แม่น้องเกด...เธอไม่ทำการทำงานอะไรแล้วหรือ!!!
#51
ตอบ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:16
- onegaishimasu likes this
#52
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 02:06
ข้าน้อยขอคารวะ
"คนที่จะยิงได้ มีแต่คนที่เตรียมใจจะถูกยิงกลับแล้วเท่านั้น"
ผมขออนุญาตยืมประโยคนี้มาจากการที่เห็นเพื่อนสมาชิกคนใดคนหนึ่งในเสรีไทยเคยใช้ ซึ่งผมเองก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถจำได้ว่าเพื่อนสมาชิกคนนั้นเป็นใคร หากแต่เพียงรู้สึกว่าได้เห็นประโยคนี้อยู่บ่อยๆจนรู้สึกว่าคุ้นตาและชอบใจอยู่ไม่น้อย วันนี้ผมอยากจะเขียนถึงเรื่องของแม่กะมนเกดซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากเขียนมานาน แต่ก็ไม่ได้เขียนซักที ซึ่งการที่ผมอยากเขียนเรื่องแม่กะมนเกดนั้นมันเกิดมาจากประโยคประโยคนึงที่เห็นผ่านตาจากสื่อ จาการโพสต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่บ่อยๆ ประโยคนี้ครับ
"บางครั้งมีนักเรียนแพทย์ผ่าเส้นเอ็นอะไรไม่เป็นก็มาให้เกดสอน"
เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวเท่านั้นครับที่ผมรู้สึกว่ามันถูกจริตกับอคติในจิตใจของผมอย่างรุนแรง เพราะฉะนั้นข้อความต่อจากนี้ไป ผมได้เขียนขึ้นมาจากอคติในหัวใจของผมล้วนๆ จึงไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีมนุษยธรรมในหัวใจและนักสิทธิมนุษยชนที่จะอ่านข้อความต่อไปนี้
ผมขอเถอะครับ "เราอย่าไปให้คุณค่ากับกะมนเกดคนนี้นักเลยครับ" จะว่าจะด่าอะไรผมก็ได้ครับหากคุณอ่านประโยคที่ผมได้เขียนเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เพราะผมบอกไว้แล้วว่าถ้าผมได้ตัดสินใจจะเขียน ผมก็พร้อมแล้วครับที่จะรับผลจากการเขียนของผมตามประโยคที่ผมได้ยืมมาจากเพื่อนสมาชิกที่นำมาอ้างไว้ข้างต้น
การสูญเสีย โดยปกติแล้วสำหรับผมเป็นเรื่องใหญ่ครับ ไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จัก อย่าว่าต้องให้ถึงชีวิตเลยครับ แค่เพียงสูญเสียอวัยวะก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้คนอย่างผมได้รู้สึกสลดใจครับ แต่ความรู้สึกนี้เดียวกันนี้ที่เคยมีให้กับกะมนเกดมันเลือนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ครับ มันคงหายไปเพราะการกระทำของแม่กะมนเกดครับ
ความตายของกะมนเกดถูกนำมาเพิ่มมูลค่าอย่างมากมายโดยมารดาของเธอครับ เพิ่มจนไม่ธรรมดา เพิ่มจนน่าเกลียด เพื่อให้กะมนเกดดูมีค่ามากมาย เพื่อให้คนต้องเสียดายเมื่อสูญเสียเธอไป เพื่อเรียกร้องเงินค่าชดเชยให้สมน้ำสมเนื้อกับคนที่แสนจะมีค่าอย่างกะมนเกด เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดจากการเสียชีวิตของลูกสาวเธอครับ ทั้งๆที่จริงๆแล้วกะมนเกดก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ที่ไม่น่าจะมีคุณค่าอะไรมากมายขนาดที่แม่เธอพยายามทำให้ดูเหมือนจะเป็นหากเธอยังคงมีชีวิตอยู่ครับ
ผมไม่ได้รู้จักกะมนเกดเป็นการส่วนตัว แต่ขออนุญาตวิเคราะห์กะมนเกดจากบทความที่เคยได้อ่านมาด้วยอคติส่วนตัวครับครับ
"เกด เป็นคนพูดจาโผงผาง ปากร้ายใจดี" "เกดมีเอกลักษณ์ของตัวเองคือเสียงหัวเราะที่ดังลั่นทุ่ง" "เกดจบชั้นมัธยม เรียนพาณิชย์ได้ไม่เท่าไรก็ต้องลาออกมาเรียน กศน" สามประโยคนี้ทำให้ผมสามารถวิเคราะห์ด้วยอคติได้ว่า กะมนเกด ไม่ใช่พยาบาลที่เรียบร้อยอ่อนหวานอย่างที่พยาบาลส่วนใหญ่เค้าเป็นกันอย่างที่เราๆท่านๆเคยเห็นหรอกครับ ผมว่าออกจะเป็นคนเกเรเสียด้วยซ้ำ กรุณาอย่าทำให้ภาพพจน์เธอดูเป็นนางฟ้าเลยครับ
มาถึงประโยคที่ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนที่สุด และทำให้รู้สึกอคติกับกระบวนการสร้างภาพให้กะมนเกดอย่างรุนแรงก็คือประโยคนี้ครับ "บางครั้งมีนักเรียนแพทย์ผ่าเส้นเอ็นอะไรไม่เป็นก็มาให้เกดสอน" ผมอยากทราบจริงๆครับว่า นศพ คนใดที่ต้องให้กะมนเกดสอนผ่าเส้นเอ็น เพราะผมเชื่อลึกๆว่าในปีแรกๆของการเรียนแพทย์นั้น นศพ ทุกคนต้องผ่านการเรียนกายวิภาคศาสตร์มาแล้วไม่ว่าทั้งภาคทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติ แล้วเหตุใด นศพ คนนั้นจึงต้องให้กะมนเกดผู้ซึ่งเป็นเพียงผู้ช่วยพยาบาลและผมเองก็เชื่ออยู่ลึกๆว่าเธอไม่เคยผ่านการเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์มาอย่างแน่นอนมาสอนการผ่าเส้นเอ็นด้วยเล่า หากผมเป็นอาจารย์ของ นศพ ท่านนั้นจะขอเขกกระโหลกซักสองสามที และจะขออนุญาตตัดคะแนน anatomy ที่คุณเรียนผ่านมาแล้วด้วยในช่วงปีแรกๆครับ เรื่องเหล่านี้คนที่เรียนแพทย์หรือเรียนวิทยาศาสตร์น่าจะรู้ดีที่สุดครับ ไม่ใช้ผู้ช่วยพยาบาลอย่างกะมนเกดซึ่งไม่เคยร่ำเรียนวิชาทางสายแพทย์มาก่อนอย่างแน่นอน นี่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กะมนเกดที่ผมรับไม่ได้อย่างมากครับ
ประโยคต่อมาคือประโยคที่ว่า "เกดมีฝันว่าต้องการไปสอบเป็ผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบก โดยประกาศเจตนาแน่วแน่ว่า ถ้าสอบติดจะลงไปปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้" ท่านจะเห็นว่ามันน่าชื่นชมใช้มั๊ยครับ แต่ผมก็ไม่เชื่อลมที่ออกจากปากแม่กะมนเกดหรอกครับ เกดตายไปแล้วจะพูดอะไรก็ได้ครับ จะพูดให้ดูดีกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่าก็ได้ครับ "ถ้าเกดยังไม่ตายจะ ..." "เกดมีฝันว่า ..." "เกดตั้งใจจะ ..." จะพูดอะไรก็พูดได้ครับ สำหรับผมมันก็แค่การสร้างราคา สร้างมูลค่าให้การตายของกะมนเกด เพื่อให้การตายของลูกทำเงินให้แม่ให้ได้มากที่สุดครับ คุณเชื่อเหรอครับว่าหากเธอยังไม่ตาย แม่ของเธอจะยอมให้เธอลงไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขนาดไปอยู่แค่ในม็อบกบฏสีแดงแม่เธอยังไม่อยากให้ไปเลยครับ วิเคราะห์จากประโยคนี้ครับ "หลังจากเกดไปร่วมกับอาสาสมัคร เพื่อคอบปฐมพยาบาลกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงอย่างเต็มตัว เกดก็ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ที่บ้านเพราะกลัวโดนตามตัวกลับ" ที่สามจังหวัดชายแดนมันโหดร้ายกว่าในม๊อบกบฏสีแดงหลายล้านเท่าครับ เห็นรึเปล่าครับว่ามันก็แค่การพูดเพื่อเพิ่มมูลค่าเท่านั้นเอง กะมนเกดยังไม่เคยแม้แต่จะเรียนผู้ช่วยพยาบาลด้วยซ้ำ และก็ยังไม่รู้เลยว่าจะสอบได้เป็นผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบกหรือเปล่า แต่ก็เอามาพูดสร้างมูลค่าซะใหญ่โต น่าสะอิดสะเอียนจริงๆครับ
อีกประโยคก็คือประโยคที่แม่เธอพูดเอาดีใส่ตัวที่ว่า "ดิฉันสอนลูกๆทั้งสามคนเสมอว่าครอบครัวเรามันจน มีทางเลือกน้อย หากเรียนจบแล้วมีงานทำก็ควรช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า ช่วยเหลือได้ให้ช่วยเหลือ" แต่สิ่งที่ผมได้บริโภคจากสื่อนั้นกลับพบแต่เพียงความเห็นแก่ได้ของเธอ คิดแต่เพียงจะเรียกร้องค่าชดเชยให้ได้มากที่สุด หาได้เคยเห็นถึงความสำนึกในการเสียสละตามคำสอนของเธอไม่ ในใจลึกๆก็อยากถามเธอว่า บัดนี้เธอมั่งมีแล้วจากเงินเจ็ดล้านกว่าๆ เธอได้นำเงินเหล่านั้นช่วยเหลือใครบ้างหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดก็ให้เป็นบุญกุศลแก่วิญญาณลูกของเธอก็ยังดีครับ ถ้ายังไม่เคยนำเงินเหล่านั้นไปช่วยเหลือใคร ประโยคนี้ก็แค่อีกประโยคที่สวยหรูใช้ในการเพิ่มมูลค่าการตายของลูกเธอครับ
กะมนเกดก็เป็นเพียงแค่คนเสื้อแดงคนหนึ่งครับ เหมือนคนเสื้อแดงทั่วๆไปที่โชคร้ายต้องมาเสียชีวิตขณะก่อกบฏ โดยที่ยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าเป็นฝีมือใคร บางทีอาจจะเป็นฝีมือพวกเดียวกันเองก็ได้ครับ ซึ่งก็มีอีกหลายๆคนที่เราท่านๆจำชื่อคนเหล่านั้นไม่ได้ครับ เรามาร่วมกันทำชื่อ กะมนเกด ให้เลือนหายไป และไร้ซึ่งมูลค่าใดๆเช่นเดียวกับคนเสื้อแดงหลายๆคนที่เราจำชื่อไม่ได้กันเถอะครับ อย่าอุปโลกน์ให้เธอเป็นนางฟ้าเป็นพยาบาลผู้มาจิตใจเมตตาอารีเลยครับ เพราะผมเชื่ออยู่ลึกๆว่าคนที่อยู่ในหน่วยพยาบาลของเสื้อเหลืองก็ต้องเป็นคนเสื้อเหลืองที่มีแนวคิดมีอุดมการณ์เดียวกัน ในหน่วยพยาบาลในการชุมนุมของ เสธ อ้าย ก็ต้องเป็นคนของ เสธ อ้าย แล้วมันจะยกเว้นคนที่อยู่ในหน่วยพยาบาลของกบฏสีแดงไปได้อย่างไรเล่าครับ กะมนเกดก็แค่คนเสื้อแดงคนหนึ่ง กรุณาอย่าได้ให้ราคาเธอมากกว่านั้นเลยครับ เธอไม่ได้มีค่าอะไรมากมายขนาดที่แม่เธอพยายามทำให้เป็นครับ ถ้าเธอเป็นนางฟ้าจริง ก่อนนั้นเธอน่าจะมีประวัติเป็นอาสาสมัครพยาบาลในหน่วยพยาบาลของเสื้อเหลืองมาก่อนครับ เพราะนางฟ้าผู้มีจิตใจเมตตาอารีต้องไม่มีสีใดๆครับ
จากทั้งหมดที่ผมเขียนมา ผมไม่ให้ราคากะมนเกด มากเท่ากับที่แม่เธอพยายามทำให้เป็นครับ สำหรับผม เธอก็แค่คนเสื้อแดงทั่วๆไปที่โชคร้ายต้องมาเสียชีวิตขณะร่วมกันก่อการกบฏครับ
ผมขอขอบคุณหากเพื่อนสมาชิกได้อ่านข้อความของผมจนจบ และหากใครจะว่าอะไรผมเนื่องมาจากว่ารู้สึกขัดหูขัดตาในความคิดความอ่านของผม ก็ยินดีน้อมรับฟังความคิดเห็น หรือแม้แต่จะเป็นคำด่าว่าครับ เพราะผมคิดของผมอย่างนี้จริงๆว่ามันก็แค่การสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อเรียกร้องเงินชดเชยให้ได้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ของแม่กะมนเกดครับ สำหรับผม แม่กะมนเกดก็เป็นเพียง พยาธิ ครับ ชื่อนี้ผมไม้ได้โมเมเอามาลอยๆครับ เธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ผมผวนเอามาจากชื่อกับนามสกุลของเธอครับ พะยาด มาจาก พะยาด ... เฮา ซึ่งผวนมาจาก พะเยา ... ครับ ที่น่าแปลกก็คือ พฤติกรรมบางอย่างเธอคล้ายพยาธิเสียด้วยสิครับ 555
- sun and onegaishimasu like this
#53
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 03:32
น้องใหม่ทรงคุณค่า
ข้าน้อยขอคารวะ
"คนที่จะยิงได้ มีแต่คนที่เตรียมใจจะถูกยิงกลับแล้วเท่านั้น"
ผมขออนุญาตยืมประโยคนี้มาจากการที่เห็นเพื่อนสมาชิกคนใดคนหนึ่งในเสรีไทยเคยใช้ ซึ่งผมเองก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถจำได้ว่าเพื่อนสมาชิกคนนั้นเป็นใคร หากแต่เพียงรู้สึกว่าได้เห็นประโยคนี้อยู่บ่อยๆจนรู้สึกว่าคุ้นตาและชอบใจอยู่ไม่น้อย วันนี้ผมอยากจะเขียนถึงเรื่องของแม่กะมนเกดซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากเขียนมานาน แต่ก็ไม่ได้เขียนซักที ซึ่งการที่ผมอยากเขียนเรื่องแม่กะมนเกดนั้นมันเกิดมาจากประโยคประโยคนึงที่เห็นผ่านตาจากสื่อ จาการโพสต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่บ่อยๆ ประโยคนี้ครับ
"บางครั้งมีนักเรียนแพทย์ผ่าเส้นเอ็นอะไรไม่เป็นก็มาให้เกดสอน"
เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวเท่านั้นครับที่ผมรู้สึกว่ามันถูกจริตกับอคติในจิตใจของผมอย่างรุนแรง เพราะฉะนั้นข้อความต่อจากนี้ไป ผมได้เขียนขึ้นมาจากอคติในหัวใจของผมล้วนๆ จึงไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีมนุษยธรรมในหัวใจและนักสิทธิมนุษยชนที่จะอ่านข้อความต่อไปนี้
ผมขอเถอะครับ "เราอย่าไปให้คุณค่ากับกะมนเกดคนนี้นักเลยครับ" จะว่าจะด่าอะไรผมก็ได้ครับหากคุณอ่านประโยคที่ผมได้เขียนเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เพราะผมบอกไว้แล้วว่าถ้าผมได้ตัดสินใจจะเขียน ผมก็พร้อมแล้วครับที่จะรับผลจากการเขียนของผมตามประโยคที่ผมได้ยืมมาจากเพื่อนสมาชิกที่นำมาอ้างไว้ข้างต้น
การสูญเสีย โดยปกติแล้วสำหรับผมเป็นเรื่องใหญ่ครับ ไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จัก อย่าว่าต้องให้ถึงชีวิตเลยครับ แค่เพียงสูญเสียอวัยวะก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้คนอย่างผมได้รู้สึกสลดใจครับ แต่ความรู้สึกนี้เดียวกันนี้ที่เคยมีให้กับกะมนเกดมันเลือนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ครับ มันคงหายไปเพราะการกระทำของแม่กะมนเกดครับ
ความตายของกะมนเกดถูกนำมาเพิ่มมูลค่าอย่างมากมายโดยมารดาของเธอครับ เพิ่มจนไม่ธรรมดา เพิ่มจนน่าเกลียด เพื่อให้กะมนเกดดูมีค่ามากมาย เพื่อให้คนต้องเสียดายเมื่อสูญเสียเธอไป เพื่อเรียกร้องเงินค่าชดเชยให้สมน้ำสมเนื้อกับคนที่แสนจะมีค่าอย่างกะมนเกด เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดจากการเสียชีวิตของลูกสาวเธอครับ ทั้งๆที่จริงๆแล้วกะมนเกดก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ที่ไม่น่าจะมีคุณค่าอะไรมากมายขนาดที่แม่เธอพยายามทำให้ดูเหมือนจะเป็นหากเธอยังคงมีชีวิตอยู่ครับ
ผมไม่ได้รู้จักกะมนเกดเป็นการส่วนตัว แต่ขออนุญาตวิเคราะห์กะมนเกดจากบทความที่เคยได้อ่านมาด้วยอคติส่วนตัวครับครับ
"เกด เป็นคนพูดจาโผงผาง ปากร้ายใจดี" "เกดมีเอกลักษณ์ของตัวเองคือเสียงหัวเราะที่ดังลั่นทุ่ง" "เกดจบชั้นมัธยม เรียนพาณิชย์ได้ไม่เท่าไรก็ต้องลาออกมาเรียน กศน" สามประโยคนี้ทำให้ผมสามารถวิเคราะห์ด้วยอคติได้ว่า กะมนเกด ไม่ใช่พยาบาลที่เรียบร้อยอ่อนหวานอย่างที่พยาบาลส่วนใหญ่เค้าเป็นกันอย่างที่เราๆท่านๆเคยเห็นหรอกครับ ผมว่าออกจะเป็นคนเกเรเสียด้วยซ้ำ กรุณาอย่าทำให้ภาพพจน์เธอดูเป็นนางฟ้าเลยครับ
มาถึงประโยคที่ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนที่สุด และทำให้รู้สึกอคติกับกระบวนการสร้างภาพให้กะมนเกดอย่างรุนแรงก็คือประโยคนี้ครับ "บางครั้งมีนักเรียนแพทย์ผ่าเส้นเอ็นอะไรไม่เป็นก็มาให้เกดสอน" ผมอยากทราบจริงๆครับว่า นศพ คนใดที่ต้องให้กะมนเกดสอนผ่าเส้นเอ็น เพราะผมเชื่อลึกๆว่าในปีแรกๆของการเรียนแพทย์นั้น นศพ ทุกคนต้องผ่านการเรียนกายวิภาคศาสตร์มาแล้วไม่ว่าทั้งภาคทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติ แล้วเหตุใด นศพ คนนั้นจึงต้องให้กะมนเกดผู้ซึ่งเป็นเพียงผู้ช่วยพยาบาลและผมเองก็เชื่ออยู่ลึกๆว่าเธอไม่เคยผ่านการเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์มาอย่างแน่นอนมาสอนการผ่าเส้นเอ็นด้วยเล่า หากผมเป็นอาจารย์ของ นศพ ท่านนั้นจะขอเขกกระโหลกซักสองสามที และจะขออนุญาตตัดคะแนน anatomy ที่คุณเรียนผ่านมาแล้วด้วยในช่วงปีแรกๆครับ เรื่องเหล่านี้คนที่เรียนแพทย์หรือเรียนวิทยาศาสตร์น่าจะรู้ดีที่สุดครับ ไม่ใช้ผู้ช่วยพยาบาลอย่างกะมนเกดซึ่งไม่เคยร่ำเรียนวิชาทางสายแพทย์มาก่อนอย่างแน่นอน นี่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กะมนเกดที่ผมรับไม่ได้อย่างมากครับ
ประโยคต่อมาคือประโยคที่ว่า "เกดมีฝันว่าต้องการไปสอบเป็ผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบก โดยประกาศเจตนาแน่วแน่ว่า ถ้าสอบติดจะลงไปปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้" ท่านจะเห็นว่ามันน่าชื่นชมใช้มั๊ยครับ แต่ผมก็ไม่เชื่อลมที่ออกจากปากแม่กะมนเกดหรอกครับ เกดตายไปแล้วจะพูดอะไรก็ได้ครับ จะพูดให้ดูดีกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่าก็ได้ครับ "ถ้าเกดยังไม่ตายจะ ..." "เกดมีฝันว่า ..." "เกดตั้งใจจะ ..." จะพูดอะไรก็พูดได้ครับ สำหรับผมมันก็แค่การสร้างราคา สร้างมูลค่าให้การตายของกะมนเกด เพื่อให้การตายของลูกทำเงินให้แม่ให้ได้มากที่สุดครับ คุณเชื่อเหรอครับว่าหากเธอยังไม่ตาย แม่ของเธอจะยอมให้เธอลงไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขนาดไปอยู่แค่ในม็อบกบฏสีแดงแม่เธอยังไม่อยากให้ไปเลยครับ วิเคราะห์จากประโยคนี้ครับ "หลังจากเกดไปร่วมกับอาสาสมัคร เพื่อคอบปฐมพยาบาลกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงอย่างเต็มตัว เกดก็ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ที่บ้านเพราะกลัวโดนตามตัวกลับ" ที่สามจังหวัดชายแดนมันโหดร้ายกว่าในม๊อบกบฏสีแดงหลายล้านเท่าครับ เห็นรึเปล่าครับว่ามันก็แค่การพูดเพื่อเพิ่มมูลค่าเท่านั้นเอง กะมนเกดยังไม่เคยแม้แต่จะเรียนผู้ช่วยพยาบาลด้วยซ้ำ และก็ยังไม่รู้เลยว่าจะสอบได้เป็นผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบกหรือเปล่า แต่ก็เอามาพูดสร้างมูลค่าซะใหญ่โต น่าสะอิดสะเอียนจริงๆครับ
อีกประโยคก็คือประโยคที่แม่เธอพูดเอาดีใส่ตัวที่ว่า "ดิฉันสอนลูกๆทั้งสามคนเสมอว่าครอบครัวเรามันจน มีทางเลือกน้อย หากเรียนจบแล้วมีงานทำก็ควรช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า ช่วยเหลือได้ให้ช่วยเหลือ" แต่สิ่งที่ผมได้บริโภคจากสื่อนั้นกลับพบแต่เพียงความเห็นแก่ได้ของเธอ คิดแต่เพียงจะเรียกร้องค่าชดเชยให้ได้มากที่สุด หาได้เคยเห็นถึงความสำนึกในการเสียสละตามคำสอนของเธอไม่ ในใจลึกๆก็อยากถามเธอว่า บัดนี้เธอมั่งมีแล้วจากเงินเจ็ดล้านกว่าๆ เธอได้นำเงินเหล่านั้นช่วยเหลือใครบ้างหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดก็ให้เป็นบุญกุศลแก่วิญญาณลูกของเธอก็ยังดีครับ ถ้ายังไม่เคยนำเงินเหล่านั้นไปช่วยเหลือใคร ประโยคนี้ก็แค่อีกประโยคที่สวยหรูใช้ในการเพิ่มมูลค่าการตายของลูกเธอครับ
กะมนเกดก็เป็นเพียงแค่คนเสื้อแดงคนหนึ่งครับ เหมือนคนเสื้อแดงทั่วๆไปที่โชคร้ายต้องมาเสียชีวิตขณะก่อกบฏ โดยที่ยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าเป็นฝีมือใคร บางทีอาจจะเป็นฝีมือพวกเดียวกันเองก็ได้ครับ ซึ่งก็มีอีกหลายๆคนที่เราท่านๆจำชื่อคนเหล่านั้นไม่ได้ครับ เรามาร่วมกันทำชื่อ กะมนเกด ให้เลือนหายไป และไร้ซึ่งมูลค่าใดๆเช่นเดียวกับคนเสื้อแดงหลายๆคนที่เราจำชื่อไม่ได้กันเถอะครับ อย่าอุปโลกน์ให้เธอเป็นนางฟ้าเป็นพยาบาลผู้มาจิตใจเมตตาอารีเลยครับ เพราะผมเชื่ออยู่ลึกๆว่าคนที่อยู่ในหน่วยพยาบาลของเสื้อเหลืองก็ต้องเป็นคนเสื้อเหลืองที่มีแนวคิดมีอุดมการณ์เดียวกัน ในหน่วยพยาบาลในการชุมนุมของ เสธ อ้าย ก็ต้องเป็นคนของ เสธ อ้าย แล้วมันจะยกเว้นคนที่อยู่ในหน่วยพยาบาลของกบฏสีแดงไปได้อย่างไรเล่าครับ กะมนเกดก็แค่คนเสื้อแดงคนหนึ่ง กรุณาอย่าได้ให้ราคาเธอมากกว่านั้นเลยครับ เธอไม่ได้มีค่าอะไรมากมายขนาดที่แม่เธอพยายามทำให้เป็นครับ ถ้าเธอเป็นนางฟ้าจริง ก่อนนั้นเธอน่าจะมีประวัติเป็นอาสาสมัครพยาบาลในหน่วยพยาบาลของเสื้อเหลืองมาก่อนครับ เพราะนางฟ้าผู้มีจิตใจเมตตาอารีต้องไม่มีสีใดๆครับ
จากทั้งหมดที่ผมเขียนมา ผมไม่ให้ราคากะมนเกด มากเท่ากับที่แม่เธอพยายามทำให้เป็นครับ สำหรับผม เธอก็แค่คนเสื้อแดงทั่วๆไปที่โชคร้ายต้องมาเสียชีวิตขณะร่วมกันก่อการกบฏครับ
ผมขอขอบคุณหากเพื่อนสมาชิกได้อ่านข้อความของผมจนจบ และหากใครจะว่าอะไรผมเนื่องมาจากว่ารู้สึกขัดหูขัดตาในความคิดความอ่านของผม ก็ยินดีน้อมรับฟังความคิดเห็น หรือแม้แต่จะเป็นคำด่าว่าครับ เพราะผมคิดของผมอย่างนี้จริงๆว่ามันก็แค่การสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อเรียกร้องเงินชดเชยให้ได้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ของแม่กะมนเกดครับ สำหรับผม แม่กะมนเกดก็เป็นเพียง พยาธิ ครับ ชื่อนี้ผมไม้ได้โมเมเอามาลอยๆครับ เธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ผมผวนเอามาจากชื่อกับนามสกุลของเธอครับ พะยาด มาจาก พะยาด ... เฮา ซึ่งผวนมาจาก พะเยา ... ครับ ที่น่าแปลกก็คือ พฤติกรรมบางอย่างเธอคล้ายพยาธิเสียด้วยสิครับ 555
ขอบคุณคุณผึ้งน้อยฯมากๆนะครับ ผมเองก็ติดตามอ่านที่คุณผึ้งน้อยฯเขียนอยู่บ่อยๆ แอบชื่นชมอยู่ก็ไม่น้อย แต่นานๆครั้งถึงจะได้ล็อกอินเข้ามาซักทีนึงครับ
- ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ likes this
#54
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 07:19
- Satan for Vendetta likes this
"ความดี กับ ความเลว
ความจริง กับ คำโกหก
ความถูกต้อง กับ การทำผิดกฎหมาย"
ถ้าเกิดเป็น คน ไม่ได้เกิดเป็น ควาย มันไม่ต้องให้ทายหรอก ว่าจะเลือกอย่างไหน
#55
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 09:03
ยามกูจนมรึ-งย่ำยี ยามกูมีมรึ-งอิจฉา
#56
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 09:18
#57
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 17:02
“พะเยาว์” เศรษฐินี 7.75 ล้านคลั่ง สวมวิญญาณแกนนำเสื้อแดง นำมวลชนบุกป่วนเวทีวันกรรมสิทธิมนุษยชนสากล มอบ “โลงจำปาทอง” กรรมการสิทธิฯ อ้างผู้พิทักษ์ผู้กดขี่ดีเด่น พร้อมทวงถามรายงานผลสอบสลายม็อบ นปช. อ้างสองมาตรฐานเทียบ “ม็อบเสธ.อ้าย” ไม่วายมอบหม้อดินปิดผ้ายันต์ “หมอพรทิพย์” แม้แต่พระ “ว.วชิรเมธี” ยังชูป้ายด่าไม่เว้น ทิ้งท้ายมอบฟัก “หมอนิรันดร์”
วันนี้ (17 ธ.ค.) ที่ศูนย์รายการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จัดงานวันสิทธิมนุษยชนสากล 10 ธ.ค. ประจำปี 2555 ภายใต้หัวข้อ “เมื่อถูกละเมิดสิทธิ ความจริงต้องปรากฏ” โดยมีนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นประธานเปิดงาน โดยนางอมรากล่าวว่า เมื่อดูจากหัวข้อการจัดงานในวันนี้ก็แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนช่วยรณรงค์ ปกป้อง คุ้มครองสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนถูกละเมิดสิทธิ ถูกกระทำ และถูกเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบ ดังนั้น เราต้องร่วมกันรณรงค์ไม่ให้ถูกละเมิดสิทธิ พร้อมทั้งให้สังคมตระหนักและแก้ไขต่อไปเพื่อให้อยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง และต่อต้านผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งหวังว่าการจัดงานในวันนี้จะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความถูกต้องในเรื่องสิทธิมนุษยชนของคนในสังคมไทย
จากนั้นนางอมราได้มีการมอบรางวัลให้แก่บุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนประจำปี 2555 โดยรางวัลเกียรติยศ “ผู้อุทิศตนเพื่อสิทธิมนุษยชน” ได้แก่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี, แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม และนางสายสุรี จุติกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและสตรี
ขณะที่ประเภทบุคคลและองค์กร บุคคลชายได้แก่ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น (คปต.) บุคคลหญิงได้แก่ น.ส.อรุณี ศรีโต นายกสมาคมส่งเสริมสิทธิชุมชนเพื่อการพัฒนา ประเภทเด็กและเยาวชนชาย ได้แก่ นายพีรพล บงค์บุตร รองประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดเลย เยาวชนหญิงได้แก่ น.ส.มินตรา จันทร์นวล เลขานุการศูนย์ยุติธรรมเยาวชน อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์
ประเภทบุคคลภาคสื่อมวลชน ได้แก่ น.ส.ณาตยา แวววีรคุปต์ บรรณาธิการข่าวสังคมและนโยบายสาธารณะ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ประเภทนักสิทธิมนุษยชนชุมชนชาย ได้แก่ นายเสด็จ เขียวแดง ประธานชุมชนโคราชคฤหาสน์ทอง ต.ในเมือง อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา ประเภทนักสิทธิมนุษยชนชุมชนหญิง ได้แก่ นางเกษร ศรีอุทิศ เลขานุการชุมชนหลังไปรษณีย์สำเหร่ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ ประเภทองค์กรภาครัฐ ได้แก่ เทศบาลตำบลบ้านกลาง จังหวัดลำพูน ประเภทองค์กรภาคเอกชน ได้แก่ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และประเภทองค์กรสื่อสารมวลชน หริอรายการที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ได้แก่ สถาบันอิศรา
อย่างไรก็ตาม ขณะที่การจัดงานดำเนินอยู่นั้น ปรากฏว่า ผู้สนับสนุนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในนามเครือข่ายญาติวีรชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อปี 2553 นำโดยนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสา นปช. ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมบริเวณวัดปทุมวนาราม และพวกจำนวนกว่า 30 คนได้รวมตัวบริเวณด้านหน้าอาคารประตูทางเข้าฝั่งทิศตะวันออก ตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อทวงความคืบหน้ารายงานสรุปการสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์การชุมนุม เมื่อปี 2553 และทวงถามอำนาจหน้าที่ของกรรมการสิทธิฯ ว่ามีอำนาจในการเรียกขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือไม่
ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมอ้างว่า เพราะจากที่เคยมาทวงถามกรณีการเสียชีวิตของบุตรสาว นางอมราอ้างว่าไม่มีอำนาจในการเรียกขอข้อมูล แต่เมื่อมีการร้องเรียนการสลายการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม หรือ อพส. ที่มี พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย เป็นประธาน ทาง กสม.โดยนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ในฐานะประธานอนุกรรมการฯ กลับมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงทันทีภายหลังมีการร้องเรียน โดยทางกลุ่มเครือข่ายฯ ได้ปักหลักรอฟังคำตอบจากกรรมการสิทธิฯ แต่ ก็ไม่มีกรรมการสิทธิฯ คนใดออกมาพบปะผู้ชุมนุมที่รอฟังการชี้แจง
กระทั่งช่วงบ่ายกลุ่มเครือข่ายญาติผู้เสียชีวิตได้บุกเข้ามาภายมาในตัวอาคารที่เป็นสถานที่จัดงานวันสิทธิมนุษยชนสากล 10 ธ.ค. 2555 ท่ามการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ โดยมีนายวีรวิทย์ วีรวรวิทย์ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ได้พยายามเข้ามาเจรจา แต่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมยืนยันที่จะขอพบนางอมรา ซึ่งนายวีรวิทย์ได้แจ้งกับผู้ชุมนุมว่า นางอมราติดภารกิจไม่สามารถมารับเรื่องได้ด้วยตัวเอง
จากนั้นกลุ่มเครือข่ายญาติผู้เสียชีวิตฯ ได้บุกเข้าไปในห้องสัมมนา ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากทำพิธีมอบรางวัลเสร็จ โดยขึ้นเวทีซึ่งขณะนั้นมีการแสดงหมอลำ ส่งผลให้การแสดงต้องหยุดลงชั่วขณะ และผู้ที่มาร่วมงานต่างพากันตกตะลึง เนื่องจากเหตุการณ์นี้ไม่ได้อยู่ในกำหนดการของงานที่วางไว้ ที่สุดกลุ่มเครือข่ายญาติผู้เสียชีวิตฯได้ขึ้นไปบนเวที แล้วประกาศว่าเพื่อขอมอบรางวัล “โลงจำปาทอง” ที่เป็นโลงศพจำลอง ให้เป็นรางวัลเนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล กับประธานและกรรมการสิทธิฯ ทุกคน เพราะถือว่าเป็นรางวัลในสาขาผู้พิทักษ์ผู้กดขี่ดีเด่น โดยมีนายวีรวิทย์เป็นตัวแทนรับมอบรางวัลดังกล่าว
นายวีรวิทย์กล่าวบนเวทีว่า สาเหตุการที่ดำเนินการตรวจสอบเหตุการณ์การสลายการชุมนุมช้า เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มีข้อมูลจำนวนมาก อีกทั้งในเหตุการณ์มีผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการอย่างรอบด้าน ส่วนอำนาจหน้าที่ในการเรียกบุคคลใดเข้ามาชี้แจงตามพระราชบัญญัติสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทาง กสม.มีอำนาจในการเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงได้ แต่ในส่วนของการเรียกเอกสารเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ทั้งนี้ยืนยันว่าจะเร่งพิจารณารายงานผลการสืบสวนสอบสวนให้เร็วที่สุด
พร้อมกันนี้ ทางกลุ่มเครือข่ายฯ ยังได้แสดงท่าทีคัดค้านการมอบรางวัลเกียรติยศให้กับผู้อุทิศตนเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยนำหม้อดินปิดผ้ายันต์มามอบให้แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ ในฐานะเป็นผู้พิสูจน์การเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุม และชูป้ายข้อความคัดค้านการมอบรางวัลให้กับพระมหาวุฒิชัย โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของวลี “ฆ่าคนบาปน้อยกว่าฆ่าเวลา” พร้อมทั้งได้มีการมอบฟัก ที่สะกดอักษรเป็นภาษาอังกฤษว่า Fuck (หมายถึงอวัยวะเพศชาย) ให้แก่นายแพทย์นิรันดร์ รวมถึงได้มอบรูปปั้นเณร ให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลในงาน
ส่วนบริเวณด้านหน้าประตูทางเข้า กลุ่มคนเสื้อแดงได้นำเอาเชือกมาผูกบริเวณเสาหน้าทางเข้าอาคาร แล้วนำรูปภาพผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงติดบนเชือกเป็นทางยาว ทั้งนี้จากการสังเกตพบว่า มีบางภาพที่เป็นภาพศพผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมโดยไม่ผ่านการเซ็นเซอร์
ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์ 17 ธันวาคม 2555
Edited by ดอกปีบขาว, 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 17:43.
ดอกไม้งามมีหนามแหลม ใช่บานแย้มให้คนชม บานไว้เพื่อสะสม ความอุดมแห่งผืนดิน...
#58
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 17:07
ดูพฤติกรรมกร่าง บุกเข้าห้องประชุม ทำกิริยาก้าวร้าวสามหาว แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่เว้น คงจะเลียนแบบพี่กี๊ร์บุกการประชุมที่พัทยา
ดูหน้า อ.อมรา ผะอืดผะอม กับม็อบไร้มารยาท
Edited by ดอกปีบขาว, 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 17:51.
ดอกไม้งามมีหนามแหลม ใช่บานแย้มให้คนชม บานไว้เพื่อสะสม ความอุดมแห่งผืนดิน...
#59
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:14
รอมันตายเมื่อไร เด๋วไอ้ลูกชาย ก็เอาศพแม่มันมาหาแดรก น่ะแหละ
ผมมองกลับกันว่า เธอยังมีลูกเหลืออีก อย่างน้อยน่าจะได้อีกสัก 7.75 ล้านพร้อมทัวร์ต่างประเทศ
#60
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:17
#61
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:30
นางอมลา ก็น่าจะรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับงานสิทธิมนุษยชน เพราะบุคลิค นิสัย เหมาะกับงานเห็นด้วยกับฆาตกร มากกว่า
สามีนางพะยาด ฮัคเอา มาแก้ต่างให้เมียเหรอ....
นี่ถ้าอาจารย์อมรา เข้าข้างควายแดง คงจะสรรเสริญเยินยอ ชื่นชมเค้าสินะ
ดอกไม้งามมีหนามแหลม ใช่บานแย้มให้คนชม บานไว้เพื่อสะสม ความอุดมแห่งผืนดิน...
#62
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:34
Written by Pavin Chachavalpongpun
SUNDAY, 16 DECEMBER 2012
http://www.asiasenti...5048&Itemid=185
An important agency is rendered toothless by its Quisling chairwoman
Amara Pongsapich, the chairperson of Thailand’s National Human Rights Commission. must have felt frustrated to hear that former Prime Minister Abhisit Vejjajiva had been charged with murder in connection with his role in a military crackdown against pro-Thaksin protesters in 2010.
That is not because as the commission’s head she wanted to punish Abhisit for ordering brutal attacks on protesters during the April-May 2010 protests that wracked central Bangkok as part of her duty to defend human rights. It may be because she saw the need to protect Abhisit, the face of the Thai upper class of which she is a part.
Thailand’s human rights situation has been in dire straits, particularly since the military coup of 2006. Amara was selected to chair the newly established human rights body at a critical time in Thai politics where violence had been repeatedly used against the people, but she has been a disappointment for many in Thailand.
The Human Rights Commission was established in 2009 and its members were appointed, rather than elected, thus raising questions pertaining to its accountability, impartiality and transparency. The commission was established during the Abhisit administration, suggesting that her appointment could have been politically motivated.
Indeed, it has been rather clear that the two are close allies. Amara has never been politically neutral since the beginning. Her inclinations and sympathy toward the People’s Alliance for Democracy, the royalist Yellow Shirts, has cast doubt upon her ability to lead an important organization that deals with justice spanning multi-political ideologies and alignments.
A former professor and dean of Chulalongkorn University’s Faculty of Political Science, Amara earned her doctorate in anthropology from the University of Washington. Her research interests have been in the sociology of religion, development and cultural change, society and culture, women studies, and ethnicity. Supposedly, she must possess a deep understanding of the way in which human rights are defined.
But in reality, Amara has never condemned the use of violence in the hands of the Abhisit government against the red-shirt protesters. Some 92 were believed killed and 2,000 injured. The NHRC has been silent all along. This poses a question of whose interests Amara has been protecting.
When the Yingluck Shinawatra government decided to employ teargas to disperse crowds in the latest anti-government rally led by an elderly former general in late November, Amara and her NHRC were fuming. She immediately released a statement reproaching the government’s measures in dealing with the demonstrators.
“The government was over-reacting and the use of teargas was unacceptable,” she said. It is important to note that only a few casualties were reported during the rally, a stark contrast to what happened during April-May 2010.
Since the charges against Abhisit have been brought out into the public, Amara has, as expected, made no comment, even when Abhisit denied all responsibility. The intimate connection between Abhisit and Amara could have a played a role in the human rights commission’s lackluster response regarding the continuing investigation of several cases related to the 2010 violence.
In the aftermath of the 2006 coup, Amara was invited to join a constitutional drafting committee sponsored by the Thai junta. The result is the 2007 constitution which, as many would argue, has remained largely “undemocratic. Considering that she was a political science professor who taught her students about political ethics, Amara’s decision to serve the junta in such committee seriously called into question her own ethics and integrity.
Allying with the traditional elite appears to have rendered many benefits to Amara. She is herself an elite. There is little evidences that she genuinely cares about the rights of the Thai people, especially those in the underclass.
In 2010, upon taking up her position at the NHRC, she beautifully reiterated her passion for human rights protection.
“I enjoy learning about people from different backgrounds, how they live, what they believe and what is important to them,” she said. “My work has exposed me to many of the issues facing indigenous peoples and minority groups – the hardship they experience, the lack of access to basic social services and, as a result, the many opportunities that are denied to them.”
These statements have proved flimsy. Under Amara’s leadership, the commission has refused to discuss one of the most pressing issues in Thailand: the lèse-majesté law and its impact on human rights. Lèse-majesté cases have continued to skyrocket. More people have been charged with Article 112 of lèse-majesté law, both Thais and foreigners. Some have received extremely harsh sentences. And the NHRC did not even show its concern.
The case of Amphon Tangnoppakul, known in Thailand as Akong, who was sentenced to 20 years in jail for allegedly sending four text messages deemed insulting to the Thai monarchy, failed to alert the NHRC of the serious human rights violations. Akong died in prison on cancer this May. No sympathy was sent out to his family from Amara.
The NHRC has shown a marked lack of interest in many other cases involving political prisoners, as well as harassment against Thai academics in Thailand who spoke critically of the monarchy. This is a sad story indeed as Amara is also a one-time academic.
This year alone, the NHRC has enjoyed a hefty Bt173.59 million budget (US$5.67 million) for its works on the promotion of human rights. Yet, a big question is how Amara can justify the spending of this budget when the human rights situation has continued to deteriorate.
As evidence of further damage the reputation of her agency, Amara, at year’s end, has offered human rights awards to a number of dubious personalities, ranging from a celebrity monk, a controversial forensic pathologist and a detainee in a Phnom Penh prison who was arrested by Cambodia for provoking a conflict between the two countries.
Amara needs to reconsider her role as the leader of the commission. Her performance has let many of her compatriots down, as well as those who are monitoring the Thai human rights situation in the outside world.
(Pavin Chachavalpongpun is associate professor at Kyoto University’s Centre for Southeast Asian Studies.)
#63
ตอบ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 19:14
ผู้ใช้ 0 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 0 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน