมาณ 3 ได้แล้ว มั้ง ครับ มัน เยอะ จนบ้างครั้งก็งง ว่า ญาณ กับสมาธิ ขั้นนั้น ขั้นนี้ มัน เป็นอย่างไร สมาธิ มี 3 ขั้นใช่ไหม ครับ เห็นว่าถ้าเปรียบ กันแล้ว อัปปนาสมาธิ จะ ประมาณ ญาณ ที่ 4 ครับ แต่บางอาจารย์ท่านว่ามันจะ สลับ กัน มันยังมี ญาณ 16 ของ สาย วิปัสสนา อีก อันนี้ ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร จากญาณ 4 ไปญาณ 5 ก็โดยเอาอากาศเป็นอารมณ์ แต่อัปปนา จะหายเงียบไป อันนี้ ต้อง ไปฟัง ที่หลวงพ่อพุธท่านเทศน์ถึงจะเข้าใจครับ ท่านเทศน์ ดีมาก ผมก็ชอบอ่านของ ท่านพุทธทาสเหมือนกัน บางครั้งเรื่องยากก็กลายเป็นง่ายบ้างครั้งเราไม่เข้าใจเพราะท่านใช้ คำอังกฤษแล้วบ้างครั้งออกวิชาการ ผมรู้ก็ไม่ได้ มาจากท่านเดียวแล้ว รู้เรื่องหมดเลยนะครับ ผมฟังจากหลายท่านบ้างท่านอธิบายเราได้ไม่กระจ่าง แค่ตามความเข้าใจท่าน ต้องไปฟังอีกทลายท่าน ถึงได้เข้าใจว่าท่านจะบอกอะไร สุดท้ายไม่ต่างกันเลย ถ้าไล่เรื่องจิตดีๆ เป็นเพียงแต่ท่านอธิบายให้เราเข้าใจได้ ขนาดไหน
แต่ที่ผม บอก เพราะบ้างคน ไม่เคยทำไม่เคยถึง แต่ไปวิจราณา ท่านนั้นท่านนี้ครับ

ธรรมไหนที่ดีมีประโยชน์เป็นประโยชน์ไม่มีโทษปน ก็รับฟัง โดยดี ไม่เกี่ยวว่าต้องเป็นใคร แม้แต่โจร ถ้าเป็นธรรมมีประโยชน์ ไม่มีโทษผมก็ฟัง ครับ
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#62 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:27


:) พูดไปต่างคนต่างก็ว่ากูแน่แท้ สภาวะจิตไม่ติดกายบอกตามตรง...ไม่รู้หรอกครับเป็นยังไง เพราะพระพุทธองค์ไม่ได้อธิบายไว้ พระองค์อธิบายแค่อาการของฌาณ 1 2 3 4 และอีก 5 ระดับนั้นมีอาการเช่นไร...ผมสนใจแค่นี้แหละครับเรื่องสมาธิ...


มันเป็นสภาวะที่ จิต ไม่ไปรับรู้ กายครับ เป็นอาการกายหายไปเหลือแต่จิต (ถ้าคนที่นั้งสมาธิน่าจะเคยเจอ)น่า จะประมาณ 3 ได้แล้ว มั้ง ครับ มัน เยอะ จนบ้างครั้งก็งง ว่า ญาณ กับสมาธิ ขั้นนั้น ขั้นนี้ มัน เป็นอย่างไร สมาธิ มี 3 ขั้นใช่ไหม ครับ เห็นว่าถ้าเปรียบ กันแล้ว อัปปนาสมาธิ จะ ประมาณ ญาณ ที่ 4 ครับ แต่บางอาจารย์ท่านว่ามันจะ สลับ กัน มันยังมี ญาณ 16 ของ สาย วิปัสสนา อีก อันนี้ ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร จากญาณ 4 ไปญาณ 5 ก็โดยเอาอากาศเป็นอารมณ์ แต่อัปปนา จะหายเงียบไป อันนี้ ต้อง ไปฟัง ที่หลวงพ่อพุธท่านเทศน์ถึงจะเข้าใจครับ ท่านเทศน์ ดีมาก ผมก็ชอบอ่านของ ท่านพุทธทาสเหมือนกัน บางครั้งเรื่องยากก็กลายเป็นง่ายบ้างครั้งเราไม่เข้าใจเพราะท่านใช้ คำอังกฤษแล้วบ้างครั้งออกวิชาการ ผมรู้ก็ไม่ได้ มาจากท่านเดียวแล้ว รู้เรื่องหมดเลยนะครับ ผมฟังจากหลายท่านบ้างท่านอธิบายเราได้ไม่กระจ่าง แค่ตามความเข้าใจท่าน ต้องไปฟังอีกทลายท่าน ถึงได้เข้าใจว่าท่านจะบอกอะไร สุดท้ายไม่ต่างกันเลย ถ้าไล่เรื่องจิตดีๆ เป็นเพียงแต่ท่านอธิบายให้เราเข้าใจได้ ขนาดไหน
แต่ที่ผม บอก เพราะบ้างคน ไม่เคยทำไม่เคยถึง แต่ไปวิจราณา ท่านนั้นท่านนี้ครับ

ธรรมไหนที่ดีมีประโยชน์เป็นประโยชน์ไม่มีโทษปน ก็รับฟัง โดยดี ไม่เกี่ยวว่าต้องเป็นใคร แม้แต่โจร ถ้าเป็นธรรมมีประโยชน์ ไม่มีโทษผมก็ฟัง ครับ


:) ผมทราบแต่เพียงระดับขั้นของผู้ได้สมาบัติมี 9 ขั้นเท่านั้นครับ ถ้าสภาวะจิตไม่ติดกายเป็นอย่างที่บอก พระพุทธองค์ตรัสไว้เป็นอาการของสมาธิขั้นจตุตถณาณ ก่อนจะก้าวไปสู่ห้วงรับรู้ได้ว่าอากาศนั้นมีไม่สิ้นสุด อาการของจตุตฌาณคือเสียงดับ เห็นกายในกาย ปิติดับไป ลมหายใจละเอียดมากจนเหมือนดับไป พระพุทธองค์ตรัสว่าเมื่อบุคคลเข้าถึงจตุตถฌาน จะอุปมาเหมือนบุคคลพึงนั่งอยู่และกายนั้นคลุมห่อไปด้วยผ้าขาวตลอดทั่วศีรษะ ไม่มีส่วนใดของกายที่ไม่ถูกต้องผ้าขาวนั้น อุปไมยก็ดังนั้นว่า กายของเขานี้ไม่เป็นเอกเทศแก่ความบริสุทธิ์แห่งใจที่ผ่องแผ้วไปทั่วทั้งตัว ดังนี้

:) ตามสีแดงคือข้อความตามพุทธวจนะครับ...
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#63 susu

susu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,066 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 18:01


- สำหรับผู้ที่อ้างว่าไม่มีทางรู้ได้ว่าใครเป็นอรหันต์ ท่านก็ย่อมบอกไม่ได้ว่าหลวงตาใช่อรหันต์หรือไม่

แต่สำหรับผู้อื่นเขามีทางรู้ เขารู้จักผู้ที่รู้ และพระธาตุก็เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี
ผู้ปฏิบัติธรรมก็มีอยู่ เขาย่อมรู้ว่าใครแนะนำเขาได้ ใครช่วยเขาให้เลื่อนระดับได้

- แม้แต่พระพุทธรูป เจดีย์ พระไตรปิฎก ต่างก็เป็นวัตถุ สร้างจากวัตถุ แต่คุณค่านั้นแตกต่างไปจากหิน หรือกระดาษธรรมดาทั่วไป
และกรุณาอย่านำพระธาตุไปเปรียบกับเครื่องรางของขลัง หรือพวกไสยศาสตร์ที่เป็นของต่ำ
ที่พระพุทธรูปถูกมองเป็นเพียงของขลังนั้นก็เพราะมีคนไปบูชาด้วยความงมงายเอง ไม่ได้เกิดจากการเคารพบูชาในพระรัตนตรัยอย่างถูกต้อง แต่นั่นก็ไม่ควรไปโทษพระพุทธรูปไม่ใช่หรือครับ เหมือนคนมีเงิน ใช้ในทางถูกก็เป็นประโยชน์ ใช้ในทางผิดก็เป็นอันตราย แล้วจะโทษเงินหรือโทษคน

- พวกที่อวดดีบอกไม่ยึดติดวัตถุเลยไม่เคารพกราบไหว้พระพุทธรูปผมก็ไม่เห็นจะบรรลุธรรมสักคน มีแต่ผู้ที่บรรลุธรรมที่เคารพกราบไหว้พระพุทธรูปอย่างมาก แม้แต่พระพุทธรูป หนังสือธรรมมะ รูปปั้นครูบาอาจารย์ ก็กราบไหว้และไม่ไว้ในที่ต่ำหรือที่ไม่เหมาะสม อย่างหลวงปู่มั่นแค่คนทำกระดาษห่อธูปเป็นรูปพระพุทธเจ้าท่านยังไม่ให้ทิ้งเรี่ยราดกลัวคนเหยียบ
เรื่องแบบนี้ต้องเป็นผู้มีจิตละเอียดอ่อนพอจึงจะเข้าใจ ผมเองคิดว่าตัวเองเคารพพระรัตนตรัยแล้วยังเทียบอะไรกับผู้ที่เคารพจริงๆเหล่านั้นไม่ได้เลย

- บางทีเราอยู่ทางโลกมากไปจิตใจอาจจะหยาบกระด้าง พระท่านจึงได้สั่งสอนว่า

โลกบังธรรม อารมณ์บังจิต
เพิกโลกจึงจะเห็นธรรม เพิกอารมณ์จึงจะเห็นจิต

- ยังไงเป็นชาวพุทธก็ควรเคารพพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงต้องเสาะแสวงหาพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าบอกให้เสาะแสวงหาผู้รู้ธรรมจะได้ไม่เสียชาติเกิดได้มาพบพระพุทธศาสนา

เพราะตราบใดที่แค่อ่านตำราแล้วรู้จักแค่พระพุทธเจ้ากับพระธรรม แสดงว่าเป็นพวกเชื่อตัวเองไม่ใช่พระรัตนตรัย

ปล. อย่างที่บอกไป ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งพระอรหันต์ มีพระอรหันต์มากมาย เสียดายแทนถ้าไม่มีโอกาสได้พบเจอบ้างสักองค์ (ไม่สิ น่าจะได้เจออยู่แต่ไม่รู้เองมากกว่า พระสังฆราชเองก็เป็นพระอรหันต์นะ และก็เป็นพระที่ได้รับความเคารพจากพระทั่วโลกด้วย จะบอกว่าไม่มีพระอรหันต์น่ะ คิดดีแล้วหรือครับ)


เห็นด้วยเลย ครับ
โลกบังธรรม อารมณ์บังจิต
เพิกโลกจึงจะเห็นธรรม เพิกอารมณ์จึงจะเห็นจิต

ถ้าวิ่ง ตามอารมณ์ ก็จะไม่มีวันที่จะเห็น จิต ถ้าไม่เห็น จิต จะไม่มีว่า รู้ว่า สภาวะ ที่จิตไม่ติด กายเป็นอย่างไร ถ้าแค่สภาวะ นี้ยังไม่รู้ ก็
อย่าไปพูด กับใครเลยว่าพระ อรหันต์เป็นอย่างไร

ส่วนพระสังฆราช ผมไม่แน่ใจ แต่ท่านน่าจะไม่กลับมาเกิดแล้ว สมเด็จ กับหลวงตาท่านเคารพ ซึ่งกันและกันมาก เท่าที่ติดตามดู




พระธาตุก็มีในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าก็กล่าวไว้

พระบรมสารีริกธาตุ - พระพุทธเจ้า
พระธาตุ - พระอรหันต์

สำหรับผู้ที่บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ ธาตุขันธ์จะแปรสภาพเป็นพระธาตุ (ไม่ต้องรอให้นิพพานก่อน สามารถแปรสภาพได้ภายหลังบรรลุ อย่างหลวงตาก็แปรสภาพตั้งแต่ท่านยังดำรงธาตุขันธ์อยู่)

บางคนบอกว่าพระธาตุทำขึ้นได้ ไม่เถียง เป็นธรรมดาที่มีทั้งของแท้ของปลอม แต่ของหลวงตาแม่ผมเก็บเถ้ามาก็เปลี่ยน สมัยก่อนมีคนไปนวดท่านได้ขนหน้าแข้งมาก็เปลี่ยน ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่นะ แต่ผมว่าท่านมีลูกศิษย์บรรลุธรรมก็มาก ช่วยเหลือสงเคราะห์สาธารณะประโยชน์มามากตั้งแต่ยังไม่มีชื่อเสียง จนประกาศช่วยชาติก็ทำให้ประเทศพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจได้และก็สงเคราะห์ไม่เคยหยุด เรื่องธรรมของท่านนักปฏิบัติภาวนาก็ได้ประโยชน์มากทุกคนถึงได้ต่อต้านกสทช.ที่จะมาลดสัญญาณวิทยุเสียงธรรม (แต่ก่อนแม่ผมเปิดฟังผมก็รำคาญ เพราะท่านพูดสำเนียงอิสาน ฟังไม่เข้าใจ แต่พอมาฝึกภาวนาเวลาเปิดเทศน์ของท่านจะภาวนาได้ดีถึงได้เข้าใจว่าทำไมคนเขาสามารถเปิดฟังได้ทั้งวันทั้งคืน)

คงไม่สาธยายมาก นานาจิตตัง ผมก็ทำได้แค่เตือนไม่อยากให้ใครเกิดบาปเกิดกรรม ยังไงก็พิสูจน์ด้วยตัวเองละกัน ตามหาพระอรหันต์ให้เจอแล้วถามท่านก็ได้ว่าหลวงตาเป็นอย่างไร เพราะเท่าที่ถามมาต่างยกย่องหลวงตาทั้งนั้น และบอกด้วยว่าหลังจากนี้ไปพระอย่างหลวงตาไม่มีอีกแล้ว

ปล. แต่ถ้ายังเชื่อว่าพระอรหันต์ไม่มีแล้วในประเทศไทย ก็เสียดายแทนที่เกิดมาในดินแดนพระอรหันต์แต่กลับหาไม่เจอ

ต่อให้ยืนต่อหน้านับพันองค์ แต่ไม่เคยทำตามคำสอน..ก็เท่านั้น
ดินแดนพระอรหันต์ แต่คนกลับแย่งชิงดี คอยหาสำรวจแต่ วัตถุ...ก็ได้แค่เท่านั้น
แท้หรือไม่แท้ ...ต่างกันแค่ใจคน.. เพราะมันได้แค่เท่านั้น
สิ่งที่ท่านทิ่งใว้ คือ แรงบัลดาลใจ และทางลัดสู่ ธรรม จากความรู้ของท่าน.. ก็มากเกินแล้ว


:) รู้ธรรมจริงแท้แค่ไหนนั่นแหละ...ปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตน...สาธุครับ




สำหรับเรา สวดมนต์ ไหว้พระรัตนตรัย นั่งสมาธิ แผ่แมตตา


การนั่งสมาธิ มีหลายอย่าง แต่จริตของเรามันไปตรงกับการพิจารณาลมหายใจด้วยตัวเอง การเพ่งอสุภะทำไม่ได้คงเพราะกำลังสมาธิไม่พอรึเปล่าคะ


แล้วก็ทำบุญทั่วไป แต่สิงที่เกิดขึ้นคือ เวลามีเหตุการณ์อะไร จะเกิดคำว่า พุท โธ ผุดขึ้นมาในมโนสำนึกเตือนสติหรือประคองสติที่ว้าวุ่นให้เชื่องช้าลง


มี ศึล มีสติ แล้วก็จะมีปัญญา

สำหรับพระธาตุหรือธาตุขันธ์ สำหรับเราเป็นเรื่องธรรมดาของการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของธาตุได้ แต่ที่สำคัญคือน้อมเอาธรรมะมาปรัับใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเรามากที่สุุดดีกว่าค่ะ


จะหนี ยังไงก็หนีไม่พ้น หรอก ครับ แต่ละสาย จะ ไปพบกัน ที่ กาย เวทนา จิตตา ธรรมมา สติปัจฐาน สี่ ต้นใหญ่ที่หลวงตาว่าไว้ครับ เราจับแต่ล่ะ อันมันเป็นกิ่ง เท่าันั้น ไม่ ว่าจะ สอนให้ ภาวนาแบบไหน อาการของจิตจะเป็นร้อย 108 พัน 9 ยังไง ก็หนี เพิกอารมณ์จึงจะเห็นจิต เมื่อเห็นจิต ก็ต้องค้นลงไปที่จิต ไม่พ้นครับ ท่านสอนให้ พิจราณาอสุภะ เพราะว่ามันง่ายครับ สำหรับผมนะ มันเห็นกัน ชัดๆอยู่แล้ว เวทนา มันก็เห็นชัด แต่ถ้าดูลมหายใจแล้วพิจารณากาย อันนั้นยาก มันต้องหาตัวเชื่อมต่อ ภาวนาคำไหนสุดท้ายก็มาเจอกันตรงที่มันจะเหลือแค่จิตเท่าั้นั้น คำภาวนามันหายไปไหนไม่รู้ เหมือนกันหมดครับ ผมใช้ ยุบหนอพองหนอ แต่ไม่เคยไป ว่า ว่าคนที่ใช้คำนั้นไม่ถูก คำนี้ไม่ถูก ทางนั้นไม่ดีทางนี้ดี กว่า (แต่ผมเคยเห็นพหูสูตรบ้างคนเที่่ยวว่าแนวนั้นไม่ดี แนวนี้ไม่ดี ผมถามเขาแค่ว่า สภาวะ ที่จิตไม่ติดกาย เป็นอย่างไร กลับตอบไม่ได้ แถมยังคิดว่าผมใช้ พุทโธ เพราะผมคุยกับคนใช้พุทโธรู้เรื่อง ) ทีหลวงตาสอน เป็นทางใหญ่ของท่าน เราไม่จำเป็นต้องเดินตามทางท่าน แต่ถ้าเรา ไม่ถึงแต่ละจุดที่ท่านบอก
เราระวัง การหลงทางด้วย ทาง 40 สาย ไม่จำเป็นต้องเป็นทางเดียวกัน แต่ผลที่ได้แต่ละจุด ต้องเหมือนกัน

แต่ละศัพท์ ที่ใช่ โห ภาษานี้สำคัญมาก ทำให้คนกลุ่มใหญ่เข้าไม่ถึง พยามใช้คำง่ายๆน่าจะดีนะครับ

#64 hinotori

hinotori

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,899 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 20:02

ไม่ต้องเถียงกันหรอก ถ้าอยากรู้ คืนนี้หาเวลาสงบๆ ไปลองนั่งสมาธิดูเองเลย แล้วจะรู้

#65 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 21:54

ผมจำคำพระมาพูดไม่ได้คิดเอง จำอะไรมาก็พูดแบบนั้น

เรื่องเพิกโลก เพิกอารมณ์ พระท่านพูดแบบนี้ ซึ่งเป็นระดับอภิธรรม ไม่ใช่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ ต้องค่อยๆพิจารณากันไปครับ

ตอนนี้ที่เข้าใจ(ด้วยปัญญาทางโลก ไม่ใช่ปัญญาถึงขั้นวิปัสสนา) ก็เข้าใจเพียงว่าความคิดทางโลกกับทางธรรมนั้นต่างกัน เช่น ความสุขทางโลก เช่น กิน ขี้ *** ช๊อป ต่างกับทางธรรมคือการให้ทาน การยับยั้งชั่งใจด้วยการรักษาศีล การภาวนาให้ใจสงบ ถ้ายังหลงกับความสุขทางโลก หลงว่าสิ่งต่างๆจีรังยั่งยืน หลงว่าตายไปไม่มีนรกสวรรค์เป็นเพียงนิยายหลอกคน ก็ย่อมไม่เห็นธรรม เป็นต้น

ส่วนเรื่องภาวนาผมก็แค่สงบยังไม่รวม ไม่ขอพูดไรมาก

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:15.


#66 ปังตอ

ปังตอ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,229 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:12

:) ....ขอบคุณทุกท่านที่ตอบคำถามผมน่ะครับ
แต่ผมขอไม่บอกน่ะครับว่าที่แต่ล่ะท่านตอบมาเป็นอย่างไร
ก้อยอมรับว่ามาถูกทางน่ะครับ พยายามกันต่อไป สะสมไปเรื่อยๆ
สักวันนึงน้ำมันยอมเต็มตุ่มได้ครับ

เพราะถ้าทุกท่านทำถึงจุด...จะรู้ว่าปัญญาที่เกิดจากสมาธิมันเเฉียบคมมากแค่ไหน
ปัญญาในแต่ล่ะขั้นของสมาธิก้อจะแตกต่างกันไป

แล้วจะรู้ครับว่าความสุขอย่างที่คุณ ter162525 บอกไว้เป็นอย่างไร
สิ่งที่คุณติดขัดอยู่จะกระจ่างด้วตัวมันเองครับ
ขอบคุณครับ.......

ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ “ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม”

 


#67 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:14



แล้วคุณเอาอะไรมายัดใส่ปากผม "พหูสูตรผู้แตกฉานพระไตรปิฏก"
เวลาด่าใคร เอากะลามาใส่น้ำ จะได้ดูเงาตัวเองบ้างนะ


ศีล สมาธิ ปัญญา - ศีลยังไม่รักษา แถมยังจะมาสอนคนอื่นเขาผิด
ว่าพระไม่จำเป็นต้องถือศีล มี "วจีทุจริต" ไม่เป็นไร อะไรที่พระรูปอื่นสอน
ตรงกับพระไตรปิฎก อันนั้นใช้ไม่ได้ พยายามเหลือเกินที่จะบิดเบือนคำสอน
พระอรหันต์ต้องมี "พระธาตุ" พอถามว่าพระธาตุคืออะไร ตัดสินยังไงเป็น
พระธาตุ แค่น้ำหมากบ้วนออกมาก็เป็นพระธาตุแล้ว มันจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว


อิอิ ผมไม่ได้ โคส เอาข้อความคุณมา เลย ถามว่าผมไปยัดเยียด คำพูดใส่ปากคุณหรือเปล่าครับ
อิอิ พูดมาก็ยัดเยียด คำพูดใส่ปากหลวงตาอีกหรือเปล่าหว่า หลวงตาท่านบอกว่า พระธาตุเป็นหลักฐาน ว่า ถึงแล้ว แต่ท่านบอกไว้ว่าพระที่ถึงพระอรหันต์ บ้างครั้ง ก็ไม่เป็นเพราะถ้าเกิด ครองธาตุ ขันต์ไม่นาน จิตมันฟอกธาตุขันต์ไม่นาน จะยังไม่เป็น ต้องใช่เวลาอีกพักใหญ่ ถึงจะเป็นได้
หรือว่าพระธาตุ ของท่านพระพุทธเจ้า หรือของท่านอื่นๆ ที่เป็นสาวกที่เอามาให้ดูกันมันปลอม ถ้าปลอมก็แสดงว่า ในประวัิติพระพุทธเจ้าก็มีการโกหก มีคนอุปโลค ขึ้น เพราะพูดถึงเรื่องพระเขี้ยวแก้ว ที่นี้ มาถึงเรื่องพระธาตุ หลวงตาบอกว่ามันเป็นหลักฐาน ซึ่ง ผมเห็นว่าพอเชื่อได้ เพราะมีการกล่าวถึง พระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ทั้งหลาย ไม่เห็นมีกล่าวถถึงคนปกติธรรมๆ หรือคนเลวเลยว่าตายแล้วเป็นพระธาตุ
ที่นี้ท่านบอกว่าเป็นหลักฐาน แต่ใครจะไปกราบไว้หลักฐานแบบไหนก็เรื่องคนนั้น จะไป ยัดเยียดให้ ท่านได้อย่างไร กราบไหว้แค่พระพุทธรูป ยังต่างกันเลย แล้วคุณคิดบางไหมว่ามีคนกราบไห้วพระธาตุเพื่อระลึกถึง ถ้าว่าไม่มีเป็นเรื่องความศักด์สิทธิ์งมงาย งั้นคงต้องทำลาย พระพุทธรูปที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ สถูปเจดีร์ ต่างๆ ที่สร้างทั้งหมดเลยไหมเพราะเป็นเรื่องงมงายเหมือนกัน


ผมก็โต้ตอบตามคำของคุณ ตกลงใครยัดใส่ปากใครกันครับ
ผมเห็นว่าคุณชอบยัดเยียด ผมก็จัดยัดตามให้ได้รู้สึก
ตกลงก็ยังคงไม่รู้สึก ว่าสิ่งที่ทำมันไม่ดี พอคนอื่นทำบ้างให้สำนึก
ก็ยังไม่สำนึก ตกลงว่ายังไงก็ไม่สนเรื่อง "วจีทุจริต" เหมือนเดิม

นี่หรือคนที่เห็นสภาพธรรม
นี่หรือคนที่นับถือ ประกาศว่า "คลังกิเลสจดบันทึกพระไตรปิฎกผิดๆ ถูกๆ"
นี่คือคนที่เชื่อว่า "พระไตรปิฎกเขียนยกยอกิเลส"


ส่วนเรื่องพระธาตุ ปลอมหรือไม่ ผมไม่รู้ เพราะผมถามหลายครั้งแล้วว่า
พระธาตุคืออะไร เป็นแบบไหน ดูยังไง ถ้าบอกได้ ผมจะได้กลับไปดูว่า
เป็นพระธาตุจริงหรือเปล่า อย่างที่ความเห็นในกระทู้นี้บอกว่าเป็นอัฐิ
แต่ลิงค์ที่ให้มา น้ำหมากก็เป็นพระธาตุด้วย ตกลง "ใครๆ ก็รู้" จริงหรือเปล่า

ยังไม่ต้องไปถึงว่า "พระอรหันต์ตายแล้วเป็นพระธาตุหรือไม่"
แค่ "พระธาตุคืออะไร ดูยังไง พิสูจน์แบบไหน" ก่อนก็พอ
จากการอ่านหนังสือ "โลกทิพย์" มาตั้งแต่ 20-30 ปีก่อน ผมฟันธงได้เลย
พระธาตุนะไม่มีจริงหรอก เพราะแต่ละคนแต่ละสำนัก ยังตกลงกันไม่ได้
ว่ามันคืออะไรเลย


Posted Image

Posted Image

อันนี้เอาตัวอย่างมาให้ดูครับ
ขอคำนิยาม คำบรรยาย ว่าดูยังไงว่าเป็น "พระธาตุ"

#68 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:34

- จริงๆในเน็ตก็มีบอกวิธีพิสูจน์อยู่ แต่โดยทั่วไปเขาไม่นำมาท้าทายกันหรอก

เอาง่ายๆ เดินตามถนนเจอพระรูปหนึ่่ง คุณจะเดินเข้าไปถามมั้ยว่าพระจริงรึเปล่า ขอจับไปทดสอบหน่อย

และคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถมองปุ๊บรู้ปั๊บว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ต้องรู้จักมานาน ต้องดูระยะยาว


- แต่หากว่ามีพระท่านหนึ่งเผาเสร็จแทนที่กระดูกจะเป็นเถ้าถ่านหรือเศษกระดูก กลับกลายเป็นเม็ดเล็กๆ นวลๆ สีสันต่างๆ คุณจะคิดว่าเป็นอะไร

หรือตอนแรกเป็นขี้เถ้าแต่เก็บในผอบที่ไม่ได้มีใครไปเปิดต่อมากลายสภาพเป็นเม็ดแบบนั้น คุณจะคิดว่าเป็นอะไร

หรือวันดีคืนดีเม็ดต่างๆเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยที่ไม่มีใครเอาใส่ลงไป คุณจะคิดว่าเป็นอะไร

หรือวันดีคืนดีนั่งภาวนาเกิดนิมิตต่างๆ แล้วมีเม็ดสีต่างๆมาปรากฎอยู่ คุณจะคิดว่าเป็นอะไร

แน่นอน คุณอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่หลอกกันได้ ร่วมมือเป็นแก๊งต้มตุ๋นได้ แต่ วันหนึ่งเกิดขึ้นกับตัวคุณเอง หรือคนใกล้ชิดที่ไม่มีทางมาหลอกคุณ คุณจะคิดว่าอย่างไร

ปล. ถ้าไม่เกิดกับผม ผมคงไม่กล้ามานั่งยันนอนยันแบบนี้หรอกครับ เหมือนคนไม่เคยเจอผีก็คิดว่าผีไม่มีจริงนั่นแหละ
ปล.2 ถึงบอกวิธีพิสูจน์ไปคุณก็คงไม่สามารถจะไปเอามาพิสูจน์ได้อยู่ดี หรือจะไปทุบผอบทุบเจดีย์ ก็คงจะโดนทุบซะก่อน ผมจึงแนะนำวิธีง่ายกว่าคือไปหาพระอรหันต์(ที่หลวงตาท่านรับรองก่อนก็ได้ถ้าไม่รู้จะไปหาที่ไหนจริงๆ) ไปพูดคุยธรรมมะกับท่านเหล่านั้น สัมผัสใกล้ชิดสักระยะ ถ้าจิตใจไม่หยาบกระด้างเกินไปก็คงจะสัมผัสได้ถึงบารมีธรรมความเมตตา ปฏิปทาต่างๆ แล้วจะรู้ว่ายังมีสิ่งดีๆในศาสนาเราอีกมากนัก

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:43.


#69 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:44

- จริงๆในเน็ตก็มีบอกวิธีพิสูจน์อยู่ แต่โดยทั่วไปเขาไม่นำมาท้าทายกันหรอก

เอาง่ายๆ เดินตามถนนเจอพระรูปหนึ่่ง คุณจะเดินเข้าไปถามมั้ยว่าพระจริงรึเปล่า ขอจับไปทดสอบหน่อย

และคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถมองปุ๊บรู้ปั๊บว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ต้องรู้จักมานาน ต้องดูระยะยาว


- แต่หากว่ามีพระท่านหนึ่งเผาเสร็จแทนที่กระดูกจะเป็นเถ้าถ่านหรือเศษกระดูก กลับกลายเป็นเม็ดเล็กๆ นวลๆ สีสันต่างๆ คุณจะคิดว่าเป็นอะไร

หรือตอนแรกเป็นขี้เถ้าแต่เก็บในผอบที่ไม่ได้มีใครไปเปิดต่อมากลายสภาพเป็นเม็ดแบบนั้น คุณจะคิดว่าเป็นอะไร

หรือวันดีคืนดีเม็ดต่างๆเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยที่ไม่มีใครเอาใส่ลงไป คุณจะคิดว่าเป็นอะไร

หรือวันดีคืนดีนั่งภาวนาเกิดนิมิตต่างๆ แล้วมีเม็ดสีต่างๆมาปรากฎอยู่ คุณจะคิดว่าเป็นอะไร

แน่นอน คุณอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่หลอกกันได้ ร่วมมือเป็นแก๊งต้มตุ๋นได้ แต่ วันหนึ่งเกิดขึ้นกับตัวคุณเอง หรือคนใกล้ชิดที่ไม่มีทางมาหลอกคุณ คุณจะคิดว่าอย่างไร

ปล. ถ้าไม่เกิดกับผม ผมคงไม่กล้ามานั่งยันนอนยันแบบนี้หรอกครับ เหมือนคนไม่เคยเจอผีก็คิดว่าผีไม่มีจริงนั่นแหละ


คิดว่าไม่เชื่อครับ
"อรหันต์" ถ้ายึดถือตามบาลี (ที่สาวกหลวงตาบัวเชื่อว่าเขียนยกยอกิเลส)
มีคนบอกได้ 2 คนคือ 1. พระพุทธเจ้า 2. ตนเอง

อัฐิจะเป็นยังไง เปลี่ยนเอง หรือคนทำ หรืออะไรอีกร้อยแปดพันประการ
สุดท้ายมันก็เป็นเพียง "วัตถุสิ่งของ" แล้วมันก็เปลี่ยน เสื้อมสลาย
เป็น "อนิจตา" ไม่สามารถคงอยู่ได้ต่อไป คนเรามีชีวิตอยู่ไม่ว่าดีหรือเลว
จนหรือรวย สุดท้ายก็ร่างกายแตกสลาย จะเปลี่ยนเป็นแก้วใส จะเป็นผง
หรือสลายกลายเป็นปุ๋ย ก็แสดงให้เห็นชัดว่า "ตาย" เป็นทีสิ้นสุด

ปัจฉิมโอวาสไม่ใช่ จงนับถือบูชา "พระธาตุของเรา" จะได้มีความสุขสมหวัง
ได้สวรรค์วิมานเมีองแมน ได้นิพพาน แต่เป็น

สิ่งทั้งปวงมีความเสื่อม และสิ้นไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลาย จงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด

#70 เชียร์คนดี

เชียร์คนดี

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 991 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:46

เฮ้อ..หาอะไรสมบูรณ์ไม่ได้จริง ๆ (เตือนตัวเอง)

"ทำดี(ผู้อื่น)เห็นผลช้า"


#71 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:51

Posted Image

Posted Image



#72 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:56



#73 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 23:01

- ผมถึงได้ถามไงครับว่า
ถ้าเพียงพระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ เท่านั้นที่บอกได้ว่าใครบรรลุ คุณ eAT บอกว่าหลวงตาบัวไม่ใช่พระอรหันต์ได้อย่างไร ต้องบอกเพียงว่า "ไม่รู้"

- ถ้าได้อ่านประวัติหลวงปู่มั่น หลวงตาบัว ... ก็มีบอกไว้แล้วในส่วนของชีวิตตั้งแต่ก่อนบวช ช่วงบวชปฏิบัติภาวนาเป็นอย่างไร ตอนบรรลุธรรมเป็นอย่างไร หลังบรรลุธรรมทำประโยชน์อะไรบ้าง นี่ยังแปลว่าท่านไม่บอกอีกหรือ

- จริงอยู่ พระอรหันต์ท่านไม่โอ้อวด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องลับที่จะต้องไม่ให้ใครรู้ เมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องบอกก็บอกได้

ผมจึงขอสรุปประเด็นว่า พระอรหันต์ท่านบอกแล้ว พระอรหันต์ท่านอื่นก็บอกแล้ว แต่ก็ไม่เชื่อเอง จะรอให้พระพุทธเจ้ามาบอกเองหรืออย่างไรไม่ทราบ(รอไหวมั้ยล่ะ)

- เรื่องพระบรมสารีริกธาตุก็มีกล่าวในพระไตรปิฎก ไม่ว่าเรื่องอานิสงฆ์การบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ การจัดแจงแบ่งไปสักการะบูชาหลังปรินิพพาน ถ้าการบูชาเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง พระอานนท์ที่เป็นพระอรหันต์ก็ย่อมคัดค้าน เป็นต้น
ประเด็นเรื่องพระธาตุจึงสรุปได้ว่ามีจริง
ถ้าเชื่อพระไตรปิฎกเพียงเท่านั้น ทำไมเลือกเชื่อเป็นบางเรื่องล่ะครับ

ปล. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านอธิษฐานจิตให้ธาตุขันธ์กลายเป็นพระธาตุได้ อย่างพระมหากัสสปะ หรือท่านพ่อลีก็อธิษฐานให้สรีระไม่เน่าเปื่อยจนกว่าจะถึงยุคพระศรีอาริย์ที่จะมาเผาศพท่านเพราะเคยเกี่ยวเนื่องกันเป็นต้น

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 23:20.


#74 ปังตอ

ปังตอ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,229 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 23:02

:) ...ถึงตรงนี้ทำให้ผมเชื่อคำสอนของพระพุทธองค์ ของครูบาอาจารย์เลยว่า...

อย่าไปเถียงกับพวกบ้าตำรา...เถียงให้ตายคุณก้อไม่ชนะ

แล้วผมก็เห็นถึงความเป็นจริง....มันเป็นอย่างนี้เอง



(ขอจริง...นิ่งเป็นใบ้)............................................ :)
พอได้แล้วมั้งผมว่า ยิ่งติดตาม...ก้อดูจะยิ่งเลอะไปกันใหญ่

ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ “ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม”

 


#75 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 23:17

ของแท้!!

http://www.doisaengd...rg/�%9...ว.html


ท่าน จขกท ครับ


ตั้งกระทู้นี้เพื่ออะไรครับ

มีจุดประสงค์อะไรครับ


อธิบายหน่อยครับ


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#76 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 23:20

- ผมถึงได้ถามไงครับว่า
ถ้าเพียงพระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ เท่านั้นที่บอกได้ว่าใครบรรลุ คุณ eAT บอกว่าหลวงตาบัวไม่ใช่พระอรหันต์ได้อย่างไร ต้องบอกเพียงว่า "ไม่รู้"

- ถ้าได้อ่านประวัติหลวงปู่มั่น หลวงตาบัว ... ก็มีบอกไว้แล้วในส่วนของชีวิตตั้งแต่ก่อนบวช ช่วงบวชปฏิบัติภาวนาเป็นอย่างไร ตอนบรรลุธรรมเป็นอย่างไร หลังบรรลุธรรมทำประโยชน์อะไรบ้าง นี่ยังแปลว่าท่านไม่บอกอีกหรือ

- จริงอยู่ พระอรหันต์ท่านไม่โอ้อวด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องลับที่จะต้องไม่ให้ใครรู้ เมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องบอกก็บอกได้

ผมจึงขอสรุปประเด็นว่า พระอรหันต์ท่านบอกแล้ว พระอรหันต์ท่านอื่นก็บอกแล้ว แต่ก็ไม่เชื่อเอง จะรอให้พระพุทธเจ้ามาบอกเองหรืออย่างไรไม่ทราบ(รอไหวมั้ยล่ะ)

- เรื่องพระบรมสารีริกธาตุก็มีกล่าวในพระไตรปิฎก ไม่ว่าเรื่องอานิสงฆ์การบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ การจัดแจงแบ่งไปสักการะบูชาหลังปรินิพพาน ถ้าการบูชาเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง พระอานนท์ที่เป็นพระอรหันต์ก็ย่อมคัดค้าน เป็นต้น
ถ้าเชื่อพระไตรปิฎกจริง ทำไมเลือกเชื่อเป็นบางเรื่องล่ะครับ


ผมไม่รู้ว่าใครเป็น "อรหันต์" แต่ผมรู้ว่าใครบางคน "ไม่เป็นอรหันต์"
1. อรหันต์จะไม่บอกว่า พระไตรปิฎกเขียนส่งเสริมกิเลส
2. อรหันต์ไม่มี "วจีทุจริต"
3. อรหันต์จะไม่อวดคุณวิเศษ เพราะขัดต่อธรรมวินัย

เช่นเดียวกับผมดูไม่ออกระหว่าง "ทองแท้" กับ "ทองชุบ"
แต่ถ้าใครเอาสร้อยแล้วมีขี้เกลือเขียวๆ แล้วบอกว่าเป็นทองแท้
ย่อมหลอกผมไม่ได้



#77 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 23:26

- ผมถึงได้ถามไงครับว่า
ถ้าเพียงพระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ เท่านั้นที่บอกได้ว่าใครบรรลุ คุณ eAT บอกว่าหลวงตาบัวไม่ใช่พระอรหันต์ได้อย่างไร ต้องบอกเพียงว่า "ไม่รู้"

- ถ้าได้อ่านประวัติหลวงปู่มั่น หลวงตาบัว ... ก็มีบอกไว้แล้วในส่วนของชีวิตตั้งแต่ก่อนบวช ช่วงบวชปฏิบัติภาวนาเป็นอย่างไร ตอนบรรลุธรรมเป็นอย่างไร หลังบรรลุธรรมทำประโยชน์อะไรบ้าง นี่ยังแปลว่าท่านไม่บอกอีกหรือ

- จริงอยู่ พระอรหันต์ท่านไม่โอ้อวด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องลับที่จะต้องไม่ให้ใครรู้ เมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องบอกก็บอกได้

ผมจึงขอสรุปประเด็นว่า พระอรหันต์ท่านบอกแล้ว พระอรหันต์ท่านอื่นก็บอกแล้ว แต่ก็ไม่เชื่อเอง จะรอให้พระพุทธเจ้ามาบอกเองหรืออย่างไรไม่ทราบ(รอไหวมั้ยล่ะ)

- เรื่องพระบรมสารีริกธาตุก็มีกล่าวในพระไตรปิฎก ไม่ว่าเรื่องอานิสงฆ์การบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ การจัดแจงแบ่งไปสักการะบูชาหลังปรินิพพาน ถ้าการบูชาเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง พระอานนท์ที่เป็นพระอรหันต์ก็ย่อมคัดค้าน เป็นต้น
ประเด็นเรื่องพระธาตุจึงสรุปได้ว่ามีจริง
ถ้าเชื่อพระไตรปิฎกเพียงเท่านั้น ทำไมเลือกเชื่อเป็นบางเรื่องล่ะครับ

ปล. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านอธิษฐานจิตให้ธาตุขันธ์กลายเป็นพระธาตุได้ อย่างพระมหากัสสปะ หรือท่านพ่อลีก็อธิษฐานให้สรีระไม่เน่าเปื่อยจนกว่าจะถึงยุคพระศรีอาริย์ที่จะมาเผาศพท่านเพราะเคยเกี่ยวเนื่องกันเป็นต้น


ในที่สุดก็ ไม่รู้

แล้วจะเชื่อได้ไหมครับ ถ้าใครมาบอกเราว่า เขาเป็น อรหันต์

เชื่อตามได้เลยทันที อย่างนั่นหรือ

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#78 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 23:50

- ผมหมายถึงการตั้งสมมติฐานว่า ผู้ที่รู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์หรือไม่ มีเพียง พระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ เท่านั้น
ซึ่งผู้ที่เชื่อตามสมมติฐานนี้คือคุณ eAT ไม่เกี่ยวกับผม

ดังนั้นสิ่่งที่คุณ eAT อ้างมา 3 ข้อหรือจะมากกว่านั้นก็ตาม หากยึดสมมติฐานนี้อยู่ ก็สรุปได้แค่ว่า ไม่รู้

- จากที่คุณ eAT กล่าวว่า
ผมไม่รู้ว่าใครเป็น "อรหันต์" แต่ผมรู้ว่าใครบางคน "ไม่เป็นอรหันต์" เพราะ

2. อรหันต์ไม่มี "วจีทุจริต" - ตรงนี้เอามาจากไหนครับ น่าจะเป็นไม่พูดโกหกมากกว่า
เพราะภาษาธรรมเป็นภาษาตรงไปตรงมา อาจจะไม่ระคายหูที่ต้องการคำไพเราะเสนาะหูไปตามกิเลส
ยังไงก็ลองอ่านเรื่อง พระปิลินทวัจฉเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่ชอบเรียกผู้อื่นว่า "คนถ่อย" ดูนะครับ
3. อรหันต์จะไม่อวดคุณวิเศษ เพราะขัดต่อธรรมวินัย
- ธรรมวินัย คือ ไม่อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์แต่บอกว่าอรหันต์นี่ผิด
- อย่างที่บอกว่าพระอรหันต์ท่านไม่อวดตน แต่ไม่ได้แปลว่าจะบอกว่าตนเป็นอรหันต์หรือแสดงตนไม่ได้หากจำเป็น เช่น เมื่อพระอานนท์บรรลุธรรมท่านก็แสดงให้ที่ประชุมทราบเพื่อจะได้เริ่มการทำสังคายนา
หลวงตาบัวเองท่านก็บรรลุธรรมตั้งนานแล้ว ช่วยเหลือสังคมมาก็ตั้งนานแล้ว แต่ที่จำเป็นต้องประกาศตนก็เพราะต้องการให้คนไทยหันมาร่วมมือกันช่วยเหลือชาติ มีที่ไหนคนอายุ 80 ต้องแบกสังขารไปเทศนาธรรมทั่วประเทศกว่า 15 ปี เงินทองก็มอบให้คลังหลวงหมด แล้ววิธีของท่านก็ช่วยชาติได้จริง (คุณธรรมยิ่งใหญ่ไม่พูดถึง ไม่นำมาพิจารณา กลับมาติดอยู่แค่ไม่อรหันต์แล้วก็มาด่าว่า แบบนั้นสมควรแล้วหรือ)
1. อรหันต์จะไม่บอกว่า พระไตรปิฎกเขียนส่งเสริมกิเลส
ไว้ค่อยคุย เพราะมีหลายประเด็นที่ต้องชี้แจง รบกวนยกมาทั้งท่อนในคำเทศน์ของท่านมา เพราะผมไม่แน่ใจว่าใช่ท่อนเดียวกันหรือไม่

ปล. ถูกต้องครับ มีทองแท้ ก็ย่อมมีทองปลอม แต่ถ้าไม่รู้จักทอง พอไปเจอผ้าขี้ริ้วห่อทองเข้าก็รังแต่จะบอกว่าที่นี่ไม่มีทอง (นี่ขนาดหลวงตาบัวนะ ถ้าไปเจอหลวงปู่เจี๊ยะจะยิ่งอึ้ง)
ปล.2 ผมไม่ได้เชื่อตามใคร แต่ผมฟังแล้วพิจารณา ซึ่งไม่ใช่แค่คิดเองเออเองอยู่ที่บ้าน แต่ตามไปดูตัวจริง ไปฟังเทศน์ของท่าน แล้วพบว่าไม่ได้ขัดอะไรกับคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์อื่น ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เห็นขัด มีแต่จะกระจ่างแจ้งมากขึ้น ต่างกับบางคนอ้างตนเป็นอรหันต์แต่บอกให้คนเลิกกราบไหว้แล้วทุบทำลายพระพุทธรูป แบบนั้นขัดชัดๆอยู่แล้วไม่ต้องไปหาให้เสียเวลาก็ได้
ปล.3 อยากให้ลองดูตัวอย่างในหลวง ท่านเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ผู้รู้ธรรม ไกลแค่ไหนท่านก็ไปหาหรือนิมนต์มา

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 01:42.


#79 ศรอรชุน

ศรอรชุน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,103 posts

ตอบ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 00:05

11.jpg

"ควาย" ในความหมายของผม คือ คนที่มีความคิด เล่นเน็ตเป็น แต่แยกแยะ ดี ชั่ว ถูก ผิด ไม่ได้  

              มิได้หมายถึง ชาวรากหญ้า ที่เป็นเหยื่อในสงครามทางความคิดครั้งนี้

 

"คนชั่ว" จะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา... อยากให้ถึงวรรคท้ายของคำทำนาย ไวๆ ว่ะ...


#80 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 00:32

การตั้งสมมติฐานว่า ผู้ที่รู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์หรือไม่ มีเพียง พระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ เท่านั้น

นี้ไม่ไช่ สมมติฐานครับ เป็นข้อเท็จจริงตามศาสนาพุทธครับ มีหลักฐานในพระธรรมว่า บุคคลระดับ
เดียวกันเท่านั้น จึงจะรู้ว่า ใครเป็นพระอริยะชั้นใหน เช่น พระโสดาบัน ก็ยังไม่สามารถรู้ได้ว่า ใครเป็น
พระอรหันต์

ในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม คือ มีปัจจัปรุงแต่ง จะต้องเกิด
ขึ้นและดับไป จะต้องมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา แม้แต่พระศาสนาของพระพุทธเจ้า
ก็ย่อมจะถึงความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ถึงการอันตรธานไปในที่สุด เมื่อครบห้าพันปี
ดังนั้น ความเสื่อมไปนั้นก็ต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ไม่ใช่จากเจริญแล้วมาเสื่อมอย่าง
รวดเร็วทันที เพราะฉะนั้น ในยุคพันปีแรกก็มีพระอรหหันต์ที่ประกอบด้วยคุณธรรม
สูง เป็นพระอรหันต์ที่มีมีฤทธิ์ มี อภิญญา และ ประกอบด้วยความแตกฉานในพระธรรม
และ การบรรลุก็ค่อยๆเสื่อมๆไป จนพันปีที่สอง ก็ยังมีพระอรหันต์ แต่ เพียงดับกิเลส
เป็น สุขวิปัสสกะ แต่ไม่ถึงพร้อมด้วยคุณธรรม ที่เป็นการแสดงฤทธิ์ได้ ได้อภิญญา
ปฏิสัมภิทา
นี่แสดงให้เห็นถึงความค่อยๆเสื่อมไปตามลำดับ แต่เมื่อถึงพันปีที่ 3 ก็หมดความ
เป็นพระอรหันต์ในโลกมนุษย์ มีได้เพียงพระอนาคามี พันปีที่ 4 ก็สูงสุดเพียง พระ
สกทาคามี และพันปีที่ห้า พันปีสุดท้าย ก็ได้เพียงพระโสดาบัน

นี่แสดงความจริงที่เป็นสัจจะ ว่าพระพุทธศาสนา ค่อยๆเสื่อมไปอย่างช้าๆ
เช่นเดียวกับ การเสื่อมของความเข้าใจพระธรรม พันปีแรกก็ต้องมีผู้ที่เข้าใจพระธรรม
อย่างละเอียดลึกซึ้ง และพันปีที่สองก็ค่อยๆเข้าใจละเอียดลึกซึ้งอยู่แต่ไม่มากเท่าพันปี
แรก พันปีที่ 3 ก็เข้าใจน้อยลงตามลำดับจนถึงพันปีที่ 4 พันปีที่ 5 ก็เสื่อมถอยใน
ความเข้าใจพระธรรม จนในที่สุด แม้ได้อ่าน ได้ยิน มีพระไตรปิฎกเต็มตู้ แต่อ่านก็ไม่
เข้าใจเลย หรือเข้าใจผิด และ ไม่สนใจก็ได้ อันแสดงถึงความอันตรธานของความ
เข้าใจไปตามลำดับที่ค่อยๆเสื่อมไป จึงไม่ใช่ว่า พันปีที่ 3 ยังมีความเข้าใจลึกซึ้งเท่า
กับพันปีที่ 1 แล้ว ก็พอพันปีที่ 4 และ 5 ก็หายไปทันที คือ หายจากความเข้าใจลึกซึ้ง
ทันทีโดยที่ไม่ค่อยเสือ่มก็ไม่ถูกต้องครับ เช่นเดียวกับ การบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล
ก็ค่อยๆเสื่อมไป จนพันปีที่ 3 สูงสุดก็เพียงพระอนาคามี ครับ นี่คือเหตุผลของพระธรรมและเป็นสัจจะ

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
เล่ม ๔หน้าที่ 554


ข้อความบางตอนจากอรรถกถาโคตมีสูตร

ก็คำว่าวสฺสสหสฺสนี้ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุ

ปฏิสัมภิทาเท่านั้นแต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น,๐๐๐ปี โดยมุ่ง

ถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก,๐๐๐ปีโดยมุ่งถึงพระอนาคามี

,๐๐๐โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี,๐๐๐ ปีโดยมุ่งถึงพระโสดาบัน

ปฏิเวธสัทธรรมถูกดำรงอยู่ได้,๐๐๐ปีโดยอาการดังกล่าวมานี้

แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้,๐๐๐ปีนั้นเหมือนกัน.เพราะ

เมื่อปริยัติธรรมไม่มีปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้แม้เมื่อปริยัติธรรม

ไม่มีปฏิเวธธรรมไม่มีก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้ว

เพศ (แห่งบรรพชิต)ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.
***********************************
พระวินัยปิฏก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 499
แต่คำว่าพันปีนั้นพระองค์ตรัสด้วยอำนาจพระขีณาสพผู้ถึงความ

แตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น. แต่เมื่อจะตั้งอยู่ยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้างจักตั้งอยู่

สิ้นพันปีด้วยอำนาจแห่งพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ, จักตั้งอยู่สิ้นพันปีด้วย

อำนาจแห่งพระอนาคามี, จักตั้งอยู่สิ้นพันปีด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี,

จักตั้งอยู่สิ้นพันปีด้วยอำนาจพระโสดาบัน, รวมความว่า พระปฏิเวธสัทธรรม

จักตั้งอยู่ตลอดห้าพันปีด้วยประการฉะนี้.
----------------------------------------------------
**************************************
ที่สำคัญ คงไม่ได้อยู่ที่ว่า จะรู้ว่ายุคนี้ มีพระอรหันต์ หรือไม่ เพราะ ประโยชน์ที่สำคัญ
คือ ความเข้าใจพระธรรมของตนเอง แม้จะมีอยู่ หรือ ไม่มี ก็ไม่สามารถทำให้เราเอง
มีปัญญาเจริญขึ้นได้ หรือ สามารถละกิเลสได้ เพราะ ปัญญาของใครก็ของคนนั้น
แต่สำคัญที่ว่า ควรอบรมปัญญา ควาเเห็นถูกของตนเองเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการ
เข้าใจพระธรรมในหนทางการดับกิเลส เพราะ หากมีความเข้าใจถูกว่าหนทางการดับ
กิเลสที่ถูกต้อง คือ อย่างไร ก็จะทำให้ ไม่เชื่อเพียงเพราะ คำร่ำลือ หรือ เพราะ คนอื่น
บอก แต่ ปัญญาของตนเองที่เข้าใจหนทางการดับกิเลสที่ถูกต้อง ย่อมจะรู้ว่า ผู้นี้ มี
ความเห็นถูกหรือไม่และ ประโยชน์สูงสุดที่ได้ คือ ไม่ใช่การรู้ว่าใครเป็นอย่างไร
แต่การรู้จักตนเองเท่านั้น ที่จะเป็นหนทางการละคลายกิเลส แลเจริญขึ้นปัญญา
ซึ่งการรู้จักตนเอง ก็เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ รู้ตามความเป็นจริงในการดำเนิน
ชีวิตประจำวันว่า มีแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งอยากทราบว่ามีพระอรหันต์หรือไม่ก็
ต้องศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมไปจนกว่าจะเกิดปัญญาเป็นของตนเองผู้มีปัญญาควร
รู้ในสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระไม่ควรรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ

คำพูดของบุคคลอื่น ก็เป็นเรื่องของบุคคลอื่น ถ้ามีความมั่นคงในความถูกต้อง
ในเหตุในผลตามความเป็นจริง ก็จะไม่คล้อยไปตามความเป็นที่ไม่ตรงที่บุคคลอื่น
กล่าว เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ทั้งหมดนี้ก็มาจากการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงแม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
แต่ก็ยังมีพระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ และในยุคนี้สมัยนี้ เป็นยุคที่พระธรรมยังดำรงอยู่
จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ศึกษา เพราะยังไม่รู้ ก็จะต้องศึกษา เพื่อจะได้รู้ ได้สะสม
ความเข้าใจถูก เห็นถูก ต่อไป มีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้ศึกษา ก็ฟัง ก็ศึกษาต่อไป
สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น ก่อนที่พระธรรมจะอันตรธาน นี้แหละ คือ สิ่งที่จะ
เป็นประโยชน์สำหรับตนเองอย่างแท้จริง

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#81 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 01:24

- มีหลักฐานในพระธรรมว่า บุคคลระดับ
เดียวกันเท่านั้น จึงจะรู้ว่า ใครเป็นพระอริยะชั้นใหน


รบกวนช่วยยกข้อความเต็มๆในพระไตรปิฎกมาให้ดูหน่อยครับ

สมมติว่าพระอนาคามีไปเจอผู้มีภูมิธรรมสูงกว่าตน จะรู้ได้หรือไม่ว่านั่นคือพระอรหันต์

- (เรื่องข้อความ 5 พันปี ยุคนี้มีพระนั้น ยุคนั้นมีพระนี้ ผมว่าเราคุยจบกันไปแล้วในกระทู้เดิม ถ้าจะคุ้ยใหม่ผมว่าแปะลิงค์ดีกว่ามั้ยครับ)

แต่หากความจำสั้นจริงๆก็จะเล่าคร่าวๆอีกครั้ง

ผมเคยบอกไปแล้วว่าข้อความในพระไตรปิฎกมีที่ขัดแย้งกันอยู่ ถ้ายึดว่าในช่วงพันปีที่ 3 ไม่มีพระอรหันต์ แล้วพุทธพจน์ที่ว่า โลกไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์หมายถึงอะไร ก็ในเมื่อผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนยังมีอยู่ จะหมายถึงปฏิบัติไปก็ไม่ได้เป็นอรหันต์งั้นหรือ

อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าพระพุทธเจ้ากล่าวเช่นนั้นในช่วงที่ตั้งคุรุธรรมแปด เพราะถ้าไม่ตั้งศาสนาจะเสื่อมเร็ว เมื่อตั้งจะเสื่อมช้าลง ซึ่งนั่นยังไม่รวมปัจจัยอื่นที่ทำให้ศาสนาเสื่อมช้าลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็นพระไตรปิฎกที่เกิดมีในภายหลัง หรือพระที่ช่วยกันสืบทอดและปฏิบัติธรรมตามพระองค์อย่างเคร่งครัด

เคยเปรียบเทียบไปแล้วว่าเหมือนกับน้ำแข็ง ถ้าตั้งทิ้งไว้ก็ละลายใน 1-2 นาที ถ้าใส่กระติกก็อยู่ได้ครึ่งวัน (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ได้คาดการผิดแต่อย่างใด) แต่ในภายหลังมีตู้เย็นจะเก็บไว้เป็นเดือนเป็นปีก็ได้ ดังนั้น ตราบใดที่รักษาความเย็นที่จุดเยือกแข็งได้ ก้อนน้ำแข็งก็จะไม่ละลาย

- ธรรมหรือคำสอนบางอย่างเป็นอกาลิโก เช่น เรื่องไตรลักษณ์ บางอย่างก็เป็นกาลิโก เช่นเรื่องระยะทางจากเมืองนั้นไปเมืองนี้ แม้แต่ชื่อเมือง สถานที่ต่างๆก็เปลี่ยนไป จะยึดทั้งหมดเป็นอกาลิโกโดยไม่ได้พิจารณาให้ดีก็จะเป็นอันตรายให้เข้าใจผิดได้ จึงควรระมัดระวัง

ปล.จะดูแต่นาวิเกเตอร์ ไม่ดูสภาพความเป็นจริง ระวังจะหลงทางหรือขับรถชนเอานะครับ

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 01:31.


#82 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 01:51

ถ้าหากความจำคุณ ไร้สี ยาวจริง

ก็น่าจะจำได้ว่า เรื่องที่คุณถามหา

ผมได้แสดงให้เห็นในกระทู้ที่เราเคยแสดงความเห็นกันมาแล้ว

ผมขอจบแค่นี้ครับ
เชิญท่านเชื่อตามที่ใจท่านปรารถนาเถอะครับ

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#83 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:54

:) พระพุทธองค์ตรัสว่า "จงอย่าพึงประมาณตัวเราว่าเหนือกว่า, ต่ำกว่า หรือเสมอกับผู้ใด", "จงอย่าพึงประมาณหรือพยากรณ์ผู้อื่นว่าเป็นเช่นไร หากไม่ได้เป็นสัพพัญญูเช่นเรา" 2 พระสูตรนี่ก็คงพอแล้วครับกับคำกล่าวทั้งหมดที่ผมว่า "ปัจจัตตัง"

...พระสงฆ์คือสาวกผู้เป็นมรรคานุคาของพระองค์คือ "ผู้ตาม" คำสั่งสอนพุทธองค์ ผมดูว่าเป็นเช่นไรก็ตามคำพระพุทธองค์ตรัสกล่าวถึง "ภิกขุ" สาวกในพระบรมศาสดาคือ...

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว) อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว) ญายะปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม เป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว) สามีจิปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว) ยะทิทัง(ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ) จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา (คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ) เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (นั่นแหละคือสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า) อาหุเนยโย (เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา) ปาหุเนยโย (เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ) ทักขิเณยโย (เป็นสงฆ์ควรรับทักษิณาทาน) อัญชะลิกะระณีโย (เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำอัญชลี) อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (เป็นสงฆ์ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้) ...

...นี่คือบทท้ายของพระสูตรรำลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่คณะสงฆ์ผู้ค้นคว้าพุทธวจนะนำมาแสดง เป็นบทที่พระพุทธองค์กล่าวถึงสงฆ์สาวกของพระองค์นั้น...ดูอย่างไร...

^_^ เช่นกันครับ พอแล้วเช่นกัน ขอจบแค่นี้เหมือนกันครับ...
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#84 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:13

- ผมหมายถึงการตั้งสมมติฐานว่า ผู้ที่รู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์หรือไม่ มีเพียง พระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ เท่านั้น
ซึ่งผู้ที่เชื่อตามสมมติฐานนี้คือคุณ eAT ไม่เกี่ยวกับผม

ดังนั้นสิ่่งที่คุณ eAT อ้างมา 3 ข้อหรือจะมากกว่านั้นก็ตาม หากยึดสมมติฐานนี้อยู่ ก็สรุปได้แค่ว่า ไม่รู้

- จากที่คุณ eAT กล่าวว่า
ผมไม่รู้ว่าใครเป็น "อรหันต์" แต่ผมรู้ว่าใครบางคน "ไม่เป็นอรหันต์" เพราะ

2. อรหันต์ไม่มี "วจีทุจริต" - ตรงนี้เอามาจากไหนครับ น่าจะเป็นไม่พูดโกหกมากกว่า
เพราะภาษาธรรมเป็นภาษาตรงไปตรงมา อาจจะไม่ระคายหูที่ต้องการคำไพเราะเสนาะหูไปตามกิเลส
ยังไงก็ลองอ่านเรื่อง พระปิลินทวัจฉเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่ชอบเรียกผู้อื่นว่า "คนถ่อย" ดูนะครับ
3. อรหันต์จะไม่อวดคุณวิเศษ เพราะขัดต่อธรรมวินัย
- ธรรมวินัย คือ ไม่อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์แต่บอกว่าอรหันต์นี่ผิด
- อย่างที่บอกว่าพระอรหันต์ท่านไม่อวดตน แต่ไม่ได้แปลว่าจะบอกว่าตนเป็นอรหันต์หรือแสดงตนไม่ได้หากจำเป็น เช่น เมื่อพระอานนท์บรรลุธรรมท่านก็แสดงให้ที่ประชุมทราบเพื่อจะได้เริ่มการทำสังคายนา
หลวงตาบัวเองท่านก็บรรลุธรรมตั้งนานแล้ว ช่วยเหลือสังคมมาก็ตั้งนานแล้ว แต่ที่จำเป็นต้องประกาศตนก็เพราะต้องการให้คนไทยหันมาร่วมมือกันช่วยเหลือชาติ มีที่ไหนคนอายุ 80 ต้องแบกสังขารไปเทศนาธรรมทั่วประเทศกว่า 15 ปี เงินทองก็มอบให้คลังหลวงหมด แล้ววิธีของท่านก็ช่วยชาติได้จริง (คุณธรรมยิ่งใหญ่ไม่พูดถึง ไม่นำมาพิจารณา กลับมาติดอยู่แค่ไม่อรหันต์แล้วก็มาด่าว่า แบบนั้นสมควรแล้วหรือ)
1. อรหันต์จะไม่บอกว่า พระไตรปิฎกเขียนส่งเสริมกิเลส
ไว้ค่อยคุย เพราะมีหลายประเด็นที่ต้องชี้แจง รบกวนยกมาทั้งท่อนในคำเทศน์ของท่านมา เพราะผมไม่แน่ใจว่าใช่ท่อนเดียวกันหรือไม่

ปล. ถูกต้องครับ มีทองแท้ ก็ย่อมมีทองปลอม แต่ถ้าไม่รู้จักทอง พอไปเจอผ้าขี้ริ้วห่อทองเข้าก็รังแต่จะบอกว่าที่นี่ไม่มีทอง (นี่ขนาดหลวงตาบัวนะ ถ้าไปเจอหลวงปู่เจี๊ยะจะยิ่งอึ้ง)
ปล.2 ผมไม่ได้เชื่อตามใคร แต่ผมฟังแล้วพิจารณา ซึ่งไม่ใช่แค่คิดเองเออเองอยู่ที่บ้าน แต่ตามไปดูตัวจริง ไปฟังเทศน์ของท่าน แล้วพบว่าไม่ได้ขัดอะไรกับคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์อื่น ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เห็นขัด มีแต่จะกระจ่างแจ้งมากขึ้น ต่างกับบางคนอ้างตนเป็นอรหันต์แต่บอกให้คนเลิกกราบไหว้แล้วทุบทำลายพระพุทธรูป แบบนั้นขัดชัดๆอยู่แล้วไม่ต้องไปหาให้เสียเวลาก็ได้
ปล.3 อยากให้ลองดูตัวอย่างในหลวง ท่านเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ผู้รู้ธรรม ไกลแค่ไหนท่านก็ไปหาหรือนิมนต์มา



ผมขอตอบประเด็นเดียว "วจีทุจริต" คืออะไร
ศีล 227 มีข้อห้าม "วจีทุจริต" หรือไม่
รู้จักจุลศีลไหม?


ประเด็นเรื่อง "ศีล" อย่างเดียวก็พอ
เพราะว่ามันใช้แค่ "สามัญสำนึก" ก็เพียงพอแล้ว
ไม่ต้องตีความ หรือใช้สติปัญญาเท่าไรก็รู้ได้

หมายเหตุ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง แปลว่าเป็นทองแท้หรือครับ
ในเมื่อมีผ้าขี้ริ้วปนอยู่ด้วย

#85 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:44

หมายเหตุ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง แปลว่าเป็นทองแท้หรือครับ
ในเมื่อมีผ้าขี้ริ้วปนอยู่ด้วย

- ผ้าขี้ริ้วห่อทองก็ชัดเจนว่าผ้าขี้ริ้วอยู่นอกทอง ไม่ใช่ผ้าขี้ริ้วปนกับเนื้อทอง แค่ภาษาไทยธรรมดายังอ่านไม่เข้าใจเลย ก็ไม่แปลกถ้าจะอ่านพระไตรปิฎกแล้วตีความผิด

- ผมยกเรื่องพระที่เรียกผู้อื่นหยาบคายให้ดูแล้ว ซึ่งในพระไตรปิฎกก็บอกว่าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ หากยังจะยึดเรื่องใครพูดหยาบต้องไม่ใช่พระอรหันต์แน่ๆก็ลองพิจารณาให้ดีเสียก่อน

เช่น หยาบไม่หยาบนี่วัดจากอะไร วัดจากกิเลสของตัวเราเองรึเปล่า ภาษาธรรมเวลาท่านเทศน์ก็ออกมาจากใจ ที่เรียกว่าธรรมดีดผึงออกมา คืออกมาตรงๆไม่มีปรุงแต่ง ขึ้นกับจริตนิสัยของแต่ละคน ไม่ใช่ว่าต้องมาพูดนะจ้ะ นะแจ้ะ หรือมาประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำแบบทางโลก

ผรุสวาท ในความเข้าใจของผม เป็นการพูดคำหยาบ ด่าว่ารุนแรง ที่เป็นผลมาจากอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นในจิตใจ จึงต้องมาพิจารณาให้ดีว่าคำพูดที่เห็นว่าหยาบๆนั้นมาจากความโกรธหรือไม่
เช่น หลวงพ่อคูณแทนตัวเองว่า กู ทางโลกอาจเห็นว่าหยาบ แต่ถ้าพิจารณาให้ดี คำว่า กู ไม่ได้มาจากการที่ท่านโกรธใครแล้วขึ้นกู-*คุณ* แต่เป็นสรรพนามที่ท่านใช้เป็นปรกติ หลวงตาบัวหรือหลวงปู่มั่นก็มีโทสะจริต เวลาพูดหรือสั่งสอนจะดูดุดันจนคนกลัว แต่ถ้าพิจารณาให้ดีล้วนเป็นความเมตตาไม่ได้มาจากอารมณ์โกรธแล้วด่าเพื่อล้างแค้น อย่างหลวงปู่มั่นไล่หลวงตาลงจากวัด นั่นก็ไม่ได้เป็นเพราะท่านโกรธหลวงตาที่ไปเถียงเรื่องธรรมมะกับท่าน แต่เป็นอุบายการสอนธรรมของท่าน บางคนต้องใช้ไม้แข็ง บางคนต้องใช้ไม้อ่อน เป็นต้น

- เรื่องจุลศีลอะไรนั่นอย่างมากก็แค่อาบัติ งั้นต้องถามว่าพระอรหันต์อาบัติได้หรือไม่ คำตอบคือยังอาบัติได้อยู่ แต่ไม่ได้มาจากเจตนาที่เป็นผลจากกิเลสต่างๆ เช่น โลภะ โทสะ โมหะ

ดังนั้น ต้องพิจารณาให้ละเอียดลึกซึ้ง อย่างบางคนปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ พูดจาดีแต่ในใจอาจเป็นอีกอย่างก็ได้ การคบคนก็เช่นกันต้องดูให้นานพอ จะมาตัดสินใจกันปุบปับว่าดีชั่วย่อมผิดพลาดได้ง่าย

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 16:38.


#86 คนสับปะหลี้

คนสับปะหลี้

    สูงสุดแดนสยาม

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,262 posts

ตอบ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:49

สรุปแล้วผมว่าน่าจะมีกระทู้ธรรมะอีกอันนึงนะ อันนี้แล้วแต่ความศรัทธาของแต่ละคนละกัน ส่วนผมไม่ขอแสดงความเห็น แต่ว่าผมได้ขี้เถ้าขององค์หลวงตาจากพระอาจารย์ที่เป็นศิษย์ท่านมาไว้บูชา แล้วตอนนี้ผมเห็นอะไรบางอย่างแล้ว ตามความเป็นจริงว่าเป็นอย่างไร สำหรับผมผมเชื่อเรื่องเหล่านี้ครับ

"ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ" - หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

"คนเราสามารถเปลี่ยนต้นไม้ประหลาด ให้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนคนผิดให้เป็นพระเจ้า เปลี่ยนสีขาวให้เป็นสีดำ เพียงเพราะความเชื่อของตัวเองเพียงเท่านั้น"


#87 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 08:27


หมายเหตุ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง แปลว่าเป็นทองแท้หรือครับ
ในเมื่อมีผ้าขี้ริ้วปนอยู่ด้วย

- ผ้าขี้ริ้วห่อทองก็ชัดเจนว่าผ้าขี้ริ้วอยู่นอกทอง ไม่ใช่ผ้าขี้ริ้วปนกับเนื้อทอง แค่ภาษาไทยธรรมดายังอ่านไม่เข้าใจเลย ก็ไม่แปลกถ้าจะอ่านพระไตรปิฎกแล้วตีความผิด

- ผมยกเรื่องพระที่เรียกผู้อื่นหยาบคายให้ดูแล้ว ซึ่งในพระไตรปิฎกก็บอกว่าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ หากยังจะยึดเรื่องใครพูดหยาบต้องไม่ใช่พระอรหันต์แน่ๆก็ลองพิจารณาให้ดีเสียก่อน

เช่น หยาบไม่หยาบนี่วัดจากอะไร วัดจากกิเลสของตัวเราเองรึเปล่า ภาษาธรรมเวลาท่านเทศน์ก็ออกมาจากใจ ที่เรียกว่าธรรมดีดผึงออกมา คืออกมาตรงๆไม่มีปรุงแต่ง ขึ้นกับจริตนิสัยของแต่ละคน ไม่ใช่ว่าต้องมาพูดนะจ้ะ นะแจ้ะ หรือมาประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำแบบทางโลก

ผรุสวาท ในความเข้าใจของผม เป็นการพูดคำหยาบ ด่าว่ารุนแรง ที่เป็นผลมาจากอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นในจิตใจ จึงต้องมาพิจารณาให้ดีว่าคำพูดที่เห็นว่าหยาบๆนั้นมาจากความโกรธหรือไม่
เช่น หลวงพ่อคูณแทนตัวเองว่า กู ทางโลกอาจเห็นว่าหยาบ แต่ถ้าพิจารณาให้ดี คำว่า กู ไม่ได้มาจากการที่ท่านโกรธใครแล้วขึ้นกู-*คุณ* แต่เป็นสรรพนามที่ท่านใช้เป็นปรกติ หลวงตาบัวหรือหลวงปู่มั่นก็มีโทสะจริต เวลาพูดหรือสั่งสอนจะดูดุดันจนคนกลัว แต่ถ้าพิจารณาให้ดีล้วนเป็นความเมตตาไม่ได้มาจากอารมณ์โกรธแล้วด่าเพื่อล้างแค้น อย่างหลวงปู่มั่นไล่หลวงตาลงจากวัด นั่นก็ไม่ได้เป็นเพราะท่านโกรธหลวงตาที่ไปเถียงเรื่องธรรมมะกับท่าน แต่เป็นอุบายการสอนธรรมของท่าน บางคนต้องใช้ไม้แข็ง บางคนต้องใช้ไม้อ่อน เป็นต้น

- เรื่องจุลศีลอะไรนั่นอย่างมากก็แค่อาบัติ งั้นต้องถามว่าพระอรหันต์อาบัติได้หรือไม่ คำตอบคือยังอาบัติได้อยู่ แต่ไม่ได้มาจากเจตนาที่เป็นผลจากกิเลสต่างๆ เช่น โลภะ โทสะ โมหะ

ดังนั้น ต้องพิจารณาให้ละเอียดลึกซึ้ง อย่างบางคนปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ พูดจาดีแต่ในใจอาจเป็นอีกอย่างก็ได้ การคบคนก็เช่นกันต้องดูให้นานพอ จะมาตัดสินใจกันปุบปับว่าดีชั่วย่อมผิดพลาดได้ง่าย


สรุปว่า พระอรหันต์ไม่ต้องมีศีลก็ได้!!!!!
การพูดคำหยาบนี่ไม่ได้เจตนา!!!
พยายามแก้ไขศีลกันเหลือเกินนะ
ตกลงสาวก "หลางตาบัว" ไม่มีความละอายเลยแม้แต่คนเดียว

"ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ
เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ."



คำว่า "Yetแม่" ไม่ใช่คำหยาบ พูดออกจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจ????
หรือว่าคำนี้เป็นคำที่ชาวเมืองส่วนมากพอใจ

#88 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:12

- ผมไม่ได้บอกว่าพระอรหันต์ไม่มีศีล ท่านรักษาศีลอย่างดีด้วย เข้าใจศีลอย่างดีด้วย ไม่ใช่เข้าใจเพียงแค่อ่านแบบเรา
แต่ผมบอกแล้วว่าพระอรหันต์ก็อาบัติได้ แต่ไม่ใช่ว่าศีลที่อาบัตินั้นไม่สำคัญ ไม่ต้องถือก็ได้ กรุณาอ่านอย่างมีสติ อย่าใช้เพียงอารมณ์เลยครับ
- ผมฟังเทศน์หลวงตาหลายกัณฑ์ก็ไม่เจอท่านใช้คำพูดหยาบคาย มีเสียงดังบ้าง คำพูดดุดันบ้าง แต่เป็นภาษาธรรม ผู้ปฏิบัติภาวนาย่อมรู้ดี ถึงได้บอกว่าเวลาภาวนาแล้วฟังเทศน์ของท่านจะช่วยให้ภาวนาได้ดี ผมจึงไม่ทราบว่าคุณ eAT ได้ยินคำๆนั้นมาจากที่ไหน กรุณาบอกที่มาด้วย

- ผมบอกไปแล้วว่าคำที่ว่าหยาบนั้นวัดจากอะไร ถ้าวัดจากกิเลสเราเป็นบรรทัดฐาน บางคนแค่คำว่า "กิน" ก็หาว่าหยาบ ต้องใช้คำว่า "รับประทาน"
คำบางคำถ้าเป็นชาวบ้านมองว่าธรรมดา ถ้าเป็นพวกผู้ลากมากดีก็ฟังว่าหยาบ หลวงตาบัวก็เป็นลูกชาวนาในชนบท จะให้มาใช้คำศัพท์แบบผู้ดี เจ้ายศเจ้าอย่างงั้นเหรอ เรื่องภาษาเป็นสิ่งสมมติ แต่ละยุคสมัยก็ไม่เหมือนกัน สมัยพ่อขุนรามก็อย่างหนึ่ง สมัยนี้ก็อย่างหนึ่ง

ผมจึงอยากให้พิจารณาคำว่า ผรุสวาท ให้ดีๆ จริงอยู่ ความหมายทางโลกคือ คำหยาบ คำด่าทอ คำสาปแช่ง แต่ถ้าพิจารณาทางธรรมต้องพิจารณาเข้าไปถึงจิตใจ สิ่งใดที่ทำให้จิตใจของเราหรือผู้อื่นเป็นทุกข์ก็คืออกุศล ดังนั้น ผรุสวาทหรือไม่ ไม่ได้ดูแค่คำ แต่ให้ดูเจตนาว่าผู้พูดใช้ด้วยอารมณ์โกรธแค้นเดือดดาล หรือเป็นเพียงคำพูดตรงๆที่แทงเข้าถึงหัวใจให้พวกกิเลสมันขยาดกันแน่

อย่างคุณ eAT เมื่อดูแต่ละคำที่ใช้แม้เป็นคำสุภาพจริง แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธเคียดแค้น ซึ่งแบบนี้ล่ะครับคือ ผรุสวาท

ปล. ยกตัวอย่างพระอรหันต์ในพระไตรปิฎกที่เรียกผู้อื่นว่า คนถ่อย แบบนั้นหยาบหรือไม่ แล้วเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ทีแบบนี้ไม่เชื่อพระไตรปิฎกแล้วหรือ (ลองไปอ่านดูครับ คำพูดนั้นไม่ได้เกิดจากอารมณ์ แต่เป็นเพียงสรรพนามที่ใช้เรียกผู้อื่น เหตุผลเพราะท่านมีบุปผกรรมมาแต่อดีตทำให้ต้องเรียกผู้อื่นแบบนั้น)

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:56.


#89 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:23

นี่คือตัวอย่างลิงค์ที่นำมาให้อ่านว่าพระอรหันต์ต้องอาบัติด้วยเหตุผลอะไร ลองไปพิจารณาดู
http://larnbuddhism....a/milin8007.htm

http://board.palungj...ัติ-328349.html

http://guru.google.c...59366a738e52bdf

http://www.bloggang....group=1&gblog=6

ปล. พระพุทธเจ้าดูจิตจนเห็นธรรมแล้วออกสั่่งสอน พระไตรปิฎกเพียงแค่บันทึกธรรมด้วยตัวอักษร การศึกษาธรรมจึงต้องประกอบไปด้วยปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เพราะเพียงอ่านอย่างเดียวไม่พอ ต้องย้อนกลับไปดูใจด้วย หากยังดูใจไม่เก่งก็ให้พยายามทำตามความเข้าใจจากการอ่านตามตัวอักษร แต่อย่าเพิ่งยกตัวอักษรไปกล่าวโทษใครโดยไม่ได้รู้ธรรมที่เกิดจากใจจริงๆ

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 11:14.


#90 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 13:13

- ผมไม่ได้บอกว่าพระอรหันต์ไม่มีศีล ท่านรักษาศีลอย่างดีด้วย เข้าใจศีลอย่างดีด้วย ไม่ใช่เข้าใจเพียงแค่อ่านแบบเรา
แต่ผมบอกแล้วว่าพระอรหันต์ก็อาบัติได้ แต่ไม่ใช่ว่าศีลที่อาบัตินั้นไม่สำคัญ ไม่ต้องถือก็ได้ กรุณาอ่านอย่างมีสติ อย่าใช้เพียงอารมณ์เลยครับ
- ผมฟังเทศน์หลวงตาหลายกัณฑ์ก็ไม่เจอท่านใช้คำพูดหยาบคาย มีเสียงดังบ้าง คำพูดดุดันบ้าง แต่เป็นภาษาธรรม ผู้ปฏิบัติภาวนาย่อมรู้ดี ถึงได้บอกว่าเวลาภาวนาแล้วฟังเทศน์ของท่านจะช่วยให้ภาวนาได้ดี ผมจึงไม่ทราบว่าคุณ eAT ได้ยินคำๆนั้นมาจากที่ไหน กรุณาบอกที่มาด้วย

- ผมบอกไปแล้วว่าคำที่ว่าหยาบนั้นวัดจากอะไร ถ้าวัดจากกิเลสเราเป็นบรรทัดฐาน บางคนแค่คำว่า "กิน" ก็หาว่าหยาบ ต้องใช้คำว่า "รับประทาน"
คำบางคำถ้าเป็นชาวบ้านมองว่าธรรมดา ถ้าเป็นพวกผู้ลากมากดีก็ฟังว่าหยาบ หลวงตาบัวก็เป็นลูกชาวนาในชนบท จะให้มาใช้คำศัพท์แบบผู้ดี เจ้ายศเจ้าอย่างงั้นเหรอ เรื่องภาษาเป็นสิ่งสมมติ แต่ละยุคสมัยก็ไม่เหมือนกัน สมัยพ่อขุนรามก็อย่างหนึ่ง สมัยนี้ก็อย่างหนึ่ง

ผมจึงอยากให้พิจารณาคำว่า ผรุสวาท ให้ดีๆ จริงอยู่ ความหมายทางโลกคือ คำหยาบ คำด่าทอ คำสาปแช่ง แต่ถ้าพิจารณาทางธรรมต้องพิจารณาเข้าไปถึงจิตใจ สิ่งใดที่ทำให้จิตใจของเราหรือผู้อื่นเป็นทุกข์ก็คืออกุศล ดังนั้น ผรุสวาทหรือไม่ ไม่ได้ดูแค่คำ แต่ให้ดูเจตนาว่าผู้พูดใช้ด้วยอารมณ์โกรธแค้นเดือดดาล หรือเป็นเพียงคำพูดตรงๆที่แทงเข้าถึงหัวใจให้พวกกิเลสมันขยาดกันแน่

อย่างคุณ eAT เมื่อดูแต่ละคำที่ใช้แม้เป็นคำสุภาพจริง แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธเคียดแค้น ซึ่งแบบนี้ล่ะครับคือ ผรุสวาท

ปล. ยกตัวอย่างพระอรหันต์ในพระไตรปิฎกที่เรียกผู้อื่นว่า คนถ่อย แบบนั้นหยาบหรือไม่ แล้วเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ทีแบบนี้ไม่เชื่อพระไตรปิฎกแล้วหรือ (ลองไปอ่านดูครับ คำพูดนั้นไม่ได้เกิดจากอารมณ์ แต่เป็นเพียงสรรพนามที่ใช้เรียกผู้อื่น เหตุผลเพราะท่านมีบุปผกรรมมาแต่อดีตทำให้ต้องเรียกผู้อื่นแบบนั้น)


ผมใช้คำ ผรุสวาท ตรงไหน ผมเอามาตรงๆ จากคำแปล
จุลศีล "คำหยาบ" ไม่ใช่ "ผรุสวาท" ชอบเบี่ยง ชอบบิด
โกหกไปเรื่อยๆ หน้าไม่อายจริงๆ ส่วนคำนั้น มาจากการเทศน์
ที่ประจวบ คงหาหลักฐานให้ไม่ได้แล้ว เพราะหายไประหว่าง
การย้ายของหนีน้ำท่วม และบังเอิญว่าไม่ใช่มีแต่ผมที่รู้ ลูกศิษย์
หลวงตาบัวที่หน้าไม่ด้านมากมายนัก ก็ยอมรับว่าพูด แต่ก็อ้าง
ไปเรื่อยว่าเป็น "วาสนา" แต่วาสนาผลุบๆ โผล่ๆ พูดบ้าง
ไม่พูดบ้างยังกล้านำมาอ้าง

มี พระเจ้าฟ้าเจ้าคุณท่านมาพูดถึงเรื่องว่า ในพระไตรปิฎกท่านว่านิพพานเป็นอนัตตา ชึ่ย ว่างี้เลยเรา ดีไม่ดีมันส่อให้เห็นผู้ไปจดจารึกพระไตรปิฎกมาเป็นคนประเภทใดอีกด้วยนะ ถ้าเป็นคนประเภทพระพุทธเจ้าพระอรหันต์แล้วจะว่านิพพานเป็นอนัตตาไม่ได้เป็น อันขาด นอกจากพวกคลังกิเลสมันเข้าไปจดจารึก ได้คำบอกเล่าอะไรมาก็มาว่าผิด ๆ ถูก ๆ ไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงส่อให้เห็นว่าผู้ไปจดพระไตรปิฎกมานี้เป็นคนประเภทใด มันบอกด้วยนะ อ่านไปในพระไตรปิฎกบอกไปในตัวเสร็จ ว่าผู้จดจารึกพระไตรปิฎกเป็นคนประเภทใด ถ้าเป็นคนประเภทเป็นพระอรหันต์จดจารึกมาแล้ว จะมีเน้นมีหนัก นี่เรียบ ๆ ไป พูดไปที่ไหนส่งเสริมแต่กิเลสเรื่อยไป ตีกิเลสไม่มีนี่บอกแล้ว ความจริงมีนี่

นิพพานคือนิพพาน
อาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน (หลวงตามหาบัว)
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒


#91 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:42

- ผมบอกแล้วว่าถ้าเอาตามความหมายแค่ตัวหนังสือคุณ eAT ไม่ได้ใช้คำหยาบเลย แต่ถ้าเอาความหมายทางธรรมคือการพิจารณาทางจิตคุณ eAT กำลัง ผรุสวาท ด้วยการด่าทอ (อย่างสุภาพ) ผมแค่จะชี้ให้เห็นว่า ผรุสวาท ไม่ได้ดูว่าใช้คำอะไร แต่ให้ดูลึกลงไปที่จิตใจ อารมณ์ ความคิด

- เรื่องคำเทศน์ที่ยกมา ท่านก็ตักเตือนพวกที่อ่านแล้วได้แต่ท่องตามพระไตรปิฎกโดยที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้
ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่าท่านจะเทศน์ผิดตรงไหน

ไตรลักษณ์ เป็นสามัญลักษณะของสังขาร คือ สังขารต่างๆย่อมมีลักษณะเหมือนกัน 3 ประการ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

แต่นิพพานเป็นวิสังขาร ไม่ใช่ สังขาร จึงอธิบายด้วยไตรลักษณ์ไม่ได้

ผู้ที่จะเข้าใจเรื่องวิสังขาร ต้องทำความเข้าใจเรื่องสังขารอย่างถ่องแท้ก่อน เหมือนที่หลวงตาบัวเปรียบว่าไตรลักษณ์เป็นบันไดไปสู่นิพพาน


ผมเคยอ่านหนังสือธัมมานุวัตน์ของสามเณรประมัย อธิบายว่า
อนัตตาโลกีย์ คือ สังขาร
อนัตตาโลกุตตระ คือ วิสังขาร

แล้วใครพูดผิดพูดถูก ทำไมคนนึงบอกว่าไม่ใช่อนัตตา แต่อีกคนบอกว่าอนัตตาโลกุตตระ
เอาเป็นว่า ที่แน่ๆคือ ไม่ใช่อัตตา

ตรงนี้ตามความเข้าใจของผมคือ นิพพานเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าคนทั่วไปจะเข้าใจได้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือสมมติ การจะอธิบายโดยใช้ภาษาที่เป็นสมมติย่อมทำได้ยาก

- คำว่าอนัตตาในคำเทศน์ของหลวงตาบัวก็คืออนัตตาแบบคนทั่วไปเข้าใจ(อนัตตาโลกีย์) หลวงตาจึงบอกว่านิพพานไม่ใช่อนัตตา
- สามเณรประมัยจึงใช้คำว่าอนัตตาโลกุตตระเพื่อให้เห็นว่าต่างจากอนัตตาโลกีย์
(หลวงปู่บุญเพ็งซึ่งเป็นสายเดียวกับหลวงตาบัวท่านก็รับรองหนังสือสามเณรประมัย ดังนั้นจึงไม่ได้แปลว่าใครสอนผิดใครสอนถูก แค่พยายามอธิบายด้วยภาษาของตนอย่างดีที่สุด)

จริงๆแล้วนิพพานเป็นอย่างไร คงเป็นเรื่องยากเกินจะอธิบายแล้วเข้าใจได้ และคงไม่สามารถสรรหาคำใดมาอธิบายหรือให้คำจำกัดความได้อย่างถ่องแท้ เหมือนคนไม่เคยเห็นช้าง ไม่เคยรู้จักรสเค็ม อธิบายด้วยภาษายังไงก็ได้แค่จำตามคำพูดแต่ไม่เข้าใจอย่างแท้จริง

พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ผู้ที่จะสอนเรื่องนิพพานได้ต้องเป็นผู้ที่รู้จักนิพพานก่อน ถ้ายังไม่รู้จักนิพพานแล้วไปสอนก็มีแต่จะไปผิดทาง อาจทำได้แค่สอนทางไปนรกไปสวรรค์แต่จะให้สอนเรื่องนิพพานที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนลึกซึ้งไม่ได้
ก็ตรงกับที่หลวงตาบอกว่าพวกไม่รู้จักนิพพานจะไปสอนเรื่องนิพพานก็คือสอนแบบส่งเสริมกิเลส ดังนั้นหลวงตาบัวไม่ได้ตำหนิพระไตรปิฎก แต่ตำหนิคนที่อ่านแล้วคิดว่าตัวเองเข้าใจเรื่องนิพพานต่างหาก

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:39.


#92 ขาวหรือดำ

ขาวหรือดำ

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 153 posts

ตอบ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:34

วิทยาศาสตร์ และ พุทธศาสนา เป็นความเชื่อเหมือนกัน ต้องปฏิบัติด้วยตัวเองจึงจะบอกได้ว่าเป็นจริง หรือเท็จ

#93 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:45

- ผมไม่ได้บอกว่าพระอรหันต์ไม่มีศีล ท่านรักษาศีลอย่างดีด้วย เข้าใจศีลอย่างดีด้วย ไม่ใช่เข้าใจเพียงแค่อ่านแบบเรา
แต่ผมบอกแล้วว่าพระอรหันต์ก็อาบัติได้ แต่ไม่ใช่ว่าศีลที่อาบัตินั้นไม่สำคัญ ไม่ต้องถือก็ได้ กรุณาอ่านอย่างมีสติ อย่าใช้เพียงอารมณ์เลยครับ
- ผมฟังเทศน์หลวงตาหลายกัณฑ์ก็ไม่เจอท่านใช้คำพูดหยาบคาย มีเสียงดังบ้าง คำพูดดุดันบ้าง แต่เป็นภาษาธรรม ผู้ปฏิบัติภาวนาย่อมรู้ดี ถึงได้บอกว่าเวลาภาวนาแล้วฟังเทศน์ของท่านจะช่วยให้ภาวนาได้ดี ผมจึงไม่ทราบว่าคุณ eAT ได้ยินคำๆนั้นมาจากที่ไหน กรุณาบอกที่มาด้วย

- ผมบอกไปแล้วว่าคำที่ว่าหยาบนั้นวัดจากอะไร ถ้าวัดจากกิเลสเราเป็นบรรทัดฐาน บางคนแค่คำว่า "กิน" ก็หาว่าหยาบ ต้องใช้คำว่า "รับประทาน"
คำบางคำถ้าเป็นชาวบ้านมองว่าธรรมดา ถ้าเป็นพวกผู้ลากมากดีก็ฟังว่าหยาบ หลวงตาบัวก็เป็นลูกชาวนาในชนบท จะให้มาใช้คำศัพท์แบบผู้ดี เจ้ายศเจ้าอย่างงั้นเหรอ เรื่องภาษาเป็นสิ่งสมมติ แต่ละยุคสมัยก็ไม่เหมือนกัน สมัยพ่อขุนรามก็อย่างหนึ่ง สมัยนี้ก็อย่างหนึ่ง

ผมจึงอยากให้พิจารณาคำว่า ผรุสวาท ให้ดีๆ จริงอยู่ ความหมายทางโลกคือ คำหยาบ คำด่าทอ คำสาปแช่ง แต่ถ้าพิจารณาทางธรรมต้องพิจารณาเข้าไปถึงจิตใจ สิ่งใดที่ทำให้จิตใจของเราหรือผู้อื่นเป็นทุกข์ก็คืออกุศล ดังนั้น ผรุสวาทหรือไม่ ไม่ได้ดูแค่คำ แต่ให้ดูเจตนาว่าผู้พูดใช้ด้วยอารมณ์โกรธแค้นเดือดดาล หรือเป็นเพียงคำพูดตรงๆที่แทงเข้าถึงหัวใจให้พวกกิเลสมันขยาดกันแน่

อย่างคุณ eAT เมื่อดูแต่ละคำที่ใช้แม้เป็นคำสุภาพจริง แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธเคียดแค้น ซึ่งแบบนี้ล่ะครับคือ ผรุสวาท

ปล. ยกตัวอย่างพระอรหันต์ในพระไตรปิฎกที่เรียกผู้อื่นว่า คนถ่อย แบบนั้นหยาบหรือไม่ แล้วเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ทีแบบนี้ไม่เชื่อพระไตรปิฎกแล้วหรือ (ลองไปอ่านดูครับ คำพูดนั้นไม่ได้เกิดจากอารมณ์ แต่เป็นเพียงสรรพนามที่ใช้เรียกผู้อื่น เหตุผลเพราะท่านมีบุปผกรรมมาแต่อดีตทำให้ต้องเรียกผู้อื่นแบบนั้น)


"ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ
เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ."

จะแถไปถึงไหน ไม่ต้องตีความ เด็ก ป.4 อ่านก็เข้าใจ
ว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคำด่าเลยแม้แต่น้อย


เอาละผมไม่เถียงต่อแล้ว เพราะใครๆ ก็รู้ :)
ไม่ต่างอะไรกับเสื้อแดง ยังไงก็ไม่ยอมรับรู้เรื่องราวใดๆ
ทั้งๆ ที่คนอื่นก็อิงอรรค อิงธรรม แต่ก็แถไปเรื่องอื่น
กระทั่งที่กล่าวให้ร้ายว่าพระไตรปิฎกจดบันทึกผิดๆ ถูกๆ
จดจำมาเรียบๆ ไม่มีเน้นหนัก เป็นของปลอม บลาๆๆๆ
ดันอ้างไปเรื่องนู้นอีก

ผมแค่ไม่อยากให้คนโกหกพกลมพูดแต่ฝ่ายเดียว
เดี๋ยวคนที่ไม่รู้เรื่องจะพาลหลงเชื่อพวกพูดเท็จเป็นนิจ
จะไม่ได้ประโยชน์ที่ควรได้เสีย

Edited by eAT, 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:50.


#94 IFai

IFai

    รักในหลวง

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,782 posts

ตอบ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 08:52

ขอบคุณจขกท. มากครับ

ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ


#95 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 02:15

- ประเด็นอยู่ที่

1. หยาบหรือไม่ วัดจากอะไร - ดูแค่คำพูดว่าเป็นที่ยอมรับในสังคมหรือไม่(ซึ่งสังคมแต่ละสังคมก็แตกต่างกันอีก ชนบท-คนในเมืองก็ต่างกัน ชาวบ้าน-เจ้าขุนมูลนาย หรือคุยทั่วไปแบบกันเอง-ภาษาทางการก็ต่างกัน) หรือควรจะดูที่เจตนา น้ำเสียง รูปประโยค อารมณ์...ขณะพูดร่วมด้วยหรือไม่

2. กรณีที่ดูแค่คำพูด แล้วจะอธิบายเรื่องพระปิลินทวัจฉเถระอย่างไร
(ในเมื่อตามพระไตรปิฎกบอกเป็นพระอรหันต์ แต่กลับใช้คำหยาบว่า "คนถ่อย")

คุณ eATลองแสดงความเห็นบ้างสิครับ เพราะไปเห็นประทู้นี้
http://webboard.seri...รในหลวงตาบั��%A7/
ผมว่าหลายท่านก็พยายามแสดงเหตุผลแล้ว เหลือคุณ eAT นี่แหละที่ยังไม่แสดงเหตุผลเลย(บอกแค่ว่าเป็นคำหยาบแต่จะอธิบายประเด็นที่ 2 ยังไง)

- ผมบอกไปแล้วว่าไม่ได้ตำหนิพระไตรปิฎก แต่ตำหนิคนที่อ่านพระไตรปิฎกแล้วตีความผิดไปเองต่างหาก

ปล. คุณ eAT ถามมาผมก็พยายามหาคำตอบ เชื่อไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ผมถามกลับก็น่าจะลองแสดงความเห็นบ้าง และผมก็ไม่อยากให้เป็นการเถียงกัน แค่อยากมาแชร์ความเห็นมากกว่า ไม่มีถูกผิดหรอกเพราะเป็นเรื่องยากเกินกว่าคนธรรมดาจะเข้าใจ

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 03:02.


#96 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 03:11

ลองอ่านเพิ่มเติมใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ 194-196

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 196
เรื่องวาจาหยาบ แต่ใจไม่หยาบ
ได้ยินว่า เด็กคนหนึ่งไม่เอื้อเฟื้อถ้อยคําของมารดาไปป่า มารดาไม่
สามารถให้เด็กนั้นกลับได้ จึงได้ด่าว่า ขอให้แม่กระบือดุจงไล่*คุณ* ทันใด
นั้น แม่กระบือป่าได้ปรากฏแก่เด็กนั้น เหมือนอย่างมารดาว่าทีเดียว เด็ก
นั้นได้กระทําสัจจกิริยาว่า สิ่งที่มารดาของเราพูดด้วยปาก จงอย่ามี สิ่งที่
มารดาคิดด้วยใจ จงมีเถิด แม่กระบือได้ยืนอยู่เหมือนถูกผูกไว้ในป่านั้นเอง.
ประโยคแม้ตัดความรักอย่างนี้ ก็ไม่เป็นผรุสวาจา เพราะมีจิตอ่อน
โยน. จริงอยู่ บางครั้งมารดาบิดาย่อมกล่าวกะลูกน้อย ๆ ถึงอย่างนี้ว่า
พวกโจรจงห้ําหั่นพวกเจ้าเป็นชิ้น ๆ ดังนี้ แต่ก็ไม่ปรารถนาแม้ให้กลีบบัว
ตกเบื้องบนของลูกน้อย ๆ เหล่านั้น อนึ่ง อาจารย์และอุปัชฌาย์ บางคราว
ก็กล่าวกะพวกศิษย์อย่างนี้ว่า พวกนี้ไม่มียางอาย ไม่เกรงกลัว คุยอะไร
กัน จงไล่มันไปเสีย ก็แต่ว่า ย่อมปรารถนาให้ศิษย์เหล่านั้นสําเร็จการ
ศึกษา และบรรลุมรรคผล. เหมือนอย่างว่า วาจาไม่เป็นผรุสวาจา เพราะ
คําอ่อนหวานก็หาไม่. ด้วยว่าผู้ต้องการจะฆ่า พูดว่า จงให้ผู้นี้นอนให้
สบาย ดังนี้ จะไม่เป็นผรุสวาจาก็หาไม่. ก็วาจานี้เป็นผรุสวาจาทีเดียว
เพราะมีจิตหยาบ. ผรุสวาจานั้น มีโทษน้อย เพราะผู้ที่ตนพูดหมายถึงนั้น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 197
มีคุณน้อย มีโทษมาก เพราะผู้นั้นมีคุณมาก.
ผรุสวาจานั้น มีองค์ ๓ คือ
๑. อกฺโกสิตพฺโพ ปโร คนอื่นที่ตนด่า
๒. กุปิตจิตฺตํ จิตโกรธ
๓. อกฺโกสนา การด่า

การจะเป็นกุศลหรืออกุศลที่แสดงออกมาทางกาย หรือวาจา ขึ้นอยู่กับจิตเป็นสำคัญ
ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ดังเช่น พระปิลินทวัชชะที่กล่าวว่า คนถ่อยเป็นประจำ ท่านเป็น
พระอรหันต์แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่วาจาหยาบเลยเพราะกล่าวด้วยจิตที่ไม่มีกิเลส จึงขึ้น
อยู่กับ
จิตเป็นสำคัญ มิใช่ถ้อยคำเป็นสำคัญครับซึ่งเรื่องนี้ ก็คงจะได้ฟังกันบ้างแล้ว จะ
ขอยกเรื่องที่อาจจะไม่ค่อยได้ฟัง เรื่องที่มีบุคคล(เป็นอุปัฏฐากพระเทวทัต)ไปเฝ้า
พระพุทธเจ้า เพื่อต้องการเสียดสีพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัส คำบางคำแต่
บุคคลนั้นหาว่าพระพุทธเจ้า ติเตียนด้วยกิเลสแต่จริงๆแล้วพระพุทธองค์ทรงดับกิเลส
แล้วจึงไม่เป็นคำหยาบเลย ลองอ่านดูนะ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 461
ข้อความบางตอนจากอุปกสูตร
พระพุทธองค์ทรงโต้วาทะกับอุปกมัณฑิกาบุตร
[๑๘๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ
ใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล อุปกมัณฑิกาบุตรเข้าไฝเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้ามี
วาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ผู้ใดผู้หนึ่งกล่าวติเตียนผู้อื่น ผู้นั้นทั้งหมดย่อม
ไม่อาจให้กุศลกรรมเกิดขึ้นได้ เมื่อไม่อาจให้กุศลกรรมเกิดขึ้นได้ ย่อมเป็นผู้
ถูกครหาติเตียน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุปกะ ถ้าบุคคล. กล่าว
ติเตียนผู้อื่น เมื่อเขากล่าวติเตียนผู้อื่นอยู่ ย่อมไม่อาจให้กุศลกรรมเกิดขึ้นได้
เมื่อไม่อาจให้กุศลกรรมเกิดขึ้นได้ ย่อมเป็นผู้ถูกครหาติเตียนไซร้ ดูก่อนอุปกะ
ท่านนั่นแหละกล่าวติเตียนผู้อื่นย่อมไม่อาจให้กุศลกรรมเกิดขึ้นได้ เมื่อไม่อาจ
ให้กุศลกรรมเกิดขึ้นได้ ย่อมเป็นผู้ถูกครหาติเตียน.
ทางแห่งถ้อยคำ ที่บุคคลอื่นพึงจะกล่าวกะท่าน มีอยู่
1. กล่าวโดยกาล อันสมควรหรือไม่สมควร
2. กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง
3. กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือหยาบคาย
4. กล่าวด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์
5. มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว
...

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 08:22.


#97 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

ตอบ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 07:22

อ่านกระทู้แบบนี้แล้วปวดตับทุกที พวกกูรูทั้งหลายเถียงกันแบบหลักกูทั้งนั้น
เจริญๆละกันนะครับ ผมไปอ่านหนังสือท่านพุทธทาสดีกว่า


มาแอบอยู่ด้วยคนนนน ^_^


เราต่างเป็นศิษย์พระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น

เราต่างก็มีความทุกข์เหมือนกันหมดทั้งสิ้น

เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น

เมตตากรุณาต่อกันให้มากๆเถิด


ด่าเสื้อแดงอย่างเดียวก็เหนื่อยแล้วเนาะ

พักนี้ต้องมาด่าพวกเสื้อเหลืองอีก

เหนื่อยแท้เนาะ...ชีวิตนี้... เฮ้อ


gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#98 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 08:51

- ประเด็นอยู่ที่

1. หยาบหรือไม่ วัดจากอะไร - ดูแค่คำพูดว่าเป็นที่ยอมรับในสังคมหรือไม่(ซึ่งสังคมแต่ละสังคมก็แตกต่างกันอีก ชนบท-คนในเมืองก็ต่างกัน ชาวบ้าน-เจ้าขุนมูลนาย หรือคุยทั่วไปแบบกันเอง-ภาษาทางการก็ต่างกัน) หรือควรจะดูที่เจตนา น้ำเสียง รูปประโยค อารมณ์...ขณะพูดร่วมด้วยหรือไม่

2. กรณีที่ดูแค่คำพูด แล้วจะอธิบายเรื่องพระปิลินทวัจฉเถระอย่างไร
(ในเมื่อตามพระไตรปิฎกบอกเป็นพระอรหันต์ แต่กลับใช้คำหยาบว่า "คนถ่อย")

คุณ eATลองแสดงความเห็นบ้างสิครับ เพราะไปเห็นประทู้นี้
http://webboard.seri...รในหลวงตาบั��%A7/
ผมว่าหลายท่านก็พยายามแสดงเหตุผลแล้ว เหลือคุณ eAT นี่แหละที่ยังไม่แสดงเหตุผลเลย(บอกแค่ว่าเป็นคำหยาบแต่จะอธิบายประเด็นที่ 2 ยังไง)

- ผมบอกไปแล้วว่าไม่ได้ตำหนิพระไตรปิฎก แต่ตำหนิคนที่อ่านพระไตรปิฎกแล้วตีความผิดไปเองต่างหาก

ปล. คุณ eAT ถามมาผมก็พยายามหาคำตอบ เชื่อไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ผมถามกลับก็น่าจะลองแสดงความเห็นบ้าง และผมก็ไม่อยากให้เป็นการเถียงกัน แค่อยากมาแชร์ความเห็นมากกว่า ไม่มีถูกผิดหรอกเพราะเป็นเรื่องยากเกินกว่าคนธรรมดาจะเข้าใจ


ตลกแล้ว ไม่ได้แสดงความเห็น
เอาง่ายคำว่า YETแม่ พิมพ์ลงบอร์ดนี้ได้หรือไม่
เอาไปถามคนทั่วไปก็ได้ว่า เป็นคำหยาบคายหรือเปล่า
พวกหลวงตาบัวนี่ไร้ยางอายสิ้นดี หรือว่าคุณรับรองว่า
YETแม่เป็นคำสุภาพ ก็แจ้งม๊อด ผมจะได้ใช้โพสต์มันทุกวันเลย
ยิ่งโพสต์แบบนี้ยิ่งตกต่ำ ยิ่งแสดงความสาระ-เลวขี้นเรื่อยๆ
แต่ว่าเถอะ พิมพ์ไปก็เท่านั้น ไม่ทางรู้สึกตัวอยู่แล้ว

#99 ไร้สีไร้กลิ่น

ไร้สีไร้กลิ่น

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,501 posts

ตอบ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 09:57

สรุป

ประเด็นหนึ่ง - ตกลงคุณ eAT เห็นว่าหยาบคาย ผมก็เห็นว่าหยาบคายเช่นกัน(ถ้าดูเฉพาะคำ แต่ถือเป็นผรุสวาทที่เป็นอกุศลกรรมบท อย่างที่ยกพระไตรปิฎกมาให้ดูว่าคำหยาบแต่ใจไม่หยาบ จึงให้ดูที่จิตเป็นสำคัญ ไม่ใช่ที่คำ) แต่สำหรับชาวบ้านที่ฟังขณะนั้นมองว่าหยาบหรือไม่ ไม่ทราบได้

ประเด็นสองล่ะครับเห็นว่ายังไง - ตกลงพระอรหันต์พูดหยาบได้หรือไม่? ถ้าไม่ได้จะอธิบายเรื่องพระปิลินทวัจฉเถระอย่างไร?

ปล. หากหลวงตาบัวเป็นคนหยาบถ่อย โอ้อวดตน หาคุณธรรมไม่ได้ แล้วทำไมฟ้าหญิงจึงขอเป็นบุตรบุญธรรม ตอนนั้นหลวงตาก็บอกให้ไปขออนุญาตในหลวงก่อนซึ่งในหลวงก็ทรงอนุญาต
ฟ้าหญิงยังกล่าวสรรเสริญหลวงตาไว้มากมาย ในหลวงก็ทรงเคารพหลวงตา พระสังฆราช(ที่พระทั่วโลกนับถือ)ก็เคารพหลวงตา
เพราะอะไรผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรม(ระดับพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม, พระอรหันต์) ผู้มีศีล นักปฏิบัติภาวนาทั้งหลายจึงได้เคารพหลวงตาที่เป็นชาวบ้าน พูดภาษาหยาบๆ ลองไปพิจารณาดู

อย่าเห็นแค่คำหยาบไม่กี่คำมาบดบังธรรมมะดีๆที่ท่านสั่งสอน(ท่านเทศน์แต่ละครั้งเป็นชั่วโมง มีคำว่าเย็ดกี่คำ แล้วเป็นการใช้แบบพร่ำเพรื่อ ใช้เพื่อให้คนลุ่มหลงยินดีในเรื่องกามหรือไม่ หรือเพื่อตักเตือนให้ได้สติ)

อย่าใช้เพียงอคติว่าไม่ใช่อรหันต์แน่ๆเลยไม่คิดจะสนใจธรรมที่ท่านสอน ลองฟังก่อน ดีไม่ดีค่อยว่ากัน (คนพูดเพราะแต่สอนผิดๆก็มี อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาดูน่าศรัทธา หรือไม่เชื่อเพียงเพราะเขาดูไม่น่าศรัทธา)

ยังไงลองข้ามกรอบความคิดเดิมๆแล้วกลับมาพิจารณาคำเทศน์ของท่าน สิ่งใดผิดเพี้ยนไปจากคำสอนพระพุทธองค์บ้าง น่าจะมาวิเคราะห์กัน เพราะพระอรหันต์ย่อมเห็นธรรมอันเดียวกับพระพุทธเจ้า ไม่บิดเบือนคำสอน (ถ้าธรรมมะขั้นสูงยากเกินไปก็ลองธรรมมะขั้นพื้นฐานทั่วไปก็ได้ว่าถูกต้องหรือไม่)

ถ้ารู้จักเพิกผ้าขี้ริ้วออกก็จะได้เห็นทองคำข้างในครับ

Edited by ไร้สีไร้กลิ่น, 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 11:38.


#100 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:57

สรุป

ประเด็นหนึ่ง - ตกลงคุณ eAT เห็นว่าหยาบคาย ผมก็เห็นว่าหยาบคายเช่นกัน(ถ้าดูเฉพาะคำ แต่ถือเป็นผรุสวาทที่เป็นอกุศลกรรมบท อย่างที่ยกพระไตรปิฎกมาให้ดูว่าคำหยาบแต่ใจไม่หยาบ จึงให้ดูที่จิตเป็นสำคัญ ไม่ใช่ที่คำ) แต่สำหรับชาวบ้านที่ฟังขณะนั้นมองว่าหยาบหรือไม่ ไม่ทราบได้

ประเด็นสองล่ะครับเห็นว่ายังไง - ตกลงพระอรหันต์พูดหยาบได้หรือไม่? ถ้าไม่ได้จะอธิบายเรื่องพระปิลินทวัจฉเถระอย่างไร?

ปล. หากหลวงตาบัวเป็นคนหยาบถ่อย โอ้อวดตน หาคุณธรรมไม่ได้ แล้วทำไมฟ้าหญิงจึงขอเป็นบุตรบุญธรรม ตอนนั้นหลวงตาก็บอกให้ไปขออนุญาตในหลวงก่อนซึ่งในหลวงก็ทรงอนุญาต
ฟ้าหญิงยังกล่าวสรรเสริญหลวงตาไว้มากมาย ในหลวงก็ทรงเคารพหลวงตา พระสังฆราช(ที่พระทั่วโลกนับถือ)ก็เคารพหลวงตา
เพราะอะไรผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรม(ระดับพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม, พระอรหันต์) ผู้มีศีล นักปฏิบัติภาวนาทั้งหลายจึงได้เคารพหลวงตาที่เป็นชาวบ้าน พูดภาษาหยาบๆ ลองไปพิจารณาดู

อย่าเห็นแค่คำหยาบไม่กี่คำมาบดบังธรรมมะดีๆที่ท่านสั่งสอน(ท่านเทศน์แต่ละครั้งเป็นชั่วโมง มีคำว่าเย็ดกี่คำ แล้วเป็นการใช้แบบพร่ำเพรื่อ ใช้เพื่อให้คนลุ่มหลงยินดีในเรื่องกามหรือไม่ หรือเพื่อตักเตือนให้ได้สติ)

อย่าใช้เพียงอคติว่าไม่ใช่อรหันต์แน่ๆเลยไม่คิดจะสนใจธรรมที่ท่านสอน ลองฟังก่อน ดีไม่ดีค่อยว่ากัน (คนพูดเพราะแต่สอนผิดๆก็มี อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาดูน่าศรัทธา หรือไม่เชื่อเพียงเพราะเขาดูไม่น่าศรัทธา)

ยังไงลองข้ามกรอบความคิดเดิมๆแล้วกลับมาพิจารณาคำเทศน์ของท่าน สิ่งใดผิดเพี้ยนไปจากคำสอนพระพุทธองค์บ้าง น่าจะมาวิเคราะห์กัน เพราะพระอรหันต์ย่อมเห็นธรรมอันเดียวกับพระพุทธเจ้า ไม่บิดเบือนคำสอน (ถ้าธรรมมะขั้นสูงยากเกินไปก็ลองธรรมมะขั้นพื้นฐานทั่วไปก็ได้ว่าถูกต้องหรือไม่)

ถ้ารู้จักเพิกผ้าขี้ริ้วออกก็จะได้เห็นทองคำข้างในครับ


อิอิ คนนี้ ไล่เรื่องนี้ไม่ได้หรอกครับ หากหลวงตาบัวเป็นคนหยาบถ่อย โอ้อวดตน หาคุณธรรมไม่ได้ แล้วทำไมฟ้าหญิงจึงขอเป็นบุตรบุญธรรม ตอนนั้นหลวงตาก็บอกให้ไปขออนุญาตในหลวงก่อนซึ่งในหลวงก็ทรงอนุญาต
ฟ้าหญิงยังกล่าวสรรเสริญหลวงตาไว้มากมาย ในหลวงก็ทรงเคารพหลวงตา พระสังฆราช(ที่พระทั่วโลกนับถือ)ก็เคารพหลวงตา
เพราะ อะไรผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรม(ระดับพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม, พระอรหันต์) ผู้มีศีล นักปฏิบัติภาวนาทั้งหลายจึงได้เคารพหลวงตาที่เป็นชาวบ้าน พูดภาษาหยาบๆ ลองไปพิจารณาดู

รับรองได้ เพราะเขาย่อมรับแต่พระไตรปิฏกและ พระพุทธเจ้าเท่านั้น วิธีที่จะไล่เขา ต้อง อันนี้ ครับ อธิบายเรื่องพระปิลินทวัจฉเถระอย่างไร
ต้อง ยก เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสินแล้ว แต่บ้างครั้ง ก็ไม่ได้ผล เช่นเรื่อง พระอุบลวรรณาเถรี ก็ยังจะมายัดเยียดเรื่องพระอรหันต์ เสพสังวาลได้


สรุปแล้ว คุณเอาศักดิ์ศรีของความเป็นคนของคุณมา
บอกว่า ไม่มีความสามารถตัดสินใจได้ว่า

เ-ย็-ด-แ-ม่

เป็นคำหยาบหรือไม่ ถูกต้องไหม?
คำหยาบตามที่พระพุทธเจ้าสอนไม่มีจริง
มีแต่สมมุติ ดังนั้น การใช้คำพวกนี้
เป็นสิ่งที่ทำได้ มรรมีองค์ 8 เรื่องสัมมาวาจา
ไม่มีจริง เพราะวาจาเป็นเรื่องสมมุติ ร่างกาย
สิ่งของเป็นเรื่องสมมุติ ดังนั้น

พระอรหันต์ พูดคำหยาบได้
ฆ่าคนก็ได้ เพราะไม่มีคนจริง
จะเสพเมถุนกับหมาก็ได้ เพราะทั้งหมดเป็น
สมมุติบัญญัติทั้งสิ้น มีแต่นิพพานที่เป็นของจริง


นี่คือสติปัญญา ความรู้ และคำสั่่งสอนเท่าที่มี ของตาบัวมีอยู่
ถูกต้องไหม?


ยัดเยียดอีกแล้ว กลับอ่านให้เข้าใจนะครับ

ผมว่าคุณต้องศึกษาอีกเยอะเลย
ถาม ว่าฆ่าคนตายได้ไหม ผมไม่รู้เพราะไม่เคยเจอ แต่ถ้าสัตว์ เป็นร้อย เรื่องนี้มีเรื่องพระจัตขุบาล เป็นพยานแล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงเหตุแล้ว
ของ ความไม่ผิดแล้ว ดูสิว่าท่านยึดเอาอะไรเป็นเหตุ เรื่องเสพเมถุน ธรรม ก็มีเรื่องเทียบเคียงแล้ว กรณีพระอุบลวรรณาเถรี พระพุทธเจ้าทรงตรัสเหตุของความไม่ผิดแล้ว ถ้าจิตไม่มีความยินดีในการเสพเมถุนธรรมนั้นไม่ผิดนะ หรือคุณจะบอกว่านั้นมันถูกกระทำครับก็ถูก เพราะถ้าเป็นฝ่ายกระทำ คุณคิดว่าเขาบรรลุอรหันต์แล้วหรือ เมถุนธรรม มันเป็นแค่รูปกาม อรูปกาม(กามเทวดา)ละเอียดลึกกว่านั้นสุขกว่านั้น ความสุขในสมาธิยิ่งละเอียดเข้าไปใหญ่ ถ้าคุณเปิดใจศึกษา ที่หลวงปู่มั่น บอกเตือนหลวงตามหาบัว คุณจะรู้ว่า สัมมาของพระอรหันต์ ต่างกับสัมมาของคนธรรมดาอย่างไร นั้นเป็นแค่ตัวอย่าง ผมถึงบอกว่าคุณเข้าถึงสภาวะจิตไม่ยึดติดกับกาย หรือจิตไม่รับรู้กาย คุณถึงจะเข้าใจ หลายเรื่อง


คำเห็นของคุณปังตอ ผมจึงเห็นด้วย มากๆๆ

:) ...ถึงตรงนี้ทำให้ผมเชื่อคำสอนของพระพุทธองค์ ของครูบาอาจารย์เลยว่า...

อย่าไปเถียงกับพวกบ้าตำรา...เถียงให้ตายคุณก้อไม่ชนะ

แล้วผมก็เห็นถึงความเป็นจริง....มันเป็นอย่างนี้เอง



(ขอจริง...นิ่งเป็นใบ้)............................................ :)
พอได้แล้วมั้งผมว่า ยิ่งติดตาม...ก้อดูจะยิ่งเลอะไปกันใหญ่


บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป




ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน