ถามคุณผึ้งน้อยฯ ครับ
เรื่องการไกล่เกลี่ยยอมความพวกนี้ มันอยู่ที่ตัวโจทก์ผู้ฟ้อง หรือผู้เสียหายที่เป็นฝ่ายฟ้องร้อง ไม่ใช่เหรอครับ ที่จะตัดสินใจว่าจะไกล่เกลี่่ยยอมความหรือไม่
การบอกว่า ไม่ไกล่เกลี่ยและไม่ยอมความ จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ก็น่าจะเป็นสิทธิเด็ดขาดของฝ่ายผู้ร้องอยู่แล้ว
ไม่เห็นว่าจะเกี่ยวกับ ปกติ หรือไม่ปกติตรงไหนนี่ครับ ก็ผมไม่ยอมอ่ะ
อันนี้พูดแบบคนไม่เคยขึ้นศาลนะครับ ขอชี้แนะด้วย
การเจรจาก็ถือว่าให้โอกาสครับ จะน้อยจะมาก ก็ถือ่วา ไม่ใช่ ศูนย์
การไปให้ทางรอดกับคนอย่างไอ้ตู่นี่ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ตัวมาร์ค ก็เสียเยอะนะครับ
ตอบท่านดาร์คฯทีละข้อเลยนะครับ
1. ขั้นตอนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท อันนี้คนไทยจำนวนมากไม่ทราบเลยว่า
ทุกคดีศาลจะมีกระบวนการนี้ให้โจทก์กับจำเลยเสมอครับ ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีจริงๆ
ระยะเวลาฟ้องร้องจนถึงขั้นตอนไกล่เกลี่ย ประมาณ 3-6 เดือน
ขั้นตอนไกล่เกลี่ยประมาณ 3 เดือน
ดูยืดเยื้อนะครับ ไม่ได้เร็วเลย
เพราะเจตนารมณ์ของศาลคือ ต้องการให้คู่กรณียุติข้อพิพาทกันเองโดยไม่ต้องขึ้นไปถึงขั้นไต่สวน พิจารณาคดี
เพราะมันสิ้นเปลืองเงินราชการมากๆ ทำให้คดีรกศาลด้วย
และอีกเจตนารมณ์คือต้องการให้คู่ขัดแย้งตกลงกันได้โดยสันติ ไม่ต้องค้าความกัน
2. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทขึ้นอยู่กับโจทก์หรือผู้เสียหายใช่ไหมที่เป็นฝ่ายยอมหรือไม่ยอมไกล่เกลี่ยก็ได้
คำตอบคือ ไม่ใช่ครับ จำเลยเป็นผู้ไม่ยอมก็ได้ครับ ถ้าแน่ใจว่าตัวเองไม่ผิด หรือชนะคดีแน่ๆ
(คดีผม จำเลยไม่ยอมไกล่เกลี่ยครับ ผลคือผมชนะ)
แต่ไม่ว่าจะยอมหรือไม่ยอมไกล่เกลี่ยตามกระบวนการยังไงก็ตาม ก็ต้องส่งทนายไปครับ
ต่างฝ่ายต่างต้องส่งทนายไปพูดคุยเจรจาในขั้นตอนนี้ เช่น ทนายของมาร์คอาจบอกว่ายังไงก็ไม่ยอมไกล่เกลี่ย
ไปขึ้นศาลโน่น
* ในความเป็นจริง ทนายมีหน้าที่ 1. ทำตามทุกอย่างที่ลูกความบอก แบบนี้ไม่ใช่ทนายที่ดี
2. แนะนำลูกความให้สู้คดีสถานเดียว แบบนี้เข้าขั้นเลว เพราะตัวเองจะได้เงินค่าทนายเยอะขึ้น แต่ลูกความแพ้
3. แนะนำให้ลูกความยอมความท่าเดียวโดยไม่ต่อสู้ เพราะทนายเห็นว่าได้ไม่คุ้มเสีย แบบนี้ขี้เกียจ ละเลยลูกความ
4. แนะนำข้อต่อสู้อย่างรอบด้าน บอกให้ลูกความช่างน้ำหนักดูว่าจะเอาแนวทางไหนที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อลูกความ
3. การเจรจาไม่ใช่ให้โอกาสครับ อย่าเข้าใจผิด
การเจรจาคือการทำให้คดีจบเร็ว ในแบบที่เราต้องการ ผลดีคือไม่ยืดเยื้อ และไม่เสี่ยงกับคำตัดสินด้วย
เพราะคุณอภิสิทธิ์มีคดีค้างอยู่เยอะเป็นหางว่าว ผมเดาว่าทนายของคุณมาร์คได้แนะนำแล้วว่า สู้คดีนี้ท่าจะอีกยาว
ถ้าให้ตู่ยอมรับเดี๋ยวนี้ ว่าพูดไม่จริง-ไม่ใช่แค่ถอนคำพูด เอ่ยปากขอโทษ และห้ามพูดเรื่องนี้อีก
แบบนี้เป็นการจบคดีแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ดีกว่าไปให้ตู่ติดคุก 6 เดือน ประพฤติดีในคุก ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือ 4 เดือน
แถมทำความดีอะไรสักอย่างลดโทษอีกเหลือติดคุกเดือนเดียว แล้วออกมาทำแบบเดิมอีก!
จะเอาไหมครับ
สู้คดีกันมาแทบตาย สุดท้ายไอ้ตู่ติดคุกเดือนเดียวแล้วออกมาปลุกระดมต่อ ด่าผมต่อ
เอาไหมครับ
แต่เผอิญมันไม่ถูกใจแม่ยกพ่อยกฮาร์ดคอร์ที่เอาใจช่วยคุณมาร์คมาตลอดน่ะสิ นี่แหละปัญหา
ผมเป็นทนายผมก็ต้องแนะนำลูกความแบบนี้ครับ เพราะลูกความผมจะได้สิ่งที่ดีที่สุด
ไม่ใช่หน้าที่ผมที่ต้องเอาใจแม่ยกพ่อยก มันเกินหน้าที่
แต่...คุณอภิสิทธิ์ก็คงต้องคิดถึงฐานเสียง นั่นเป็นหน้าที่เขา ไม่ใช่หน้าที่ทนายครับ
ทีนี้ มาที่การตัดสินใจของคุณอภิสิทธิ์ที่บอกผ่านทนาย
โดยส่วนตัว ผมว่าคุณมาร์คเป็นคนดื้อมากๆ ผมจึงไม่เชื่อว่าข้อตกลงนี้ทนายเป็นคนจัดการเอง
ผมเชื่อว่าคุณอภิสิทธิ์ต้องการดับอนาคตทางการเมืองของตู่แบบไม่เสียเลือดเนื้อ
คือถ้าตู่เลือก-ก็ตาย ไม่เลือก-ก็ตาย
ไม่ใช่การประนีประนอม ปล่อยเสื้อเข้าป่าแต่อย่างใด
ทว่า...คุณอภิสิทธิ์อาจเดินหมากพลาดก็ได้ หากเอาปัจจัย "ความชั่วและหน้าด้าน" ของคนพรรคนี้มาคำนวณด้วย
สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์พยายามทำอาจไร้ผลอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่การจบปัญหาก็ได้
เพราะระดับความหน้าด้านของคนพวกนี้มันเป็น "ปัจจัยผันแปร" ที่คาดเดาไม่ได้เลย
ฉะนั้น ที่ผมตอบคำถามท่านดาร์คคือ...
- อย่าคิดว่าการไกล่เกลี่ยแล้วจะต้องมีการยอมความกันจริงๆ ไม่ใช่ครับ
แล้วถึงไกล่เกลี่ยกันได้ ศาลก็จะมีคำสั่งออกมาตามที่ได้ประประนอมยอมความกันเป็น "คำพิพากษา" อยู่ดีครับ
ไม่ใช่ปล่อยจำเลยเข้าป่าไป
ถ้าจำเลยทำผิดจากข้อตกลงที่ศาลมีคำสั่งแล้ว ก็ติดคุกทันทีนะครับ
- อย่าคิดว่าการเจรจาไกล่เกลี่ยเป็นเรื่องเลวร้าย
อย่างน้อยในการสู้คดี เราก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเราให้ความเคารพต่อกระบวนการของศาล
(เช่น ถ้าจำเลยต่อสู้ว่า "ผมขอไกล่เกลี่ยแล้วโจทก์ไม่ยอม" ศาลก็อาจถามว่าอ้าว..ทำไมโจทก์ไม่ยอมล่ะ จำเลยเขาเสนอมาแล้วนี่
มันจะมีน่้ำหนักกว่ากันมากเลยครับ ถ้าในศาล ศาลจะเป็นคนถามจำเลยว่า อ้าว..ทำไมจำเลยไม่ยอมล่ะ โจทก์เขาเสนอมาแล้วนี่)
พอเห็นภาพนะครับ
Edited by ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, 31 มกราคม พ.ศ. 2556 - 15:04.