http://www.bangkokbi...2%E0%B8%99.html "บัตรเสีย"5%ตบหน้า'โหวตโน' เลือกตั้ง 54 บัตรเสีย 5%ตบหน้า"โหวตโน"คนหวั่นถูกแอบอ้าง อาจตัดสินใจทำบัตรเสียเพิ่ม แซงหน้า "ไม่ประสงค์ลงคะแนน"
การเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี้ ความน่าสนใจใช่ว่าจะอยู่ที่จำนวนคนสอบได้ หรือคนสอบตกเท่านั้น แต่ยังมีตัวแปรที่ทุกฝ่ายจับตามอง นั่นคือกระแสโหวตโน ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโหมปั่นมาตั้งแต่ก่อนยุบสภา
พันธมิตรอ้างฐานคิดที่ว่า ตัวเลือกที่มีอยู่นี้ไม่เหมาะสมที่จะเลือก ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องการทำงานและการไม่รักษาบ้านเมือง
ดังนั้นการแสดงออกด้วยการโหวตโนเพื่อปฏิเสธตัวเลือกที่มีอยู่ จึงดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่จริงๆ แล้วพันธมิตรมีวาระซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง
การกาช่อง "ไม่ประสงค์จะลงคะแนน" นั้น ถือเป็นอาวุธชิ้นสำคัญของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่พยายามปฏิเสธตัวเลือกที่ไม่ดีพอ ซึ่งพรรคการเมืองคัดส่งมาให้เลือก กระแสนี้เคยดีถึงขนาดนักวิชาการเดินหน้าออกมาสนับสนุน
แต่คราวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะบรรดาผู้ที่ปฏิเสธทั้งสองพรรค กลับมองว่า "อาวุธแห่งการอารยะขัดขืน" ชิ้นเดียวที่มีอยู่ได้ถูกยึดไปเป็นสมบัติส่วนตัว
ช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนกลายสภาพเป็นเพียงอีกช่องหมายเลขที่มีไว้กาให้แก่กลุ่มพันธมิตรที่จัดตั้งพรรคการเมืองแต่กลับปฏิเสธการเลือกตั้ง
นัยของการลงคะแนนครั้งนี้ จึงเห็นภาวะแปลกขึ้นในช่องตัวเลขระหว่างบัตรเสีย และ บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน หากดูจำนวนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนครั้งที่ผ่านๆ มา จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3 ในการเลือกตั้งแบบสัดส่วน และร้อยละ 5 ในแบบแบ่งเขต
ขณะที่ตัวเลขบัตรเสียจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5 ในแบบสัดส่วน และร้อยละ 3 ในแบบแบ่งเขต
ในแบบสัดส่วนนั้น ครั้งนี้ตัวเลขยังคงอยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงทั้งบัตรแบ่งเขต และแบบสัดส่วน
ทั้งนี้การเลือกตั้ง 3ก.ค.2554 มีผู้มาใช้สิทธิ 34,799,258 คน คิดเป็นร้อยละ 74.01 มีบัตรเสียแบ่งเป็นแบ่งเขต 2,000,677 บัตรคิดเป็นร้อยละ 5.75 บัญชีรายชื่อ 1,682,736 บัตร คิดเป็นร้อยละ 4.8 และจำนวนบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน แบบแบ่งเขต มี 1,405,037 บัตร หรือร้อยละ 4.04 แบบบัญชีรายชื่อ 954,895 บัตร หรือคิดเป็นร้อยละ 2.74
ขณะที่เลือกตั้งเมื่อ 23 ธันวาคม 2550 ส.ส.มีทั้งหมด 480 คน เป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต 400 คน และ ส.ส.สัดส่วน 80 คน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 44,002,593 คนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 32,775,868 คนคิดเป็น 74.49 % การเลือกตั้งแบบสัดส่วน บัตรเสีย 1,823,436 ใบหรือคิดเป็น 5.56 % บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนของ ส.ส.แบบสัดส่วน 935,306 หรือคิดเป็น 2.85% ส่วนการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต บัตรเสีย 837,775 ใบ หรือคิดเป็น 2.56 % บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน ของ ส.ส.แบบแบ่งเขต 1,499,707 หรือคิดเป็น 4.58%
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสังเกตคือ ในแบบแบ่งเขต ที่ตัวเลขบัตรเสียกลับพุ่งสูงกว่าบัตรไม่ประสงค์จะลงคะแนน
ในแบบสัดส่วนที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้น เป็นเรื่องปกติของการเลือกตั้ง อีกทั้งครั้งนี้ กระแสการเลือกพรรคการเมืองมีความชัดเจน คนที่ไม่ประสงค์ลงคะแนนก็คือคนเดิมๆ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการ เพราะเห็นว่าไม่มีตัวเลือกจริงๆ
แต่ในแบบแบ่งเขตนั้น เป็นการสะท้อนออกที่ค่อนข้างชัดเจนว่า หลายคนไม่พอใจในตัวเลือกผู้สมัครที่พรรคส่งมาให้ และต้องการแสดงความไม่ยอมรับ แต่หากการแสดงออกโดยการไม่ประสงค์ลงคะแนน แล้วจะถูกบางกลุ่มนำไปอ้างความชอบธรรม คนเหล่านี้ก็เลือกจะสงวนสิทธิ์เช่นว่าเอาไว้
และอาจแสดงออกซึ่งการปฏิเสธด้วยการทำให้กลายเป็นบัตรเสีย และถือเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะรักษาเจตนา แต่ไม่ให้เจตนาถูกแอบอ้าง
วิธีคิดเช่นนี้ ใช่ว่าจะไม่เคยถูกนำมาใช้ แต่ปรากฏขึ้นมาในการเลือกตั้งทุกครั้ง เพียงแต่มีจำนวนที่ไม่มากพอจะเป็นข้อสังเกตได้เท่านั้น
ซึ่งครั้งนี้กระแสต่างออกไป จนทำให้บัตรเสียที่มีนั้นเพิ่มมากขึ้นจนเห็นได้ชัด
รูปแบบของบัตรเสียที่ปรากฏมาก มิใช่เพียงกาสองหมายเลข หรือ ทำเครื่องหมายอื่นๆ แต่ยังรวมไปถึงการเขียนแสดงความไม่เห็นด้วยลงในบัตร
ดังนั้นครั้งนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนภาพความล้มเหลวในความพยายามสมอ้างเจตนารมณ์ของพันธมิตร
แต่พรรคการเมืองต่างๆ ย่อมมิอาจละเลยการแสดงเจตนาเช่นนี้ได้ เพราะนี่คือหนึ่งเสียงที่ต้องการแสดงออกเพื่อให้รับรู้ อย่างน้อยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติก็น่าจะฉายภาพบางอย่างได้ชัดเจนขึ้น