

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ ( 4 พ.ย.) เวลา 17.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับนายจูเซ มานูเอล บาโรโซ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป(อียู) ซึ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีพิธีตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ที่บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนจะเริ่มการหารือข้อราชการ ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า
ภายหลังการหารือกว่า 1 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีของไทย กับประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้แถลงข่าวร่วมกัน ที่โถงกลางตึกไทยคู่ฟ้า โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยและสหภาพยุโรป(อียู) พึงพอใจที่การเจรจากรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือรอบด้านระหว่างไทยและอียู มีความคืบหน้าที่ดี และได้แก้ไขสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่ดเขอการเริ่มเจรจาการทำข้อตกลงเปิดเขตการ ค้าเสรีไทย –อียู ซึ่งตนได้ใช้โอกาสนี้เชิญชวนให้อียูมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และอุตสาหกรรมสีเขียวในประเทศไทย นอกจากนี้ ตนได้รับทราบถึงมาตรการสำคัญๆของยุโรปในการจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ในเขตยูโร ซึ่งตนยินดีกับมาตรการเหล่านี้ และย้ำว่าไทยเชื่อมั่นในความสามารถของยุโรปที่จะผ่านพ้นความ ท้าทายดังกล่าวไปได้ อีกทั้ง ตนเห็นว่าไทยและอียูควรมุ่งยกระดับการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพื่อส่ง เสริมการเจริญเติบโตและการสร้างงานร่วมกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ไทยและอียูยังเห็นชอบที่จะหาลู่ทางร่วมมือ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพในสาขาต่างๆ อาทิ การต่อต้านการค้ามนุษย์ อาชญากรรมข้ามชาติ และการฟอกเงิน ซึ่งล้วนแต่เป็นผลกระทบในแง่ลบจากการเชื่อมโยงในภูมิภาคที่มีมากขึ้น และทั้ง 2 ฝ่ายเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสนับสนุนความร่วมมือระดับโลกเพื่อจัดการกับ ประเด็นท้าทายต่างๆ อาทิ ความยากจน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภัยคุกคามความมั่นคงและปลอดภัยทางทะเล นอกจากนี้ ตนได้กล่าวขอบคุณประธานคณะกรรมาธิการยุโรปที่ได้เชิญให้ตนไปเยือนกรุง บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งกรุงบรัสเซลส์ ถือเป็นเมืองหลวงของอียูด้วย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ไทย–อียูให้มั่นคงยิ่งขึ้นไป
ด้านประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า ภูมิภาคเอเชียและกลุ่มประเทศอาเซียนถือว่ามีบทบาทอย่างมากในขณะนี้ การที่อียูและอาเซียนเป็นหุ้นส่วนกันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเผชิญ หน้าต่อความท้าทายของโลก และการเดินหน้าเรื่องของเอฟทีเอไทย-อียู ก็จะยิ่งอำนวยให้การค้าการลงทุนระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายเพิ่มมูลค่ามากขึ้น ทั้งนี้ การพูดคุยกันในวันนี้ ได้มีการหารือถึงสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ซึ่งตนเห็นว่าไทยมีเสถียรภาพทางการเมือง และกล่าวชื่นชมต่อนายกรัฐมนตรีว่าสิ่งที่รัฐบาลไทยทำนั้นได้ถือว่าประสบผลสำเร็จและเดินมาถูกทางแล้ว และขอให้ดำเนินการต่อไปโดยยึดถือการสร้างความปรองดองตามระบอบประชาธิปไตย
http://www.dailynews...politics/164759