GDPไตรมาส4โต18.9%
#1
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 12:36
แต่ที่ลืมเสียมิได้ คือความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทั้งประเทศ
ที่ช่วยกันประคับประครองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นวิกฤติมาได้
#2
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 12:39
ไตรมาส 4 ปี 2554
สภาพัฒน์ฯเผยGDPปี54ขยายตัวติดลบ9%ต่ำกว่าเป้า
http://news.sanook.c...นต์ต่ำกว่าเป้า/
“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.” - Mahatma Gandhi
สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด
#4
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 12:46
ไหนใครพูด...โต้งรึเปล่า
#5
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 12:49
รัฐบาลนี้ชอบ white lie ใครเชื่อก็ควาย
#6
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 12:57
เอ...ช่วงนี้มีมาบ่อยมากเลย เรปน้อยเท่านี้ ตั้งกระทู้อวยกันแล้ว แต่ก้อดี..ที่ไม่แอ็บ
#7
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:02
เอาอย่างนี้ ดีไหมครับ ไหน ๆ ก็บอกว่า เศรษฐกิจดี
ลองคนที่พอมีเงินสะสม จะลองมาทำธุรกิจ ตั้งบริษัท ก็ดี ห้างหุ้นส่วน ก็ดี
ขายอะไร ก็ได้ ไม่จำกัด สินค้า แล้วลองขายกันหน่อย ดีไหมครับ
เบื่อจะพูดแล้ว ว่า ของมันขายยาก เดี๋ยวจะบอกว่า คนใกล้ตัวผม ทั้งพี่ชาย และเพื่อนร่วมงาน ยอดขายตก อย่างน่าใจหาย
ถ้าไง ลองทำการค้า ช่วงนี้ดู แล้วจะรู้ว่า GDP มันช่วยให้ การค้าการขาย ของคุณ คล่องขึ้นหรือไม่
หรือเป็นเพียง เพราะ ค่าแรงที่สูงขึ้น ค่าสินค้าที่สูงขึ้น รายจ่ายต่าง ๆ นานา ที่สูงขึ้น หนี้ที่สูงขึ้น เลยดัน GDP ไปด้วย
ถ้าไง ก็ลองทำการค้า ดูหน่อยแล้วกันครับ แล้วจะได้ มาบอก สมาชิกท่านอื่นด้วย
ว่า เศรษฐกิจ กำลังไปได้ดีจริง หรือไม่
ขอให้พวกเรา ชาวหลากสี และพันธมิตร จงมีชีวิตรอด จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ฝีมือปูนา ไปตลอดรอดฝั่งด้วยครับ
PEMDAS ย่อมาจาก ลำดับการคำนวณ Parentheses , Exponentials , Multiply , Divide , Add , Subtract
FWGHSO ย่อมาจาก ลำดับการประเมินผลของ query FROM, WHERE, GROUP BY, HAVING, SELECT, ORDER BY
#8
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:03
พาดหัวแบบตรรกมาตฐานของ ...ที่ไม่มีที่มา ที่ไป ไม่รู้ว่าไปเปรียบเทียบกับอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ตัวเลขถึงออกมา 18.9%
อย่าเชื่อในสิ่งที่ไอ้แม้วและไอ้พวกแกนนำ นปช. พูด
แต่ให้ดูในสิ่งที่พวกมันทำ
#9
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:06
ใครเชื่อก็โง่กว่าควายแล้ว
#10
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:26
จีดีพีไตรมาส 4 ปี 55 พรุ่งปรี๊ดโต 18.9% ดันเศรษฐกิจทั้งปี 55 ขยายตัว 6.4%
สูงเกินคาด ภาคอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว นโยบายรถคันแรก เป็นฮีโร่กอบกู้เศรษฐกิจ ขณะที่ภาคเกษตรฟุบ
รายได้เกษตรกรติดลบ 3% สศช.ห่วงเงินทุนไหลเข้าเป็นเงินร้อน ประกาศจุดยืนหนุนลดดอกเบี้ย
ย้ำต้องลดให้มากพอเพื่อสกัดเงินทุนไหลเข้า หากลดน้อยจะไม่เกิดผล
นาย อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
แถลงภาวะเศรษฐกิจไทยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
ไตรมาส 4 ปี 55 ขยายตัว 18.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 54
ที่เกิดภาวะน้ำท่วมทำให้จีดีพีในขณะนั้นติดลบ 8.9% ส่งผลให้จีดีพีทั้งปี 55
ขยายตัว 6.4% จากที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ไว้ที่ 5.5% ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายตัวเกือบทุกสาขา
โดยสาขาการบริโภคขยายตัว 12.2% มาจากมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ยอดการจำหน่ายรถยนต์นั่ง
เพิ่มขึ้น 312.9% ตัวเลขยอดจองรถจากกรมสรรพสามิตอยู่ที่ 1.25 ล้านคัน ส่งมอบไปแล้ว 700,000 คัน
เหลืออีกกว่า 500,000 คันที่จะรับรถในปีนี้
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนไตรมาส 4 ขยายตัว 21.7% ตามการขยายตัวของการลงทุนในเครื่องมือ
เครื่องจักรและการก่อสร้าง โดยเฉพาะในเขต กทม.ที่มีการลงทุนก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ตลอด
เส้นทางรถไฟฟ้า สำหรับการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐฯขยายตัว 18.2% ส่งผลให้ทั้งปี 55 การส่งออก
ขยายตัว 3.2% ส่วนภาคอุตสาหกรรมขยายตัวได้ 37.4% เป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในช่วงอุทกภัยปี 54
และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่กลับมาฟื้นตัวได้ 83.3% รวมทั้งการผลิต
รถยนต์ที่สูงเกินคาด ส่วนภาคท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวขยายตัว 39.3% อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรกรรม
ขยายตัวได้ 0.8% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง จึงกระทบต่อผลผลิตข้าวนาปี ขณะที่ราคาสินค้า
เกษตร โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันและยางพารายังลดลง ส่งผลให้รายได้เกษตรกรลดลง 3%
ทั้ง นี้ จากปี 55 ที่เศรษฐกิจขยายตัวทั้งปีที่ 6.4% ถือว่าฐานด้านเศรษฐกิจไทยปี 55 เข้าสู่ภาวะปกติมีฐาน
ที่มั่นคงแล้ว ดังนั้น สศช.คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 56 จะขยายตัวที่ 4.5-5.5% โดยมีปัจจัยเสริมจากสัญญาณ
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในทางบวกที่ชัดเจนขึ้น จะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทยที่ส่วนหนึ่งต้องพึ่งกำลังซื้อ
จากต่างประเทศ ขณะที่สินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไทยเป็นฐานผลิตใหญ่จะ ฟื้นตัวขึ้นตาม
กำลังซื้อตลาดโลก
เลขาธิการ สศช.ยังกล่าวถึงปัจจัยเสี่ยงและข้อจำกัดเศรษฐกิจไทยปี 56 ว่า มาจากอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง
มีข้อจำกัดในการขยายตัว เนื่องจากต้นทุนค่าแรงสูงขึ้นและได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากเงินบาทที่แข็งค่า
รวมทั้งปัญหาสภาพคล่องส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก ส่งผลให้เงินบาทในช่วงต้นปีแข็งค่าเร็วกว่า
ที่คาดและนักลงทุนได้เคลื่อนย้าย เงินมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะมีพื้นฐานเศรษฐกิจดี ซึ่งจะสร้างแรงกดดัน
ต่อการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท รวมทั้งเป็นความเสี่ยงที่อาจสร้างความผันผวนต่อระบบเศรษฐกิจ
สำหรับสถานการณ์การเงินโลก ที่ขณะนี้แข่งกันทำให้ค่าเงินอ่อนเพราะจะได้เปรียบ ทั้งสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น
ทำให้ปริมาณเงินในโลกเพิ่มขึ้น ถ้านำไปลงทุนทำธุรกิจสร้างโรงงานจะไม่เป็นปัญหา แต่เงินทุนกลับไหลออก
จากสหรัฐฯและญี่ปุ่นไปยังแหล่งที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า จึงไหลเข้ามาในเอเชียรวมทั้งไทยสูงมาก โดยเงินที่ไหล
เข้าไทยเพื่อเก็งกำไรในตลาดหุ้นจะไม่เป็นประโยชน์มากนักเพราะ เป็นเงินร้อน เข้าเร็ว ออกเร็ว สภาพคล่องของ
ไทยซึ่งเดิมมีมากอยู่แล้วยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
“การลด ดอกเบี้ยเป็นวิธีหนึ่ง ที่สกัดเงินไหลเข้าได้เร็ว เพราะที่ไหนอัตราดอกเบี้ยสูง เงินก็จะวิ่งไปที่นั่น และเมื่อดอกเบี้ย
ลดลงยังช่วยต้นทุนผู้ประกอบการลดลงด้วย และได้ประโยชน์จากการส่งออกที่ค่าเงินจะอ่อนค่าลงด้วย ส่วนที่ว่าควรจะ
ลดลงเท่าไหร่นั้นต้องดูที่ส่วนต่างดอกเบี้ยกับต่างประเทศ เช่น ถ้าลดดอกเบี้ยลง 0.25% จะช่วยลดเงินไหลเข้าได้ไหม
หรือจะต้องลดลง 0.50% เพราะถ้าลดลงน้อย 0.10% หรือ 0.25% ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะส่วนต่างดอกเบี้ยกับทั้งสหรัฐฯ
และประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มอาเซียนไม่ลดลงมากพอ เงินก็ไหลเข้ามาไทยอยู่ดี เพราะมองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจยังดีอยู่
การลดดอกเบี้ยน้อยก็จะกลายเป็น Too Little Too Late ขอยืมคำของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ
รมว.คลัง มาใช้หน่อย ถ้าลดน้อยไปก็จะสายเกินไป และควรจะลดดอกเบี้ยลงมานานแล้ว ถ้าลดดอกเบี้ยมากพอ
นักเก็งกำไรเห็นว่าประเทศไทยเอาจริงเงินก็จะไม่ไหลเข้า อย่างไรก็ตามปัจจุบันใช้อัตราดอกเบี้ยไปผูกติดเงินเฟ้อมากไป
ซึ่งสศช.ได้ชี้ว่าเงินเฟ้อไม่เป็นปัญหา โดยราคาน้ำมันไม่ได้มีผลต่อเงินเฟ้อเพราะขึ้นมาสูงแล้ว ยังไงให้รอคำพิพากษาวันที่
20 ก.พ.นี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็แล้วกัน”
ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียนแล้ว ไทยค่าเงินแข็งค่ามากกว่า โดยค่าเงินบาทแข็งมีทั้งข้อดี
และข้อเสีย แต่โดยรวมน่าจะมีผลลบมากกว่า ซึ่งการดูแลให้ค่าเงินอ่อนลงมีหลายมาตรการ การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นวิธีหนึ่ง
ขณะที่การเข้าไปแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีต้นทุนการเงิน เวลาแทรกแซงเงินบาทขยับอ่อนตัวลง
ใครได้ประโยชน์ไม่มีใครพูด แต่ ธปท.ขาดทุน ส่วนมาตรการภาษีก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย แต่ขณะนี้มาตรการยาฉีดรุนแรง
เช่นมาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้น 30% ถือว่าแรงไป ไม่จำเป็นต้องใช้.
http://www.prachatal...รษฐกิจขยายตัว-6
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์อะไรแบบนี้
แต่อ่านแล้ว เข้าใจว่า เป็นการเทียบค่าระหว่าไตรมาสต่อไตรมาส
เป็นปีต่อปี
หากเป็นเช่นนั้น การขยายตัว 18 กว่าๆ
น่าจะเป็นการเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 54 ใช่มั๊ยครับ
- ทรงธรรม, Master Chief, Somebody and 2 others like this
ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ
เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน
#11
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:30
เจี้ยะป้าบ่อสื่อ เอาข้อมูลมาจากไหนเผาทิ้งมันตรงนั้นแร่ะ มั่วสุดๆส่วนสำคัญเป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
แต่ที่ลืมเสียมิได้ คือความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทั้งประเทศ
ที่ช่วยกันประคับประครองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นวิกฤติมาได้
#12
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:37
ไม่แปลกที่โต 18 เพราะนโยบายรถคันแรก บ้านหลังแรก
แย่งกันซื้อยังกะขนม ว่าแต่หลังจากนั้นล่ะ นรก ชัด ๆ
#13
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:38
#14
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:44
แค่เขียนไตรมาสเดียว ก็รู้แล้วว่ามันซ่อนอะไรไว้
ทำไมไม่อ้างตัวเลขทั้งปี
ป่ล. +ขายข้าวลมจีทูจีแล้วหรือยัง
#15
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 14:07
แค่เขียนไตรมาสเดียว ก็รู้แล้วว่ามันซ่อนอะไรไว้
ทำไมไม่อ้างตัวเลขทั้งปี
ป่ล. +ขายข้าวลมจีทูจีแล้วหรือยัง
ข้าวลมที่รับซื้อไว้ยังไม่ได้ขาย เพราะกำลังทะยอยเผาโกดังอยู่ครับ
- อาวุโสโอเค, Tohchida and ครุฑดำ like this
อย่าเชื่อในสิ่งที่ไอ้แม้วและไอ้พวกแกนนำ นปช. พูด
แต่ให้ดูในสิ่งที่พวกมันทำ
#16
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 17:38
#17
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 17:48
รายงานฉบับเต็ม
http://www.nesdb.go....kQGDP4-2012.pdf
ดูคร่าวๆ ตัวแปรสำคัญน่าจะอยู่ที่สาขาอุตสาหกรรม โดยเฉพาะยานยนต์ ที่มียอดคำสั่งซื้อช่วงปลายปีสูง
ส่วนภาคเกษตรดูดรอปลงไปเยอะพอสมควร
The most valuable things in life are not measured in monetary terms.
The really important things are not houses and lands, stocks and bonds, automobiles and real estate,
but friendships, trust, confidence, empathy, mercy, love and faith.
#18
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 17:57
ต้มกันหรือเปล่า โกหกสีขาว
ยังจนอยู่เลย
#19
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 18:09
ปี 2554 ลงทุน 100 แต่ภาวะน้ำท่วม ทำให้ขาดทุน 20% เหลือเงินลงทุนยกไปปี 2555 = 80
ปี 2555 เศรษฐกิจ (ทำท่าจะ) ดี ทำให้ได้กำไร 23% ของเงินลงทุน เลยดีใจซะยกใหญ่ เย้ ๆ กำไรมากกว่าที่ขาดทุน
แต่จริง ๆ สรุป 2 ปี ขาดทุน 1.6%
เรื่องตัวเลข เรื่องเศรษฐกิจ ต้องถ้วนถี่ วิเคราะห์ให้รอบด้าน ไม่ใช่ให้ัตัวเลขมันหลอก
#20
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 18:21
#21
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 18:32
ตื่นๆๆมาเจอกับความจริงหน่อย จะเอาตัวเลขแบบสวยหรู แต่ต้องไวท์ไลน์ โอเคไหม?
อย่ากระแนะกระแหนกันเลยครับ รู้มั้ยว่ากว่าจะไวทไลน์ได้แต่ละครั้งต้องกลั้วปากด้วยแล๊คตาซิดไปกี่ขวด
อย่าเชื่อในสิ่งที่ไอ้แม้วและไอ้พวกแกนนำ นปช. พูด
แต่ให้ดูในสิ่งที่พวกมันทำ
#22
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 23:02
แค่เอาตัวเองของปี 54 ที่ติดลบ มาเทียบกับปี 55 เอง มันทำให้ GDP เป็นบวก
ไม่บวกก้อบ้าละ ปลายปี 54 ติดลบขนาดหนัก เอาแค่ปลายปี 55 บวก 1-2 % มันก้อเพิ่ม GDP เป็น % เยอะอยูละ
เฮ้อ
ถึงตรูจะเลวยังไง ตรูก้อไม่ได้ขายชาติ เหมือนเสื้อแดงว่ะ เข้าใจนะ
#23
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 23:12
จีดีพีไตรมาส 4 ปี 55 พรุ่งปรี๊ดโต 18.9% ดันเศรษฐกิจทั้งปี 55 ขยายตัว 6.4%
สูงเกินคาด ภาคอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว นโยบายรถคันแรก เป็นฮีโร่กอบกู้เศรษฐกิจ ขณะที่ภาคเกษตรฟุบ
รายได้เกษตรกรติดลบ 3% สศช.ห่วงเงินทุนไหลเข้าเป็นเงินร้อน ประกาศจุดยืนหนุนลดดอกเบี้ย
ย้ำต้องลดให้มากพอเพื่อสกัดเงินทุนไหลเข้า หากลดน้อยจะไม่เกิดผล
นาย อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
แถลงภาวะเศรษฐกิจไทยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
ไตรมาส 4 ปี 55 ขยายตัว 18.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 54
ที่เกิดภาวะน้ำท่วมทำให้จีดีพีในขณะนั้นติดลบ 8.9% ส่งผลให้จีดีพีทั้งปี 55
ขยายตัว 6.4% จากที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ไว้ที่ 5.5% ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายตัวเกือบทุกสาขา
โดยสาขาการบริโภคขยายตัว 12.2% มาจากมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ยอดการจำหน่ายรถยนต์นั่ง
เพิ่มขึ้น 312.9% ตัวเลขยอดจองรถจากกรมสรรพสามิตอยู่ที่ 1.25 ล้านคัน ส่งมอบไปแล้ว 700,000 คัน
เหลืออีกกว่า 500,000 คันที่จะรับรถในปีนี้
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนไตรมาส 4 ขยายตัว 21.7% ตามการขยายตัวของการลงทุนในเครื่องมือ
เครื่องจักรและการก่อสร้าง โดยเฉพาะในเขต กทม.ที่มีการลงทุนก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ตลอด
เส้นทางรถไฟฟ้า สำหรับการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐฯขยายตัว 18.2% ส่งผลให้ทั้งปี 55 การส่งออก
ขยายตัว 3.2% ส่วนภาคอุตสาหกรรมขยายตัวได้ 37.4% เป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในช่วงอุทกภัยปี 54
และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่กลับมาฟื้นตัวได้ 83.3% รวมทั้งการผลิต
รถยนต์ที่สูงเกินคาด ส่วนภาคท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวขยายตัว 39.3% อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตรกรรม
ขยายตัวได้ 0.8% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง จึงกระทบต่อผลผลิตข้าวนาปี ขณะที่ราคาสินค้า
เกษตร โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันและยางพารายังลดลง ส่งผลให้รายได้เกษตรกรลดลง 3%
ทั้ง นี้ จากปี 55 ที่เศรษฐกิจขยายตัวทั้งปีที่ 6.4% ถือว่าฐานด้านเศรษฐกิจไทยปี 55 เข้าสู่ภาวะปกติมีฐาน
ที่มั่นคงแล้ว ดังนั้น สศช.คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 56 จะขยายตัวที่ 4.5-5.5% โดยมีปัจจัยเสริมจากสัญญาณ
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในทางบวกที่ชัดเจนขึ้น จะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทยที่ส่วนหนึ่งต้องพึ่งกำลังซื้อ
จากต่างประเทศ ขณะที่สินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไทยเป็นฐานผลิตใหญ่จะ ฟื้นตัวขึ้นตาม
กำลังซื้อตลาดโลก
เลขาธิการ สศช.ยังกล่าวถึงปัจจัยเสี่ยงและข้อจำกัดเศรษฐกิจไทยปี 56 ว่า มาจากอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง
มีข้อจำกัดในการขยายตัว เนื่องจากต้นทุนค่าแรงสูงขึ้นและได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากเงินบาทที่แข็งค่า
รวมทั้งปัญหาสภาพคล่องส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก ส่งผลให้เงินบาทในช่วงต้นปีแข็งค่าเร็วกว่า
ที่คาดและนักลงทุนได้เคลื่อนย้าย เงินมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะมีพื้นฐานเศรษฐกิจดี ซึ่งจะสร้างแรงกดดัน
ต่อการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท รวมทั้งเป็นความเสี่ยงที่อาจสร้างความผันผวนต่อระบบเศรษฐกิจ
สำหรับสถานการณ์การเงินโลก ที่ขณะนี้แข่งกันทำให้ค่าเงินอ่อนเพราะจะได้เปรียบ ทั้งสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น
ทำให้ปริมาณเงินในโลกเพิ่มขึ้น ถ้านำไปลงทุนทำธุรกิจสร้างโรงงานจะไม่เป็นปัญหา แต่เงินทุนกลับไหลออก
จากสหรัฐฯและญี่ปุ่นไปยังแหล่งที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า จึงไหลเข้ามาในเอเชียรวมทั้งไทยสูงมาก โดยเงินที่ไหล
เข้าไทยเพื่อเก็งกำไรในตลาดหุ้นจะไม่เป็นประโยชน์มากนักเพราะ เป็นเงินร้อน เข้าเร็ว ออกเร็ว สภาพคล่องของ
ไทยซึ่งเดิมมีมากอยู่แล้วยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
“การลด ดอกเบี้ยเป็นวิธีหนึ่ง ที่สกัดเงินไหลเข้าได้เร็ว เพราะที่ไหนอัตราดอกเบี้ยสูง เงินก็จะวิ่งไปที่นั่น และเมื่อดอกเบี้ย
ลดลงยังช่วยต้นทุนผู้ประกอบการลดลงด้วย และได้ประโยชน์จากการส่งออกที่ค่าเงินจะอ่อนค่าลงด้วย ส่วนที่ว่าควรจะ
ลดลงเท่าไหร่นั้นต้องดูที่ส่วนต่างดอกเบี้ยกับต่างประเทศ เช่น ถ้าลดดอกเบี้ยลง 0.25% จะช่วยลดเงินไหลเข้าได้ไหม
หรือจะต้องลดลง 0.50% เพราะถ้าลดลงน้อย 0.10% หรือ 0.25% ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะส่วนต่างดอกเบี้ยกับทั้งสหรัฐฯ
และประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มอาเซียนไม่ลดลงมากพอ เงินก็ไหลเข้ามาไทยอยู่ดี เพราะมองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจยังดีอยู่
การลดดอกเบี้ยน้อยก็จะกลายเป็น Too Little Too Late ขอยืมคำของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ
รมว.คลัง มาใช้หน่อย ถ้าลดน้อยไปก็จะสายเกินไป และควรจะลดดอกเบี้ยลงมานานแล้ว ถ้าลดดอกเบี้ยมากพอ
นักเก็งกำไรเห็นว่าประเทศไทยเอาจริงเงินก็จะไม่ไหลเข้า อย่างไรก็ตามปัจจุบันใช้อัตราดอกเบี้ยไปผูกติดเงินเฟ้อมากไป
ซึ่งสศช.ได้ชี้ว่าเงินเฟ้อไม่เป็นปัญหา โดยราคาน้ำมันไม่ได้มีผลต่อเงินเฟ้อเพราะขึ้นมาสูงแล้ว ยังไงให้รอคำพิพากษาวันที่
20 ก.พ.นี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็แล้วกัน”
ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียนแล้ว ไทยค่าเงินแข็งค่ามากกว่า โดยค่าเงินบาทแข็งมีทั้งข้อดี
และข้อเสีย แต่โดยรวมน่าจะมีผลลบมากกว่า ซึ่งการดูแลให้ค่าเงินอ่อนลงมีหลายมาตรการ การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นวิธีหนึ่ง
ขณะที่การเข้าไปแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีต้นทุนการเงิน เวลาแทรกแซงเงินบาทขยับอ่อนตัวลง
ใครได้ประโยชน์ไม่มีใครพูด แต่ ธปท.ขาดทุน ส่วนมาตรการภาษีก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย แต่ขณะนี้มาตรการยาฉีดรุนแรง
เช่นมาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้น 30% ถือว่าแรงไป ไม่จำเป็นต้องใช้.
http://www.prachatal...รษฐกิจขยายตัว-6
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์อะไรแบบนี้
แต่อ่านแล้ว เข้าใจว่า เป็นการเทียบค่าระหว่าไตรมาสต่อไตรมาส
เป็นปีต่อปี
หากเป็นเช่นนั้น การขยายตัว 18 กว่าๆ
น่าจะเป็นการเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 54 ใช่มั๊ยครับ
ไตรมาสที่ 4 ของปี 54 นี่ถ้าจำไม่ผิด ทำให้หลายคนว่ายน้ำเป็นใช่ป่ะครับ ฮาฮา
- tonythebest likes this
กฎหมายมันก็แค่สิงที่สร้างมาอย่างมีเป้าหมาย แต่หาก เอาแต่บอกว่ากฎหมายเป็นแบบนี้ แบบนั้น โดยไม่สนใจว่าเป้าหมายจริงๆ นันคืออะไร ก็คงไม่ใช่
#24
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 23:32
โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ แถลงตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ นั่นก็คือ เศรษฐกิจปี 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งเติบโต 6.5%
นอกจากนั้นในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน เศรษฐกิจโตขึ้นมาถึง 18.9% เป็นอัตราเติบโตที่สูงสุดเท่าที่มีการจัดทำตัวเลขเศรษฐกิจ
ข่าวนี้ความจริงแล้วต้องถือว่าเป็นข่าวดีที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจ
แต่ทว่าหากไปดูพื้นฐานความเป็นจริง การดีใจก็อาจจะเร็วเกินไปสักนิด
สาเหตุของการที่เศรษฐกิจโตขึ้นมาได้ เนื่องจากฐานในปีก่อนโน้นลดต่ำ จากเศรษฐกิจหดตัว อันเป็นผลจากน้ำท่วมใหญ่นั่นเอง
ไม่เชื่อลองตามไปดู เริ่มจากเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โตขึ้นถึง 18.9% ก็เนื่องจากเศรษฐกิจไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าโน้นติดลบไปถึง 9%
นั่นหมายความว่า หากเอาเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ทั้งสองปีมารวมกันและหาค่าเฉลี่ยจะเท่ากับว่า เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายจะโตเฉลี่ยปีละ 5%
ขณะเดียวกันในภาพใหญ่ เศรษฐกิจปีที่แล้วโต 6.59% แต่ทว่าปีก่อนโน้นโตแค่ 0.1% หมายความว่าค่าเฉลี่ยจะโตแค่ 3.35% เท่านั้น
นี่แหละ คือผลงานในการบริหารเศรษฐกิจช่วง 2 ปีของรัฐบาล
การประเมินผลงานจึงต้องมองภาพที่ชัดเจน ไม่ใช่การมองเป็นจุดๆ มิเช่นนั้นบางจุดอาจจะสดใส บางจุดอาจมีแต่ไฝฝ้า จุดด่างดำ
แน่นอนที่สุด หากไม่มีปัญหาน้ำท่วม เศรษฐกิจก็คงไม่หดตัว และค่าเฉลี่ยอาจจะมากไปกว่านี้ แต่ทว่าจะเป็นเท่าไรคงไม่มีใครตอบได้
เอาเป็นว่า ปีที่ 3 แห่งการบริหารประเทศ คือปีนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ดีว่าการบริหารเศรษฐกิจจะมีฝีมือขนาดไหน
แต่ถ้าให้ดี การมองเฉพาะตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างเดียว อาจไม่ครบทุกมิติ และควร จะต้องเอาตัวเลขอื่น อย่างหนี้สาธารณะมาเป็นตัวคำนวณด้วย เช่น อาจจะหาค่าอัตราส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อหนี้สินประเทศ (Growth/ Debt Ratio) หรือ G/D Ratio มาเทียบเคียง
เพราะหากเศรษฐกิจของประเทศมีตัวเลขเติบโตสูงๆ แต่ทว่าหนี้สินประเทศมีมากตามไปด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่า การเติบโตมาจากการกู้ ไม่ใช่มาจากความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
หรือพูดง่ายๆ มันเป็นภาพลวงตาทางเศรษฐกิจ คล้ายๆ กับการปั่นตัวเลขทางเศรษฐกิจให้มีฟอง
แต่ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจเติบโตได้ดี และตัวเลขหนี้สินไม่เพิ่มมากนัก ถึงจะเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน
นี่แหละ ยุคนี้สมัยนี้ต้องระวังคำพูด คำแถลงต่างๆ ให้ดี
เพราะมีผู้กำกับ นักสร้างภาพเกิดขึ้นมากเสียเหลือเกิน
ข้อเปรียบเทียบนี้ชัดเจนมาก
กราบหัวใจพี่น้องที่เสียสละออกมาทวงอำนาจคืนจากระบอบทักษิณ
#25
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 23:41
ภาพลวงตา
โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ แถลงตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ นั่นก็คือ เศรษฐกิจปี 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งเติบโต 6.5%
นอกจากนั้นในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน เศรษฐกิจโตขึ้นมาถึง 18.9% เป็นอัตราเติบโตที่สูงสุดเท่าที่มีการจัดทำตัวเลขเศรษฐกิจ
ข่าวนี้ความจริงแล้วต้องถือว่าเป็นข่าวดีที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจ
แต่ทว่าหากไปดูพื้นฐานความเป็นจริง การดีใจก็อาจจะเร็วเกินไปสักนิด
สาเหตุของการที่เศรษฐกิจโตขึ้นมาได้ เนื่องจากฐานในปีก่อนโน้นลดต่ำ จากเศรษฐกิจหดตัว อันเป็นผลจากน้ำท่วมใหญ่นั่นเอง
ไม่เชื่อลองตามไปดู เริ่มจากเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โตขึ้นถึง 18.9% ก็เนื่องจากเศรษฐกิจไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าโน้นติดลบไปถึง 9%
นั่นหมายความว่า หากเอาเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ทั้งสองปีมารวมกันและหาค่าเฉลี่ยจะเท่ากับว่า เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายจะโตเฉลี่ยปีละ 5%
ขณะเดียวกันในภาพใหญ่ เศรษฐกิจปีที่แล้วโต 6.59% แต่ทว่าปีก่อนโน้นโตแค่ 0.1% หมายความว่าค่าเฉลี่ยจะโตแค่ 3.35% เท่านั้น
นี่แหละ คือผลงานในการบริหารเศรษฐกิจช่วง 2 ปีของรัฐบาล
การประเมินผลงานจึงต้องมองภาพที่ชัดเจน ไม่ใช่การมองเป็นจุดๆ มิเช่นนั้นบางจุดอาจจะสดใส บางจุดอาจมีแต่ไฝฝ้า จุดด่างดำ
แน่นอนที่สุด หากไม่มีปัญหาน้ำท่วม เศรษฐกิจก็คงไม่หดตัว และค่าเฉลี่ยอาจจะมากไปกว่านี้ แต่ทว่าจะเป็นเท่าไรคงไม่มีใครตอบได้
เอาเป็นว่า ปีที่ 3 แห่งการบริหารประเทศ คือปีนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ดีว่าการบริหารเศรษฐกิจจะมีฝีมือขนาดไหน
แต่ถ้าให้ดี การมองเฉพาะตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างเดียว อาจไม่ครบทุกมิติ และควร จะต้องเอาตัวเลขอื่น อย่างหนี้สาธารณะมาเป็นตัวคำนวณด้วย เช่น อาจจะหาค่าอัตราส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อหนี้สินประเทศ (Growth/ Debt Ratio) หรือ G/D Ratio มาเทียบเคียง
เพราะหากเศรษฐกิจของประเทศมีตัวเลขเติบโตสูงๆ แต่ทว่าหนี้สินประเทศมีมากตามไปด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่า การเติบโตมาจากการกู้ ไม่ใช่มาจากความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
หรือพูดง่ายๆ มันเป็นภาพลวงตาทางเศรษฐกิจ คล้ายๆ กับการปั่นตัวเลขทางเศรษฐกิจให้มีฟอง
แต่ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจเติบโตได้ดี และตัวเลขหนี้สินไม่เพิ่มมากนัก ถึงจะเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน
นี่แหละ ยุคนี้สมัยนี้ต้องระวังคำพูด คำแถลงต่างๆ ให้ดี
เพราะมีผู้กำกับ นักสร้างภาพเกิดขึ้นมากเสียเหลือเกิน
ข้อเปรียบเทียบนี้ชัดเจนมาก
ชัดเจนมาก อ่ะ
ถ้าพวกเสื้อแดง อ่านไม่เข้าใจก้อไปตายซะ
- Tatiana likes this
ถึงตรูจะเลวยังไง ตรูก้อไม่ได้ขายชาติ เหมือนเสื้อแดงว่ะ เข้าใจนะ
#26
ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 23:46
ตกลงมันคงต้องตายกันหมด 15 ล้านควายแดงค่ะคุณพอล คุง
กราบหัวใจพี่น้องที่เสียสละออกมาทวงอำนาจคืนจากระบอบทักษิณ
ผู้ใช้ 0 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 0 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน