ล่าสุดโจรใต้ลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์กลางเมืองนราธิวาสทำให้ทหารและประชาชนบาดเจ็บหลายคนคล้อยหลังไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลังการลงนามจับมือกันระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นฯ ซึ่งถือเป็นการตบหน้าและน่าจะเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดีว่าสัญญาสันติภาพระหว่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์กับโจรใต้เป็นของจริงหรือแค่ขบวนการปาหี่สร้างภาพลวงโลก
วันอาทิตย์นี้ เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแล้ว จะเลือกใครก็ขอให้พิจารณากันให้ดีครับว่าเขา และพรรคของเขามีพฤติกรรมแบบชื่อบทความหรือไม่
ประวัติการณ์ที่ 1 “ขาดดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์”
วันอังคารที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้รับรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ ถึงตัวเลขการส่งออก การนำเข้า การทำมาค้าขายของประเทศไทยในเดือนมกราคม 2556 เพียงแค่เดือนเดียวหลังปีใหม่ ปรากฏว่า ไทยขาดดุลการค้า 5,486 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 1.65 แสนล้านบาทนับเป็นการขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเดือนตามสถิติ แปลว่า ไม่เคยมีเดือนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่จะทำมาค้าขาย นำเข้า หักลบกับส่งออกแล้วขาดดุลมากขนาดนี้มาก่อน พอลงไปดูไส้ในตัวเลขพบว่า น้ำมันเป็นส่วนใหญ่ในการนำเข้า แต่เมื่อเทียบกับส่งออกเช่น การขายข้าว ขายสินค้าเกษตรต่างๆแล้ว ไทยทำได้แย่กว่าที่ควรจะเป็น จนเกษตรกรยังไม่ทันลืมตาอ้าปาก รัฐบาลที่เจ๊งจำนำข้าวมาบอกว่า ชาวนารวยแล้ว ลดเงินจำนำข้าวเหลือ 13,000 บาทพอ
สรุปสั้นๆ คือ รัฐบาล หารายได้เข้าไปประเทศได้น้อยกว่า ซื้อของจากต่างประเทศ เอาให้สั้นลงไปกว่านั้นอีกคือ...รัฐบาล
ยิ่งลักษณ์หาเงินไม่เป็น
ประวัติการณ์ที่ 2 “กู้เงินมากที่สุดเป็นประวัติการณ์”
ในคณะรัฐมนตรีวันเดียวกัน อังคารที่ผ่านมา มีการเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท โดยเจ้าภาพกลับเป็นกระทรวงคมนาคม ที่เป็นคนชี้แจงเปิดเผยตัวเลขที่ต้องการใช้เงินจริงๆว่า ต้องใช้เงินทั้งหมดมูลค่าสูงถึง 4.8 ล้านล้านบาทด้วยซ้ำไป...ไม่ได้อ่านผิด ไม่ได้พิมพ์ผิดครับ กระทรวงคมนาคมบอกว่า ต้องใช้เงินทั้งหมด 4.8 ล้านล้านบาท แต่พูดให้ข่าวประมาณว่า... เนี่ยขอกู้แค่ 2 ล้านล้านบาท
เองนะ เพียงเพื่อให้ดูเหมือนขอกู้น้อยกว่าที่จะใช้ !! รัฐบาลกำลังเล่นกับจำนวนภาษีมหาศาลที่เทียบเท่ากับงบประมาณของคนไทยทั้ง 65 ล้านคนเป็นเวลา 2 ปีเต็มเชียวนะครับ
รมว.คมนาคม บอกต่อไปว่า พ.ร.บ.เงินกู้ วงเงิน 2 ล้านล้านจะเป็นโครงการหลักๆ เท่านั้น ส่วนอีก 2.8 ล้านล้านบาท จะหารแบ่งใช้ 7 ปี ในระบบงบประมาณ ปีละ 4 แสนล้านบาทก็จะครบพอดี ย้ำตรงนี้อีกครั้งว่า 2 ล้านล้านบาท จากการออก พ.ร.บ.คือ “นอกระบบงบประมาณ” ตรวจสอบยาก ส่วน 2.8 ล้านล้านบาท คือ “ในระบบงบประมาณ” ที่จริงๆ แล้วใช้แค่นี้ก็พอแต่โดนฝ่ายค้านดักคอว่า ทำไมไม่ใช้แค่ในระบบงบประมาณ ฝ่ายรัฐบาลเลยหามุมใหม่บอกว่า นี่ไงในระบบก็ใช้ แต่จะใช้นอกระบบด้วย ...ใครจะทำไม!!? แผนร้ายๆ แบบนี้ ไม่ใช่พรรคนี้คิดไม่ได้
ลองตั้งหลักดูดีๆ 7 ปี คือจำนวนปีที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะครบ 2 เทอมพอดี เอาง่ายๆ คือรัฐบาลต้องการเอาเงินมากองไว้ใช้เอง 2 สมัยรวด คราวนี้มาดูแผนการชำระคืนเงินกู้บ้าง ก็เลยเอะใจ เพราะคืนเงินกู้ภายใน 7 ปีนี้เลยก็คงเป็นไปไม่ได้ ดูต่อไปพบว่ามีการเตรียมการที่จะตบแต่งกฎหมายให้การชำระคืนเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท หรือรวมแล้ว 4.8 ล้านล้านบาทนี้ โดยยืดเวลาไปถึง 50 ปี สรุปคือ หลายคนในคณะรัฐมนตรีชุดนี้อาจตายแล้วเกิดใหม่ หนี้ก้อนที่ก่อขึ้นมายังใช้กันไม่หมด แล้วใครเป็นคนใช้ครับ ก็ประชาชนผู้เสียภาษีทุกท่านนี่แหละ
สรุป 2 ประวัติการณ์ข้างต้นคือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ นอกจากจะหารายได้เข้าประเทศไม่ได้สูงสุดประวัติการณ์ ยังจะกู้เงินมากที่สุดในประวัติการณ์ และที่ละเหี่ยใจที่สุดคือ รัฐบาลจะใช้เงินอย่างเดียว รายได้ไม่หา เงินกู้ก็จะไม่คืน โดยจะให้เด็กที่กำลังจะเกิดมาในวันนี้นายกฯ อีกภายใน 50 ปีข้างหน้าเป็นคนใช้คืนหนี้ที่ตัวเองก่อเอาไว้
เรื่องแย่ๆ ยังไม่จบครับ วันเดียวกันสภาพัฒน์ สรุปรายงาน “ภาวะสังคมไทย” ปลายปี 2555 ดังนี้
- ต้นปี’56 ค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ส่งผลให้ ไตรมาส 4 ปี’55 มีการเลิกจ้างพุ่ง 26.6% สูงสุดในรอบ 9 ปี ทั้งๆ ที่ ไตรมาส 4ปี’54 ตัวเลขสูงอยู่แล้วเพราะน้ำท่วม
- ค่าแรง 300 บาท ทำให้ SMEs (ขนาดเล็ก-ย่อม) ต้นทุนพุ่ง 9% ในขณะที่ บริษัทขนาดใหญ่ เพิ่มแค่ 0.5% เท่านั้น
- หนี้ครัวเรือนไทย ยอดคงค้างเพิ่ม 22% คิดเป็น 2.91 ล้านล้านบาท เฉพาะรถคันแรก ยอดคงค้างเพิ่ม 34% ผิดชำระหนี้เกิน 3 เดือนพุ่ง 28%
- การออมของคนไทยอยู่ในระดับต่ำมาก คิดเป็นจำนวน 9.09 ครัวเรือน หรือประชากรกว่า 30 ล้านคน 45% ของประชากรทั้งประเทศ “ไม่มีความสามารถในการออม” เนื่องจาก ค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ และช่องว่างนี้จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จากนโยบายประชานิยมของรัฐบาล
...ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ...แล้วพรรคเพื่อไทยที่สร้าง “ประวัติการณ์” แย่ๆ ให้ประเทศไทยดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ส่งใครลงสมัครเป็นผู้ว่าฯ ครับ
http://www.naewna.co.../columnist/5606