Paskorn Jumlongrach หวัดดีพี่เด้ง
แม้ขณะนี้ผมไม่มีสังกัดในองค์กรสื่อเหมือนในอดีต แต่ก็รู้สึกอึดอัดในบรรยากาศของวิชาชีพไม่น้อยกว่าพี่และเพื่อนๆอีกจำนวนมาก ทุกครั้งที่มีเพื่อนฝูงนักข่าวมาตั้งวงเฮฮา
เราก็หนีไม่พ้นที่จะพูดถึงสถานการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นอะไรที่ไม่เคยคิดว่าวิชาชีพนี้จะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้เพื่อนๆ หลายคนระบายให้ฟังว่าความสนุกคึกคักเมื่อลงสนามทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศอย่างเท่าทันกลายเป็นเพียงเรื่องในอดีต และเป็นแค่เรื่องเล่าขำๆของบรรยากาศการทำข่าวโดยเฉพาะในทำเนียบรัฐบาลที่กำลังถูกกลบหาย เหมือนที่เคยบ่นกับพี่ไว้ บางทีพวกเราอาจจะ “แก่”และ “เก่า”ไปแล้วสำหรับยุคสมัยปัจจุบัน แต่สุดท้ายเราก็เห็นตรงกันว่าขอเก่าและแก่ในจุดยืนแบบเดิมๆของเราต่อไป
ผมจำความรู้สึกเมื่อราว 10 ปีก่อนเมื่อครั้งถูกส่งไปประจำทำเนียบได้ดี แรกๆ มันเป็นอารมณ์กลัวๆ กล้าๆ เพราะขณะนี้ตัวเองก็เพิ่งทำงานมาได้ไม่กี่ปี ไม่ใช่กลัวนักการเมืองหรือแหล่งข่าวหรอกน่ะ แต่หวั่นใจเรื่องการตกข่าวมากกว่า เพราะนักข่าวแต่ละคนที่ต้นสังกัดส่งมาช่างดูเขี้ยวลากดินทั้งนั้น แต่ละคนมีดีในตัวเอง และสามารถซักถามโต้ตอบเพื่อหาข้อเท็จจริงจากผู้บริหารประเทศได้อย่างถึงพริกถึงขิง ด้วยเหตุนี้เองนอกจากนักข่าวต้องทำการบ้านมาดี ตัวนักการเมืองก็ต้องทำการบ้านมาไม่น้อยเช่นเดียวกัน จะมาลอยหน้าลอยตาประชาสัมพันธ์ตัวเองหรือโกหกไปวันๆ นั้น คงยาก
ผมจำได้ว่าคำพูดที่ติดปากกันเสมอในกลุ่มเพื่อนนักข่าวที่สนิทกันก่อนกลับบ้านคือ “แล้วเจอกันบนแผง” ซึ่งเป็นเสียงกระเซ้าเย้าแหย่สนุกๆ มากกว่าท้าทายกัน ผมไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้นักข่าวทำเนียบเขารู้สึกกันอย่างไรในทุกวันที่ลงสนาม แต่สำหรับผมยังจำความรู้สึกนั้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อนได้ดีโดยเฉพาะในเช้าวันอังคารที่มีประชุมคณะรัฐมนตรี มันคึกคักและมากมายไปด้วยประเด็น วิชาชีพนี้มันก็ดีอย่างนี้แหละ ไม่ว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน เมื่อต้นสังกัดส่งมาลงสนามนี้ คุณก็มีโอกาสอย่างเท่าเทียม ได้สัมผัสความรู้สึกที่แท้จริงของผู้บริหารประเทศมากกว่าคนอื่น และตัวนักการเมืองเองก็ “เห็นหัว” คุณ ตราบเท่าที่ยังสวมเสื้อตัวนี้
พี่เด้งครับ แม้ผมไม่มีโอกาสเข้าไปทำเนียบนับปีแล้ว แต่ก็ยังสดับฟังข่าวจากพี่น้องผองเพื่อนอยู่เสมอ ได้เห็นระยะห่างของนักข่าวกับนักการเมืองที่เปลี่ยนไป คำว่าจรรยาบรรณในวิชาชีพถูกกัดกร่อนลงเรื่อยๆ ยิ่งเดี๋ยวนี้องค์กรต้นสังกัดของนักข่าวหลายแห่งทำตัวกลายพันธุ์ซ่ะเอง เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองมากกว่าประโยชน์ของสังคม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยพร่ำสอนให้ซื่อตรงในวิชาชีพกลับถูกลบด้วยเท้าอย่างไม่เหลือหรอ ผลสะท้อนจึงออกมาอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ คือสื่อกลายเป็นตัวปัญหาและสร้างความขัดแย้งในบ้านเมืองเสียเอง
กรณีที่เกิดขึ้นกับสมจิตต์ ช่อง 7 เป็นภาพหนึ่งที่สะท้อนสถานการณ์ในสนามข่าวยามนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะทำให้ได้ยินถึงความเงียบและความวังเวงของคนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบท่ามกลางกระแสอารมณ์อันกราดเกรี้ยวที่พร้อมป้ายสีทุกคนให้เลือกข้างและขาดการแยกแยะ ไม่ว่านักข่าวคนนั้นจะทำหน้าที่เข้มแข็งอย่างไร ผมเชื่อว่าพี่เด้งและเพื่อนๆที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์เดิมคงต้องเหนื่อยกันอีกนาน เหนื่อยกายคงไม่เพราะแต่ละคนเติบใหญ่และบริหารจัดการตัวเองได้ลงตัวแล้ว แต่เหนื่อยใจนี่ซิ นับวันยิ่งหนักขึ้นแน่ ก็ขอให้คิดเสียว่าเป็นแรงจูงใจและความท้าทายในการทำหน้าที่ต่อไป
เหมือนที่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกไว้ว่า ตำแหน่งต่างๆในกองบอกอมันอาจถูกปรับเปลี่ยนหรือพรากไปจากเราได้ แต่ ความเป็นนักข่าว ไม่มีใครเอาไปจากตัวเราได้ หากเรายังยึดมั่นและเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำอยู่
ถึงเราจะเก่าหรือจะแก่อย่างไร “กูก็ยังเป็นนักข่าว”
Norravit Boom ดาวยังพราย “ศรัทธา” เย้ยฟ้าดิน
ความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต
คือ...การทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวสายการเมือง
แม้เป็นเวลาเพียงแค่ 6 ปีของช่วงชีวิต (2533-2539)
แต่เป็น 6 ปีที่สอนให้รู้จักคำว่า “ความรับผิดชอบต่อสังคม”
ข่าวทุกข่าวสอนเราให้รู้ว่า...
ตัวอักษรทุกตัวที่เป็นข่าวมีผลกระทบต่อผู้คนและสังคม
ไม่ว่าข่าวนั้นจะเป็นข่าวใหญ่หรือข่าวเล็ก
เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย
แต่ทุกข่าวที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์
อุดมไปด้วยจิตวิญญาณของความรับผิดชอบ
หลายปีมานี้...
จากคนทำข่าวเป็นคนอ่าน (ฟัง,ดู) ข่าว
เกิดคำถามกับตัวเองขึ้นหลายครั้งว่า...
ข่าวอย่างนี้ออกมาได้อย่างไร
คนทำข่าวหรือคนเสนอข่าวไม่รู้สึกถึง...
การขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนนำเสนอหรือ??? หรือ...บริบทการทำข่าวเปลี่ยนไป
หรือ...คนทำข่าวเปลี่ยนไป
หรือ...จิตวิญญาณเปลี่ยนไป
แต่ฉันเชื่อว่า....
ยังคงมี “นักข่าว” ที่ยืนเด่นโดยท้าทาย
แม้...จะโดดเดี่ยวเต็มที่
(แดง อดีตมติชน ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล)
Edited by ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 01:29.