แต่ ในฐานะคนนอกสภาขอใช้สิทธิอภิปรายผลงานเยี่ยมยอดของรัฐบาลสักหนึ่งนโยบาย เผอิญเข้าไปประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง รับรู้สองรูหูยิ่งกว่าเรื่องจริงผ่านจอ
นั่นคือนโยบายแจกแท็บเล็ตนำร่องให้กับเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง
ทบทวน ความจำกันหน่อย นโยบายนี้เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนช่วงคอมพิวเตอร์พกพากำลังฮิต มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านจอทีวีรายงานประเทศนั้นประเทศนี้กำลังให้เด็ก นักเรียน เรียนหนังสือผ่านแทบเล็ต โดยเฉพาะภาพข่าวเด็กนักเรียนจากประเทศจีนกำลังใช้แท็บเล็ต ต่อมาเข้าสู่ช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ก็เป็นพรรคการเมืองใหญ่มากความคิดประชานิยม เริ่มขายนโยบายหาเสียง โดยผ่านคนขมองอิ่มอย่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เปิดฉากใส่ชิพในสมองคีย์แมนพรรค
กำหนดนโยบายใช้เงิน เป็นตัวตั้งพ่วงด้วยแจกจ่ายวัตถุสินค้าเป็นตัวล่อ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเงินเดือนข้าราชการระดับปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท ปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วไทย อัดฉีดเงินล้านเข้ากองทุนพัฒนาสตรี ก็ยังกระจายความต้องการลงไปถึงเด็กเยาวชนด้วยนโยบายจัดหาคอมพ์พิวเตอร์พกพา หรือแท็บเล็ตให้เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง
ครั้ง นั้น ฟุ้งไว้อย่างดิบดีถ้าเลือกเพื่อไทยบุตรหลานของท่านจะได้รับแท็บเล็ต ส่วนสาระประโยชน์จากแท็บเล็ตเป็นอย่างไร จะมีผลกระทบต่อระบบการศึกษาหรือไม่ ไม่มีคำอธิบายเพิ่มจากนักการเมืองหัวสี่เหลี่ยม
“รู้แต่ว่าเลือกเพื่อไทยได้แท็บเล็ต ให้รู้แค่นี้พอ”
ต่อ มาเพื่อไทยเป็นรัฐบาลสมใจ แรงกดดันจากการทวงสัญญานโยบายหาเสียงตามมา มีการจัดพิธีกรรมจัดซื้อจัดจ้างสวยหรู อ้าง มีบริษัทเอเชีย ยุโรป เสนอตัว ต้องได้แท็บเลตคุณภาพ ราคาสมน้ำสมเนื้อ แต่ในที่สุดสายสัมพันธ์แนบแน่นไทย-จีน จึงได้บริษัทจากจีนผลิตแทบเล็ตส่งถึงไทย โดยมีคนชื่อนอ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที การันตีนี่คือของดีมีคุณภาพ ช่างอดนึกถึงยุคสมัยรัฐบาลทักษิณ ที่เคยมีนโยบายคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ถึงขั้นเกิดภาพเหตุการณ์ คนแห่จองคิวซื้อคอมพ์เอื้ออาทรผ่านไปรษณีย์ แต่ใช้ได้ไม่ถึงปี ต้องเอาจอคอมเครื่องอ้วนๆไปเป็นตู้ประดับแจกันดอกไม้แทน แต่สามารถสร้างรายได้ดีให้กับบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ออกยี่ห้อใหม่มีคุณภาพ กว่าออกมาตีตลาด ส่วนคนควักกระเป๋าก็คือคนไทยเสียเงินสองต่อ
ดู จะไม่ต่างกับแทบเลตดีมีคุณภาพอย่างที่รัฐบาลแจกเด็กนักเรียนขณะนี้ มีเสียงจากโรงเรียนต่างๆ จากทดลองใช้จนถึงบัดนี้ ไอ้ประเภทใช้ปลายนิ้วสัมผัสหรือเรียกว่าทัชสกรีน โยกซ้ายโยกขวา ปรากฎว่าติดๆขัดๆ ที่หวังว่าจะลื่นปรื้ดลื่นปรื๊ดกรุณาทำใจกับแทบเล็ตดีมีคุณภาพ
รัฐมนตรี ผู้สานต่อนโยบายยังลั่นคำพูดอีกว่า แม้การเจรจาต่อรองซื้อขายล่าช้า แต่สามารถส่งถึงมือเด็กนักเรียนทันเปิดเทอมปีการศึกษา 2555 อย่างแน่นอน โดยจะแจกจ่ายโรงเรียนเรียงตามลำดับอักษร ก.- ฮ. ทว่า รอแล้วรอเล่าเปิดเทอมก็แล้วเข้าสู่เทอมที่สองก็แล้วปรากฎว่าแทบเลตไม่ถึง ร.ร.ทั่วประเทศ
แต่นักการเมืองพ.ศ.นี้ต้องด้านไว้ก่อนทำ เหมือนทองไม่รู้ร้อน เดินหน้าจัดพิธีปล่อยคาราวานส่งเจ้าเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาไปยังสถาบันการ ศึกษาต่างๆ ก่อนเรียงหน้าออกมาแถลง “รัฐบาลได้ทำผลงานแจกแท็บเล็ตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” ปิดฉากภารกิจอันงดงาม
คราว นี้มาทราบข้อมูลตรงนี้บ้าง นี่คือข้อเท็จจริงไม่ต้องปั้นข่าวทำลายล้างรัฐบาล เพราะได้รับจดหมายจากโรงเรียนหลังเปิดภาคเรียนที่ 2 นี่เอง โดยเรียนเชิญร่วมฟังปฐมนิเทศรับทราบข้อตกลงเกี่ยวกับการใช้แทบเล็ตแก่บุตร หลาน
คุณครูอธิบายให้กับผู้ปกครองได้รับทราบ ข้อตกลงไว้ดังนี้ เนื่องจากศึกษาธิการจังหวัด แจ้งว่า แท็บเล็ตเป็นทรัพย์สินรัฐบาล แต่ละเครื่องจะมีรหัสตรงกับเด็กนักเรียนติดตัวไปจนถึงชั้นประถมปีที่ 3 ทางโรงเรียนจึงต้องทำข้อตกลงห้ามเด็กนักเรียนนำแทบเล็ตกลับบ้านโดยจะเก็บ รักษาไว้ที่โรงเรียน แต่ถ้าเด็กย้ายโรงเรียนก็ต้องติดตัวไปด้วย ซึ่งก็มีปัญหาอีกบางโรงเรียนที่ยังไม่ได้แจกแทบเล็ตแต่ย้ายมาโรงเรียนใหม่ ที่เรียนแท็บเล็ต จะทำอย่างไร
คราวนี้หล่ะสิ ปัญหาจึงตามมา คุณครูอธิบายผู้ปกครองต่อ กรณีที่มีคาบเรียนเกี่ยวกับการใช้แทบเล็ต หากเด็กนักเรียนทำเสียหาย ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบออกค่าซ่อมแซม มันก็แปลกดีห้ามนำกลับบ้านแต่ถ้าเจ๊งที่โรงเรียนผู้ปกครองต้องรับผิดชอบ อันนี้จะโทษโรงเรียนไม่ได้มันต้องย้อนไปดูผลผลิตของรัฐบาลที่ทำให้เกิด นโยบายนี้โดยไม่ได้คิดถึงผลกระทบต่างเตรียมรองรับ
ข้อ ต่อไป รัฐมนตรีที่นั่งกดคอมพิวเตอร์ในห้องแอร์ กรุณรับทราบ คำอธิบายคุณครูที่ชี้แจง ท่านบอกว่า เนื่องจากแทบเล็ตต้องชาร์ตแบตเตอรี่ผ่านอุปกรณ์ไฟฟ้า เวลาชาร์ตแบตก็ไม่มีสัญญาณเตือนว่าแบตเต็ม บางครั้งก็ชาร์ตไม่เข้า คุณครูอธิบายด้วยความเห็นใจต่อไปว่า ด้วยภาวะโรงเรียนขาดแคลนงบ ประมาณ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับการติดตั้งระบบไวไฟรองรับ เอ้!จำได้เหมือนกันว่า มีรัฐมนตรีไอซีทีในรัฐบาลนี้มิใช่หรือ บอกว่าเรากำลังติดตั้งระบบไวไฟทั่วประเทศ ต่อไปจะได้ใช้ฟรี แต่วันนี้ยังไม่มีระบบไวไฟตามที่รัฐบาลคุย โรงเรียนจึงต้องออกค่าใช้จ่ายฉุกเฉินกันเอง
ไม่ เพียงเท่านั้น คุณครูกล่าวถึงปัญหาของโรงเรียนอื่นด้วยว่า เมื่อจัดเก็บแทบเล็ตไว้ที่โรงเรียนจำเป็นต้องซื้อตู้เก็บรักษา โดยยกตัวอย่างโรงเรียนอื่น เช่น มีเครื่องแทบเล็ต 49 เครื่องก็ต้องซื้อตู้ขนาดที่รองรับได้ ตกใบละ35,000 บาท
ดัง นั้น เมื่อค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และยังมีกรณีชาร์ตแบตเตอรี่ที่โรงเรียน จึงจำเป็นต้องให้ผู้ปกครองช่วยสนับสนุนค่าไฟวันละ 10 บาท หรือคิดเป็นเทอมละ 1 พันบาท
จริงอยู่สำหรับลูกรัฐมนตรี หรือพ่อแม่มีสตางค์ไม่กระเทือนกระเป๋า แต่สำหรับผู้ปกครองหาเช้ากินค่ำ การเสียค่าเทอมเพิ่มเพื่อเป็นค่าไฟชาร์ตแทบเล็ตรัฐบาล สุดแสนอนาถกับนโยบายแทบเล็ต
อย่ากล่าวหาว่าประโยชน์แทบ เล็ตสำหรับเด็กนักเรียนจะไม่มี คุณครูได้สาธิตว่า แทบเล็ตทั่วไปก็จะทำให้เด็กได้ฝึกการจีบนิ้ว โดยมีแบบจีบหุบ กับจีบบาน ถ้าจีบหุบเป็นการย่อตัวหนังสือหน้าจอลดลง จีบบานคือทำให้ตัวหนังสือขยายใหญ่ขึ้น แต่ถ้าเทียบกับหนังสือเรียนเด็กเปิดอ่านเห็นทั้งหน้า ขนาดหนังสือเท่ากัน ไม่ต้องจีบหุบจีบบาน เพราะถ้ามาจีบหุบจีบบานกันในชั้นเรียน เด็กก็จะส่งเสียงเรียกร้อง ครูครับครูขา ตัวหนังสือใหญ่ไปครับ ตัวหนังสือเล็กจังค่ะ หรือบางเครืองจีบไปจีบมาเครื่องแฮงค์ ต้องเสียเวลาในคาบเรียน หมดไปกับการซ่อมโปรแกรม
นี่ ยังไม่ได้เล่าถึงโปรแกรมสารพัดพิษ ตัวอย่าง มีการฉายภาพโชว์ในที่ประชุม ด้วยการสาธิตฝึกคัดลายมือ แต่ขอโทษทีเป็นคัดลายมือสุดไฮเทค ด้วยการให้เด็กใช้ปลายนิ้วสัมผัสเขียนตามรอยปะก.- ฮ. A-Z บนหน้าจอแทบเล็ต
โอ้วตั้งแต่เกิดจากท้องมารดายังไม่เคยพบเคยเห็นคัดลาย มือโดยใช้ปลายนิ้วคัด เพราะวิธีการเขียนหนังสือของคนไทยที่ฝึกฝนกันมาตั้งแต่เริ่มร่ำเรียนศึกษา เขาฝึกให้เด็กรู้จักจับดินสอ ปากกา เขียนให้ถูก –สะกดให้เป็น – อ่านให้ออก ทำให้คนไทยรักการพูดอ่านเขียนภาษาไทยจนถึงวันนี้
แต่นี่คิดกันได้ยังไง จึงขอบอกรัฐบาลที่กำลังมีความสุขกับการคุยโวสร้างผลงาน มันคือผลงาน” แท็บเละ”ที่กำลังพาการศึกษาชาติลงเหวใช่ไหม
http://www.posttoday...ท็บเล็ต-แท็บเละ
....
จากบทความนี้ ในฐานะที่ผมก็มีลูก ที่ได้รับของสิ่งนี้ เช่นเดียวกัน ตอนนี้ ผมได้รับผลกระทบจากโครงการนี้แล้ว กล่าวคือ ข้อดี ผมสามารถจะอยู่กับลูกได้มากขึ้น กล่าวคือ ผมจะต้องสอนเข้า ให้อ่านออกเขียนได้แทนครู จากเดิมที่ครอบครัว เรา ต้องหาเวลาพักผ่อนพร้อมกัน แต่จะต้องหันมาสอนลูกของผมแทน แต่ว่า เวลาไม่พอ ง่าย ๆ เลยครับ ผมถามลูกว่า 5+3-2 ได้เท่าไหร่ ลูกของผม ต้องไปนั่งกด แท็บเล็ต แล้วถามลูกว่า มันมาได้อย่างไรคำตอบนี้ ก็แท็บเล็ต มันตอบให้แบบนี้ แค่คำถามง่าย ๆ นี้ ผมหล่ะ ปวดจี้ดขึ้นมาเลย ผมเลยต้องสอนให้เขานับนิ้ว และได้รู้ว่า ที่มาอย่างไร ถามลูกว่า โรงเรียนเข้าไม่ได้สอนเหรอ แบบนี้ ได้คำตอบว่า ก็ครูให้ใช้แท็บเล็ต ครั้นต่อมา ผมให้เข้าจับดินสอ เพื่อเขียนหนังสือ เข้ากลับจับได้ไม่ถนัด แล้วอย่างงี้ โตขึ้น เข้าจะทำงาน ในลักษณะ Manual ได้อย่างไรกัน ผมเลยคิดว่า คงไม่ต้อง สังเคราะห์ วิเคราะห์ EQ IQ ใช้สมองอย่างเต็มที่กันแล้วมั้งครับ แล้วเครื่องที่ลูกของผมได้ เล็กมาก แทบจะต้องใช้แว่นขยาย ส่องอ่านกันเลยครับ ยอมรับว่าต้องขึ้นอยู่กับวิธีการสอนของครู แต่แบบนี้ ผมยังยอมรับกับโครงการนี้ ไม่ได้จริง ๆ ครับ
อ้อ ลืมบอกไป ยอมรับว่า โรงเรียนของลูกผม ไม่ได้รับผิดชอบ กรณีเครื่องหาย เพราะเครื่องหาย เพราะส่วนใหญ่ เด็กรุ่นพี่ มักจะขโมย ไป หรือขู่นักเรียนรุ่นน้องไป ถ้าเครื่องหาย ผมคงไม่ซื้อใหม่ให้ เพราะคิดว่า เด็กรุ่นนี้ กำลังเรียนรู้ ไม่สมควร จะอำนวยความสะดวกในการคิดให้กับเขา เวลาเขาล้ม แล้ว ต้องลุกเป็น ไม่ใช่ไปขอความช่วยเหลือจากสิ่งอำนวยความสะดวกแบบนี้ เขาต้องคิดเองเป็นซะก่อน จนกว่าจะพร้อมกับสิ่งพวกนี้ครับ แต่ถึงอย่างไร ผมก็เป็นครูหมายเลข 1 ของเขาอยู่ครับ
Edited by zeelacul, 26 November 2012 - 09:02.