Jump to content


Photo

-..- เปิดประเด็นเรื่องพุทธศาสนามั่ง...


  • Please log in to reply
33 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 20:21

:mellow: หัวใจหรือแก่นของศาสนาพุทธคืออะไร...


:) Sometime...Sun shine through the rain...

#2 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 20:21

:rolleyes:
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#3 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 21:49

อนัตตา


  • wat likes this

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#4 phoosana

phoosana

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,687 posts

ตอบ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 21:58

ดูกรพราหมณ์ ดังพรรณนามาฉะนี้
พรหมจรรย์จึงมิใช่มีลาภสักการะและความสรรเสริญเป็นอานิสงส์
มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์
มิใช่มีความถึงพร้อมสมาธิ เป็นอานิสงส์
มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์

พรหมจรรย์นี้มีเจโตวิมุติอันไม่กำเริบ เป็นประโยชน์ เป็นแก่น เป็นที่สุด..


ความเห็นผมว่าอันนี้ :lol:

Edited by phoosana, 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:00.

  • wat likes this
We love fender.

#5 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:12

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ด้วย อรรถว่าดังนี้ครับ
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑- หน้าที่ 172

ชื่อว่า เป็น อนัตตา เพราะเหตุ ๔ เหล่านั้น คือ โดยความเป็นของสูญ ๑ โดยความ

ไม่มีเจ้าของ ๑ โดยเป็นสิ่งที่ควรทำตามชอบใจไม่ได้ ๑ โดยปฏิเสธต่ออัตตา ๑.
------------------------------------------------------------------------
โดยความเป็นของสูญ คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลย
สูญไปเลย แต่มีสภาพธรรม เพียงแต่สูญ คือ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนในสภาพธรรมนั้น
เลย เพราะเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา สัตว์ บุคคล ครับ
โดยความไม่มีเจ้าของ คือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของสภาพธรรม ที่คิดว่าเป็นเจ้าของ
ทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สมบัตินั้นก็ไม่รู้ว่าว่ามีคนเป็นเจ้าของเพราะเป็นแต่เพียงรูป และ
ทรัพย์สมบัติก็เสื่อมสบลายไป ไม่ใมีใครที่เป็นเจ้าของได้จริงๆ ผู้ที่เป็นเจ้าของ ก็ต้อง
จากไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ เพราะเป็นแต่เพียงธรรมที่เป็นอนัตตา ครับ
โดยเป็นสิ่งที่ควรทำตามชอบใจไม่ได้ คือ ไม่สามารถให้ จิต เจตสิก รูปและสภาพ
ธรรมเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ตามใจชอบไม่ได้เลย และไม่ให้ดับไปก็ไม่ได้ จะให้ยั่งยืน
อยู่ตลอดเวลาไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
โดยปฏิเสธต่ออัตตา คือ คือ ปฏิเสธว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนอยู่ในสภาพธรรม ครับ

นี่คือ อรรถ 4 อย่างที่แสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม

ซึงการจะถึงความเป็นอนัตตา ก็ด้วยการประจักษ์ด้วยปัญญาเท่านั้น โดยเริ่มจากากร
ฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ปัญญาก็จะค่อยๆเจริญจนถึงการประจักษ์สภาพธรรมว่าไม่ใช่เรา
เป็นแต่เพียงธรรม
  • wat likes this

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#6 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:26

:) ความเห็นของผมคือ "พระธรรม" ครับ ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่มาสนทนาธรรมกันครับ กระทู้นี้ประเด็นคือ...มุมมองที่มีต่อพุทธศาสนาของทุกท่านครับ...

:) ถามต่อกันอีกนิด คิดกันต่ออีกหน่อย...แก่นของพระธรรมคืออะไรครับ...
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#7 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:43

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นหนึง ไม่เป็นสอง หมายความว่า

เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ พระองค์ทรง

แสดงธรรมไปตามความเป็นจริง ว่า ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา ก็เป็นจริงอย่างนั้น

เพราะ
ความหมายของอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นสภาพธรรม

ที่่ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนสัตว์ บุคคล เป็นสภาพธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้

ปฏิเสธต่ออัตตาอย่างสิ้นเชิง ความจริงเป็นอย่างนี้ ความเป็นอนัตตา ครอบคลุม
สิ่งที่มีจริงทั้งหมด คือ จิต เจตสิก รูป และพระนิพพาน เพราะเป็นธรรมแต่ละอย่าง ๆ
ที่มีจริง ที่ไม่ใช่ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน หาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลในสภาพธรรมที่มี
จริง ไม่ไ้ด้เลย
ธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

จริง ๆ ไม่มีใครสามารถบังคับให้ธรรมอะไรเกิดขึ้นได้เลย บังคับให้เห็นก็ไม่ได้ เพราะ

เห็นเกิดเพราะเหตปัจจัยจัยหลายอย่าง เช่น มีกรรมเป็นปัจจัย มีที่อาศัยให้จิตเห็นเกิด

มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นต้น แม้แต่ปัญญา เอง ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ที่เข้าใจ

ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ก็เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัยเช่นเีดียวกัน ไม่ใช่ว่ามีตัว

ตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิดได้ ต้องอาศัยเหตุหลายอย่างหลายประการด้วยกัน

ต้องมีศรัทธาที่จะฟัง ที่จะศึกษา เพราะเคยเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงมา

แล้ว จึงทำให้เป็นผู้ที่สนใจที่จะฟัง ที่จะศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง

ตามความเป็นจริง จึงฟัง จึงศึกษา เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษา ปัญญาย่อมจะเจริญขึ้นไป

ตามลำดับ โดยไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิดเลย แต่เกิดขึ้นเพราะเหต

ปัจจัยจริง ๆ แต่การใ้ช้คำพูดในการสื่อสาร ก็อาจจะพูดว่า สร้างเหตุ หรือ เจริญเหตุ

หรือ ทำเหตุ เป็นต้น โดยที่ไม่ได้ปฏิเสธโวหารของชาวโลก ก็ขอให้เข้าใจว่า

ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครเจริญ ไม่มีใครทำ มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น สำคัญที่

ความเข้าใจถูกเห็นถูกจริง ๆ ว่าเป็นธรรมที่มีจริง




ขณะนี้คุณ กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ใช่ไหมครับ ขณะนี้เองคืออนัตตาอัน
เป็นสภาพที่บังคับให้เป็นไปตามใจไม่ได้ แต่เป็นสภาพที่เกิดขึ้นได้เพราะมีปัจจัย
หลายปัจจัยอุปถัมภ์อยู่ หากปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดเสื่อมไปหรือขาดไป ขณะนี้คุณ ก็
อ่านข้อความนี้ไม่ได้

ตัวอย่างปัจจัย(ส่วนหนึ่งในปัจจัยอันนับไม่ถ้วน)

- คุณ ตาไม่บอด
- คุณมีความจำความหมายของอักษร คำ และประโยคภาษาไทย มาแล้ว
- มีสีปรากฎ (เป็นตัวอักษร)
- ร่างกายคุณมีอาหารซึ่งให้กำลังอยู่ (มิฉะนั้นจะไม่มีแรง หรือเสียชีวิต)
- กล้ามเนื้อทั้งหลายของคุณ ทำงานปกติดี และไม่เป็นอัมพาต
- อุณหภูมิรอบตัวขณะนี้ไม่สูงหรือต่ำจนเป็นอันตราย
- มีสภาพแข็ง ที่โต๊ะ เก้าอี้ พื้นห้อง หรือพื้นดิน ที่ทำให้คุณทรงร่างกายไว้ได้
- ฯลฯ

จะเห็นได้ว่า กิจกรรมทุกขณะในชีวิตของเรา ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างจึงจะ
สำเร็จได้ ซึ่งหากปัจจัยหนึ่งอย่างหรือหลายอย่างเปลี่ยนไป กิจกรรมทีต้องอาศัยปัจจัย
นั้นก็ย่อมแปรปรวน หรือเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีบ้าง ร้ายบ้าง ขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่า
นั้นจะเกื้อกูล หรือขัดขวาง ไม่สามารถที่จะไปกะเกณฑ์ให้อะไรอะไรเป็นไปตามที่เรา
ต้องการ นี่แหละครับ ธรรมะในชีวิตประจำวัน

ซึ่งธรรมะทั้งปวง เป็นอนัตตา

Edited by chackrapbong, 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:44.

  • wat likes this

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#8 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:54

:) แล้วก่อนจะบรรลุถึงธรรมที่ว่าเป็นอนัตตานั้น เราจะยึดสิ่งใดเป็นหลักครับ เมื่อเบื้องต้นของสัตตานังทั้งปวงคือ อวิชชาและตัณหา...ก่อนจะเข้าถึงธรรมที่ว่ามันไม่ใช่เรา สิ่งนี้สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา...
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#9 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 23:19

ผมไม่ได้บรรลุธรรมครับ

ไม่ว่าท่านจะบรรลุหรือไม่บรรลุ ธรรมก็เป็นอนัตตาอยู่แล้ว
ผู้ที่ไม่สงสัยในพระธรรมอีกเลย นั่นคือ พระโสดาบันครับ

ผมก็ตอบตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส

เพราะฉนั้น สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือ ฟังครับ
ฟังว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสสิ่งใด ว่าอย่างไร

ก็เห็นจะไม่พ้นไปจาก สิ่งที่มีในพระไตรปิฎก
แล้วผมก็จะเจอขอหาว่า อ้างตำรา

ซึ่งที่จริงแล้ว ทุกคนก็ทราบว่า ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพาน
พระองค์ไม่ทรงแต่งตั้งใครเป็น ศาสดาแทนพระองค์
แต่ทรงมอบพระธรรมที่ทรงตรัสรู้เป็นคำสอนแทนพระองค์


สรุป ท่านไม่ต้องยึดสิ่งใดครับที่จะบรรลุธรรมที่ว่าเป็นอนัตตา

เพราะธรรม เป็นอนัตตาอยู่แล้ว ไม่ว่าท่านจะยึด หรือ ไม่ยึด
ธรรม ก็ยังคงเป็นอนัตตา เพราะเป็นสัจจธรรม ที่ไม่ขึ้นอยู่กับใคร
  • wat likes this

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#10 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 09:50

:) กระทู้นี้ประเด็นคือ...มุมมองที่มีต่อพุทธศาสนาของทุกท่านครับ...

...มาแลกเปลี่ยนความคิด, มุมมองกันครับ ตำราอ้างก็ได้แต่อ้างให้ถูกให้ตรง สิ่งที่จะได้ก็คือสิ่งที่ถูกที่ตรงกับตนเองแหละครับ...

...ที่พระพุทธองค์ตรัสเป็นพุทธวจนะ ถือศีล 5 ได้ตลอดชีวิตก็โสดาบันได้เหมือนกันครับ มี 54 นัยยะของความเป็นโสดาบัน ที่กล่าวมาก็ 1 ในนั้นคือ มีความเห็นหยั่งลงมั่นไม่แปรผันต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะเดียวที่ทำให้เข้าถึงวิมุติได้ ไม่มีเป็นอย่างอื่น...

...เคยได้ยิน 10 พระสูตรที่ว่าด้วยการไม่ฟัง ไม่เชื่อในคำสาวก แต่ให้ฟังและปฏิบัติตามคำของพระพุทธองค์เท่านั้น ห้ามสาวกต่อเติมเสริมตัดคำสอนใดๆของพระองค์ ซึ่งจะเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พระศาสนาเสื่อมดังเช่นปัจจุบัน...มั้ยครับ

...ถ้าเคย แล้วสืบค้นหาตามวิธีที่พระศาสดากำหนดวิธีตรวจสอบพุทธวจนะของพระองค์ที่อยู่ในพระไตรปิฎก (ตะกร้าสามใบ) นั่นแหละ แล้วศึกษาตามนั้น สิ่งที่จะได้ก็คือสิ่งที่ถูกที่ตรงกับตนเองแหละครับ...

^_^ ก็อย่างที่ถามเบื้องต้น...หัวใจหรือแก่นของศาสนาพุทธคืออะไร...ความเห็นของผมก็คือพระธรรม ที่เป็นศาสดาแทนพระพุทธองค์นั่นแหละครับ...แล้วแก่นของพระธรรมคืออะไร...ผมว่าอนัตตาเป็นปลายทางสุดท้ายของผู้ศึกษา และปฏิบัติตามพระธรรมครับ เพราะหากไม่ศึกษา ไม่โน้มเอียงมาหาธรรมจะเห็นอนัตตาได้อย่างไร ผมว่ามันเป็นหลักที่พระพุทธองค์สอนให้ "ยึดธรรม" ก่อน เมื่อลึกซึ้งถึงธรรมนั้นแล้วก็ "ปล่อยวาง" ทุกสิ่งไปครับ...วิภวตัณหา ครูอาจารย์บางท่านก็บอกการอยากหลุดพ้นก็เป็นวิภวตัณหา...อ้าว...แล้วถ้าอยากหลุดพ้นโดยไม่ยึดธรรมก่อนเพราะไปยึดก็เป็นความอยาก, เป็นความไม่อยาก แล้วจะใช้หลักอะไรในการเข้าให้ถึงอนัตตาล่ะครับ...
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#11 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 16:11

ภิกษุ ทั้งหลาย รูปเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง,สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกสิ่งนั้นเป็นอนัตตา,สิ่งใดเป็นอนัตาสิ่งนั้น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เธอทั้งหลายพึงเห็นข้อนั้นด้วยปัญญาโดยชอบ ตรงตามที่เป็นจริง อย่างนี้ ด้วยประการ ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเห็นข้อนั้น ด้วยปัญญาโดยชอบ ตรงตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ปุพพันตานทิฏฐิ ทั้งหลาย ย่อมไม่มี เมื่อปุพพันตนุทิฎฐิไม่มี อปรันตานุทิฏฐิ ทั้งหลายย่อมไม่มี เมื่ออปรันตานุทิฏฐิไม่มี ความยึดมั่น ลูบคลำอย่างแรงกล้าไม่มี จิตย่อมจาง คลายกำหนัดในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เพราะจิตพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะจิตที่ดำรงอยู่ จิตจึงยินดีราเริงด้วยดี เพราะเป็นจิตที่ยินดีร่าเริงด้วยดี จิตจึงไม่หวาดสะดุ้ง เมื่อจิตไม่หวาดสะดุ้ง ย่อมปรินิพพานเฉพาะตน นั้นเที่ยว เธอนั้นย่อม รู้ชัดว่า ชาตินี้ สิ้นแล้ว พรหมจรรยืได้อยู่จอแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นไปอย่างนี้ มิได้มีอีก (-ขนฺธ. ส ํ. 17/93/57)


ผมไม่ขอยก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน มานะครับ เพราะเหมือนกัน

ส่วนอันนี้ เป็นพุทธวจนะ เกี่ยวกับ ธรรม

ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเข้าใจว่าอย่างไร ใบไม้สีสปา ที่เรากำขึ้นหน่อยหยึ่งนี้มาก หรือว่าใบไม้สีสปาที่ยังอยู่บนต้น เหล่านั้นมีมาก
"ข้าแต่พระองคืผู้เจริญ ใบไม้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำขึ้นหน่อยหนึ่งนั้นเป็นของน้อย ส่วนใบไม้ที่ยังอยู่บนต้นสีสปาเหล่านั้นย่อมมีมาก"
ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น ธรรมะส่วนที่เรารู้ยิ่งด้วยปัญญาอันยิ่ง แล้วไม่กล่าวสอนนั้น มีมากกว่าส่วนที่นำมาสอน ภิกษุทั้งหลาย เหตุไรเล่า เราจึงไม่กล่าวสอนธรรมะส่วนนั้น ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุว่าธรรมะ ส่วนนั้นๆ ไม่ประกอบอยู่ด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเงื่อนต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อควาหน่าย ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความดับ ไม่เป็นไปเพื่อเพื่อความสงบ ไม่เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม ไม่เป็นไปเพื่อนิพาน,ฉะนั้นเราจึงไม่กล่าวสอน.
เห็นอะไรไหมครับ
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#12 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 16:32

ภิกษุ ท. สังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม 3 อย่าง เหล่านี้ มีอยู่ สามอย่างอย่างไรเล่า สามอย่างคือ
1. มีการเกิดปรากฏ (อุปฺปาโท ปญฺญายติ)
2. มีการเสื่อมปรากฏ (วโย ปญฺญายติ)
3. เมื่อตั้งอยู่ ก็มีภาวะอย่างอื่นปราฏก (ฐิตสฺส อญฺญภตฺตํ ปญฺญายติ)
ภิกษุ ท. สามอย่างเหล่านี้แล คือสังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม.
ภิกษุ ท. อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม 3 อย่างเหล่านี้ มีอยู่3อย่าง อย่างไรเล่า
1. ไม่ปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺญายติ)
2. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺญายติ)
3. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (น ฐิตสฺส อญฺญภตฺตํ ปญฺญายติ)
ภิกษุ ท. สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขต ลักษณะของอสังขตธรรม
-ติก.อํ. 20/486-487/192
อรรถจาร์ย จัด ว่า นิพพาน อยู่ใน อสังขตธรรม ซึ่งอยู่ใน อนัตตา แต่ พระพุทธเจ้าบอกอะไร

ภิกษุ ท. สังขตธรรม ก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด วิราคธรรม เรากล่าวว่า เป็นยอด ของสังขตธรรม และอสังขตธรรมเหล่านั้น
ทั้งหมด วิราคธรรมนั้นได้แก่ ธรรม อันเป็นที่สร่างแห่งความเมา เป็นที่ขจัด ความกระหาย เป็นที่ถอนความอาลัย เป็นที่ตัดวัฏฏะ เป็นที่สิ้นตัณหา
เป็นที่คลายความกำหนัด,เป็นที่ดับกิเลส. นี่แล คือ นิพพาน -อิติวุ.ขุ. 25/270/289

แล้วเราจะหน้าด้าน ยัดนิพพานเข้าไปในอนัตตาได้อย่างไรครับ
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#13 pinkpanda

pinkpanda

    คุ้กกี้เกลียดควายแดงค่ะ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,600 posts

ตอบ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 23:08

เชื่อพระธรรมคำสอน แล้วน้อมนำมาปฏิบัติค่ะ

ฝึกฝนกรรมฐานด้วยตัวเอง แต่ยังไม่เก่งนัก ทว่าหวังผลได้ใกล้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน

Edited by pinkpanda, 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 23:09.

  • wat likes this

#14 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 00:53

แล้วเราจะหน้าด้าน ยัดนิพพานเข้าไปในอนัตตาได้อย่างไรครับ


-_- เค้าน่าจะพูดถึงแก่นธรรมมั้ง ไม่ใช่นิพพาน... เฮ้ออออ ชักเชื่อแล้วอย่าเปิดประเด็น...
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#15 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 00:56

เชื่อพระธรรมคำสอน แล้วน้อมนำมาปฏิบัติค่ะ

ฝึกฝนกรรมฐานด้วยตัวเอง แต่ยังไม่เก่งนัก ทว่าหวังผลได้ใกล้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน


^_^ พุทธองค์เรียก สมถะ วิปัสนาครับ กรรมฐานเป็นคำสาวกแปลว่าฐานที่ตั้งของการงาน ทำอาณาปาณรู้สติสติให้จิตอยู่กับกาย (สมถะ) จนเกิดความสงบตั้งมั่นเป็นฌาณ 1-9 (วิปัสนา) ประเด็นสำคัญคือการมองให้เห็นการเกิดดับของ มโน, จิต หรือวิญญาณ นั่นแหละครับ...

Edited by wat, 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 00:57.

:) Sometime...Sun shine through the rain...

#16 pinkpanda

pinkpanda

    คุ้กกี้เกลียดควายแดงค่ะ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,600 posts

ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 00:58


เชื่อพระธรรมคำสอน แล้วน้อมนำมาปฏิบัติค่ะ

ฝึกฝนกรรมฐานด้วยตัวเอง แต่ยังไม่เก่งนัก ทว่าหวังผลได้ใกล้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน


^_^ พุทธองค์เรียก สมถะ วิปัสนาครับ กรรมฐานเป็นคำสาวกแปลว่าฐานที่ตั้งของการงาน ทำอาณาปาณรู้สติสติให้จิตอยู่กับกาย (สมถะ) จนเกิดความสงบตั้งมั่นเป็นฌาณ 1-9 (วิปัสนา) ประเด็นสำคัญคือการมองให้เห็นการเกิดดับของ มโน, จิต หรือวิญญาณ นั่นแหละครับ...


ขอบคุณค่ะ

ไปนอนแล้ว เดี๋ยวพาลูกสาวตัวอวบสวดมนต์แผ่เมตตาก่อน

ธรรมสวัสดีค่ะคุณวัฒน์
  • wat likes this

#17 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 12:38

:) แล้วก่อนจะบรรลุถึงธรรมที่ว่าเป็นอนัตตานั้น เราจะยึดสิ่งใดเป็นหลักครับ เมื่อเบื้องต้นของสัตตานังทั้งปวงคือ อวิชชาและตัณหา...ก่อนจะเข้าถึงธรรมที่ว่ามันไม่ใช่เรา สิ่งนี้สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา...


สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้น คือ อนัตตา ถ้าพระนิพพานเป็นอนัตตาแล้วไซร์ เราจักค้นหาไปเพื่ออะไร จุดต่อมผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแหละตัวภพ ผู้รู้เป็นสภาวะธรรม เป็นอนัตตา เมื่อทำลายจุดต่อมผู้รู้ได้ จะเข้าถึงพระนิพพาน ห้องที่มองว่าว่าง ตัวเราเข้าไปอยู่ จักวางได้อย่างไร วิธีที่จะพิจราณาไม่รู้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรคาดเดาเพราะเป็นสิ่งที่มาไม่ถึง มันจะทำให้ ติดกับดัก สัญญา ได้ พระพุทธองค์ท่านสอน ไว้แล้ว ภิกษุ ทั้งหลาย รูปเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง,สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกสิ่งนั้นเป็นอนัตตา,สิ่งใดเป็นอนัตาสิ่งนั้น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เธอทั้งหลายพึงเห็นข้อนั้นด้วยปัญญาโดยชอบ ตรงตามที่เป็นจริง อย่างนี้ ด้วยประการ ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเห็นข้อนั้น ด้วยปัญญาโดยชอบ ตรงตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ปุพพันตานทิฏฐิ ทั้งหลาย ย่อมไม่มี เมื่อปุพพันตนุทิฎฐิไม่มี อปรันตานุทิฏฐิ ทั้งหลายย่อมไม่มี เมื่ออปรันตานุทิฏฐิไม่มี ความยึดมั่น ลูบคลำอย่างแรงกล้าไม่มี จิตย่อมจาง คลายกำหนัดในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เพราะจิตพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะจิตที่ดำรงอยู่ จิตจึงยินดีราเริงด้วยดี เพราะเป็นจิตที่ยินดีร่าเริงด้วยดี จิตจึงไม่หวาดสะดุ้ง เมื่อจิตไม่หวาดสะดุ้ง ย่อมปรินิพพานเฉพาะตน นั้นเที่ยว เธอนั้นย่อม รู้ชัดว่า ชาตินี้ สิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นไปอย่างนี้ มิได้มีอีก (-ขนฺธ. ส ํ. 17/93/57) เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ก็เหมือนกัน ก่อนจะเข้าถึง ธรรม อนัตตา พิจรณา ทั้ง 5 อย่างให้รอบสติปัฏฐาน 4 คือการพิจราณา กาย เวทนา จิตตา และ ธรรมมา สองอย่างนี้เหมือนกัน คือ พิจราณา รูป ซึ่งจะอยู่ในหมวด กาย พิจารณา เวทนา พิจารณา สัญญา สังขาร และวิญญาน อยู่ในหมวดจิตสิ่งที่เหลือคือ ผู้รู้ หรือ ธรรมา จึงพิจราณาให้ เป็น อนัตตา

Edited by ter162525, 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 12:52.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#18 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 12:42


:) แล้วก่อนจะบรรลุถึงธรรมที่ว่าเป็นอนัตตานั้น เราจะยึดสิ่งใดเป็นหลักครับ เมื่อเบื้องต้นของสัตตานังทั้งปวงคือ อวิชชาและตัณหา...ก่อนจะเข้าถึงธรรมที่ว่ามันไม่ใช่เรา สิ่งนี้สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา...


สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้น คือ อนัตตา ถ้าพระนิพพานเป็นอนัตตาแล้วไซร์ เราจักค้นหาไปเพื่ออะไร จุดต่อมผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแหละตัวภพ ผู้รู้เป็นสภาวะธรรม เป็นอนัตตา เมื่อทำลายจุดต่อมผู้รู้ได้ จะเข้าถึงพระนิพพาน ห้องที่มองว่าว่าง ตัวเราเข้าไปอยู่ จักวางได้อย่างไร วิธีที่จะพิจราณาไม่รู้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรคาดเดาเพราะเป็นสิ่งที่มาไม่ถึง มันจะทำให้ ติดกับดัก สัญญา ได้


-_- ตรงที่อ้างถึงกล่าวถึง "นิพพาน" ตรงไหนหว่า... ถ้าไม่เข้าถึงธรรม จะเข้าถึงซึ่งความเป็นอนัตตาได้อย่างไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อรู้แจ้งถึงอนัตตาแล้ว จะก้าวสู่ "หนทาง" สู่นิพพานได้อย่างไร...
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#19 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 12:55



:) แล้วก่อนจะบรรลุถึงธรรมที่ว่าเป็นอนัตตานั้น เราจะยึดสิ่งใดเป็นหลักครับ เมื่อเบื้องต้นของสัตตานังทั้งปวงคือ อวิชชาและตัณหา...ก่อนจะเข้าถึงธรรมที่ว่ามันไม่ใช่เรา สิ่งนี้สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา...


สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้น คือ อนัตตา ถ้าพระนิพพานเป็นอนัตตาแล้วไซร์ เราจักค้นหาไปเพื่ออะไร จุดต่อมผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแหละตัวภพ ผู้รู้เป็นสภาวะธรรม เป็นอนัตตา เมื่อทำลายจุดต่อมผู้รู้ได้ จะเข้าถึงพระนิพพาน ห้องที่มองว่าว่าง ตัวเราเข้าไปอยู่ จักวางได้อย่างไร วิธีที่จะพิจราณาไม่รู้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรคาดเดาเพราะเป็นสิ่งที่มาไม่ถึง มันจะทำให้ ติดกับดัก สัญญา ได้


-_- ตรงที่อ้างถึงกล่าวถึง "นิพพาน" ตรงไหนหว่า... ถ้าไม่เข้าถึงธรรม จะเข้าถึงซึ่งความเป็นอนัตตาได้อย่างไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อรู้แจ้งถึงอนัตตาแล้ว จะก้าวสู่ "หนทาง" สู่นิพพานได้อย่างไร...


ขอโทษครับ ไม่ได้ อ้างถึง คุณwat หรอก คุณ wat ดูดีๆ สิ ครับ ไฮไลทื ซ่ะชัดขนาดนั้น ส่วน ข้างบน ต้องขอโทษ นิด เพราะจะแก้ไข ให้มันชัดขึ้น พอดี จะรวบตอบ มันเลย ดูงง ไปหน่อย

Edited by ter162525, 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 12:58.

  • wat likes this
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#20 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 13:15

:) ต่างคนต่างจิต ต่างใจ ต่างทัศนะครับ ก็แค่เปิดทัศนะในมุมของเรามาแลกเปลี่ยนมุมมองความเห็นกันดูครับ ใครจริง, ไม่จริง, แท้หรือเทียมก็แล้วแต่จะพิจารณาด้วยวิจรญาณของตัวเองครับ อย่างน้อยเราอาจได้รู้รู้ หรือฉุกคิดในมุมที่เราคาดไม่ถึงจากมุมมองของผู้อื่นมาจุดประกายให้เราบ้างก็ได้ครับ... นี่คือเจตนาที่เปิดกระทู้นี้ครับ ในฐานะผู้ที่ศรัทธาและนับถือพุทธเหมือนๆกัน...

^_^
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#21 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 23:06

แล้วเราจะหน้าด้าน ยัดนิพพานเข้าไปในอนัตตาได้อย่างไรครับ




ธรรมทั้งหลายคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน

พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไว้มากมาย




ปุถุชนพึงเข้าใจธรรมอะไร ๆ โดยความเป็นอัตตา


พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 295

ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ พึงเข้าใจธรรม

อะไร ๆ โดยความเป็นอัตตา นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้

แล คือ ปุถุชนพึงเข้าใจธรรมอะไร โดยความเป็นอัตตา นั่นเป็นฐานะที่มีได้


ถ้านิพพานเป็นอัตตา อยู่ในบังคับบัญชาของผู้หนึ่งผู้ใด คือมีตัวตนของผู้นั้นที่

จะไปถึงพระนิพพานได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทุกคนจะต้องดับกิเลสได้ตามที่ใจ
ต้องการ เพราะพระนิพพานเท่านั้นที่ดับกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง

แต่หากเราลองพิจารณาชีวิตประจำวันในทุกวันนี้ ที่เรายังมีกิเลสอยู่ ทำไมเรา
ไม่บังคับให้นิพพานดับกิเลสของเราในขณะนี้ ...หรือว่าทำไมเราจึงไม่รีบดับ
กิเลสเสียในชาติก่อนๆ ...จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก แก่อีก เจ็บอีก ตายอีก ใน
ชาตินี้และชาติต่อๆ ไป ?

เพราะว่า นิพพาน ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
ของใคร เป็นธรรมะที่ยากจะถึง ต้องการอาศัยการสะสมบารมีและการอบรม
เจริญสติปัฏฐานเป็นระยะเวลายาวนาน เช่น พระอสีติมหาสาวกก็แสนกัปป์ พระ
อัครมหาสาวกก็หนึ่งอสงขัยแสนกัปป์ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็สองอสงขัยแสน
กัปป์ เป็นต้น

การที่จะไม่เกิดอีก คือ เมื่อจุติจิตของพระอรหันต์เกิดขึ้น เพราะอรหัตมรรคจิต
ที่ได้เกิดแล้วในชาตินั้น มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ กระทำกิจปหานกิเลสจนหมด
สิ้น ถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อไม่มีกิเลสจึงไม่เกิดอีก ไม่เกี่ยวกับการเกิดดับ
ของพระนิพพาน...เพราะพระนิพพานไม่เกิดดับ


กล่าวโดยลักษณะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
นิพพาน ไม่เป็นอนิจจัง นิพพาน ไม่เป็นทุกขัง นิพพาน เป็น อนัตตา






เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นอัตตา เพราะสิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อจะค้นหาอัตตาในที่ใดๆ ย่อมหาไม่พบ


ไม่มีใครหน้าด้านยัดนิพพานให้เป็นอนัตตาหรอกครับ

นิพพานเป็นอนัตตาโดยตัวของนิพพานเอง


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#22 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 17:28


แล้วเราจะหน้าด้าน ยัดนิพพานเข้าไปในอนัตตาได้อย่างไรครับ






ธรรมทั้งหลายคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน

พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไว้มากมาย




     ปุถุชนพึงเข้าใจธรรมอะไร ๆ โดยความเป็นอัตตา     


[url=""%5Dพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑[/url] - หน้าที่ 295

     ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ พึงเข้าใจธรรม

อะไร ๆ โดยความเป็นอัตตา นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้

แล คือ ปุถุชนพึงเข้าใจธรรมอะไร โดยความเป็นอัตตา นั่นเป็นฐานะที่มีได้


ถ้านิพพานเป็นอัตตา อยู่ในบังคับบัญชาของผู้หนึ่งผู้ใด คือมีตัวตนของผู้นั้นที่

จะไปถึงพระนิพพานได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทุกคนจะต้องดับกิเลสได้ตามที่ใจ
ต้องการ เพราะพระนิพพานเท่านั้นที่ดับกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง

แต่หากเราลองพิจารณาชีวิตประจำวันในทุกวันนี้    ที่เรายังมีกิเลสอยู่ ทำไมเรา
ไม่บังคับให้นิพพานดับกิเลสของเราในขณะนี้     ...หรือว่าทำไมเราจึงไม่รีบดับ
กิเลสเสียในชาติก่อนๆ     ...จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก แก่อีก เจ็บอีก ตายอีก ใน
ชาตินี้และชาติต่อๆ ไป ?

เพราะว่า นิพพาน ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
ของใคร     เป็นธรรมะที่ยากจะถึง ต้องการอาศัยการสะสมบารมีและการอบรม
เจริญสติปัฏฐานเป็นระยะเวลายาวนาน เช่น พระอสีติมหาสาวกก็แสนกัปป์ พระ
อัครมหาสาวกก็หนึ่งอสงขัยแสนกัปป์     พระปัจเจกพุทธเจ้าก็สองอสงขัยแสน
กัปป์ เป็นต้น

การที่จะไม่เกิดอีก คือ เมื่อจุติจิตของพระอรหันต์เกิดขึ้น เพราะอรหัตมรรคจิต
ที่ได้เกิดแล้วในชาตินั้น มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ กระทำกิจปหานกิเลสจนหมด
สิ้น ถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อไม่มีกิเลสจึงไม่เกิดอีก ไม่เกี่ยวกับการเกิดดับ
ของพระนิพพาน...เพราะพระนิพพานไม่เกิดดับ


กล่าวโดยลักษณะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
นิพพาน ไม่เป็นอนิจจัง นิพพาน ไม่เป็นทุกขัง นิพพาน เป็น อนัตตา




เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นอัตตา เพราะสิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อจะค้นหาอัตตาในที่ใดๆ ย่อมหาไม่พบ




ไม่มีใครหน้าด้านยัดนิพพานให้เป็นอนัตตาหรอกครับ

นิพพานเป็นอนัตตาโดยตัวของนิพพานเอง


แม้แต่ถกกันกับ คุณกิน ผมก็ยังไม่เคยบอกสักครั้งว่า นิพพานเป็นอัตตา เพราะอัตตา มันตายไปก่อนแล้ว ผมยก คำพุทธวจนะ ขึ้น มา ท่านเห็นอะไร พระพุทธเจ้า ตรัส สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา คุณบอก ว่า นิพพาน เที่ยง เป็น สุข แต่เป็นอนัตตา เฉย เลย ตกลง ผมจะเชื่อคุณหรือพระพุทธเจ้าดี เพราะผมอ่านมาก็ไม่เคยเจอ ว่าพระพุทธเจ้า ตรัสว่า นิพพาน เป็นอัตตา หรือนิพพาน เป็นอนัตตา ถ้านิพานมีส่วนหนึ่งส่วนใดในไตรลักษณ์ แล้วเราจักว่าดีเลศ ได้ อย่างไร พระพุทธองค์ เปรียบเที่ยบนิพพานไว้หลายอย่าง แต่ไม่เคยเปรียบเทียบว่านิพพานเป็นอนัตตา ถ้ามีคุณกรุณายกมาเปิดกระโหลกหนาผมหน่อยสิครับ คุณก็ไปตามอรรถจารย์ มาว่าว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนพวกเหลืองแดงชอบ คิดว่า ประเทศนี้ ไม่เสื้อเหลืองก็เสื้อแดง ยังงั้น ไม่ใช่อนัตตา ก็อัตตา ไม่ใช่อัตตา ก็ต้องอนัตตา นิพาน มันไกล จากนั้นมาแล้ว เครืองมือ มันไม่ใช่ชึ้นงาน

Edited by ter162525, 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 17:31.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#23 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 19:33

:) ความหมายของ นิพพาน ตามพุทธวจน...


ภิกษุ! สำหรับปัญหาของเธอนั้น เธอไม่ควรตั้งคำถามขึ้นว่า “มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเหลือ ในที่ไหน ?” ดังนี้เลย

อันที่จริง เธอควรจะตั้งคำถามขึ้นอย่างนี้ว่า :-

“ดิน นํ้า ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? ( ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้ในที่ไหน) ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? นามรูปดับสนิทไม่มีเหลือ ในที่ไหน?” ดังนี้ต่างหาก.

ภิกษุ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้ :-

“สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบนั้นมีอยู่ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน นํ้า ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ (ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้) ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ (ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้) ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ ดังนี้แล.

:) พระพุทธองค์ตรัสไว้แค่นี้สำหรับนิพพานครับ... ในเมื่อไม่มี "ธาตุ4" "ขันธ์5" กำกับอยู่แล้ว ลักษณะของนิพพานก็ไม่ได้เข้ากับ "อนัตตา" แล้วครับ
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#24 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 19:41

พระสุตตันตปิฏก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม 1 ภาค 3 หน้าที่ 574

4 อุปปาทสูตร

ว่าด้วยธรรมนิยาย


[๕๗๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะพระตถาคตทั้งหลาย เกิดขึ้น

หรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธาตุ คือ สิ่งที่ทรงตัวเองอยู่ได้อันนั้น (ธัมมฐิตตา)

ความตั้งอยู่โดยธรรมดาอันนั้น (ธัมมนิยามตา) ความแน่นอนโดยธรรมดา

อันนั้น ตถาคตตรัสรู้บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวง

เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นได้ตรัสรู้แล้ว ได้หยั่งรู้แล้วจึงบอก

แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ว่า สังขารทั้งปวง

ไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา.

จบอุปปาทสูตรที่ ๔


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย
คาถาธรรมบท เล่ม 1 ภาค 2 ตอน 4 หน้าที่ 96

เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรม

ทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์ ความ

หน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด.



พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม 1ภาค 3 หน้าที่ 727


นิพพาน ไม่เกิด ไม่มี อันปัจจัยอะไร ๆ ไม่แต่ง ไม่ปรุง มีอยู่. จริงอยู่

คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ซึ่งมีอรรถไม่ผิดแผก ดังที่ตรัสไว้ว่า

สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม1 ภาค4- หน้าที่ 266

เมื่อเป็นอย่างนั้น ญาณย่อมต้องกันในข้อว่า ธรรมทั้งปวงย่อมเป็นวิสัย

แห่งพระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยรูปที่สลายไป ดุจโดยอาการ

เป็นอนัตตาของผู้เห็นว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวง

เป็นอนัตตา ดังนี้. แม้ชนเหล่าใดกล่าวว่า พระญาณของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

เว้นการกำหนดอันเป็นวิสัยแห่งลักษณะไญยธรรมทั้งปวงดำรงอยู่ ย่อมเป็นไป

ตลอดกาล ด้วยเหตุนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น จึงชื่อว่า สพฺพวิทู


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายปฎิสัมภิทามรรค เล่ม7 ภาค 1 หน้าที่ 408
ลักขณัตติกนิทเทส

[๗๙] ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ เครื่อง

รู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวง

เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ชื่อว่าสุตมยญาณ

ธรรมทั้งหลายคือ

จิต เจตสิก รูป นิพพาน


ขอจบการสนทนาเพียงเท่านี้ครับ

Edited by chackrapbong, 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 19:42.

Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#25 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 09:38

^_^ "ธรรมทั้งหลาย คือเครื่องขูดเกลากิเลส เพื่อให้หลุดพ้นถึงนิพพาน" เคยได้ยินพระสูตรนี้มั้ยครับ...


581444_10150614779710834_549977604_n.jpg
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#26 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 17:30

ลักขณัตติกนิทเทส

[๗๙] ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ เครื่อง

รู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวง

เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ชื่อว่าสุตมยญาณอย่างไร ?

ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัดธรรม

ที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า รูปไม่เที่ยงเพราะความว่าในรูป เป็นทุกข์

เพราะความว่าน่ากลัว เป็นอนัตตาเพราะความว่าหาแก่นสารมิได้ ชื่อว่า

สุตมยญาณ ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัด

ธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ

ฯลฯ ชราและมรณะ ไม่เที่ยง เพราะความว่าสิ้นไป เป็นทุกข์เพราะ

ความว่าน่ากลัว เป็นอนัตตาเพราะความว่าหาแก่นสารมิได้ ชื่อว่า

สุตมยญาณ ชื่อว่าญาณด้วยอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญาด้วยอรรถ

ว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้

สดับมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า สังขารทั้งปวง

ไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ชื่อว่า

สุตมยญาณ.

ไปหามาแล้ว ครับ บอก จริง ๆ ยังงง อยู่ว่าไม่มีไอ้ที่ พระพุทธเจ้าตรัส ฟรอน์ 200 ของ คุณเลย ครับ ช่วยกรุณาเปิดกระโหลกหนาๆ ของผมหน่อยว่า ตัวฟรอน์ 200 ของคุณนะ อรรถจารย์ หรือพระพุทธะวจนะ ครับ ถ้าอรรถจาร์ย ก็โอเค ครับ เพราะผมไม่เชื่ออรรถจารย์ ถ้าเป็นพุทธวจนะผมจะเชื่อครับ กลอง ที่ไม้มันแตกแล้วไปแทรกไม้ใหม่เข้าไปตามความเข้าใจของอรรถจาร์ย ไม่ใช่กลองเดิมสำหรับผมครับ
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#27 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 17:34

^_^ "ธรรมทั้งหลาย คือเครื่องขูดเกลากิเลส เพื่อให้หลุดพ้นถึงนิพพาน" เคยได้ยินพระสูตรนี้มั้ยครับ...


581444_10150614779710834_549977604_n.jpg


ใช่เลย ครับ ผมเถียงไม่ออกเลย แต่ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน ว่า เครื่องขูดจะกลายเป็นชิ้นงานได้อย่างไร แต่มีคนตัดสินไปแล้ว ว่าชิ้นงานมันเป็นเครื่องขูด
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#28 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 17:40


^_^ "ธรรมทั้งหลาย คือเครื่องขูดเกลากิเลส เพื่อให้หลุดพ้นถึงนิพพาน" เคยได้ยินพระสูตรนี้มั้ยครับ...


581444_10150614779710834_549977604_n.jpg


ใช่เลย ครับ ผมเถียงไม่ออกเลย แต่ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน ว่า เครื่องขูดจะกลายเป็นชิ้นงานได้อย่างไร แต่มีคนตัดสินไปแล้ว ว่าชิ้นงานมันเป็นเครื่องขูด


^_^ ปัจจัตตังครับ เรามาสนทนาธรรมกันเฉยๆครับ...
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#29 ตะนิ่นตาญี

ตะนิ่นตาญี

    La vie en rose

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,174 posts

ตอบ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 06:56

:mellow: หัวใจหรือแก่นของศาสนาพุทธคืออะไร...

......


หากจะถามว่า แก่น ของ พุทธ คืออะไร?

สำหรับ ตะนิ่นตาญี แล้วเชื่อว่า "เมตตา" ครับ

เมตตา คือ แก่นแท้ ของ พุทธศาสนา

เมตตา เพียงอย่างเดียวนี่แหละครับเหลือกินแล้วครับ

แก้ทุกข์ได้ทุกอย่าง ขอเพียงมี เมตตา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เท่านั้นพอครับ

ตะนิ่นตาญี

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤษจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕

เวลา ๖.๕๖ นาฬิกา
  • wat likes this
"จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา"

#30 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 14:36


:mellow: หัวใจหรือแก่นของศาสนาพุทธคืออะไร...

......


หากจะถามว่า แก่น ของ พุทธ คืออะไร?

สำหรับ ตะนิ่นตาญี แล้วเชื่อว่า "เมตตา" ครับ

เมตตา คือ แก่นแท้ ของ พุทธศาสนา

เมตตา เพียงอย่างเดียวนี่แหละครับเหลือกินแล้วครับ

แก้ทุกข์ได้ทุกอย่าง ขอเพียงมี เมตตา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เท่านั้นพอครับ

ตะนิ่นตาญี

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤษจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕

เวลา ๖.๕๖ นาฬิกา


^_^ สำหรับผม เมตตาเป็นส่วนหนึ่งของธรรม (พรหมวิหาร 4) ซึ่งพระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ เป็นหนทางหนึ่งสู่พรหมจรรย์ครับ

phoca_thumb_l_อริยอัฏฐังคิกมรรคนี้แล คือพรหมจรรย์.jpg
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#31 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 14:52

ผมว่าแก่นแท้ ของพระพุทธศาสนา อยู่ใน 2 บทนี้ครับ

ราหุล! เธอเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เที่ยงหรื่อไม่เที่ยง
"ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า"
ก็สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือสุข เล่า
"เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า"
ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรสนเป็นธรรมดา ควรแลหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า"นั่น เป็นของเรา (เอตํ มม)),นั่นเป็นเรา(เอโสหมสฺมิ)นั้นเป็นตัวตนของเรา(เอโส เม อตฺตา)""
"ข้อนั้น ไม่ควรเห็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า
-นิทาน.สํ. 16/616/281

ภิกษุ ทั้งหลาย (ขอใช้คำว่า ขันธ์ 5 นะครับเพราะท่านยกเหมือนกันหมดเลย)ขันธ์ 5 เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง,สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกสิ่งนั้นเป็นอนัตตา,สิ่งใดเป็นอนัตาสิ่งนั้น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เธอทั้งหลายพึงเห็นข้อนั้นด้วยปัญญาโดยชอบ ตรงตามที่เป็นจริง อย่างนี้ ด้วยประการ ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเห็นข้อนั้น ด้วยปัญญาโดยชอบ ตรงตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ปุพพันตานทิฏฐิ ทั้งหลาย ย่อมไม่มี เมื่อปุพพันตนุทิฎฐิไม่มี อปรันตานุทิฏฐิ ทั้งหลายย่อมไม่มี เมื่ออปรันตานุทิฏฐิไม่มี ความยึดมั่น ลูบคลำอย่างแรงกล้าไม่มี จิตย่อมจาง คลายกำหนัดในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เพราะจิตพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะจิตที่ดำรงอยู่ จิตจึงยินดีราเริงด้วยดี เพราะเป็นจิตที่ยินดีร่าเริงด้วยดี จิตจึงไม่หวาดสะดุ้ง เมื่อจิตไม่หวาดสะดุ้ง ย่อมปรินิพพานเฉพาะตน นั้นเที่ยว เธอนั้นย่อม รู้ชัดว่า ชาตินี้ สิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นไปอย่างนี้ มิได้มีอีก (-ขนฺธ. ส ํ. 17/93/57)


อันนี้เป็น สัพเพ ธรรมอนัตตา ครับ

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมอย่างหนึ่ง มีอยู่หรือไม่หนอ ซึ่งเมื่อภิกษุละได้แล้ว อวิชาย่อมละไป วิชชาย่อมเกิดขึ้นพระเจ้าข้า"
ภิกษุ ธรรมอย่างหนึ่งมีอยู่แล
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมอย่างหนึ่ง นั้นคืออะไร เล่าหนอ"
ภิกษุ อวิชานั่นแล เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งภิกษุละได้แล้ว อวิชชาย่อมละไป วิชาย่อมเกิดขึ้น.
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่ อย่างไร อวิชชา จึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น พระเจ้าข้า
ภิกษุ หลักธรรมอันภิกษุในกรณีนี้ได้สดับ แล้วย่อมมีอยู่ว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั้น(ว่าเป็นตัวเรา-ของเรา)(สพเพ ธมฺมา นาลํอภินิเวสาย)"ดังนี้. ภิกษุ ถ้าภิกษุได้สดับฟังหลักธรรมข้อนั้น อย่างนี้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น ดังนี้แล้วไซ้ร,ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง ครั้นรู้ยิ่งชึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมรอบรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง ครั้นรอบรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง แล้ว ภิกษุนั้นย่อมเห็นซึ่งนิมิตทั้งหลายของสิ่งทั้งปวงโดยประการอื่น ภิกษุ เมื่อภิกษุ รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ แล อวิชชาจึงจะละไป วิชาจึงจะเกิดขึ้น

หลวงตาท่านเทศน์ ตอนหนุ่มๆ ว่า จิตผ่องใส คือ อวิชชา ซึ่งตรงพุทธวะนะครับ ผมถ้าคนที่ปฏิบัติ จิตจะรู้นะครับ ว่าเมื่อปฏิบัติไปๆ จะเป็นยังไง
  • wat likes this
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#32 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 20:33

:) ผมคิดว่า "แก่นของพุทธฯ ก็คือพระธรรม" แก่นของพระธรรม ก็คือ "อริยสัจสี่" หรือที่เรากล่าวมาด้วยกันทุกส่วนนั่นแหละครับ...

^_^
:) Sometime...Sun shine through the rain...

#33 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 13:30

:) ผมคิดว่า "แก่นของพุทธฯ ก็คือพระธรรม" แก่นของพระธรรม ก็คือ "อริยสัจสี่" หรือที่เรากล่าวมาด้วยกันทุกส่วนนั่นแหละครับ...

^_^


ก็จริงแหละครับ แต่ อริยสัจ 4 ผมว่ามันกว้างไปหน่อย บ้างครั้ง มันไม่เห็นภาพ เพราะว่า มันมีหลายระดับ ตามความเข้าใจของ มนุษย์ สุมทัย ของคนธรรมดา ต่างจากสมุทัย ของพระอรหันต์ สำหรับ ผม ผมว่าถ้าพิจราณา เข้าใจ 2 บท เรื่อง ธาตุ 4 ขันต์ 5 ก็จบ เพราะในโลกนี้ไม่มีที่ใดที่ธาตุ 4 ขันต์ 5 ไปไม่ถึง
  • wat likes this
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#34 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 17:21


:) ผมคิดว่า "แก่นของพุทธฯ ก็คือพระธรรม" แก่นของพระธรรม ก็คือ "อริยสัจสี่" หรือที่เรากล่าวมาด้วยกันทุกส่วนนั่นแหละครับ...

^_^


ก็จริงแหละครับ แต่ อริยสัจ 4 ผมว่ามันกว้างไปหน่อย บ้างครั้ง มันไม่เห็นภาพ เพราะว่า มันมีหลายระดับ ตามความเข้าใจของ มนุษย์ สุมทัย ของคนธรรมดา ต่างจากสมุทัย ของพระอรหันต์ สำหรับ ผม ผมว่าถ้าพิจราณา เข้าใจ 2 บท เรื่อง ธาตุ 4 ขันต์ 5 ก็จบ เพราะในโลกนี้ไม่มีที่ใดที่ธาตุ 4 ขันต์ 5 ไปไม่ถึง


^_^ สมุทัย กับนิโรธ ในพุทธวจนะก็คือ กฎอิทัปปัจยตา และหลักปฏิจจสมุปบาท ซึ่งกล่าวถึงสายเกิด (สมุทัย) และสายดับ (นิโรธ) ไว้นั่นแหละครับ...
:) Sometime...Sun shine through the rain...




ผู้ใช้ 0 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 0 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน