แต่อันนี้เรื่องจริง ....
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนเม.ย. 2544 ประเทศไทยตกเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก เมื่อรัฐบาลสมัยนั้น เปิดไฟเขียวให้ “กรมป่าไม้” ขุดหาขุมทรัพย์ภายในถ้ำลิเจีย อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ภายใต้การควบคุมของชายที่ชื่อ “เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ” เจ้าของฉายา “โกโบริน” ผู้ซึ่งบุกป่าผ่าดงพยายามค้นหาขุมทรัพย์มาตั้งแต่ปี 2538 ในฐานะที่ปรึกษา ภายใต้ความเชื่อการมีอยู่จริงของขุมทรัพย์ทหารญี่ปุ่นที่ถูกทิ้งหลังแพ้ สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกล่าวอ้างว่า “พบสมบัติ-พบขุมทรัพย์” ที่เวลาต่อมา...กลับกลายเป็นเรื่องโอละพ่อ เมื่อแทนที่สมบัติที่พบ จะเป็นทรัพย์สินมีค่า รวมถึง ทองคำจำนวนมากที่คาดหวังกันไว้ กลับกลายเป็นพันธบัตรสหรัฐเก่าๆ ปี 1934 ที่มีการอ้างอิงตีราคาเสร็จสรรพมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แถมเรื่องยังกลับตาลปัตร เมื่อในเวลาต่อมาไม่นาน มีการตรวจสอบแล้วพบว่า พันธบัตรฯดังกล่าวเป็นของปลอม โดยมีคำยืนยันมาจากผู้เชี่ยวชาญและจากทางสถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยเอง
เรื่องดังกล่าว...เกี่ยวพันกับชายที่ชื่อ “ทักษิณ” ถึงขนาดยอมปรับเปลี่ยนตารางเวลางาน เพื่อบินลงพื้นที่ไปดูด้วยตาตัวเอง “หัวสมองคิดการใหญ่”
ตั้งธงนำพันธบัตรออกโรดโชว์ในต่างประเทศ หวังดึงเงินจากกระเป๋าของนักลงทุนต่างชาติและเศรษฐีที่ต้องการสะสมของเก่า ซึ่งจะได้ราคาดีกว่าการนำไปแลกคืนกับทางธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ทุกอย่างต้องยุติลง หน้าแหกยับเมื่อพันธบัตรดังกล่าวเป็นของปลอม การเดินหน้าล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าจึงต้องวางจอบ..วางเสียม ม้วนเสื่อกลับบ้านไปโดยปริยายด้วย ในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น...พันธบัตรที่ไปโผล่ในถ้ำลิเจีย นั่นคือกลวิธีการโกงแบบหนึ่งของแก๊งข้ามชาติ ที่ต้องการตบตาจัดฉากให้คนหลงเชื่อถึง “ที่มาของพันธบัตร” เพื่อหวังเปลี่ยนจาก “พันธบัตรปลอม” เป็น “พันธบัตรของจริง” โดยอาศัยความโลภของคนเป็นเหยื่อ ปลุกกิเลสตัณหาความอยากได้ ตามแผนการที่วางไว้อย่างแยบยล เพียงแต่คนที่ตกเป็นเหยื่อคราวนี้เป็นถึง “นายกรัฐมนตรีของไทย” ที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
เนื่องจากหากมีคนหลงเชื่อว่าเป็นของจริง จะเกิดกระบวนการนำไปซื้อขายต่อรองราคาในตลาดซื้อขายพันธบัตรตามมา ที่ขณะนั้นเกิดขึ้นในเมืองไทยอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานและยิ่งหากมีการนำไปโรดโชว์อย่างที่รัฐบาลสมัยนั้นวางแผนไว้แล้วก็จะเป็นทางหนึ่งที่จะเพิ่มมูลค่าให้พันธบัตรเก๊เหล่านั้นได้ และยิ่งหากขึ้นแท่นเป็นของสะสมราคาจะยิ่งเพิ่มทวีคูณเป็นเท่าตัวการสร้างเรื่องที่ถ้ำลิเจีย จึงมีความเชื่อมโยงอย่างน่าสงสัย มีนัยสำคัญกับกรณีที่มีคนพยายามติดต่อ “พายัพ ชินวัตร” น้องชายของทักษิณ (ที่อาจจะไม่ค่อยสุดเลิฟนัก) จนนำไปสู่การแจ้งความกับตำรวจกองปราบปรามกรณีที่ถูกหลอกขายพันธบัตรสหรัฐปลอม โดย “พายัพ” ได้รับการติดต่อจาก “เพื่อนคนหนึ่ง”ที่เป็นตัวกลางในการประสานให้มีการติดต่อพูดคุยแก๊งต้มตุ๋นที่ต้องการเสนอขายพันธบัตรดังกล่าวให้กับพี่ชายที่ชื่อ “ทักษิณ” โดย“พายัพ” ได้นำเรื่องไปปรึกษา แต่หลังจากถูกหลอกเรื่องขุมทรัพย์ลิเจียแล้ว“ทักษิณ” จึงไม่เชื่อ เพราะมองว่าน่าจะเป็นของปลอม จึงเป็นที่มาที่ “พายัพ” ไปแจ้งความกระทั่งนำไปสู่การจับกุมแก๊งอาชญากรรมตลาดสีเทาแก๊งนี้ได้ทั้งหมด 5 คน ซึ่งประกอบไปด้วย William Morales- Jacqueline Enriques-Robert Ng ซึ่งทั้ง 3 คนนี้เป็นชาวฟิลิปปินส์ Tan Ho Chee ชาวสิงคโปร์และ ชัยอารีย์ สันติวงษ์ชัย ชาวไทย ในขณะที่ “เพื่อนลึกลับ” ที่เป็นผู้ติดต่อประสานงานระหว่างพายัพกับแก๊งนี้ จนถึงปัจจุบันยังไม่รู้ว่า “เป็นใคร” ซึ่งเป็นคนที่เชื่อแต่แรกว่าพันธบัตรเป็นของจริงและขอให้พายัพปรึกษากับพี่ทักษิณถึงความเป็นไปได้ที่จะนำพันธบัตรเหล่านั้นไปแลกเป็นเงินกับธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งถือเป็นคนที่ดึงให้ “2 พี่น้องชินวัตร” เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ความน่าจะเป็นที่ “บุคคลปริศนาคนนี้” ยังถูกปกป้อง ปิดบังอยู่ อาจเป็นเพราะคือคนที่สังคมรู้จัก เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่สังคมจับตาซึ่งเป็นอีกมุมมืดหนึ่งของคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองในแวดวงต่างๆที่มักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทานี้ ไม่เว้นแม้แต่นักการเมืองโดยที่ด้านหน้าฉาบด้วยภาพลักษณ์ที่ดูดี วางตัวเป็นที่นับถือของใครหลายคน แต่ด้านหลังกลับซ่อนในสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดไว้
กลับมาที่การสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการอ้างว่าได้รับข้อมูลสำคัญเกี่ยวแก๊งปลอมพันธบัตรนี้จากนายกรัฐมนตรีในช่วงนั้น หลังน้องชายถูกหลอกขายพันธบัตรปลอม ซึ่งพบว่า William Morales เป็นผู้นำเข้าพันธบัตรปลอมเหล่านั้นเมื่อ 7 เดือนที่แล้วก่อนการจับกุมตัวได้ โดยได้นำไปฝากไว้ในเซฟของ “Deutsche Bank” จำนวน 2.47หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า พันธบัตรสหรัฐจำนวน 2.47 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ที่ถูกฝากอยู่ในนามของ “ชัยอารีย์ สันติวงษ์ชัย” เหตุใด Deutsche Bank จึงรับฝากไว้โดยไม่มีข้อสงสัยซึ่งคล้ายกับกรณีที่เกิดขึ้นกับธนาคารกสิกรไทย คือถ้าไม่ปัญญาอ่อนก็ต้องเป็นโจรเสียเอง เนื่องจากพันธบัตรสหรัฐตัวจริง ไม่มีการพิมพ์ฉบับละ100 ล้านดอลลาร์...อย่างที่มีในพันธบัตรที่นำมาฝากกับ Deutsche Bank นี้ หนทางการรับฝากที่แสนง่ายดายนี้จึงถูกตีความไปโดยปริยายว่า มีคนใน Deutsche Bank ร่วมมือด้วย เพราะถือว่าเป็นช่องทางที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม...เป็นที่น่าสังเกตว่าการตามกลิ่นของพันธบัตรปลอมชุดนี้ หลังจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 5 รายได้แล้วเหตุใดตำรวจจึงรู้ว่า มีการฝากพันธบัตรไว้ที่ Deutsche Bank ซึ่งตามการรายงานข่าวช่วงนั้นไม่มีการระบุถึงบุคคลที่นำไปฝากว่าเป็นใคร เพียงแต่ฝากในนามของ “ชัยอารีย์” เท่านั้น และจากการไปตรวจค้นที่บ้านพักของ “ชัยอารีย์” ก็ไม่มีการรายงานหรือปรากฏหลักฐานว่ามีสิ่งบ่งบอกถึงเส้นทางที่จะบอกได้ว่ามีการฝากพันธบัตรไว้ที่ Deutsche Bank ได้ ทั้งนี้จึงมีความเป็นไปได้ว่า อาจเจอเอกสารสำคัญที่เป็นหลักฐานซึ่งถือเป็นใบเสร็จเวลาการนำพันธบัตรไปฝากไว้ที่ธนาคารนั่นคือเอกสารที่เรียกว่า SKR (Safe Keeping Receipts) ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตามแกะรอยจนพบแหล่งซุกซ่อนพันธบัตรปลอมเหล่านั้น
ความเป็นมาของพันธบัตรถ้ำลิเจีย กับพันธบัตร + Deutsche Bank จึงถูกตั้งคำถามถึงความเชื่อมโยงกันขึ้น เมื่อมีการตรวจสอบแล้วพบว่า Serial number ของพันธบัตรเป็นชุดเดียวกัน ขณะที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่การขุดสมบัติถ้ำลิเจีย มาถึงการจับกุมแก๊งต้มตุ๋นน้องชายนายกรัฐมนตรี เมื่อไล่เรียงวัน เวลาแล้วห่างกันแค่ 2 สัปดาห์ จึงบ่งบอกและพิสูจน์ได้ว่า “ขบวนการขุมทรัพย์ที่ถ้ำลิเจีย” ก็คือส่วนหนึ่งของแผนการที่ถูกแก๊งต้มตุ๋นจัดฉากขึ้น เพื่อสร้างเรื่องให้กำเนิด“พันธบัตรปลอมชุดนี้” ขุมทรัพย์ถ้ำลิเจียจึงเป็นเพียงมุขหนึ่ง ที่แก๊งนี้นำมาเล่นจนทำให้คนระดับนายกรัฐมนตรีไทยหน้าแหกยับมาแล้วกับขุมทรัพย์สงครามญี่ปุ่นลวงโลกขณะที่น้องชายก็ต้องมาหน้าแหกยับซ้ำสองกับขบวนการหลอกขายพันธบัตรปลอม
ในมุมมองหนึ่ง...อาจมีคนมองว่าทักษิณเป็นคนเก่งคนหนึ่งที่สามารถหลุดรอดจากขบวนการต้มตุ๋นหลอกขายพันธบัตรปลอมได้เนื่องจากยังมีคนไทยในปัจจุบันที่ยังมีการซื้อขายพันธบัตรสหรัฐกันอยู่ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะรวมถึงพันธบัตรปลอมชุดถ้ำลิเจียรวมอยู่ด้วยก็เป็นไปได้ในขณะที่อาจมีคนชมในความดีของพายัพด้วย ที่แสดงบทบาทพลเมืองดี ปกป้องผลประโยชน์ให้คนในชาติ กับการไปฟ้องเอาผิดกับแก๊งต้มตุ๋นแก๊งนี้...แต่ในทางกลับกัน บางคนอาจมองว่า การฟ้องร้องตำรวจจนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้ อาจเป็นเพราะ “ความแค้นส่วนตัว” ที่ถูกหลอกซ้ำถึง 2 หน จึงต้องการเอาคืนและปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง อีกทั้งในข้อเท็จจริง “ความโลภ” ที่ปรากฏชัด ตั้งแต่การยอมทิ้งงานอื่นไปดูการขุด ขุมทรัพย์, วางแผนโรดโชว์ต่างประเทศ จนมาถึงการพบกับแก๊งต้มตุ๋นเพื่อดูพันธบัตรปลอมที่ถูกหลอกขาย ทั้งที่การเชื่อมโยงทางความคิดถึงเหตุการณ์พันธบัตรปลอมถ้ำลิเจียที่เพิ่งเกิดขึ้น จนมาถึงพันธบัตรปลอม Deutsche Bank น่าจะฉุกใจคิดได้แต่ด้วยความโลภของคน แม้จุดปะติดปะต่อนิดเดียวที่ขยายความจริงได้ก็อาจมองข้ามไปจุดสำคัญของเรื่อง อาจจะยังไม่ใช่แค่นั้น ทุกคนที่รู้ความจริงคงต้องถึงกับ...“อึ้ง-กิม-กี่” เมื่อสุดท้าย...ท้ายสุด ผู้ต้องหาทั้ง 5 คนกลับถูกปล่อยลอยนวล ไม่ถูกดำเนินคดี
ที่ “ไม่ใช่ของปลอม” เพราะมันไม่มีตัวจริงอยู่จึงไม่สามารถใช้ข้อหาปลอมพันธบัตรได้ โดยเฉพาะพันธบัตรฉบับละ 100ล้านดอลลาร์ ที่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่เคยมีการทำขึ้น ทั้งที่รูปแบบองค์ประกอบต่างๆสารพัด ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือ ลายน้ำ ลายเซ็นรูปประธานาธิบดีที่พิมพ์บนพันธบัตรล้วนเหมือนที่ใช้พิมพ์อยู่ในพันธบัตรของจริงแทบทั้งสิ้นแต่ในทางกฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ ในขณะที่อีกด้านก็อาศัยบทบาททางจิตวิทยาส่ง “ทนายหน้าหอ” มาคอยข่มขู่กดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่โดนขู่ว่าจะฟ้องเอาผิด ในที่สุดถ้าเจ้าหน้าที่เกิดขวัญอ่อนก็คงไม่ต้องคิดมาก ก็ต้องยอมทำตามคำขู่แบบ(ไม่)มีทางเลือกเหตุผลสุดตลกที่เป็นข้ออ้างสำคัญที่ทำให้แก๊งนี้หลุดลอยหายกลับเข้ากลีบเมฆอีกครั้งคือ พันธบัตรที่จับได้ “ไม่ใช่ของปลอม” และ “ไม่ใช่ของจริง”
นี่คือช่องโหว่ทางกฎหมายที่อาจจะเป็นตัวอย่างในทางชั่วที่คนร้ายรายอื่นอาศัยช่องทางนี้ กล่าวอ้างแก้ความผิดให้ตัวเองแถมเล่นบทร้ายเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐคืนอย่างไรก็ตาม...หากจะโทษว่าเป็นความผิดใคร ส่วนหนึ่งก็คงหนีไม่พ้น“สื่อมวลชน” ที่ไม่ยอมเกาะติดจนเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตัดช่องน้อยแต่พอตัวเพื่อให้คดีสิ้นสุด เมื่อไม่พบการโกง การทุจริต จึงอ้างการไม่มีอยู่จริงของพันธบัตรเมื่อไม่มีอยู่จริงจึงไม่มีของปลอมและเมื่อไม่มีของปลอม...จึงดำเนินคดีไม่ได้ (เล่นกันแบบนี้เลย)แต่ที่น่าตกใจก็คือ จากการตรวจสอบพบว่า William Morales กับเพื่อนชาวฟิลิปปินส์อีกคน คือหนึ่งสมาชิกในแก๊งเดียวกันกับ “Graham Michael Shandiman” (ติดตามอ่าน...เจาะกลโกงข้ามประเทศ กสิกรไทยยังเกือบพลาด! จุดอ่อนคือผู้จัดการสาขา ไม่ปัญญาอ่อน...ก็คือโจร)ซึ่งคนเหล่านี้อาจจะยังอยู่ในกรุงเทพฯทำภารกิจชั่วหลอกลวงต้มตุ๋นคนตามวิสัยสันดานเดิมต่อ โดยเฉพาะ WilliamMorales ที่ล่าสุดมีการเปลี่ยนชื่อใหม่ใช้ในการเคลื่อนไหวพบการปรากฏตัวแถวสุขุมวิทซอย 2 และมีการติดต่อประสานงานกับแก๊ง Graham มาโดยตลอด ซึ่งก่อนที่ Graham จะถูกจับกุมตัวได้ในปัจจุบัน Graham คือมือเท้าในการทำงานชั่วให้กับ WilliamMorales ทั้งเรื่องการออกภาคสนามหาเหยื่อเผชิญหน้ากับเหยื่อโดยตรงในทุกสถานการณ์การเดินทางไปธนาคารเพื่อทำธุรกรรมการเงิน รวมถึงการหาแนวร่วมในธนาคารต่างๆโดย William Morales จะอยู่เบื้องหลังมากกว่าเนื่องจากยังเข็ดขยาดกับการถูกจับเมื่อครั้งที่ผ่านมา
“ความโลภ” จึงเป็นอุทาหรณ์สำหรับกรณีนี้ได้แก๊งเหล่านี้อาศัยช่องโหว่ตรงนี้ในการเล่นงานเหยื่อมานักต่อนักแล้วซึ่งอีกหนึ่งความโลภของชายที่ชื่อ “ทักษิณ”ซึ่งเห็นได้จากการที่ออกมาให้สัมภาษณ์ ก่อนจะหน้าแหกว่าขุมทรัพย์ถ้ำลิเจียไม่มีจริงคือการบอกว่าเตรียมประสานกับพรรคพวกในสหรัฐฯ ที่จะใช้ดาวเทียม "รีโมท เซนท์ซิ่ง"เจาะทะลุเปลือกโลกลงลึก 1 กิโลเมตรหาขุมทรัพย์ได้วางโครงการซะใหญ่โตตามความโลภ แต่สุดท้ายกลับได้แห้วไปรับประทานซึ่งตามข้อเท็จจริง “พรรคพวก” ที่พูดถึงนี้ ที่มีความสามารถในการใช้ดาวเทียมที่มีอำนาจทะลุทะลวงได้ถึงขนาดนั้น ก็มีเพียงแค่หน่วยงานที่ชื่อว่า CIA (Central Intelligence Agency)
และอีกหนึ่งตัวอย่างที่อาจกลายเป็นข่าวดังเร็วๆนี้คือการเข้าให้ข้อมูลในฐานะพลเมืองดีของ“อดีตนักการเมืองจากพรรคชื่อดังรายหนึ่ง” กับทางปอท.โดยนักการเมืองรายนี้ได้เล่าชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับขบวนการ IBOEขบวนการปลอมแปลงพันธบัตร รวมถึงดอลลาร์ปลอมที่เกิดขึ้นทั้งหมดในประเทศไทยซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการติดตามล่าตัวแก๊งตลาดสีเทานี้ในอนาคต
http://thaiinsider.i...scoops/16726-2-