Jump to content


Photo
- - - - -

2556 ประเทศไทย..รอดหรือเละ


  • Please log in to reply
18 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 juemmy

juemmy

    คนสวยประจำบอร์ด

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,307 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:45

*
POPULAR

เส้นใต้บรรทัด   จิตกร บุษบา

                       
พ.ศ.2556 ประเทศไทย รอด...หรือไม่รอด


    poo.jpg



    poo1.jpg

 

 


    ผมเพิ่งกลับจากการนำคณะไปไหว้พระและเรียนรู้ดูชมสถานที่สำคัญๆใน
กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนม่าร์
ระหว่างเดินทาง เราได้คุยกันถึงความน่ากลัวว่า
ประเทศไทยอาจต้องล่มสลายด้วยหลายปัจจัยจัย เช่น



                    1.อาเซียนกำลังจะเป็นหนึ่ง(AEC) แต่เด็กไทยและประชาชนคนไทยไม่เคยได้รับการเตรียมตัวให้ถูกต้องเลย ยก
ตัวอย่างง่ายๆคือ เราไม่มีพื้นความรู้เรื่อง “ภาษา”
ของประเทศเพื่อนบ้านเลย  ขณะที่คนพม่าดูโทรทัศน์ไทย คนลาวดูโทรทัศน์ไทย
คนเขมรดูโทรทัศน์ไทย ชนิด “เข้าใจ” แจ่มแจ้ง เพราะ “รู้ภาษา”
 แต่เราไม่เคยรู้ภาษาของเขา ไม่เคยดู “สื่อ” ของเรา เรียกว่าไม่รู้เขาแต่
“ลำพอง” ในความเป็นเราอยู่อย่างเลื่อนลอย  ถึงวันนั้น
คนของเราจะไปแข่งขันกับใครเขาได้



                    2.ในเมืองสิเรียม
ซึ่งเป็นเมืองท่าทางตอนใต้ของกรุงย่างกุ้ง
กำลังได้รับการพัฒนาเป็นเขตอุตสาหกรรมและโลจิสติก  ส่วน “ทวาย” จะเป็นเฟส 2
ต่อจากสิเรียม
  ย่างกุ้งเอง
ก็กำลังเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โรงแรมเต็ม
ตั๋วเครื่องบินขาด
และความต้องการเที่ยวมากขึ้นหลายเท่าตัวจากเดิมที่มีแต่นักท่องเที่ยวไทย
ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน  เช่นเดียวกับหงสาวดี กับ มัณฑะเลย์  พูดง่ายๆว่า
ประเทศเมียนม่าร์กำลังเนื้อหอมในทุกๆด้าน โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว
ที่ในภายภาคหน้า คือ คู่แข่งที่สำคัญมากๆของประเทศไทย
ที่แหล่งท่องเที่ยวกำลังเสื่อมโทรม และถูกซ้ำเติมด้วยพ่อค้าแม่ขาย ตุ๊กๆ
แท็กซี่ ที่ขี้โกงขี้ไถ นักท่องเที่ยวถูกชิงทรัพย์ ถูกข่มขืน ถูกฆ่า
 แต่พม่ายังไม่มีสถิติอาชญากรรมอันตราย  สถานที่ท่องเที่ยวยังบริสุทธิ์
วิถีชีวิตของคนยังมีเอกลักษณ์
น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักท่องเที่ยวจากเมืองไกลๆ
ที่มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่แตกต่าง

 

                    3.การลงทุนกำลังหลั่งไหลไปสู่พม่า  ในจำนวนนักลงทุนเหล่านั้น  ส่วนหนึ่งเป็นนักลงทุนไทยด้วย  ที่นอกจากจะมองหาลู่ทางของการเพิ่มพูนความมั่งคั่งใหม่ๆ แล้ว  ยังหลีกหนี “ค่าแรง 300 บาท” ในประเทศไทยด้วย


                    4.การยอมรับว่าตนเองจนของพม่า  นำมาซึ่งการได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การศึกษา สาธารณสุขและสุขภาพ  ไม่เหมือนพี่ไทย  ที่ชอบอวดตัวว่าไม่จน  ซึ่งคนที่เสียโอกาสคือประชาชน ไม่ใช่นักการเมืองจอมสร้างภาพ



                    5.คนไทยจำนวนมาก ยังไม่ตระหนักถึงอันตรายของนโยบายประชานิยมของรัฐบาลเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว ก็
ทำให้พม่ายิ้มกริ่ม ในอันที่จะหวนมาทวงบัลลังก์แชมป์ส่งออก ตลอดจน
“ความหลากหลายของพันธุ์ข้าว” ที่มีให้ลูกค้าเลือก 
พม่ากำลังเดินหน้าโชว์พันธุ์ข้าวที่ตนเองมีให้เป็นทางเลือกแห่ง“ความ
อร่อย”ของผู้บริโภค  โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว แต่บ้านเรา ซื้อมัน 15,000
ราคาเดียว
ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์อะไร ก็ทำให้การพัฒนาและคัดเลือกสายพันธุ์ข้าวเลวทราม
ขึ้น



                    6.ข้อมูลจากคนในกลุ่มตรงกันว่า เวลานี้
ธนาคารบางแห่งเปิดให้ชาวสิงคโปร์กู้เงินซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยได้
อย่างคล่องตัว มีชาวสิงคโปร์จำนวนมากเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
 ย้าย
พ่อแม่ที่แก่เฒ่ามาอยู่ มาใช้บริการรักษาโรคที่ถูกกว่า และคอนโดมิเนียม
บ้าน ที่ดิน ที่ถูกกว่าในสิงคโปร์ไม่รู้ตั้งกี่เท่าอยู่ 
โดยยอมจ่ายค่าเครื่องบินช่วงสุดสัปดาห์มาอยู่ด้วย
ซึ่งเมื่อเทียบกับการต้องซื้อที่อยู่และรับการรักษาพยาบาลในสิงคโปร์ที่แพง
ลิบแล้ว คุ้มค่ากว่ามาก  ยิ่งหากอาเซียนเป็นหนึ่ง ประเทศไทยจะเป็น “บ้าน”
ของชาวสิงคโปร์จำนวนมาก แง่ดีก็มี
แต่แง่ที่เราต้องเอาทรัพยากรไปให้คนเหล่านี้ใช้
ก็เป็นแง่ที่ต้องให้ความสนใจใช่ไหมครับ



                    7.จึงมาถึงประเด็นพวกตะวันออกกลางมาซื้อที่ดินใน
จังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดทางภาคกลาง  โดยใช้คนไทยเป็นนอมินี ปลูกข้าว
ใช้ประโยชน์จากดิน น้ำ แสงแดด และเกษตรกรรมของบ้านเรา
 ก่อนจะตัก
ตวงเอาทรัพยากรที่ได้ คือ ข้าว และพืชผลทางการเกษตรกลับไปยังประเทศเขา
หรือขายแข่งอยู่ในตลาดของไทย  ที่ควรต้องคิดร่วมกันว่า ถูกต้องไหม
เราเสียเปรียบเขาไหม เราใกล้จะสิ้นแผ่นดินสิ้นชาติกันแล้วหรือไม่



                    8.ขณะที่จังหวัดในภาคเหนือ เช่น “เชียงใหม่”
ก็มีชาวญี่ปุน มาใช้ชีวิตบั้นปลายกันด้วยการซื้อที่ดิน ตั้งหมู่บ้าน
ใช้ทรัพยากรทั้งอากาศ ดิน น้ำ ฯลฯ กันอย่างผาสุก
 
ไม่ได้มีอะไรน่ารังเกียจหรอกครับ  แต่กำลังเตือนให้คนไทยตระหนักว่า
มีทรัพย์คือ “ที่ดิน” แล้วขายเอาเงินมาใช้  ต่อไปอาจต้องแร่ร่อนจรจัด 
อย่างคิดว่า “ผู้ออุปถัมภ์” ทั้งหลาย จะดูแลพวกคุณไปตลอดทั้งชีวิต
และอย่าคิดว่าเศรษฐกิจของประเทศจะไม่พังพินาศ 
หากรัฐบาลยังบ้าคลั่งโครงการประชานิยม กู้ ก่อหนี้
และไม่สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนประเทศชาติ
อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้



                    คำถามที่คำตอบมีแต่เสียงถอนใจก็คือ  แล้วประเทศของเรา ประชาชนของเรา จะ “รอด...หรือไม่รอด”



                    ดูประเทศชาติของเราเวลานี้สิครับ  รัฐบาล “นายกฯ
ตัดริบบิ้น” ก็สาละวนอยู่กับการ “สร้างภาพ” ให้ตนเองดูเป็น
“ผู้หญิงมีสมอง-ผู้หญิงที่ทำงานหนัก”  แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
ได้รับการใส่ใจอย่างแท้จริงบ้างไหมครับ



                    ราคาสินค้าที่ประชาชนต้องแบกรับ การตกงาน
การเปิดเอสเอ็มอี การเลิกจ้าง ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
ค่าก๊าซหุงต้มที่เพิ่มขึ้น สังคมที่ขัดแย้งเสื่อมทราม
ประชาชนต่างก็เผชิญเอง แก้ปัญหาเอง ซ้ำถูกซ้ำเติมด้วยการเมืองหลากสี
ต่างขั้ว
ที่ห้ำหั่นกันจนทิ้งหลักการแต่ยึดเอาตัวบุคคลและความเป็นพวกพ้องเป็นใหญ่ 
ทำให้รัฐบาลนี้ ทำอะไรก็ไม่ผิด ใครต่อว่า ใครโจมตี ก็ทำให้ดูน่าสงสาร
มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ รังแกผู้หญิง สารพัดจะบิดเบือนไป 
จนผู้คนไม่ได้ยืนหยัดอยู่กับคำถามที่สำคัญว่า



                    ก.) ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ โดยพฤตินัยและนิตินัยหรือไม่



                    ข.) ยิ่งลักษณ์เอาจริงเอาจังที่จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชน  หรือง่วนอยู่กับการแก้ไขปัญหาของตนและโคตรญาติของตัวเอง

                    ค.) มีนโยบายใดของรัฐบาลนี้ ไม่ก่อหนี้ให้ประเทศชาติบ้าง

                    ง.) นโยบายใดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์สร้าง “ความยั่งยืน” และทำได้อย่างยั่งยืนตลอดไปบ้าง



                    รัฐบาลยิ่งลักษณ์มุ่ง “ปรนเปรอ” ประชาชน
และเห็นประชาชนเป็นแค่ “ฐานคะแนนเสียง”ด้วยการทำนโนบายประชานิยมตบตา
ให้รู้สึกว่า “กินดีอยู่ดี-มีเงินใช้” ทั้ง
โครงการรถคันแรก บ้านหลังแรก บัตรเครดิตเกษตรกร บัตรเครดิตพลังงาน
รับจำนำข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา  โครงการธงฟ้า ร้านถูกใจ ฯลฯ  ซึ่ง
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.การคลัง ชี้ว่า



                    "การใช้นโยบายประชานิยมกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงนี้
เป็นการใช้ยาโด๊ปในภาวะที่ไม่ได้ป่วยไข้ จึงไม่ได้ผล
เพราะปีก่อนมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบและมือประชาชนไปมากแล้ว
จนเกิดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนกลายเป็นหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นมาก
และเป็นปัญหาที่ต้องระมัดระวังในปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า"



                    หากพิจารณานโยบายประชานิยมหลัก ๆ ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตลอด 1 ปีเศษที่ผ่านมาจะพบว่า
มีหลายนโยบายที่เป็นปัจจัยกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและยังส่งผลต่อรายได้ของ
ประเทศ ประกอบด้วย



                    1.ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จาก 30 เป็น 23 และ 20 % ในปี 2556 ทำรัฐขาดรายได้ 1.5 แสนล้านบาทต่อปี



                    2.ลดภาษีรถยนต์คันแรก ทำรัฐขาดรายได้ 3 หมื่นล้าน
สุดท้ายโครงการทะลุเกินเป้า ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ออกมายอมรับว่า
อาจต้องใช้เงินคืนภาษีในส่วนนี้ถึง 8
หมื่นล้านบาทเท่ากับเกินกว่าที่รัฐบาลประเมินไว้เกือบ3 เท่าตัว



                    3.ลดภาษีบ้านหลังแรก ทำรัฐขาดรายได้ 2 หมื่นล้าน



                    4 .พักหนี้ลูกหนี้ชั้นดี ทำรัฐต้องชดเชยดอกเบี้ยให้ธนาคาร 4.5 หมื่นล้าน



                    5.ชะลอการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำกองทุนน้ำมันติดลบต้องกู้โปะกองทุน 3 หมื่นล้าน



                    6.ขึ้นเงินเดือนข้าราชการปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท ปรับโครงสร้างทั้งระบบ ทำรัฐมีภาระเพิ่มปีละ 1.2 แสนล้าน



                    7.รับจำนำข้าวขาดทุนแล้วกว่า 1.7 แสนล้าน



                    8.ทีดีอาร์ไอระบุว่าในปีงบประมาณ 2555/56
รัฐบาลจะมีภาระค้ำประกันหนี้จากโครงการจำนำพืชผลเกษตรเป็นจำนวน 3.17
แสนล้านบาท หรือ 66% ของการค้ำประกันหนี้สาธารณะ
ทำให้รัฐบาลมีวงเงินที่จะค้ำประกันการก่อหนี้สาธารณะเพื่อนำไปใช้ในโครงการ
อื่นๆ ตามนโยบายของรัฐบาลเพียง 34%



                    9.หนี้สาธารณะพุ่ง 44.89%
ในขณะที่ IMF เคยเตือนไทยเมื่อวันที่ 12 ก.ค.55
ให้รักษาระดับหนี้สาธารณะให้ต่ำกว่า 45 %
ของ GDP เพื่อรองรับวิกฤตยุโรปและโลก



                   
รวมรัฐเสียรายได้และขาดทุนจากโครงการประชานิยมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
6.15 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลเตรียมกู้เงินอีก 2.2
ล้านล้านบาท
เนื่องจากหารายได้ไม่พอกับรายจ่ายที่ต้องสูญเสียไปกับประชานิยมเพื่อคะแนน
เสียงแต่ส่งผลเสียโดยรวมกับบ้านเมืองอันจะนำไปสู่ภาวะหนี้ท่วมประเทศในระยะ
เวลาอันใกล้นี้ ซึ่งนักวิชาการคาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะของไทยจะทะลุเพดาน 60%
อย่างแน่นอนหากรัฐบาลไม่เลิกโครงการประชานิยมที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ในขณะที่ภาคส่งออกซึ่งคิดเป็น 70 % ของรายได้เข้าประเทศ 
ทั้งนี้ยังไม่รวมหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14
ล้านล้านบาทที่รัฐผลักภาระให้เป็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งไม่ปรากฏเป็นตัวเลขหนี้สาธารณะแต่ก็ยังคงเป็นหนี้ของประเทศอยู่ดี



                   
ไม่เพียงเท่านั้นจากโครงการจำนำพืชผลทางการเษตรยังสร้างภาระที่กระทรวงการ
คลังต้องค้ำประกันหนี้ถึง 3.17 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 66 %
ของการค้ำประกันหนี้สาธารณะ
ซึ่งจะทำให้เหลือวงเงินที่จะค้ำประกันการก่อหนี้สาธารณะในโครงการอื่นเพียง
34 % อันเป็นเหตุผลที่ทำให้เริ่มมีการประเมินสินทรัพย์ราชการและรัฐวิสาหกิจ
เพื่อโชว์ว่าไทยมีเครดิตคือทรัพย์สินประเทศมากกว่าเงินที่จะกู้อีก 2.2
ล้านล้านบาท เรียกความเชื่อมั่นจากเจ้าหนี้ที่จะปล่อยเงินกู้ให้กับไทย
อีกทั้งในสภาวะที่เครดิตไทยเริ่มมีปัญหาจะส่งผลทำให้ไทยต้องกู้เงินด้วย
อัตราดอกเบี้ยที่อาจแพงกว่าปกติด้วย



                    ผมจึงขอฟันธงไปให้ชัดๆ เลยว่า  ปีนี้ประเทศไทยลำบากแน่ คนไทยลำบากแน่  เพราะ



                    a.) รัฐบาลสนใจและห่วงประโยชน์ของตนกับพวกมากกว่าประโยชน์ของชาติ 
พวกเขาจะพาเศรษฐกิจของชาติดิ่งเหว เผลอๆ รัฐเองจะเป็นผู้ล้มละลายก่อนเอกชน
เพราะห่วงแต่ลดแลกแจกแถม
เพื่อเอาความนิยมมาค้ำจุนอำนาจทางการเมืองให้แก่ตัวเองและพวกพ้อง

                    b.) ยิ่งลักษณ์กับพวกไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศชาติ พวก
เขาสนใจเพียง “การยึดครองและควบคุมอำนาจ” และหล่อเลี้ยง “ฐานเสียง”
ด้วยการเอาเงินของรัฐไปหว่านโปรย ขณะเดียวกันก็มุ่งหน้า “เล่นงาน” เพื่อ
“ควบคุม” ฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายที่ไม่เป็นมิตรหรือพวกที่ต่อต้าน



                    c.) “เจ้าของพรรคเพื่อไทย” ตัวจริง  เลือกจะส่งพวกโง่ๆ มาบริหารประเทศชาติ  คนพวกนี้มีปัญญาไม่พอที่จะทำให้ประเทศชาติปลอดพ้นจากปัญหาและก้าวหน้าได้ ซึ่งถือเป็นความสะใจส่วนตัวของคนที่ส่งมา

                    d.) ประชาชนยังมี***“ขี้ข้า-ขี้ขอ” ยังเป็นทาสที่ต้องการ“นายอุปถัมภ์” ดังนั้นการหวังให้ประชาชนเป็นผู้“ดุลและคาน” อำนาจของรัฐบาลเพื่อยืนหยัดความถูกต้อง เป็นเรื่องที่สิ้นหวังมาก  

                    e.) สื่อมวลชนถูกครอบงำด้วยอำนาจรัฐ อำนาจเงิน และความขี้เกียจมีเรื่อง



                    f.) ทหารไม่ส่งสัญาณตักเตือนฝ่ายการเมืองและมวลชนจัดตั้งของพวกเขาเลย  ห่วง
ว่าตนจะเป็นไม่เป็น ห่วงว่าตนจะสร้างความยุ่งยาก จะเป็นคู่ขัดแย้ง
จึงเลือกจะไปจูจี๋กับผู้มีอำนาจ เพื่อสร้างภาพว่าตนไม่ใช่ศัตรูกับรัฐบาล
จนสูยเสียความสง่างาม และความน่าเชื่อถือ  และเสียโอกาสที่จะช่วยส่วนรวม
เพียงแค่ส่งเสียงกระแอมกระไอก็มีผลต่อฝ่ายการเมือง ซึ่ง “กลัวทหาร”
ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด



                    ดังนั้น
รัฐบาลนี้จึงอยู่ได้โดยปราศจากแรงเสียดทาน  เงินของรัฐที่พวกเขาเอามาแจก
ทำให้ถนนทางการเมืองของเขาลื่น  แต่บ้านเมืองจะเละ ไม่เชื่อก็คอยดู

ที่มา:http://www.naewna.co.../columnist/5257


"กูจะสู้แม้รู้ว่าพวกกูน้อย สู้ไม่ถอยแม้รู้ว่าจะดับสลาย แผ่นดินนี้พ่อกูอยู่ปู่กูตาย กูสุดอายถ้าเสียทีไพรีครอง"


#2 juemmy

juemmy

    คนสวยประจำบอร์ด

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,307 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:48

บทความของคุณจิตรกร บุษบา วันนี้ยาว

แต่เก็บรายละเอียดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้แทบทั้งหมด

เพื่อนเสรีไทยไม่ว่าสีไหนอย่าเพิ่งเมินหน้าหนีนะคะ :D


"กูจะสู้แม้รู้ว่าพวกกูน้อย สู้ไม่ถอยแม้รู้ว่าจะดับสลาย แผ่นดินนี้พ่อกูอยู่ปู่กูตาย กูสุดอายถ้าเสียทีไพรีครอง"


#3 kop16

kop16

    U will never walk alone.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,507 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:51

รัดบานกำลัง กู้เงิน 22 ล้านล้านบาท มาพัฒนาประเทศไงครับ


If you try hard enough, you can be whatever you want to be.


#4 juemmy

juemmy

    คนสวยประจำบอร์ด

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,307 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:59

รู้มาว่า ในกรุงย่างกุ้ง มีรถมอเตอร์ไซค์น้อยมากบนท้องถนน

รัฐบาลของที่นั่นให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชาชนของเขา

ไม่มีแว๊น ไม่มีสก๊อย ไม่มีจุดเริ่มต้นของอาชญากรรม

ทีมาจากพวกแก๊งก่อกวนบนถนน


"กูจะสู้แม้รู้ว่าพวกกูน้อย สู้ไม่ถอยแม้รู้ว่าจะดับสลาย แผ่นดินนี้พ่อกูอยู่ปู่กูตาย กูสุดอายถ้าเสียทีไพรีครอง"


#5 juemmy

juemmy

    คนสวยประจำบอร์ด

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,307 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 14:01

เมื่อวานก็เพิ่งอนุมัติแบ่งเค็กงบน้ำท่วม 3แสนกว่าล้าน

งานนี้มีเจ๊ด. มาพัวพันปากมันอีกตามระเบียบ


"กูจะสู้แม้รู้ว่าพวกกูน้อย สู้ไม่ถอยแม้รู้ว่าจะดับสลาย แผ่นดินนี้พ่อกูอยู่ปู่กูตาย กูสุดอายถ้าเสียทีไพรีครอง"


#6 gears

gears

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,450 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 14:03

รัดบานกำลัง กู้เงิน 22 ล้านล้านบาท มาพัฒนาประเทศไงครับ

เค้าพัฒนาประเทศด้วยเทคนิคและสมอง ครับ
ไม่ใช่เอาเม็ดเงินมาโปรย.

22 ล้านๆ. ขายประเทศเหอะ

คุณได้รับการไว้วางใจให้บริหารกองทุน ตามสินทรัพย์ที่มีอยู่
แต่คุณบอก ต้องกู้มาสร้างฐานที่มั่นคง. โดยไม่แจกแจงรายละเอียด
ไม่โดนปืนกรอกปากก็ดีแค่ไหนแล้ว

Edited by gears, 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 14:06.


#7 wewe

wewe

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,005 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 14:34

เส้นใต้บรรทัด   จิตกร บุษบา

  


                    ผมจึงขอฟันธงไปให้ชัดๆ เลยว่า  ปีนี้ประเทศไทยลำบากแน่ คนไทยลำบากแน่  เพราะ



                    a.) รัฐบาลสนใจและห่วงประโยชน์ของตนกับพวกมากกว่าประโยชน์ของชาติ 
พวกเขาจะพาเศรษฐกิจของชาติดิ่งเหว เผลอๆ รัฐเองจะเป็นผู้ล้มละลายก่อนเอกชน
เพราะห่วงแต่ลดแลกแจกแถม
เพื่อเอาความนิยมมาค้ำจุนอำนาจทางการเมืองให้แก่ตัวเองและพวกพ้อง

                    b.) ยิ่งลักษณ์กับพวกไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศชาติ พวก
เขาสนใจเพียง “การยึดครองและควบคุมอำนาจ” และหล่อเลี้ยง “ฐานเสียง”
ด้วยการเอาเงินของรัฐไปหว่านโปรย ขณะเดียวกันก็มุ่งหน้า “เล่นงาน” เพื่อ
“ควบคุม” ฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายที่ไม่เป็นมิตรหรือพวกที่ต่อต้าน



                    c.) “เจ้าของพรรคเพื่อไทย” ตัวจริง  เลือกจะส่งพวกโง่ๆ มาบริหารประเทศชาติ  คนพวกนี้มีปัญญาไม่พอที่จะทำให้ประเทศชาติปลอดพ้นจากปัญหาและก้าวหน้าได้ ซึ่งถือเป็นความสะใจส่วนตัวของคนที่ส่งมา

                    d.) ประชาชนยังมี***“ขี้ข้า-ขี้ขอ” ยังเป็นทาสที่ต้องการ“นายอุปถัมภ์” ดังนั้นการหวังให้ประชาชนเป็นผู้“ดุลและคาน” อำนาจของรัฐบาลเพื่อยืนหยัดความถูกต้อง เป็นเรื่องที่สิ้นหวังมาก  

                    e.) สื่อมวลชนถูกครอบงำด้วยอำนาจรัฐ อำนาจเงิน และความขี้เกียจมีเรื่อง



                    f.) ทหารไม่ส่งสัญาณตักเตือนฝ่ายการเมืองและมวลชนจัดตั้งของพวกเขาเลย  ห่วง
ว่าตนจะเป็นไม่เป็น ห่วงว่าตนจะสร้างความยุ่งยาก จะเป็นคู่ขัดแย้ง
จึงเลือกจะไปจูจี๋กับผู้มีอำนาจ เพื่อสร้างภาพว่าตนไม่ใช่ศัตรูกับรัฐบาล
จนสูยเสียความสง่างาม และความน่าเชื่อถือ  และเสียโอกาสที่จะช่วยส่วนรวม
เพียงแค่ส่งเสียงกระแอมกระไอก็มีผลต่อฝ่ายการเมือง ซึ่ง “กลัวทหาร”
ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด



                    ดังนั้น
รัฐบาลนี้จึงอยู่ได้โดยปราศจากแรงเสียดทาน  เงินของรัฐที่พวกเขาเอามาแจก
ทำให้ถนนทางการเมืองของเขาลื่น  แต่บ้านเมืองจะเละ ไม่เชื่อก็คอยดู

ที่มา:http://www.naewna.co.../columnist/5257

 

ยาวแต่ก็สาระล้วน ขอตัดเอาช่วงสำคัญมาเน้นนะคะ 


ความเท็จแม้นเร้นได้ในปัจจุบัน  แต่ก็เหมือนซ่อนสุริยันไว้หลังเมฆ

อย่านึกถึงแต่ความผิดพลาด  จงระลึกถึงต้นเหตุของความผิดพลาด


#8 promotion

promotion

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,761 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 15:04

รัดบานกำลัง กู้เงิน 22 ล้านล้านบาท มาพัฒนาประเทศไงครับ

 

2.2 ล้านล้าน ครับ 



#9 มาหยารัศมี

มาหยารัศมี

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,502 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 22:08

ก็เพราะพม่า ลาว เขามีรัฐบาล ที่ทำเพื่อประเทศเขาไงล่ะ

ของเรา เขาไม่ได้ทำเพื่อประเทศจริง ขนาดจำนำข้าวที่มีปัญหา

เขายังไม่เลิก เพราะไอ้แม้วไม่ให้เลิก

แล้วยังงี้ ยังไปโกรธ"ไทม์"อีกแน่ะ



#10 Bookmarks

Bookmarks

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 33,617 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 22:19

ปีนี้ น่าจะเห็นภาพชัดขึ้น ยิ่งประชานิยม ทั้งยิ่งลักษณ์ ทั้งพงศพัศ กับเงินกู้ 2.2 ล้านบาท น่าจะส่งผลให้เห็นกันถ้วนหน้า 



#11 Stargate-1

Stargate-1

    SG-1

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,578 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 22:24

ธนาคาร โลก เผย ประเทศไทยจนลง - คนไทยรวยขึ้น จากความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหตุรายได้กระจุกในเมืองหลวง ปกครองท้องถิ่นไร้ประสิทธิภาพ แนะควบรวม ลดซ้ำซ้อน

            นางแอนเน็ต ดิกสัน ผู้อำนวยการธนาคารโลก ประจำประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงานการบริหารการเงินการคลังสาธารณะของประเทศไทย ว่า  ธนาคารโลกสำรวจพบว่า ประเทศ ไทยมีความยากจนทางรายได้ลดลงจากเดิมค่อนข้างมาก ประชากรมีรายได้สูงขึ้น แต่ความเหลื่อมล้ำยังอยู่ในระดับสูง และแทบจะไม่มีการปรับตัวดีขึ้นเลย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียนโดยความ

            ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นมาจากการกระจุกตัวของการกระจายรายได้ ที่ยังอยู่ในเขตเมืองหลวงมากกว่าต่างจังหวัด โดยมีอยู่ 3 ปัจจัย ที่นำมาสู่ความไม่เสมอภาค คือ...

            1.การกระจุกตัวของงบประมาณและการให้บริการสาธารณะ
            2.โครงสร้างการปกครองท้องถิ่นของไทยมีความซ้ำซ้อนในหน้าที่รับผิดชอบมากเกินไป
            3.การติดตามและประเมินผลงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ยังไม่มีประสิทธิภาพ

            ทั้ง นี้ ธนาคารโลก เสนอแนะว่า ควรลดความซ้ำซ้อนของ อปท.จากปัจจุบัน เนื่องจาก อปท.ที่มีประชาชนในความดูแลน้อยกว่า 5,000 คน มีจำนวนมากถึง 3,000 แห่ง ซึ่ง การบริหารอย่างมีประสิทธิภาพต้องมีประชาชนมากกว่า 10,000 คน และหากควบรวม อปท.ไม่ให้ซ้ำซ้อนมากเกินไปได้ การจัดการด้านงบประมาณจะทำได้ดีขึ้น ทั้งเรื่องการจัดการทางภาษีท้องถิ่นที่จะเพิ่มงบประมาณต่อหน่วยงานได้มาก ขึ้น แต่รัฐบาลเองจะต้องปรับปรุงให้การกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น จนถึงหน่วยงานท้องถิ่นไม่มีรอยตะเข็บ เพื่อให้เงินงบประมาณลงสู่ท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
 

คนในเมืองรวยขึ้น เพราะไปจ้างคนต่างจังหวัดทำนาในที่ดินที่กว้านซื้อมาในราคาถูก
 


Tam-mic-ra ฟันธง!  คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ .....  คิดครับคิด  :lol:   จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96  ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง   แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3


#12 Bookmarks

Bookmarks

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 33,617 posts

ตอบ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 22:39

ผมได้ยินแดง พูดว่า ของแพงไปหมดเลย แม่ค้าขายของก็ยังพูดว่าของแพงจริงๆ ต่อให้หลอกชาวบ้านยังไง ว่าคิดไปเอง มันไม่ได้ทำให้ชาวบ้านเค้าคิดแบบนั้นหรอก 



#13 juemmy

juemmy

    คนสวยประจำบอร์ด

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,307 posts

ตอบ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 12:28

ผมได้ยินแดง พูดว่า ของแพงไปหมดเลย แม่ค้าขายของก็ยังพูดว่าของแพงจริงๆ ต่อให้หลอกชาวบ้านยังไง ว่าคิดไปเอง มันไม่ได้ทำให้ชาวบ้านเค้าคิดแบบนั้นหรอก 

เราเองก็ได้ยินกะหูแทบทุกเช้าเวลาไปจ่ายตลาด

บางครั้งถามราคาแล้วแม่ค้าตอบมา

คนซื้อต้องวางลงที่เดิม

เพราะราคาแพงจนจับไม่ติด

ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระที่เมื่อก่อนเป็นอาหารจานถูก

แรกเริ่มเดิมทีเมื่อ10กว่าปีก่อนขายเพียงชามละ15บาท

ปัจจุบันชามละ 40บาท :o

แล้วอย่างนี้จะบอกว่าชาวบ้านคิดไปเองได้อย่างไรกัน -_-


"กูจะสู้แม้รู้ว่าพวกกูน้อย สู้ไม่ถอยแม้รู้ว่าจะดับสลาย แผ่นดินนี้พ่อกูอยู่ปู่กูตาย กูสุดอายถ้าเสียทีไพรีครอง"


#14 wizard

wizard

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 693 posts

ตอบ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:12

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อาการทุกอย่างจะออกในช่วงปี 57 แน่นอน นรกของจริงกำลังมา



#15 raffy

raffy

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,517 posts

ตอบ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:30

ผมว่านะสมาชิก สรท. ส่วนใหญ่ทราบและกล่าวกันมาก่อนนานกว่า จิตกร บุษบา ซะเสียอีกครับ



#16 ปลายขอบฟ้า

ปลายขอบฟ้า

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 185 posts

ตอบ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:49

ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี .... ดีใจที่อาจจะมีหลายๆคนไทยที่มองโลกสีแดงน้อยลง กับเสียใจว่าประเทศเราอาจจะต้องกลับไปสู่ยุคข้าวยาก หมากแพงเหมือนสมัยสงครามโลกอีกหรือ ... ประเทศไทยเอย



#17 พระฤๅษี

พระฤๅษี

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,127 posts

ตอบ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 14:29

แต่ละคนที่เข้าไปนั่งคุม( กระทรวงศึกษา) เห็นแล้ว.....

กร่อยกว่าน้ำ.บางปะกง....เซ็ง...อย่างนี้ การศึกษา-

ของเยาวชน..ก็ลงเหว...หลายปีมานี่  ดูเหมือน จะ-

ไม่มีผู้รู้ที่แท้จริงเข้าไปบริหารกระทรวงฯเลย......

นักวิชาการ..ก็แค่  ยึกยักแย่งขั้นแย่งตำแหน่ง นักการ-

เมืองมันรู้. แล้วมันก็อาศัยโดด เกาะกัน  เหมือนหมัด-

เหมือนเหา..ไม่พอใจใครก็ย้ายมันไปเอาคนของตัว

เข้ามา  โดยอ้างว่า ..ไม่สนองนโยบาย....ง่าย ๆ แค่นี้..



#18 Charlie

Charlie

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,449 posts

ตอบ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 14:36

ประชาชนล้มจม นักการเมืองกอบโกยจนรวยไปชั่วลูกชั่วหลาน ไม่เข้าใจว่าเมื่อไหรมันจะเลิกปัญญาอ่อนเสียที


Edited by Charlie, 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 14:36.

คนดีจริงไม่โกงที่วัด ไม่ยุแยงให้คนแตกแยก ไม่หลอกคนอื่นให้มารับเคราะห์ตายแทน


#19 พระฤๅษี

พระฤๅษี

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,127 posts

ตอบ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 15:01

  มันไม่ปัญญาอ่อน หรอกครับ

 

มันแกล้งโง่  ( เพื่อจะเอา).....           






ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน