Jump to content


อย่าว่าเสื้อแดง


This topic has been archived. This means that you cannot reply to this topic.
15 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 Guest_Guest_*

Guest_Guest_*
  • Guests

ตอบ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554 - 12:04

พวกเสื้อแดงเค้าเป็น "ปทปรมะ" นะครับ
อย่าไปว่าเค้า

#2 Guest_ไอ้หยา_*

Guest_ไอ้หยา_*
  • Guests

ตอบ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554 - 11:47

ถ้าเขาเลิกเป็น ปทปรมะ เมื่อไรบอกด้วยนะ

#3 Guest_Guest_*

Guest_Guest_*
  • Guests

ตอบ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554 - 23:42


Esan Invasion

ผมไม่อยากจะใช้คำว่า 'อีสาน' เพราะคนอีสานดีๆก็มีเยอะ ที่ไม่ใช่เสื้อแดง ก็เอาเป็นว่าเวลาที่พูดถูงอีสานในบทความนี้ ก็ให้เข้าใจว่าเป็นพวกเสื้อแดงก็แล้วกันครับ ซึ่งก็รวมถึงเสื้อแดงในจังหวัดอื่นๆด้วยนะ รวมไปถึงเสื้อแดงในกรุงเทพรอบนอกที่โดนน้ำท่วมด้วย (ดอนเมือง, สายไหม, คันนายาว ฯลฯ)

ลักษณะทางกายภาพของคนอีสาน ไม่ว่าจะเป็นดั้งจมูกที่หักลง หรือกรามที่ใหญ่เกินใบหน้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าเหยียดหยามแต่อย่างใด เพราะเป็นสิ่งที่ใช้แยกแยะพวกเขาออกจากชนชาติและเชื้อสายมนุษย์อื่นๆ อย่างมีเอกลักษณ์

อีกทั้งฐานะทางวัตถุของคนเหล่านี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนกรุงเทพเลยจริงๆ แต่พวกเขากลับถูกปลูกฝังให้มีทัศนคติว่าคนเมืองกรุงนั้นเป็นคนรวย และคนอีสานเป็นคนจน ทั้งที่จริงๆแล้ว คนอีสานนั้นรวยๆเยอะแยะ ส่งลูกมาเรียนปริญญาโท-เอกที่กรุงเทพ ซื้อรถป้ายแดงให้ลูกขับ แล้วก็ซื้อคอนโดให้อยู่ บางคนเอาเงินเกษียณบำนาญบำเหน็จมาผ่อนของอย่างว่าให้ลูก เพราะฝากความหวังไว้กับลูกๆ ดังนั้นพวกวัยรุ่นอีสานก็สบายกันไป ที่มีพ่อแม่ตามใจทุ่มเทแบบนั้น (แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไขพึ่งพิงกัน ทำให้ไม่มีอิสระในชีวิตอย่างเต็มที่ จึงทำให้คนอีสานไม่รู้จักความสุขที่เกิดจากความสุนทรีย์และอิสรภาพที่แท้จริง พวกเขารู้จักแต่ความสุขจากกามตัณหา)

ในขณะที่คนกรุงเทพจำนวนมากอยู่สลัมบ้าง อยู่ตึกแถวบ้าง เรียนไปทำงานไปด้วย คิดโดยอัตราเฉลี่ยแล้ว คนอีสานอาจจะรวยกว่าคนกรุงเทพด้วยซ้ำ

สรุปแล้วคนอีสานไม่ใช่คนจน หากแต่พวกเขาทะเยอทะยาน อยากอยู่อย่างสุขสบายเป็นเทวดา แต่ก็อย่างที่ทฤษฎีของผมกล่าวเอาไว้ว่า คนเรามี 2 ปีระเภท ประเภทแรกคือพวกที่อยากหลุดพ้นออกไปจากชีวิต (นิพพาน) และประเภทที่สอง ซึ่งเป็นคนที่หลงโลกและยึดติดกับชีวิต ดังนั้น ความทะเยอทะยานดังกล่าวนี้ของคนอีสาน จึงยังไม่น่าตำหนิเท่าไร เพราะมันเป็นธรรมชาติของพวกคนอีสาน ซึ่งเป็นคนประเภทหลัง หากแต่ลักษณะนิสัยและสันดานอื่นๆของพวกเขาต่างหาก ที่น่าถูกตำหนิและดูแคลน ซึ่งลักษณะพฤติกรรมของพวกเขาก็อย่างเช่นว่า

1. ชอบเหลือบมองผู้อื่น (Taking a look around)

เพื่อดูว่าผู้อื่นกำลังกินอะไร ทำอะไร หรือคุยอะไรกัน ทั้งนี้เพราะคนพวกนี้ไม่ค่อยมีรสนิยมและความคิดเป็นของตัวเอง ต้องคอยมองผู้อื่นเพื่อนำมาเป็นแบบอย่าง ทั้งการกิน การแต่งกาย รวมถึงทักษะการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ ยิ่งถ้าหากคนพวกนี้ได้มีโอกาสไปในสถานที่อันมีอารยธรรมเจริญแล้วล่ะก็ พวกเขาจะรู้สึกว่าต้องคอยเหลือบมองพฤติกรรมของผู้อื่นเป็นแบบอย่าง จนบ่อยครั้งที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอึดอัดและเกิดความคับข้องใจกันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การที่พวกเขาเอาแต่ทำอะไรเลียนแบบชนชาติอื่น โดยที่ไม่ได้ประยุกต์ให้เข้ากับตัวเอง ผลที่ออกมาก็เลยดูไม่จืด อย่างที่เรามักเรียกกันว่า ‘ลาว’ นั่นเอง เช่น วัยรุ่นหนุ่มอีสาน ที่ชอบเอาแว่นกันแดดมาใส่เพื่อความเท่ห์ เพราะเห็นดาราในหนังเป็นแบบอย่าง หรืออย่างสาวอีสาน ที่ชอบย้อมโกรกผมและแต่งตัวตามเกาหลี ทั้งๆที่ไม่เข้ากับหน้า

2. ชอบอึกทึกครึกโครม

หลายๆคนคงเคยเห็นกันมาแล้วว่า คนพวกนี้ชอบเอะอะโวยวายเป็นสันดาน นั่งอยู่เฉยๆก็ส่งเสียงโว้ยว้ายออกมา ยิ่งเวลากินเหล้านี่โวยวายเสียงดังไปหลายบ้าน เรียกว่าบ้าพลังทางเสียงก็ว่าได้ (คนพวกนี้ยังมักจะชอบร้องเพลงออกมาดังๆอีกด้วย บางคนก็อยากเป็นนักร้องมาก) นอกจากนี้ พวกเขายังมักจะปิดประตูหรือตู้เสียงดังกระแทกอีกด้วย เวลาสังสรรค์กันก็มักจะป่าวร้องเคาะไม้ เคาะขวดแบบบ้าคลั่ง ไร้สุนทรียนิยมโดยสิ้นเชิง

3. นอนกลางวัน

คนพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร โดยเฉพาะวัยรุ่น กลางคืนมักจะไม่นอน นอนเช้าหรือไม่ก็กลางวันเลย หากว่าอยู่คอนโดหรือหอพัก ก็มักจะสร้างความเดือดร้อนหนวกหูให้ผู้อื่นอย่างมาก จะว่าเป็นเพราะกรุงเทพยามค่ำคืนมันไม่เงียบสงัดเหมือนอีสานก็เป็นไปได้ แถมยังชอบทำกับข้าวตำน้ำพริกตอนเช้าๆ พอใครขอความร่วมมือไม่ให้ทำ ก็จะแค้นฝังใจและต่อต้าน ไม่ยอมให้ความร่วมมือ

หากใครเคยนั่งรถผ่านต่างจังหวัดหรือชนบท ก็จะเห็นได้ว่าชีวิตของคนเหล่านี้ช่างน่าซึมเศร้าเหงาหงอย อยู่ท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ กลางวันก็นั่งสูบบุหรี่ปัดยุงเหม่อลอยไปวันๆ “ไม่มีความเป็นสังคมเมือง” จึงทำให้จิตใจหดหู่และง่วงเหงาหาวนอน เกิดนิวรณ์อื่นๆตามมาอีกเป็นลำดับ

4. อีโก้รุนแรง

พวกเขามักจะมีขอบเขตทางจิตวิทยาสูง จึงมี Sense of Discrimination สูงมาก กล่าวคือ พวกเขามักจะนิยมในการคบหาสมาคมอยู่กับคนเชื้อชาติเดียวกันมากกว่า และมักจะแปลกใจเมื่อเห็นคนกรุงเทพหรือคนจากภูมิภาคอื่นเข้าไปคุยด้วยอย่างเป็นกันเอง บ่อยครั้งเมื่อเราเข้าไปคุยกับคนเหล่านี้แบบกะทันหัน เราจึงจะเห็นพฤติกรรมแบบ Defense Mechanism ของคนเหล่านี้ ด้วยการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะพวกเขาเกิดความรู้สึกว่าตัวเองอาจจะกำลังถูกคุกคามหรือข่มเหง จึงต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน

5. ปมด้อย

สืบเนื่องมาจากลักษณะในข้อที่แล้ว อีโก้ยังทำให้พวกเขามีความต้องการที่จะทำอะไรได้ตามใจตนเองอย่างเต็มที่ แต่ในเมื่อสถานะทางสังคมของพวกเขาไม่เอื้ออำนวย เพราะถูกจำกัดอยู่ในกฏเกณฑ์และกฏหมายของสังคมอารยะ พวกเขาจึงมีสิ่งที่ทางจิตวิทยาเรียกว่า Inferiorty Complex หรือปมด้อยทางใจนั่นเอง ลึกๆแล้วพวกเขามักจะรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกสังคมอารยะกดขี่ข่มเหงอยู่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อันเป็นความรู้สึกเดียวกับพวกทาสในสมัยก่อน พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเดินถนนอย่างเชิดหน้าชูตา ไม่กล้าที่จะเดินเข้าห้างสรรพสินค้าที่หรูหรา จะเห็นได้ว่า เวลาที่ได้โอกาสก่อจราจล เราจึงได้เห็นพวกเขาใช้ความรุนแรง ทำร้ายและทำลายสิ่งก่อสร้างต่างๆเหล่านั้น อย่างน่าฉงนในความเก็บกดของคนเหล่านั้นว่ามาจากไหน และหลายท่านยังอาจจะเคยสงสัยว่า ทำไมเวลาที่คนเหล่านี้ทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐฯ พวกเขาจึงมักจะแสดงอาการเกรี้ยวกราด หรือตะโกนก่นด่าออกมาในทำนองที่ว่า ‘กูไม่กลัวเมิงๆ!’ ทั้งๆที่เจ้าหน้าที่รัฐฯก็ไม่ได้ต้องการให้พวกเขาเกิดความรู้สึกกลัวอยู่แล้วแต่เหตุที่พวกเขาตะโกนออกมาเช่นนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขามีความกลัวอยู่ในจิตใจตนเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั่นเอง เวลาที่พวกเขาดูเหมือนกำลังต่อต้านหรือต่อสู้ รวมถึงพยายามทำตัวกร่าง เป็นอันธพาลท้าทายเจ้าหน้าที่รัฐฯอยู่เนืองๆนั้น ที่จริงแล้วพวกเขาเพียงกำลังต่อสู้กับจิตใต้สำนึกของตนเองและพยายามเอาชนะมันอยู่ต่างหาก พวกเขามีประสบการณ์ที่เคยถูกกดขี่มาจากคนรอบข้างไม่มากก็น้อย หนำซ้ำยังถูกปลูกฝังให้รู้สึกผิด (Guilt) หากจะกระทำการใดๆที่รุนแรงออกมาต่อผู้ควบคุมหรือเลี้ยงดูเขา เพราะสังคมไม่ยอมรับ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่ากลุ่มการเมืองที่ไร้อารยธรรมดังกล่าว เมื่อมาก่อม๊อบและตั้งกลุ่มเป็นมวลชนปฏิปักษ์ (Hostility) กับใครแล้ว พวกเขาก็จะได้ใจ เพราะพวกเขาจะรู้สึกเป็นอิสระ ได้ปลดปล่อย และใช้ความรุนแรงได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับศัตรูร่วมของผู้อื่นด้วย นั่นคือเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงกล้ากระทำการชั่วร้ายเมื่อมีพรรคการเมืองหรือผู้นำที่มีอีโก้แข็งแรงหนุนหลัง มันเป็นการให้ Moral Support หรือความชอบธรรมอันหลอกลวง (Deceptive Righteousness) ที่คนเหล่านั้นขาดไปนั่นเอง จากนั้นหากสามารถเอาชนะรัฐบาลได้แล้ว จึงพยายามกลับมารวมตัวกันและแห่แหนไปรอบเมือง โดยอ้างว่าทำไปเพื่อเป็นการรำลึกครอบรอบการชุมนุม หากแต่ที่จริงแล้วเป็นเพียงการได้ใจและคึกคะนอง ที่ตนสามารถเอาชนะความกลัวและปมด้อยในใจตัวเองได้ต่างหาก ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนที่เจริญแล้วในสังคมก็ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นอะไรพวกเขาเลย ก่อนหน้านั้นถ้าพวกเขาอยากจะไปที่ไหนๆก็ไม่ได้มีใครห้าม ขอเพียงแต่งตัวให้ถูกกาละเทศะ

ผมมักจะยกตัวอย่างให้เห็นถึงความน่าสมเพช หรือความมีปมด้อยของคนเหล่านี้ ให้เห็นภาพ ด้วยการยกตัวอย่างพระเอกหนังที่หล่อๆ หากไปดูถูกผู้หญิงธรรมดาๆหน้าตาขี้เหร่ ผู้หญิงคนนั้นต้องมีปฏิกริยาตอบโต้เป็นฟืนเป็นไฟ แต่ในทางกลับกันหากผู้หญิงคนนั้นไปดูถูกว่าพระเอกหนังเป็นคนอัปลักษณ์ขี้เหร่บ้าง พระเอกหนังคนนั้นก็จะยักไหล่และรู้สึกตลกขบขันซะมากกว่า สรุปคือคนที่มันมีปมด้อยอยู่แล้ว พอโดนสะกิดนิดเดียวก็เป็นฟืนเป็นไฟ แต่คนที่รู้คุณค่าตัวเองดีอยู่แล้ว เรียกว่ามี Social Value มากกว่า จะไม่แยแสต่อการถูกกัดจิกใดๆ

6. ตัณหาจัด

จะสังเกตได้ว่า สภาวะจิตของคนเหล่านี้ มีความสุดโต่งสุดขั้ว เหมือนสภาพภูมิอากาศทางอีสาน นั่นก็คือกลางวันร้อนจัด กลางคืนหนาวจัด จึงทำให้มีกามตัณหาจัดมาก ชอบกินอาหารกลิ่นฉุนๆ รสชาติจัดจ้าน ชอบแต่งตัวสีฉูดฉาด ชอบเปิดเพลงดังๆ ชอบการเสพมั่วเมถุนและร่วมประเวณี ชอบบ้ากาม (เห็นเพลงคันหูและท่าเต้นแบบนั้นเป็นเรื่องปกติ แถมยังสนับสนุนกันใหญ่) ชอบดื่มสุราเมรัย เงินทองของคนเหล่านี้จึงมักจะหมดไปโดยเปล่าประโยชน์ ผู้ชายอีสานจะหมดเงินไปกับการเที่ยวดื่มและเลี้ยงสาว ส่วนผู้หญิงอีสานก็หมดเงินไปกับการซื้อเสื้อผ้าแก้วแหวนเงินทองมาใส่ประดับตัว คนเหล่านี้ใช้กามตัณหาแบบสุดโต่ง ในการรับมือกับความว่างเปล่าในจิตวิญญาณตนเอง (Emptiness Inside) ทั้งที่ควรจะเอาเงินมาพัฒนาตัวเองมากกว่า ทั้งๆที่จริงๆแล้ว คนอีสานเหล่านั้นจำนวนมาก รายได้ก็ไม่น้อยเท่าไร บางคนขับรถป้ายแดง เรียนมหาวิทยาลัยแพงๆ โดยพ่อแม่ส่งเงินมาให้ใช้อย่างสุขสบาย เรียกว่าเป็นอำมาตย์อีสานของแท้ แต่บรรดาคนรากหญ้าอีสานกลับตกเป็นเครื่องมือ ถูกอำมาตย์เหล่านั้นเบี่ยงประเด็นด้วยการยุยงปลุกปั่นให้เกลียดชังคนกรุงฯ และออกมาเรียกร้องค่าแรงค่าครองชีพ โดยใช้ข้ออ้างร่วมกันว่าถ้ามีเงินมาก ก็จะได้มีเวลาไปปฏิบัติธรรมมาก เหมือนที่อารยชนคนไทยอื่นๆทำกัน

ยิ่งในช่วงที่ผ่านมา พวกเขามีวิธีใหม่ ที่นอกเหนือไปจากการใช้กามตัณหาในการรับมือกับความว่างเปล่าในจิตใจ นั่นก็คือการใช้ความรุนแรง (Vandalism) นั่นเอง เพราะรัฐบาลของนายกอภิสิทธิ์อ่อนแอและปล่อยปะละเลย ซึ่งหากพวกเขาไม่ได้ระเบิดอารมณ์รุนแรงออกมาแล้ว พวกเขาก็จะเป็นโรคซึมเศร้าแทน (Depression = Anger turns inward) แต่ด้วยการที่พวกเขารักตัวเองมากกว่า พวกเขาจึงเลือกที่จะทำร้ายคนอื่นแทนที่จะปล่อยให้ตัวเองซึมเศร้า

7. ไม่ชอบอยู่ในกฏระเบียบ

คนพวกนี้ หากมีใครไปว่ากล่าวตักเตือน เวลาที่พวกเขากระทำผิดใดๆก็ตาม ก็จะตั้งแง่เป็นศัตรูเป็นปรปักษ์ ไม่ชอบให้ใครมาจำกัดขอบเขต ทั้งๆที่ควรจะเจียมตัวและปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบเพื่อส่วนยรวม แต่พวกเขาเอาตัวเองเป็นหลัก ตัวกู-ของกู ทุกเรื่อง ดูอย่างวงการฟุตบอลเป็นตัวอย่าง พอเล่นแพ้ ก็รุมกระทืบกองเชียร์ฝ่ายตรงข้าม พอถูกกรรมการตักเตือนลงโทษ นักบอลก็ต่อยกรรมการ

8. วัตถุนิยม

เรื่องนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก คือนิสัยของคนพวกนี้ ชอบ Projection และ Transference ทางจิตวิทยา อะไรที่ดีก็เอาเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น พวกเขาเองวัตถุนิยมสุดๆ แต่ชอบไปว่าพวกตะวันตกหรือคนกรุงฯว่าวัตถุนิยม ทั้งๆที่ถ้าเทียบกันแล้ว จำนวนเงินต่อทรัพย์สินนั้น คนที่มีความเจริญแล้วจะเอาเงินไปทำประโยชน์ในการพัฒนาจิตใจตนเองมากกว่า เช่น คนอีสาน หากมีเงินหมื่นกว่าๆในสมัยก่อน ก็จะเอาไปซื้อทองใส่ เส้นแค่ไหนไม่แคร์ ขอให้ได้ใส่ทองสร้อยคอ สร้อยข้อมือ อวดชาวบ้าน หรือไม่ก็เอาไปซื้อสุรา ซื้อกาม ปรนเปรอตัวเอง แต่หากเป็นคนที่เจริญแล้ว จะเอาเงินจำนวนดังกล่าว ไปใช้ในการเข้าคอร์สอบรมหรือไม่ก็ซื้อหนังสือดีๆมาอ่านเพื่อพัฒนาตนเอง หรือนำไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตามากกว่า

9. ไม่มีมารยาท

คนพวกนี้ หากรู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าใครแล้วล่ะก็ จะปฏิบัติต่อคนๆนั้นอย่างไร้มารยาท ไม่มีความสุภาพ พูดจาห้วนๆ ไม่มีหางเสียง และทำตัวข่มผู้อื่น แต่ในทางตรงกันข้าม หากรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า ก็กลับนอบน้อมแทบจะคุยกับคนๆนั้นแบบกราบเท้ากันเลยทีเดียว คนเหล่านี้คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองตลอดเวลา จนแสดงออกมาทางกริยาอาการอย่างชัดเจน เป็นการเลือกปฏิบัติ มีนิสัยแบบไพร่-อำมาตย์โดยแท้

10. ชอบเล่นพรรคเล่นพวก

ข้อสุดท้ายนี้ เป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุด ที่เป็นอันตรายต่อสังคมอารยะอย่างกรุงเทพมาก ยกตัวอย่างเช่น การที่พวกมันเอาชื่อคนที่เห็ฌนต่างจากพวกมัน ด้วยการสร้าง Page ใน Facebook ประจานชื่อโดยเฉพาะ ทั้งๆที่เป็นเรื่องเล็กๆ เวลาพวกมันเห็นต่างอะไรจากคนกรุงเทพ คนกรุงฯก็ไม่เห็นจะไปประจานอะไรมันเลย หรือย่างกรณีที่นักข่าวช่อง 7 ไปถามให้ยิ่งลักษณ์อึดอัด มันก็เอาชื่อนักข่าวไปประกาศเพื่อหมายหัว สรุปก็คือคนพวกนี้เวลามันอยู่คนเดียวหรือยู่กันน้อยๆ ก็หงอเป็นลิง แต่พอมีพวกเยอะๆ มันก็ใช้วิธีรุมสกรัมทั้งร่างกายและวาจาอย่างป่าเถื่อน เหมือนพวกมนุษย์หินในยุคแรกเริ่ม สังเกตอย่างแกนนำแดง เช่น ก่อแก้ว พิกุลทอง หรือย่างนายจตุพร เวลาขึ้นเวทีปราศรัยอยู่ในวงล้อมเสื้อแดงนี้ ปากเก่งห้าวหาญ จาบจ้วงเบื้องสูง แต่พออยู่ตัวคนเดียว กลับให้สัมภาษณ์นักข่าวอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ก็ด้วยเห็นใจเหล่าคนที่มีอารยธรรม และรักในความชอบธรรมทั้งหลาย ซึ่งกำลังเกิดความเจ็บปวดและคับข้องใจ ด้วยว่าในสมัยนี้ ที่ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน แม้แต่ดาราหรือที่ภาษาทางธรรมาธิษฐานเรียกว่า 'เทวดา'บางคนยังต้องอ้อนขอที่นั่งในสภากับอสูรกายชั้นต่ำ พวกนักเลงอันธพาลไร้อารยธรรมครองเมือง อีสานครองกรุง ยุคที่ความสุนทรีย์ถูกทำลาย โรงหนังสยามถูกเผา สยามสแควร์กลายเป็นตลาดนัด และคนชั่วไม่ถูกลงโทษเมื่อทำความผิด แถมยังได้ดิบได้ดีเป็นส.ส. เงินเดือนเรือนแสน เป็นข้าราชการกินเงินเดือนภาษีของผู้ดี ทั้งๆที่ไม่มีทักษะอะไรเลยนอกจากการใช้ความรุนแรงป่าเถื่อน จะไปฟ้องเอาผิด พ่อก็รอดมันทุกคดี เพราะกฏหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เอากฏหมู่อยู่เหนือกฏหมายได้สำเร็จ เรียกว่าเป็นยุคอีสานบูมเมอร์ (Esan Boomer) หรือ Esan Invasion ก็สุดแล้วแต่ ทีวีเคเบิ้ลก็มีแต่ช่องลาว ช่องอีสาน เราๆท่านๆจะได้ปลงและทำใจได้ ว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงสภาวะธรรม ที่เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย นอกเสียจากจะพยายามปรับตัวและประคับประคองชีวิตไปตามน้ำ และถ้าจะให้ดี ก็ควรปฏิบัติภาวนาเพื่อให้เห็นว่าร่างกายที่เราหวงแหน และอารมณ์จิตใจที่รักความชอบธรรมนี้ ถึงแม้จะเป็นฝ่ายดี แต่ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราแต่อย่างใดเลย อย่าไปหวังให้คนชั่วถูกลงโทษ อย่าไปหวังอะไรกับโลกใบนี้อีกเลย

ขณะนี้สังคมไทยอยู่ในช่วงขาลง เพราะจริงอยู่ ที่ดวงเมืองไทยคือราศีเมษ ซึ่งมีลักษณะด้านลบดังที่กล่าวมาทั้งหมด (อัตตา-กิเลส-ตัณหารุนแรง) แต่ราศีเมษ ก็มีด้านบวกอยู่อยู่ คือเป็นผู้กล้าหาญ ใจกว้าง สนุกกับชีวิต ปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า และเป็นผู้มีความคิดริเริ่ม บุคคลดีๆที่เป็นชาวอีสานก็มีอยู่ เช่นพระป่า พระอริยะ ทั้งหลายในอดีต ก็เป็นชาวอีสานทั้งสิ้น ซึ่งมันเป็นเวรกรรมร่วมของประเทศไทยเอง ที่ด้านบวกและคนในด้านบวกเหล่านั้นหายไปหมดแล้วในยุคนี้ และสิ่งแวดล้อมได้หล่มหลอมให้คนเหล่านี้กลายเป็นด้านลบไปหมด

ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของพวกคนต่ำเหล่านั้น แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดหนักเข้าไปอีก เมื่อรัฐบาลที่แล้วอ่อนแอ แถมโง่เขลา มีเพียงศีล แต่ขาดปัญญา มาเป็นนายกฯในสมัยนั้น เพราะหากเราโชคดีมีนายกฯอย่างเดวิด คาเมรอน หรือเป็นคนอื่น คงจะจัดการกับความชั่วร้ายได้ดีและฉลาดกว่านี้ ปรากฏการณ์คนชั่วได้ดีเยี่ยงนี้ ก็คงจะไม่เกิดขึ้น ถูกปราบปรามหายไปจากสังคมไทยจนสิ้น

ประเทศไทย จบสิ้นแล้ว (Thailand will never be the same)

อย่างไรก็ดี เทรนด์ดังกล่าว ก็กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกด้วย สถานะเดิมๆ (Status) ไม่ว่าจะดีหรือร้าย กำลังถูกดาวพลูโต (จามหลักโหราศาสตร์) กำจัดทิ้งแล้ว คนที่เรืองอำนาจจะถูกท้าทายและดึงลงมาต่ำ เหมือนอย่างที่ Gaddafi ถูกโค่นอำนาจ ผู้นำการก่อการร้ายอย่าง Bin Laden ก็ถูกสังหารลงอย่างอนาถ

แม้แต่คนที่เคยเป็นผู้ดีผู้เจริญอย่างชาวอเมริกันและยุโรป ถึงตอนนี้ก็เกิดปัญหาเศรษฐกิจ จนต้องหันหน้า หรือเรียกว่าบากหน้า ไปพึ่งพาประเทศที่เจริญ(ทางจิตสำนึก)น้อยกว่า อย่างประเทศจีน

นี่ก็เป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งถึงสัจธรรมที่ว่า ความดีงามและสัจธรรม ไร้ความหมายอีกต่อไปแล้ว

การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นเพียงทฤษฎีในระดับสมมติบัญญัติ หรือเป็นปรัชญาจรรโลงใจสำหรับปุถุชนทั่วไปเท่านั้น หาได้เป็นความจริงในระดับปรมัตถ์แต่อย่างใดไม่

'ตถตา' หรือวิถีความเป็นไปในโลก มันไม่ได้ตายตัวง่ายๆเช่นนั้น เหตุผลเป็นสิ่งที่ถูกนำมาอธิบายตามหลังเสมอ

ในความเป็นจริงตามสภาวะธรรมก็คือ นี่เป็นการปะทะกันระหว่างปัญญาธาตุและเจโตธาตุ ในประเทศไทย กล่าวคือ กลุ่มคนหนึ่งที่มีความรู้ มีปัญญา ก็คาดหวังให้คนอีกกล่มหนึ่ง มีปัญญาดังเช่นพวกเขาบ้าง ในขณะเดียวกัน คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้าม ก็ไม่สามารถพัฒนาปัญญาได้ตามนั้น หากแต่พวกเขาก็มีความเมตตาในระดับหนึ่ง และก็คาดหวังว่ากลุ่ม 'ปัญญา' นั้น จะมีเมตตาต่อพวกเขาเช่นกัน

ในมุมมองทางจิตวิทยา ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ เป็นผลดีทำให้พวกอีสาน สามารถรักษาบรรเทาความละอายของตัวเองที่ฝังอยู่ในจิตสำนึกร่วมของพวกเขาออกไปได้ ทำให้พวกเขามีความภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น ซึ่งเราก็ได้แต่หวังว่า ในเมื่อคนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้ ดังนั้น สถานะทางสังคมและสภาวะจิตสำนึกที่ถูกยกระดับขึ้นจากประสบการณ์ตรงของพวกเขาเองนี้ จะเป็นตัวเหนี่ยวนำให้พวกเขาพยายามพัฒนาตัวเองควบคู่กันไปด้วย และตระหนักว่าความศิวิไลซ์เป็นเช่นไร เพื่อที่พวกเขาจะได้ปรับปรุงตัว กลายมาเป็นผู้มีจิตใจอารยะเช่นพวกเราในอนาคตต่อไป

และก็เช่นกัน หากตาชั่งข้างหนึ่งเอียง อีกข้างหนึ่งก็จะเอียงตาม พวกเราชาวกรุงศิวิไลซ์ ก็ได้ประโยชน์ในแง่ของความรู้สึกผิด ที่มีต่อคนเหล่านั้น จะเลือนหายไป หรืออาจถึงขั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชังไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นจุดที่ต้องระมัดระวัง เพราะอาจเป็นผลเสียต่อตัวเราเองในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ในมุมมองทางจิตวิญญาณ หากเราสามารถตระหนักรู้ทันกิเลส ความอิจฉา ริษยา(อิสสา) มัจฉริยะ และโทสะที่เกิดขึ้นในใจ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นในตัวเราเป็นสภาวะธรรมปกติ และวางอุเบกขากับมันได้แล้ว เราก็จะเติบโตขึ้นจากภายใน ได้พัฒนาความเมตตาภายในตัวเราเอง และขจัดความรู้สึกในทางลบ ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ขึ้นได้ด้วย



#4 Guest_นะโม_*

Guest_นะโม_*
  • Guests

ตอบ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 - 09:33

อย่าซีเรียสครับ มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ย่อมเสื่อมสลายไป ไม่มีใครไปทำลายมันก็ต้องแตกสลายเองในที่สุด
มันตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ด้วยความทุกข์เพราะอยู่ในภาวะที่ถูกบีบคั้นจากตัณหาอุปาทานที่พยายามต่อสู้ไม่ให้แตกสลาย
ในที่สุดก็ต้องดับไป เพราะความจริงแล้วมันไม่มีตัวตน

ทำดี ดีแน่นอน ทำชั่ว ชั่วแน่นอน เป็นสัจจธรรมครับ
ทำชั่วแล้วได้เป็นใหญ่เป็นโตมีตำแหน่งหน้าที่มีเงินมีทอง ไม่ได้หมายถึงทำชั่วได้ดี เพราะความเป็นใหญ่เป็นโตมีตำแหน่งหน้าที่
มีเงินมีทองมันคือกิเลส ที่เป็นผลตอบแทนจากคนเลวมอบให้คนเลว ตำแหน่งหน้าที่เงินทองแบบนี้คนดีไม่มีใครรับ เพราะเขาละอายชั่ว
กลัวบาปครับ

#5 Guest_ันืเัยืเหนั_*

Guest_ันืเัยืเหนั_*
  • Guests

ตอบ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555 - 12:25

ถูกต้องแล้วครับ

#6 YongYongsoy

YongYongsoy

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 6 posts

ตอบ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555 - 12:45

ค..........ว..........า..........ย แดงจ๊ะไหนล่ะที่น้องปูแดงบอกตอนหาเสียงน่ะ 1จะกระชากค่าน้ำมัน 2จะลดค่าครองชีพ 3 ค่าจ้าง300บาทป.ตรี15000 คิดได้ตอนนี้มีเท่านี้แหละ1กระชากค่าน้ำมันขึ้น2เ

#7 zamaya

zamaya

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 2 posts

ตอบ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 - 09:51

ทุกคนคือคนไทยทั้งนั้น
ครับ รักกันไว้

ทํานายฝัน โปรแกรมแต่งรูปจีน ดูทีวีออนไลน์วิทยุออนไลน์ เลขเด็ดงวดนี้ อักษรพิเศษ อ่านการ์ตูน เลขเด็ดงวดนี้

#8 Guest_แดง อีสาน_*

Guest_แดง อีสาน_*
  • Guests

ตอบ 24 เมษายน พ.ศ. 2555 - 09:30

กูเสื้อแดง

#9 Guest_cf' cfU' cf'_*

Guest_cf' cfU' cf'_*
  • Guests

ตอบ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 16:30

ทำใมสาวก ไอ้เจ๊กลิ้ม มันถึงได้โง่ดักดานนักก็ไม่รู้ เสื้อแดงเขาเปิดโปง ให้เห็นความเลวของไอ้บ้าที่โกงแบ๊งค์ ตัดสินจำคุกไอ้ลิ้มตั้ง แปดสิบกว่าปียังไม่เข้าใจอีก อย่างว่าแหละ ก็คนมันโง่เนอะ! มันก็ต้องโง่ดักดาน

#10 Guest_ปรองดองกันเถอะ_*

Guest_ปรองดองกันเถอะ_*
  • Guests

ตอบ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 - 16:37

Esan Invasion
ผมไม่อยากจะใช้คำว่า 'อีสาน' เพราะคนอีสานดีๆก็มีเยอะ ที่ไม่ใช่เสื้อแดง ก็เอาเป็นว่าเวลาที่พูดถูงอีสานในบทความนี้ ก็ให้เข้าใจว่าเป็นพวกเสื้อแดงก็แล้วกันครับ ซึ่งก็รวมถึงเสื้อแดงในจังหวัดอื่นๆด้วยนะ รวมไปถึงเสื้อแดงในกรุงเทพรอบนอกที่โดนน้ำท่วมด้วย (ดอนเมือง, สายไหม, คันนายาว ฯลฯ)
ลักษณะทางกายภาพของคนอีสาน ไม่ว่าจะเป็นดั้งจมูกที่หักลง หรือกรามที่ใหญ่เกินใบหน้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าเหยียดหยามแต่อย่างใด เพราะเป็นสิ่งที่ใช้แยกแยะพวกเขาออกจากชนชาติและเชื้อสายมนุษย์อื่นๆ อย่างมีเอกลักษณ์
อีกทั้งฐานะทางวัตถุของคนเหล่านี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนกรุงเทพเลยจริงๆ แต่พวกเขากลับถูกปลูกฝังให้มีทัศนคติว่าคนเมืองกรุงนั้นเป็นคนรวย และคนอีสานเป็นคนจน ทั้งที่จริงๆแล้ว คนอีสานนั้นรวยๆเยอะแยะ ส่งลูกมาเรียนปริญญาโท-เอกที่กรุงเทพ ซื้อรถป้ายแดงให้ลูกขับ แล้วก็ซื้อคอนโดให้อยู่ บางคนเอาเงินเกษียณบำนาญบำเหน็จมาผ่อนของอย่างว่าให้ลูก เพราะฝากความหวังไว้กับลูกๆ ดังนั้นพวกวัยรุ่นอีสานก็สบายกันไป ที่มีพ่อแม่ตามใจทุ่มเทแบบนั้น (แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไขพึ่งพิงกัน ทำให้ไม่มีอิสระในชีวิตอย่างเต็มที่ จึงทำให้คนอีสานไม่รู้จักความสุขที่เกิดจากความสุนทรีย์และอิสรภาพที่แท้จริง พวกเขารู้จักแต่ความสุขจากกามตัณหา)
ในขณะที่คนกรุงเทพจำนวนมากอยู่สลัมบ้าง อยู่ตึกแถวบ้าง เรียนไปทำงานไปด้วย คิดโดยอัตราเฉลี่ยแล้ว คนอีสานอาจจะรวยกว่าคนกรุงเทพด้วยซ้ำ
สรุปแล้วคนอีสานไม่ใช่คนจน หากแต่พวกเขาทะเยอทะยาน อยากอยู่อย่างสุขสบายเป็นเทวดา แต่ก็อย่างที่ทฤษฎีของผมกล่าวเอาไว้ว่า คนเรามี 2 ปีระเภท ประเภทแรกคือพวกที่อยากหลุดพ้นออกไปจากชีวิต (นิพพาน) และประเภทที่สอง ซึ่งเป็นคนที่หลงโลกและยึดติดกับชีวิต ดังนั้น ความทะเยอทะยานดังกล่าวนี้ของคนอีสาน จึงยังไม่น่าตำหนิเท่าไร เพราะมันเป็นธรรมชาติของพวกคนอีสาน ซึ่งเป็นคนประเภทหลัง หากแต่ลักษณะนิสัยและสันดานอื่นๆของพวกเขาต่างหาก ที่น่าถูกตำหนิและดูแคลน ซึ่งลักษณะพฤติกรรมของพวกเขาก็อย่างเช่นว่า
1. ชอบเหลือบมองผู้อื่น (Taking a look around)
เพื่อดูว่าผู้อื่นกำลังกินอะไร ทำอะไร หรือคุยอะไรกัน ทั้งนี้เพราะคนพวกนี้ไม่ค่อยมีรสนิยมและความคิดเป็นของตัวเอง ต้องคอยมองผู้อื่นเพื่อนำมาเป็นแบบอย่าง ทั้งการกิน การแต่งกาย รวมถึงทักษะการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ ยิ่งถ้าหากคนพวกนี้ได้มีโอกาสไปในสถานที่อันมีอารยธรรมเจริญแล้วล่ะก็ พวกเขาจะรู้สึกว่าต้องคอยเหลือบมองพฤติกรรมของผู้อื่นเป็นแบบอย่าง จนบ่อยครั้งที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอึดอัดและเกิดความคับข้องใจกันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การที่พวกเขาเอาแต่ทำอะไรเลียนแบบชนชาติอื่น โดยที่ไม่ได้ประยุกต์ให้เข้ากับตัวเอง ผลที่ออกมาก็เลยดูไม่จืด อย่างที่เรามักเรียกกันว่า ‘ลาว’ นั่นเอง เช่น วัยรุ่นหนุ่มอีสาน ที่ชอบเอาแว่นกันแดดมาใส่เพื่อความเท่ห์ เพราะเห็นดาราในหนังเป็นแบบอย่าง หรืออย่างสาวอีสาน ที่ชอบย้อมโกรกผมและแต่งตัวตามเกาหลี ทั้งๆที่ไม่เข้ากับหน้า
2. ชอบอึกทึกครึกโครม
หลายๆคนคงเคยเห็นกันมาแล้วว่า คนพวกนี้ชอบเอะอะโวยวายเป็นสันดาน นั่งอยู่เฉยๆก็ส่งเสียงโว้ยว้ายออกมา ยิ่งเวลากินเหล้านี่โวยวายเสียงดังไปหลายบ้าน เรียกว่าบ้าพลังทางเสียงก็ว่าได้ (คนพวกนี้ยังมักจะชอบร้องเพลงออกมาดังๆอีกด้วย บางคนก็อยากเป็นนักร้องมาก) นอกจากนี้ พวกเขายังมักจะปิดประตูหรือตู้เสียงดังกระแทกอีกด้วย เวลาสังสรรค์กันก็มักจะป่าวร้องเคาะไม้ เคาะขวดแบบบ้าคลั่ง ไร้สุนทรียนิยมโดยสิ้นเชิง
3. นอนกลางวัน
คนพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร โดยเฉพาะวัยรุ่น กลางคืนมักจะไม่นอน นอนเช้าหรือไม่ก็กลางวันเลย หากว่าอยู่คอนโดหรือหอพัก ก็มักจะสร้างความเดือดร้อนหนวกหูให้ผู้อื่นอย่างมาก จะว่าเป็นเพราะกรุงเทพยามค่ำคืนมันไม่เงียบสงัดเหมือนอีสานก็เป็นไปได้ แถมยังชอบทำกับข้าวตำน้ำพริกตอนเช้าๆ พอใครขอความร่วมมือไม่ให้ทำ ก็จะแค้นฝังใจและต่อต้าน ไม่ยอมให้ความร่วมมือ
หากใครเคยนั่งรถผ่านต่างจังหวัดหรือชนบท ก็จะเห็นได้ว่าชีวิตของคนเหล่านี้ช่างน่าซึมเศร้าเหงาหงอย อยู่ท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ กลางวันก็นั่งสูบบุหรี่ปัดยุงเหม่อลอยไปวันๆ “ไม่มีความเป็นสังคมเมือง” จึงทำให้จิตใจหดหู่และง่วงเหงาหาวนอน เกิดนิวรณ์อื่นๆตามมาอีกเป็นลำดับ
4. อีโก้รุนแรง
พวกเขามักจะมีขอบเขตทางจิตวิทยาสูง จึงมี Sense of Discrimination สูงมาก กล่าวคือ พวกเขามักจะนิยมในการคบหาสมาคมอยู่กับคนเชื้อชาติเดียวกันมากกว่า และมักจะแปลกใจเมื่อเห็นคนกรุงเทพหรือคนจากภูมิภาคอื่นเข้าไปคุยด้วยอย่างเป็นกันเอง บ่อยครั้งเมื่อเราเข้าไปคุยกับคนเหล่านี้แบบกะทันหัน เราจึงจะเห็นพฤติกรรมแบบ Defense Mechanism ของคนเหล่านี้ ด้วยการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะพวกเขาเกิดความรู้สึกว่าตัวเองอาจจะกำลังถูกคุกคามหรือข่มเหง จึงต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน
5. ปมด้อย
สืบเนื่องมาจากลักษณะในข้อที่แล้ว อีโก้ยังทำให้พวกเขามีความต้องการที่จะทำอะไรได้ตามใจตนเองอย่างเต็มที่ แต่ในเมื่อสถานะทางสังคมของพวกเขาไม่เอื้ออำนวย เพราะถูกจำกัดอยู่ในกฏเกณฑ์และกฏหมายของสังคมอารยะ พวกเขาจึงมีสิ่งที่ทางจิตวิทยาเรียกว่า Inferiorty Complex หรือปมด้อยทางใจนั่นเอง ลึกๆแล้วพวกเขามักจะรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกสังคมอารยะกดขี่ข่มเหงอยู่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อันเป็นความรู้สึกเดียวกับพวกทาสในสมัยก่อน พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเดินถนนอย่างเชิดหน้าชูตา ไม่กล้าที่จะเดินเข้าห้างสรรพสินค้าที่หรูหรา จะเห็นได้ว่า เวลาที่ได้โอกาสก่อจราจล เราจึงได้เห็นพวกเขาใช้ความรุนแรง ทำร้ายและทำลายสิ่งก่อสร้างต่างๆเหล่านั้น อย่างน่าฉงนในความเก็บกดของคนเหล่านั้นว่ามาจากไหน และหลายท่านยังอาจจะเคยสงสัยว่า ทำไมเวลาที่คนเหล่านี้ทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐฯ พวกเขาจึงมักจะแสดงอาการเกรี้ยวกราด หรือตะโกนก่นด่าออกมาในทำนองที่ว่า ‘กูไม่กลัวเมิงๆ!’ ทั้งๆที่เจ้าหน้าที่รัฐฯก็ไม่ได้ต้องการให้พวกเขาเกิดความรู้สึกกลัวอยู่แล้วแต่เหตุที่พวกเขาตะโกนออกมาเช่นนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขามีความกลัวอยู่ในจิตใจตนเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั่นเอง เวลาที่พวกเขาดูเหมือนกำลังต่อต้านหรือต่อสู้ รวมถึงพยายามทำตัวกร่าง เป็นอันธพาลท้าทายเจ้าหน้าที่รัฐฯอยู่เนืองๆนั้น ที่จริงแล้วพวกเขาเพียงกำลังต่อสู้กับจิตใต้สำนึกของตนเองและพยายามเอาชนะมันอยู่ต่างหาก พวกเขามีประสบการณ์ที่เคยถูกกดขี่มาจากคนรอบข้างไม่มากก็น้อย หนำซ้ำยังถูกปลูกฝังให้รู้สึกผิด (Guilt) หากจะกระทำการใดๆที่รุนแรงออกมาต่อผู้ควบคุมหรือเลี้ยงดูเขา เพราะสังคมไม่ยอมรับ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่ากลุ่มการเมืองที่ไร้อารยธรรมดังกล่าว เมื่อมาก่อม๊อบและตั้งกลุ่มเป็นมวลชนปฏิปักษ์ (Hostility) กับใครแล้ว พวกเขาก็จะได้ใจ เพราะพวกเขาจะรู้สึกเป็นอิสระ ได้ปลดปล่อย และใช้ความรุนแรงได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับศัตรูร่วมของผู้อื่นด้วย นั่นคือเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงกล้ากระทำการชั่วร้ายเมื่อมีพรรคการเมืองหรือผู้นำที่มีอีโก้แข็งแรงหนุนหลัง มันเป็นการให้ Moral Support หรือความชอบธรรมอันหลอกลวง (Deceptive Righteousness) ที่คนเหล่านั้นขาดไปนั่นเอง จากนั้นหากสามารถเอาชนะรัฐบาลได้แล้ว จึงพยายามกลับมารวมตัวกันและแห่แหนไปรอบเมือง โดยอ้างว่าทำไปเพื่อเป็นการรำลึกครอบรอบการชุมนุม หากแต่ที่จริงแล้วเป็นเพียงการได้ใจและคึกคะนอง ที่ตนสามารถเอาชนะความกลัวและปมด้อยในใจตัวเองได้ต่างหาก ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนที่เจริญแล้วในสังคมก็ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นอะไรพวกเขาเลย ก่อนหน้านั้นถ้าพวกเขาอยากจะไปที่ไหนๆก็ไม่ได้มีใครห้าม ขอเพียงแต่งตัวให้ถูกกาละเทศะ
ผมมักจะยกตัวอย่างให้เห็นถึงความน่าสมเพช หรือความมีปมด้อยของคนเหล่านี้ ให้เห็นภาพ ด้วยการยกตัวอย่างพระเอกหนังที่หล่อๆ หากไปดูถูกผู้หญิงธรรมดาๆหน้าตาขี้เหร่ ผู้หญิงคนนั้นต้องมีปฏิกริยาตอบโต้เป็นฟืนเป็นไฟ แต่ในทางกลับกันหากผู้หญิงคนนั้นไปดูถูกว่าพระเอกหนังเป็นคนอัปลักษณ์ขี้เหร่บ้าง พระเอกหนังคนนั้นก็จะยักไหล่และรู้สึกตลกขบขันซะมากกว่า สรุปคือคนที่มันมีปมด้อยอยู่แล้ว พอโดนสะกิดนิดเดียวก็เป็นฟืนเป็นไฟ แต่คนที่รู้คุณค่าตัวเองดีอยู่แล้ว เรียกว่ามี Social Value มากกว่า จะไม่แยแสต่อการถูกกัดจิกใดๆ
6. ตัณหาจัด
จะสังเกตได้ว่า สภาวะจิตของคนเหล่านี้ มีความสุดโต่งสุดขั้ว เหมือนสภาพภูมิอากาศทางอีสาน นั่นก็คือกลางวันร้อนจัด กลางคืนหนาวจัด จึงทำให้มีกามตัณหาจัดมาก ชอบกินอาหารกลิ่นฉุนๆ รสชาติจัดจ้าน ชอบแต่งตัวสีฉูดฉาด ชอบเปิดเพลงดังๆ ชอบการเสพมั่วเมถุนและร่วมประเวณี ชอบบ้ากาม (เห็นเพลงคันหูและท่าเต้นแบบนั้นเป็นเรื่องปกติ แถมยังสนับสนุนกันใหญ่) ชอบดื่มสุราเมรัย เงินทองของคนเหล่านี้จึงมักจะหมดไปโดยเปล่าประโยชน์ ผู้ชายอีสานจะหมดเงินไปกับการเที่ยวดื่มและเลี้ยงสาว ส่วนผู้หญิงอีสานก็หมดเงินไปกับการซื้อเสื้อผ้าแก้วแหวนเงินทองมาใส่ประดับตัว คนเหล่านี้ใช้กามตัณหาแบบสุดโต่ง ในการรับมือกับความว่างเปล่าในจิตวิญญาณตนเอง (Emptiness Inside) ทั้งที่ควรจะเอาเงินมาพัฒนาตัวเองมากกว่า ทั้งๆที่จริงๆแล้ว คนอีสานเหล่านั้นจำนวนมาก รายได้ก็ไม่น้อยเท่าไร บางคนขับรถป้ายแดง เรียนมหาวิทยาลัยแพงๆ โดยพ่อแม่ส่งเงินมาให้ใช้อย่างสุขสบาย เรียกว่าเป็นอำมาตย์อีสานของแท้ แต่บรรดาคนรากหญ้าอีสานกลับตกเป็นเครื่องมือ ถูกอำมาตย์เหล่านั้นเบี่ยงประเด็นด้วยการยุยงปลุกปั่นให้เกลียดชังคนกรุงฯ และออกมาเรียกร้องค่าแรงค่าครองชีพ โดยใช้ข้ออ้างร่วมกันว่าถ้ามีเงินมาก ก็จะได้มีเวลาไปปฏิบัติธรรมมาก เหมือนที่อารยชนคนไทยอื่นๆทำกัน
ยิ่งในช่วงที่ผ่านมา พวกเขามีวิธีใหม่ ที่นอกเหนือไปจากการใช้กามตัณหาในการรับมือกับความว่างเปล่าในจิตใจ นั่นก็คือการใช้ความรุนแรง (Vandalism) นั่นเอง เพราะรัฐบาลของนายกอภิสิทธิ์อ่อนแอและปล่อยปะละเลย ซึ่งหากพวกเขาไม่ได้ระเบิดอารมณ์รุนแรงออกมาแล้ว พวกเขาก็จะเป็นโรคซึมเศร้าแทน (Depression = Anger turns inward) แต่ด้วยการที่พวกเขารักตัวเองมากกว่า พวกเขาจึงเลือกที่จะทำร้ายคนอื่นแทนที่จะปล่อยให้ตัวเองซึมเศร้า
7. ไม่ชอบอยู่ในกฏระเบียบ
คนพวกนี้ หากมีใครไปว่ากล่าวตักเตือน เวลาที่พวกเขากระทำผิดใดๆก็ตาม ก็จะตั้งแง่เป็นศัตรูเป็นปรปักษ์ ไม่ชอบให้ใครมาจำกัดขอบเขต ทั้งๆที่ควรจะเจียมตัวและปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบเพื่อส่วนยรวม แต่พวกเขาเอาตัวเองเป็นหลัก ตัวกู-ของกู ทุกเรื่อง ดูอย่างวงการฟุตบอลเป็นตัวอย่าง พอเล่นแพ้ ก็รุมกระทืบกองเชียร์ฝ่ายตรงข้าม พอถูกกรรมการตักเตือนลงโทษ นักบอลก็ต่อยกรรมการ
8. วัตถุนิยม
เรื่องนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก คือนิสัยของคนพวกนี้ ชอบ Projection และ Transference ทางจิตวิทยา อะไรที่ดีก็เอาเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น พวกเขาเองวัตถุนิยมสุดๆ แต่ชอบไปว่าพวกตะวันตกหรือคนกรุงฯว่าวัตถุนิยม ทั้งๆที่ถ้าเทียบกันแล้ว จำนวนเงินต่อทรัพย์สินนั้น คนที่มีความเจริญแล้วจะเอาเงินไปทำประโยชน์ในการพัฒนาจิตใจตนเองมากกว่า เช่น คนอีสาน หากมีเงินหมื่นกว่าๆในสมัยก่อน ก็จะเอาไปซื้อทองใส่ เส้นแค่ไหนไม่แคร์ ขอให้ได้ใส่ทองสร้อยคอ สร้อยข้อมือ อวดชาวบ้าน หรือไม่ก็เอาไปซื้อสุรา ซื้อกาม ปรนเปรอตัวเอง แต่หากเป็นคนที่เจริญแล้ว จะเอาเงินจำนวนดังกล่าว ไปใช้ในการเข้าคอร์สอบรมหรือไม่ก็ซื้อหนังสือดีๆมาอ่านเพื่อพัฒนาตนเอง หรือนำไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตามากกว่า
9. ไม่มีมารยาท
คนพวกนี้ หากรู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าใครแล้วล่ะก็ จะปฏิบัติต่อคนๆนั้นอย่างไร้มารยาท ไม่มีความสุภาพ พูดจาห้วนๆ ไม่มีหางเสียง และทำตัวข่มผู้อื่น แต่ในทางตรงกันข้าม หากรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า ก็กลับนอบน้อมแทบจะคุยกับคนๆนั้นแบบกราบเท้ากันเลยทีเดียว คนเหล่านี้คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองตลอดเวลา จนแสดงออกมาทางกริยาอาการอย่างชัดเจน เป็นการเลือกปฏิบัติ มีนิสัยแบบไพร่-อำมาตย์โดยแท้
10. ชอบเล่นพรรคเล่นพวก
ข้อสุดท้ายนี้ เป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุด ที่เป็นอันตรายต่อสังคมอารยะอย่างกรุงเทพมาก ยกตัวอย่างเช่น การที่พวกมันเอาชื่อคนที่เห็ฌนต่างจากพวกมัน ด้วยการสร้าง Page ใน Facebook ประจานชื่อโดยเฉพาะ ทั้งๆที่เป็นเรื่องเล็กๆ เวลาพวกมันเห็นต่างอะไรจากคนกรุงเทพ คนกรุงฯก็ไม่เห็นจะไปประจานอะไรมันเลย หรือย่างกรณีที่นักข่าวช่อง 7 ไปถามให้ยิ่งลักษณ์อึดอัด มันก็เอาชื่อนักข่าวไปประกาศเพื่อหมายหัว สรุปก็คือคนพวกนี้เวลามันอยู่คนเดียวหรือยู่กันน้อยๆ ก็หงอเป็นลิง แต่พอมีพวกเยอะๆ มันก็ใช้วิธีรุมสกรัมทั้งร่างกายและวาจาอย่างป่าเถื่อน เหมือนพวกมนุษย์หินในยุคแรกเริ่ม สังเกตอย่างแกนนำแดง เช่น ก่อแก้ว พิกุลทอง หรือย่างนายจตุพร เวลาขึ้นเวทีปราศรัยอยู่ในวงล้อมเสื้อแดงนี้ ปากเก่งห้าวหาญ จาบจ้วงเบื้องสูง แต่พออยู่ตัวคนเดียว กลับให้สัมภาษณ์นักข่าวอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ก็ด้วยเห็นใจเหล่าคนที่มีอารยธรรม และรักในความชอบธรรมทั้งหลาย ซึ่งกำลังเกิดความเจ็บปวดและคับข้องใจ ด้วยว่าในสมัยนี้ ที่ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน แม้แต่ดาราหรือที่ภาษาทางธรรมาธิษฐานเรียกว่า 'เทวดา'บางคนยังต้องอ้อนขอที่นั่งในสภากับอสูรกายชั้นต่ำ พวกนักเลงอันธพาลไร้อารยธรรมครองเมือง อีสานครองกรุง ยุคที่ความสุนทรีย์ถูกทำลาย โรงหนังสยามถูกเผา สยามสแควร์กลายเป็นตลาดนัด และคนชั่วไม่ถูกลงโทษเมื่อทำความผิด แถมยังได้ดิบได้ดีเป็นส.ส. เงินเดือนเรือนแสน เป็นข้าราชการกินเงินเดือนภาษีของผู้ดี ทั้งๆที่ไม่มีทักษะอะไรเลยนอกจากการใช้ความรุนแรงป่าเถื่อน จะไปฟ้องเอาผิด พ่อก็รอดมันทุกคดี เพราะกฏหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เอากฏหมู่อยู่เหนือกฏหมายได้สำเร็จ เรียกว่าเป็นยุคอีสานบูมเมอร์ (Esan Boomer) หรือ Esan Invasion ก็สุดแล้วแต่ ทีวีเคเบิ้ลก็มีแต่ช่องลาว ช่องอีสาน เราๆท่านๆจะได้ปลงและทำใจได้ ว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงสภาวะธรรม ที่เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย นอกเสียจากจะพยายามปรับตัวและประคับประคองชีวิตไปตามน้ำ และถ้าจะให้ดี ก็ควรปฏิบัติภาวนาเพื่อให้เห็นว่าร่างกายที่เราหวงแหน และอารมณ์จิตใจที่รักความชอบธรรมนี้ ถึงแม้จะเป็นฝ่ายดี แต่ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราแต่อย่างใดเลย อย่าไปหวังให้คนชั่วถูกลงโทษ อย่าไปหวังอะไรกับโลกใบนี้อีกเลย
ขณะนี้สังคมไทยอยู่ในช่วงขาลง เพราะจริงอยู่ ที่ดวงเมืองไทยคือราศีเมษ ซึ่งมีลักษณะด้านลบดังที่กล่าวมาทั้งหมด (อัตตา-กิเลส-ตัณหารุนแรง) แต่ราศีเมษ ก็มีด้านบวกอยู่อยู่ คือเป็นผู้กล้าหาญ ใจกว้าง สนุกกับชีวิต ปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า และเป็นผู้มีความคิดริเริ่ม บุคคลดีๆที่เป็นชาวอีสานก็มีอยู่ เช่นพระป่า พระอริยะ ทั้งหลายในอดีต ก็เป็นชาวอีสานทั้งสิ้น ซึ่งมันเป็นเวรกรรมร่วมของประเทศไทยเอง ที่ด้านบวกและคนในด้านบวกเหล่านั้นหายไปหมดแล้วในยุคนี้ และสิ่งแวดล้อมได้หล่มหลอมให้คนเหล่านี้กลายเป็นด้านลบไปหมด
ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของพวกคนต่ำเหล่านั้น แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดหนักเข้าไปอีก เมื่อรัฐบาลที่แล้วอ่อนแอ แถมโง่เขลา มีเพียงศีล แต่ขาดปัญญา มาเป็นนายกฯในสมัยนั้น เพราะหากเราโชคดีมีนายกฯอย่างเดวิด คาเมรอน หรือเป็นคนอื่น คงจะจัดการกับความชั่วร้ายได้ดีและฉลาดกว่านี้ ปรากฏการณ์คนชั่วได้ดีเยี่ยงนี้ ก็คงจะไม่เกิดขึ้น ถูกปราบปรามหายไปจากสังคมไทยจนสิ้น
ประเทศไทย จบสิ้นแล้ว (Thailand will never be the same)
อย่างไรก็ดี เทรนด์ดังกล่าว ก็กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกด้วย สถานะเดิมๆ (Status) ไม่ว่าจะดีหรือร้าย กำลังถูกดาวพลูโต (จามหลักโหราศาสตร์) กำจัดทิ้งแล้ว คนที่เรืองอำนาจจะถูกท้าทายและดึงลงมาต่ำ เหมือนอย่างที่ Gaddafi ถูกโค่นอำนาจ ผู้นำการก่อการร้ายอย่าง Bin Laden ก็ถูกสังหารลงอย่างอนาถ
แม้แต่คนที่เคยเป็นผู้ดีผู้เจริญอย่างชาวอเมริกันและยุโรป ถึงตอนนี้ก็เกิดปัญหาเศรษฐกิจ จนต้องหันหน้า หรือเรียกว่าบากหน้า ไปพึ่งพาประเทศที่เจริญ(ทางจิตสำนึก)น้อยกว่า อย่างประเทศจีน
นี่ก็เป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งถึงสัจธรรมที่ว่า ความดีงามและสัจธรรม ไร้ความหมายอีกต่อไปแล้ว
การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นเพียงทฤษฎีในระดับสมมติบัญญัติ หรือเป็นปรัชญาจรรโลงใจสำหรับปุถุชนทั่วไปเท่านั้น หาได้เป็นความจริงในระดับปรมัตถ์แต่อย่างใดไม่
'ตถตา' หรือวิถีความเป็นไปในโลก มันไม่ได้ตายตัวง่ายๆเช่นนั้น เหตุผลเป็นสิ่งที่ถูกนำมาอธิบายตามหลังเสมอ
ในความเป็นจริงตามสภาวะธรรมก็คือ นี่เป็นการปะทะกันระหว่างปัญญาธาตุและเจโตธาตุ ในประเทศไทย กล่าวคือ กลุ่มคนหนึ่งที่มีความรู้ มีปัญญา ก็คาดหวังให้คนอีกกล่มหนึ่ง มีปัญญาดังเช่นพวกเขาบ้าง ในขณะเดียวกัน คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้าม ก็ไม่สามารถพัฒนาปัญญาได้ตามนั้น หากแต่พวกเขาก็มีความเมตตาในระดับหนึ่ง และก็คาดหวังว่ากลุ่ม 'ปัญญา' นั้น จะมีเมตตาต่อพวกเขาเช่นกัน
ในมุมมองทางจิตวิทยา ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ เป็นผลดีทำให้พวกอีสาน สามารถรักษาบรรเทาความละอายของตัวเองที่ฝังอยู่ในจิตสำนึกร่วมของพวกเขาออกไปได้ ทำให้พวกเขามีความภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น ซึ่งเราก็ได้แต่หวังว่า ในเมื่อคนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้ ดังนั้น สถานะทางสังคมและสภาวะจิตสำนึกที่ถูกยกระดับขึ้นจากประสบการณ์ตรงของพวกเขาเองนี้ จะเป็นตัวเหนี่ยวนำให้พวกเขาพยายามพัฒนาตัวเองควบคู่กันไปด้วย และตระหนักว่าความศิวิไลซ์เป็นเช่นไร เพื่อที่พวกเขาจะได้ปรับปรุงตัว กลายมาเป็นผู้มีจิตใจอารยะเช่นพวกเราในอนาคตต่อไป
และก็เช่นกัน หากตาชั่งข้างหนึ่งเอียง อีกข้างหนึ่งก็จะเอียงตาม พวกเราชาวกรุงศิวิไลซ์ ก็ได้ประโยชน์ในแง่ของความรู้สึกผิด ที่มีต่อคนเหล่านั้น จะเลือนหายไป หรืออาจถึงขั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชังไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นจุดที่ต้องระมัดระวัง เพราะอาจเป็นผลเสียต่อตัวเราเองในระยะยาว
อย่างไรก็ดี ในมุมมองทางจิตวิญญาณ หากเราสามารถตระหนักรู้ทันกิเลส ความอิจฉา ริษยา(อิสสา) มัจฉริยะ และโทสะที่เกิดขึ้นในใจ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นในตัวเราเป็นสภาวะธรรมปกติ และวางอุเบกขากับมันได้แล้ว เราก็จะเติบโตขึ้นจากภายใน ได้พัฒนาความเมตตาภายในตัวเราเอง และขจัดความรู้สึกในทางลบ ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ขึ้นได้ด้วย

ไอ้นี่เป็นคนที่สร้างความแตกแยกให้ชาติตัวจริง ดูมันคิดสิ ไปยกเอาคนภาคโน้นภาคนี้มาเปรียบเทียบให้เขาเกิดการทะเลาะ พอทีเถอะไอ้หำ ตอนนี้เขาจะปรองดองกันแล้ว เก็บสมองผุๆของเอ็งใว้รับกับการเปลี่ยนแปลงของชาติได้แล้ว

#11 Guest_คนไทยรักชาติ_*

Guest_คนไทยรักชาติ_*
  • Guests

ตอบ 29 เมษายน พ.ศ. 2555 - 19:10

โง่ทั้งเหลือง ทั้งแดงนั่นแหล่ะครับ ถูกนักการเมืองหลอกออกมาประท้วง มาทำลายบ้านเมือง สุดท้ายนักการเมืองก็ได้ดีและพวกท่านๆได้อะไรครับ สู้เพื่อพวกมันแทบตาย เดี๋ยวพอผลประโยชน์ลงตัวพวกนักการเมืองทั้งหลายมันก็ดีกัน ประชาชนอย่างเราก็หาเช้ากินค่ำเหมือนเดิม
ที่ตายก็ตายไป ที่พิการก็อยู่กันไป เขาจะจำเราได้ไหมครับไอ้ตอนที่หลบลูกปืน ยืนประท้วงอยู่น่ะ ตอนนี้จะไปยืนข้างๆเขาน่ะได้ไหมจะเข้าถึงตัวหรือเปล่า เลิกทะเลาะกัน ทำเพื่อประเทศชาติดีกว่า เหลืองหรือแดงเราก็คือคนไทยครับ

#12 nuttida

nuttida

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 31 posts

ตอบ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 - 10:27

เอามาฝากกันอีกเวอร์ชั่นนึง แต่อันนี้เป็นแบบ ผีๆ

http://www.youtube.com/watch?v=Y3G2CTG3gVA



#13 nuttida

nuttida

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 31 posts

ตอบ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 - 10:30


เอามาฝากกันอีกเวอร์ชั่นนึง แต่อันนี้เป็นแบบ ผีๆ
http://www.addviewhi...c/cheatview.htm

http://www.youtube.com/watch?v=Y3G2CTG3gVA



#14 Guest_Guest_*

Guest_Guest_*
  • Guests

ตอบ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 - 22:10

จริงๆ เห็นด้วยกับบางส่วนของ คุณๆ

Guest_Guest_* เขียนนะ อีกอย่าง ถ้าคนมีความเจริญทางความคิดจะเข้าใจ ว่าเขาก็บอกชัดแล้วว่า คนดี ก็มี เพียงแต่ ปัญหา และที่สร้างปัญหาส่วนใหญ่ มาจากคนกลุ่มนั้น การเผาบ้านเมือง เผาอาคาร หรือว่า อยู่ๆไปทุบรถ ทำลายบ้าน ร้านค้า คนอื่น ถามกลับว่า ในกลุ่มคนพวกนั้น ใครรับผิดชอบ และใคร ควรรับผิดชอบ ไม่เห็นมีใครออกมาตอบหรือรับผิดชอบ






ผมเอง มีเพื่อน ในทุกๆภาค และไม่มีการแบ่งภาค แต่ กำลังมองกลุ่มคนมากกว่า อย่างเช่น บางคน ที่เป็นหัว ของกลุ่ม ที่บ้านเกิดอยู่ทางภาคใต้ก็มี เหนือ ก็มี อีสาน ก็มี กลาง ก็มี แต่ที่คุณ
Guest_Guest_*


เขียน นั่นพยายาม จะบอกส่วนใหญ่ที่่ไม่ดี ที่ดีดี และบางที เขาพูดหรือทำอะไรไม่ได้ ซึ่งอยู่ทางภาคนั้น ภาคอื่นๆ ก็มี เช่นกัน


อีกอย่าง บางคน ที่่ปกติ ถ้าคนมีความเจริญทางความคิด ไม่จำเป็นต้องเรียนสูง ไม่สูง แต่ความเป็นคน มันมองกันได้ชัด และทำใหัสังคม หรือ โลก อาศัยอยู่แบบสร้างสรรค์ ไม่ใช่ พอเขาพูด แบบความคิดเห็น ก็ใช้คำ หยาบบ้าง หรืออะไรบ้าง แบบคือถึงไม่ใช้คำหยาบ ประโยค ที่ใช้ บอกได้ว่าเจริญ ทางความคิดแค่ไหน กับ อีกอย่าง บางสิ่ง ที่เขาคิดว่ารู้ เขาออกมาเปิดโปง โดนเขาล้างสมอง ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้เปิดโปงอะไร เคยไปเห็น ตามที่เขาบอกมาต่อหน้าแล้วเหรอ ถ้าคนมีความเจริญทางความคิด ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงหรอก นำคำพระมาใช้บ้าง พูดว่ารู้บ้าง แต่การกระทำ มันตรงข้าม คนที่ปฎิบัติ ทางพระ อะไร ไป ทำลายบ้านเมือง งัดบ้าน ทุบรถ คนอื่น เผาร้าน เผาบ้านคนอื่น หรือ เอาคนส่วนใหญ่ หรือว่า อิทธิพล มาอ้างความถูกต้อง ซึ่่ง โดยการกระทำแล้ว กลับ ตรงข้าม ถึงขั้น ทำให้ประเทศ อื่น จะมาทำร้าย ทำลายประเทศ เรา นั่นหรือคนที่รัก และอาศัยบนประเทศ แล้วอ้างว่ารัก และถือประชาธิปไตย เป็นที่ตั้ง สู้ไม่ต้องอ้าง แต่คุณ ไม่ล้ำเส้นคนอื่น เคารพเกียรติ สิทธิ คนอื่น ไม่เอาพวกหรือคนข้างมาก มาอ้างความถูกต้อง เรื่องการเอาชนะ หรือต่อสู้ ไม่ได้ยากลำบากหรอกสำหรับคน ที่รู้อะไรมากเป็นฝ่ายตรงข้าม(กับคนที่รู้ไม่จริง แถมยังสร้างปัญหา และไปทำร้าย โดยตรงและโดยอ้อม แก่คนอื่นที่เขาทำมาหากิน หรือ เคารพให้เกียรติคนอื่นที่ไม่ทำร้ายหรือ ทำไม่ดีกับเขา ) ยิ่งกับคน ที่ไม่มีความเจริญทางความคิด

หลายๆคน เรียน สูง ฐานะ การศึกษา ครอบครัว สังคม แต่ ความเจริญทางความคิดความเป็นคนกลับต่ำลง
ทั้ง หญิง ชาย สูงวัย และวัยอื่นๆ กลับไม่ทำตัวให้สมกับอายุ วัย และ ที่บรรพบุรุษ ดีดี ได้ช่วยกันสร้าง ได้ช่วยกันแก้ปัญหา มา ...
ส่วนตัวมองว่า คนที่ ใฝ่ดี เคารพ ให้เกียรติ คนอื่น ที่เจริญทางความคิด มีความเป็นคนจริงๆ ไปพุดคุยต่อสู้กับ คนกลุ่มนี้ เหนื่อย และอาจจะทำให้ เสียเวลาหลายๆอย่างครับ (ไม่อยากให้คนที่ตั้งใจทำงาน และสามารถ ช่วยแก้ปัญหาในบ้านเมืองท้อ นะครับ แต่มุมมองส่วนตัว) หลายๆคน หรือคนบางคนถอยออกมา มากแล้ว ส่วนตัวผมเอง แทบไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้ เพราะคุยเหตุผล หรืออธิบายเท่าไหร่ ถึงขั้น มีหลักฐาน บางที ก็ยังไม่เข้าใจไม่เชื่อ ส่วนนึง คิดว่าเพราะเงิน และสิ่งที่เขาได้ และอื่นๆ (อาทิ อิทธิพล ความมีหน้ามีตา แบบจอมปลอม )

คนที่มี นิสัยดีดี ความเจริญทางคิด เคารพ ให้เกียรติ (คิดว่า คนที่เข้าใจ น่าจะเข้าใจ สิ่งที่ผมกำลังสื่อสาร) คนอื่น และเอาความถูกต้อง ความเป็นคน มาก่อน หลักการณ์เหตุผล ที่ผิดๆ ประชาธิปไตย ที่ไม่รู้จริงหรือผิดๆ (ไปเผา บ้านคนอื่น ทุบตีรถ กระชากคนลงจากรถ ตั้งด่าน โดยที่ไม่ได้เป็น ตำรวจ แล้วตำรวจก็ยังไม่จับคนพวกนี้ คนในกลุ่มคนนั้น ที่มีหน้าที่การงาน การศึกษา คิดว่า เหมาะสม หรือว่าสมควร หรือสิ่งที่คุณได้เรียนมา อ้างว่า จบจากต่างประเทศ สถาบันโน้นนี้ มีเงินมหาศาล บ้านฐานะ ดี มีสังคมชั้นสูง แล้ว กระทำ หรือให้คนกลุ่มของคุณ ทำแบบนั้น คิดว่า เหมาะสมหรือไม่ แล้ว พอถึงเวลา ใครรับผิดชอบ ยังคนยังต้องโทษคดีอยู่ ระหว่างประกันตัว หมายถึ คดีที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง เช่น ฆ่า ข่มขืน ลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย คนอื่น คดีอุกฉกรรจ์ หลายคดี แล้วพวกคุณใครรับผิดชอบ .....ก็ไม่เห็นไม่มี กล้าพูด แต่พูดสิ่งที่ไม่จริง คือโกหก กล้าเผชิญ แต่ เวลาผิด กลับ หลบหนีหาย ใครรับผิดชอบ กับการกระทำ และ คนพวกนี้ ที่ถูกต้องโทษคดี ทั้ง ที่หนีคดี และถูกประกันตัว ย้ำว่าไม่ใช่คดี การเมืองด้วยซ้ำ.....) อยากให้คนกลุ่มที่ว่า ...คนที่มี นิสัยดีดี ความเจริญทางคิด เคารพ ให้เกียรติ...
หนักแน่น และช่วยกันอบรม ปลูกฝั่ง สิ่งที่ถูกเหมาะสม กับคนรุ่นใหม่ เด็กๆตัวน้อยๆน่ารักๆ เพราะวัยรุ่นปัจจุบัน แตกต่างในสิ่งไม่ดี ไม่ใช่แตกต่างในสิ่งดี (ความมีคุณภาพ ของคนถึงน้อยลง ยังผลให้ สังคมก็เสื่อมลงมาก) เอาใจช่วยและเป็นกำลังใจ กับคน ...คนที่มี นิสัยดีดี ความเจริญทางคิด เคารพ ให้เกียรติ... ครับ ส่วนตัวไม่เข้าข้างฝ่ายไหนสีไหน แต่สิ่งไหน ผิด ก็คือผิด ถูกก็คือถูก ทำอะไร ควรต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าดีหรือชั่ว ทางโลกหรือทางธรรม .......


(พอดีเข้ามาเห็น แล้วอดไม่ได้ที่อยากช่วย ชี้แจงคน ที่มีความคิด ดีดีสร้างสรรค์ .....ที่คน เห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกพ้อง ไม่รับผิดชอบ มักง่าย และ อายุมากเท่าใด ก็ไม่ได้ทำตัวให้สมอายุ สำหรับคนที่ไม่ดีนะครับ ).....

ขอบคุณสำหรับพื้นที่แสดงความคิดเห็น ครับ

#15 Guest_สส.เก่า พรรคไทยรักใคร_*

Guest_สส.เก่า พรรคไทยรักใคร_*
  • Guests

ตอบ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 - 17:16

โง่ทั้งเหลือง ทั้งแดงนั่นแหล่ะครับ ถูกนักการเมืองหลอกออกมาประท้วง มาทำลายบ้านเมือง สุดท้ายนักการเมืองก็ได้ดีและพวกท่านๆได้อะไรครับ สู้เพื่อพวกมันแทบตาย เดี๋ยวพอผลประโยชน์ลงตัวพวกนักการเมืองทั้งหลายมันก็ดีกัน ประชาชนอย่างเราก็หาเช้ากินค่ำเหมือนเดิม
ที่ตายก็ตายไป ที่พิการก็อยู่กันไป เขาจะจำเราได้ไหมครับไอ้ตอนที่หลบลูกปืน ยืนประท้วงอยู่น่ะ ตอนนี้จะไปยืนข้างๆเขาน่ะได้ไหมจะเข้าถึงตัวหรือเปล่า เลิกทะเลาะกัน ทำเพื่อประเทศชาติดีกว่า เหลืองหรือแดงเราก็คือคนไทยครับ


เห็นด้วยมากมายครับ น่าจะเอาเวลาไปทำมาหากินแทนที่จะมาถูกนักการเมืองหลอกใช้ จะว่าไปเสื้อแดงอาจจะโง่น้อยกว่าเสื้อเหลืองนะครับ เพราะเสื้อแดงมาชุมนุมเขาได้ตังค์ แต่เสื้อเหลืองมาชุมนุมต้องจ่ายตังค์ให้astvอีก
สมัยเสื่อแดงชุมนุมใหม่ๆ ไปถามผู้ชุมนุมบางคนเขายังไม่รู้เลยครับว่าตอนนั้นใครเป็นนายกแล้วชุมนุมไปทำไม

#16 Guest_por_*

Guest_por_*
  • Guests

ตอบ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 - 11:54

งาน part time ทำที่บ้าน | งาน part time 2555 | งาน part time รายได้ดี| งาน part time 2012|งาน part time เสาร์ อาทิตย์ |งานพิเศษช่วงปิดเทอม |งานพิเศษตอนเย็น |งานคีย์ข้อมูล|รายได้เสริมระหว่างเรียน|ทำงานผ่านเน็ต|หางานสำหรับนักศึกษา



หางาน พาร์ทไทม์เสาร์-อาทิตย์ งานเสริมทำที่บ้าน NEW! สำหรับบุคคลว่างงาน ตกงาน หรือ อยากหารายได้เสริม นักเรียนนิสิตนักศึกษา บุคคลทำงานประจำ มี งานเสริมทำวันหยุด มาแนะนำเป็น งานพิมพ์เอกสาร สามารถรับงานไปทำที่บ้านได้ เพียงใช้เวลาว่างในการทำงาน 2-3 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น พาร์ทไทม์ไม่จำกัดอายุ พาร์ทไทม์ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา รายได้ขึ้นอยู่กับปริมาณงานที่ทำ หากบุคคลท่านใดสนใจ หางาน พาร์ทไทม์เสาร์-อาทิตย์ งานเสริมทำที่บ้าน เชิญดูรายละเอียดได้เลยค่ะ



Posted Image



Posted Image

การเดินทาง รถโดยสารประจำทาง 29ก.,59,95ก,150,356,ปอ.59,ปอ.513,ปอ.356,ปอ.523,ปอ.554,ปอ.524,รถตู้ปากเกร็ด,รถตู้รังสิต รามอินทรา ม.ราม



Tag : งาน part time ทำที่บ้าน , งานพิเศษเสาร์อาทิตย์, งานพิเศษหลังเลิกงาน, งานพิเศษหลังเลิกเรียน, งาน part time เงินดี ,หางาน กทม , หางานแถวรังสิต, งานทำที่บ้าน 2012 ,รายได้เสริม 2555 , อาชีพเสริม 2555, งานเสริมรายได้ดี ,ประกาศผล Admission,ตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาล ,หวย ,ตรวจหวย,ซีรี่ย์เกาหลี,ละคร,ท่องเที่ยว,iphone5, new ipad, บ้าน,ที่ดิน,คอนโดน,แฟน,เพื่อน,คนรัก,การเมือง,เศรฐกิจ,สังคม,พระจันทร์,โลก,facebook,แฟชั่น,เครื่องสำอาง, instrgram