ชวนพี่น้องเสรีไทยคุยสัพเพเหระฆ่าเวลาพ้นเลือกตั้ง : สมัยเด็กๆท่านเป็นยังไงกันบ้างครับ
#51
ตอบ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 23:58
#52
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 00:04
POPULAR
เมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสได้กลับบ้านเกิด และได้ไปเยือนบ้านของผม
ได้ไปถ่ายรูป เดินทอดน่องดูโน่นดูนี่ เห็นแล้วนึกสะท้อนใขหลายๆ อย่างเหมือนกัน
ภาพบ้านหลังนั้นในวัยเด็กไม่เกิน ป4
ผมรู้สึกว่ามันเป็นบ้านหลังใหญ่โต
สมัยนั้น พื้นบ้านเป้นปูนขัดมัน จะเย็นหลังเมื่อนอนลงไป
ผนังขั้นล่างเป้นอิฐฉาบปูน ผนังชั้นสองเป็นไม้
พื้นชั้นสองเป็นไม้กระดานแผ่นยาวๆ ที่เวลาเดินจะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดบ้าง
ในตัวบ้านจะมีบ่อน้ำ ที่ตาขุดเอาไว้สำหรับเป้นน้ำใช้
เมื่อเวลาจะอาบน้ำ พ่อก็จะตักน้ำขึ้นมาเทใส่บ่อกรองที่อยู่สูงเหนือที่ใส่น้ำอาบ
เพื่อให้กรองลงไปเป้นน้ำใสๆ ซึ่งจะใชไปถึงการล้างจาน ถูบ้านหรือใช้ในโอกาสอื่นด้วย
ส่วนน้ำกิน จะเป็นน้ำฝนที่รองใส่โอ่งเอาไว้รอบๆ บ้าน
หลังบ้านจะมีเล้าหมู เล้าไก่ และรังนกกระทาเลี้ยงเอาไว้
บริเวณบ้าน จะปลูกมะพร้าวและกล้วยเอาไว้ รวมถึงมีสวนกล้วยเล็กๆ
ที่ผมมักไปวิ่งเล่นอยู่บ้าง
แต่สถานที่ที่เล่นสนุกกันจริง คือคลองซึ่งอยู่ห่างจากบ้านออกไปประมาณ 20 เมตร
หน้าบ้าน จะมีสะพานทอดยาวข้ามคลองเส้นนั้น
สะพานนี้ ผมใช้เดินข้ามไป เลาะริมคันนาไปก็จะถึงโรงเรียนครับ
สมัยนั้น น้ำคลองช่วงหน้าฝน น้ำจะเยอะ เด็กๆ จะชอบมาเล่นกัน
เด็กเล็กหน่อยหรือแม้แต่ผม ถึงบ้านก็ถอดเสื้อนักเรียน
เหลือกางกางตัวเดียว วิ่งตื๋อไปที่สะพาน พอถึงจุดหมาย ก็ถอดกางเกงแขวนไว้กับราวสะพาน
กระโดดลงน้ำกันเลย (แน่นอน มันคือการแก้ผ้าเล่นน้ำแหละครับ)
เล่นกันจนเย็นค่ำ บางวัน แม่ต้องให้ก้านมะยมมาตาม
(ดูเหมือนแทบทุกบ้านที่มีลูกชายจะต้องปลูกต้นมะยมเอาไว้)
ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ สถานที่นัดเจอกันของเด็กบ้านนอกคือวัดครับ
วัดบ้านนอกสมัยนั้น จะเป็นวัดกว้างๆ เต็มไปด้วยพื้นทราย
เกมที่เราชอบเล่นกันที่สุด ภาษาใต้เรียกว่า “เก้-ลัก-หยบ” หรือเล่นซ่อนหากันและครับ
เล่นกันรอบๆ โบสถ์ ในพื้นที่วัดนั่นแหละ
อาจจะมีเกมอื่นก็แล้วแต่จะคิดกัน
วัดแห่งนั้น เป้นหนึ่งในสองวัด ในหมู่บ้าน
วัดนี้เป็นวัดหลัก มีงานเทศกาลอะไร ชาวบ้านก็มาทำกันที่นี่
สิ่งที่เด็กอย่างเราชอบมากที่สุดคือ หนังกลางแปลงครับ
เพราะบ้านนอก ไม่มีโอกาสได้ดูหนังหรือละคร
สมัยผมเล็กๆ มีโทรทัศน์กันแค่ 2-3 บ้านเท่านั้น
ดีที่สุดก็เป้นวิทยุ ดังนั้น เมื่อมีหนังกลางแปลง ชาวบ้านแทบทุกหลังคาเรือน
ก็จะหอบลูกจูงหลานกันมา หอบเสื่อหอบหมอนกันมา
เด็กเล็กพอดึกหน่อยก้หลับกันตรงนั้น หนังจบก็อุ้มกันกลับบ้าน
อ้อ เกือบลืมอีกที่นึงครับ
มีอีกอย่าง ที่เรามักเล่นกันอย่างเป็นกิจะลักษณะในยามปิดเทอม
คือ ว่าว
สถานที่หลักๆ ก็มีอยู่สองที่ คือสนามบอลที่โรงเรียน และท้องนา
ทุ่งนา้านผมสมัยนั้น คุนนาจะใหญ่โตพอที่เด็กๆ จะวิ่งเล่นกันได้
ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ทำเล็กแค่พอเดิน
ไม่มีสายไฟ ไม่มีต้นไม้สูง ทุ่งนาจึงเป้นสวรรคสำหรับเด็กที่จะเล่นว่าว
เด็กๆ หน่อย ก็เล่นว่าวปักเป้า หรือแม้แต่ว่าวกระบอก
(ว่าวกระบอก คือเว่าวที่พับกระดาษให้เหมือนไส้แม็กน่ะครับ)
หาเศษผ้ามาต่อหางเข้าหน่อยก็เล่นได้แล้ว
ถ้าเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ก็มักเล่นว่าวนก
ลักษณะจะเหมือนว่าวจุฬา แต่หัวจะเล็กกว่า
และสองท่อนหางจะรวมเป็นหางเดียว ลักษณะเหมือนหางนก
บางคนจะติด “แอก” เข้าไปด้วย
แอก จะเป็นคันไม้ไผ่เหลาบางๆ ผุกริบบิ้นให้เหมือนคันธนู
คล้องไว้ที่ส่วนหัวของว่าว
เวลาชักขึ้นติดลม ริบบิ้นโดนลม จะมีเสียงดังกังวานไปทั่วทุ่งนาเชียวครับ
บางคน ทำว่าวใหญ่ๆ แอกก็ยิ่งใหญ่ไปด้วย ดังไปกว่าใคร
ว่าวสมัยนั้น ไม่มีว่าวสำเร็จทำขายนะครับ
ใครโตพอ ก็เหลาไม้ แปะกระดาษเอาเอง
คนไหนเด็กหน่อย ก็ต้องพึ่งพี่หรือพ่อให้ช่วยทำให้
ทีนี้ก็เอาไว้มาเกทับกันล่ะ พ่อใครทำว่าวได้เจ๋งกว่าใคร
จำได้ว่า พ่อเคยทำให้ครั้งนึง แต่พ่อผมฝีมือไม่ดี ทำแล้วก็ไม่ค่อยสวยครับ
อวดใครก็ไม่ได้ ก็แอบเล่นเงียบๆ ไป
ผ่านไป 30 ปี ผมจึงมีโอกาสได้ไปเยือนที่นั่น
วันนั้น ที่ผมเห็น
ผปมเห็นบ้านหลังเล็กๆ เก่าๆ เสื่อมโทรมไปตามเวลา
บ้านหลังนั้น ขนาดเล็กจนผมนึกภาพไม่ออก ว่าผมเคยรู้สึกว่ามันใหญ่โตได้ยังไง
บ้านยกพื้นหลังข้างๆ ที่เคยทำไว้ให้ยายอยู่ ถูกรื้อไปแล้ว
เล้าหมูเล้าไก่ ก็ไม่มีแล้ว
คนที่อยู่ตอนนี้ ไม่ได้ทำสวนมะพร้าวหรือสวนกล้วย หรือเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่อีก
ลานข้างบ้านที่เป็นลานทรายผืนใหญ่ๆ บัดนี้ กลายเป็นพื้นดินลูกรังที่มีหญ้าขึ้นหรอมแหรม
สะพานถูกรื้อทิ้งไป เพราะห่างออกไปมีการทำสะพานใหม่
คลองที่เคยโดดน้ำเล่น บัดนี่ กลางเป็นคูขนาดประมาณ 3-4 เมตรเท่านั้น
สิ่งที่ยังเหลือให้จดจำและระลึกถึงย่างนึง
ที่ผมเห็นแล้วจำได้ดี คือระหว่างทางเดินข้างบ้าน
จะมีต้นนุ่นต้นใหญ่อยู่ต้นนึง
ที่สมัยก่อน แม่ก็มักเก็บนุ่นจากต้นนี้มานัดหมอน
เวลาอารมณ์ดีๆ พ่อก้เคยเอากิ่งนุ่นมาริด เพื่อทำดาบไม้ให้ผมเอาไว้เล่นกับเพื่อน
(ไม้นุ่น เป็นไม้เนื้ออ่อน ง่ายต่อการริด และง่ายต่อการหักด้วยเช่นกัน)
มันยังยืนต้นสูงและออกฝักอยู่เช่นดังเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
หรือไม่ มันก็อาจเป็นต้นใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนต้นเดิม ผมก็ไม่ทราบได้
ในขณะที่ทุกอย่างที่นั้น เปลี่ยนไปหมด หลังจากผ่านไป 30 ปี
- Tee, isa, THE THIRD WAY and 12 others like this
ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ
เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน
#53
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 00:08
อ้าว...พบกันพัดลุง
เรามันคนคอน บ้านอยู่ฉวาง
บ้านนอกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ใส่รองเท้าครั้งแรกก็ตอนไปเรียนป.๕ ในตลาด
รองเท้ากัดเจ็บอิ๊บอ๋าย
บ้านนอกจริงๆฃเรียนจบ ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างจว.ตลอด
กลับมาบ้านดูแลพ่อได้สองปี
พ่อสิ้นไป เมื่อวันลอยกระทงป๊๕๕ที่ผ่านมา
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกก
ชีวิตบ้านนอกเนี่ย
ทุกวันนี้ก็ ดักไซ ทงเบ็ด ตกปลา
มีความสุขมากกกกกกกกกกกกกกก
ไม่มีคว่มสุขอย่างเดียว
เกี่ยวกับบ้านเมือง
เลือกตั้งเสร็จจะมาบอกครับ
พี่คนฉวาง ไม่กางหลาง ไม่หลกแหล็ก
คนฉวาง ใจแข็งแผ็ก รักใครรักจริง ไม่เหลวไหล
ถ้าน้องรักพี่ ขอได้บอก พี่ไวไว
พี่คนรอนานไม่ได้ เพราะว่าหัวใจ มันเรียกร้อง
พี่คนฉวาง เป็นคนอ้างว้าง มานมนาน
เห็นใจพี่เถิดตาหวาน อย่าให้รอนาน นะนวลน้อง
สวนยาง มังคุด รวมทั้งสวนลองกอง
ทุกวันพี่นั่งรอน้อง มาช่วยกันทำ อย่างพอเพียง
ไอ่ย่ะ ... คนคอน ลูกหลานพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์
หลวงพ่อคล้าย เป็นอาจารย์ของตาผมด้วยครับ
ตาได้บวชเรียนกับท่าน แล้วเปลี่ยนนามสกุลให้มีคำว่าคล้ายอยู่ด้วย
ความหมายประมาณว่า พ่อท่านคล้ายให้พร ประมาณนี้แหละครับ
ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ
เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน
#54
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 00:21
จำตอนเด็กๆ ไม่ค่อยได้
ถ้าเป็นตอนวันรุ่น อายุ 16 ล่ะก็แม่น
สมัยนั้น มาเรียน ปวช ที่กรุงเทพ
นั่งรถสายสี่สิบหก ไปลงปากซอยอ่อนนุย
แล้วต่อรถไปเรียนถึงลาดกระบังทุกวัน
ค่าสองแถว รถเมล์ รถเมล์เข้าลาดกระบัง
รวมแล้ววันละ 16 บาทพอดี
สมัยนั้นเป็นคนกินจุ มักบอกแม่ค้าให้เพิ่มข้าวเพิ่มกับ
ข้าวพิเศาสมัยนั้น ดูเหมือนจะจานละ 16 บาทนี่แหละ
มีแฟนคนแรกถัดมาอีกปีนึง
เธออายุ 16
เป็นเด็กน่ารัก ตัวเล็กๆ หุ่นเล็กๆ
นึกถึงสมัยนั้น
ผมว่ามันเป็นวัยที่เราพึ่งก้าวพ้นวัยเด็กมา
อายุ 16 ดป็นวัยที่พร้อมจะทำอะไรใหม่ๆ ดีๆ
คงเพราะโตพอ รับผิดชอบได้อะไรงี้มั้งครับพ่อแม่มาอยู่กรุงเทพแล้ว ผมกลับไปเรียนปวช. ที่ตจว. เวลากินข้าวนี่ไม่แน่ว่ากินจานละเท่าไร แต่ไม่เกิน 12 บ.
ที่ว่าไม่แน่ เพราะเวลาจ่ายเงินน่ะจ่ายรวมกัน เช่นข้าว5จาน จ่ายแบงค์ร้อย คนขายทอนมา 88 บ. ยิ่งตอนสอบอาจกินได้ในราคาต่ำกว่านี้อีก ไอ้คนขายเป็นเพื่อน มันหารำไพ่พิเศษ โดยไปช่วยขาย เงินที่ได้มาทั้งหมด เป็นกองกลางครับ
จบมา5-6 ปี แม่ค้าคนนี้เสียชีวิต พวกเราไปสวดศพทุกคืน รวมทั้งวันเผา รู้สึกว่ารวมกลุ่มกันได้กว่า60% ของรุ่น คิดว่าแกไปดีแล้วครับ จากบุญที่ทำไว้กับพวกเรา
ตอนเป็นเด็ก มีคนชมว่าผมน่ารักมาก ขี้อาย สงบเสงี่ยม แถมมีแววเรียนเก่งอีก
ชีวิตวัยเด็กสนุกมากครับเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด เดินจากบ้าน3-4กม. ไปตลาดเพื่อหาฝาน้ำมะเน็ด มาเล่นหยอดหลุม พอโตหน่อย ใช้วิธีเกาะเรือโยงไปครับ ขากลับถ้าไม่มีเรือให้เกาะกลับ ก็เดินบก ที่ซวยที่สุดคือ พอเก็บฝาน้ำมะเน็ดได้แล้ว พอลงน้ำเตรียมเกาะเรือโยงกลับ โดยใช้ปลายผ้าขาวม้าห่อฝาน้ำฯ ทั้งสองปลาย โชคร้ายครับ ผ้าขาวม้าหลุดจากเอว เอามือมาคว้าไว้ ทำให้เกาะเรือพลาด จะขึ้นเดินบกก็ไม่ได้ ต้องเลาะชายแม่น้ำกลับบ้าน ..สมัยนั้นไม่รู้จักกางเกงในกันหรอกครับ
.....ว้า แล้วไม่อยากรู้เรื่องวัยหนุ่มบ้างหรือครับ ว่าจะเหลือ น่ารักมาก ขี้อาย สงบเสงี่ยม แถมมีแววเรียนเก่งอีก ไหม
แหะๆ มาสารภาพผิดครับ
สมัย ปวช รู้สึกราคาข้าวที่โรงเรียน ถ้าไม่ 8 บาทก็ 10 บาทนี่แหละครับ
จำได้แต่สมัยนั้น ปุหรี่ซองละ 13 บาท ถ้าเป็นของนอกรู้สึกจะประมาณ 25 บาทรึไงเนี่ยแหละ
- IFai likes this
ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ
เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน
#55
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 00:46
- Redbuffalo010 likes this
#58
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 07:24
ตั้งแต่เข้า สรท มาเนี่ย กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่เยี่ยมมาก อ่านความหลังของแต่ละท่านแล้วอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ขอบคุณคุณผึ้งน้อยที่ตั้งกระทู้นี้ที่มีสาระ แต่แปลกใจอยู่อย่างเดียวยังไม่เห็นมีฝ่ายโน้นเข้ามาแชร์เรื่องวัยเด็กสักคน
- ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ and หงส์เฒ่าเสาร์ธรรม like this
อย่าเชื่อในสิ่งที่ไอ้แม้วและไอ้พวกแกนนำ นปช. พูด
แต่ให้ดูในสิ่งที่พวกมันทำ
#59
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 07:24
- คนปลูกต้นไม้, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ and Redbuffalo010 like this
#60
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 07:33
เพื่อนบ้านขับรถผ่านแวะทักทายและชวนไปตลาด สมัยนั้นไม่ได้อยากไปตลาดแต่อยากนั่งรถ
จำได้ว่าวิ่งเข้าบ้าน แล้ววิ่งออกมาขึ้นรถทั้งชุดนอน
จำไม่ได้ว่าไปนานแค่ไหน พอกลับถึงบ้านแม่ร้องไห้โวยวาย ตามหาลูกที่หายไป
น่าสงสารเพื่อนบ้านที่ใจดี คงโดนไปหลาย จำได้ว่าเขาบอกให้ไปขออนุญาตแม่ก่อน
แต่ตัวเองกลัวว่าแม่ไม่ให้ไป ทำเป็นวิ่งเข้าบ้านแล้ววิ่งออกมาบอกว่าแม่ให้ไปค่ะ
สมัยเรียนแม่ไม่ให้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน ร้องไห้ 3 วัน 3 คืนก็ไม่ได้ไป
พออยู่ต่างประเทศเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง ต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นๆ
จึงฝังตัวเองในห้องสมุด
ทำงานและแต่งงานแล้วจึงตะเวนท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นมนุษย์เงินเดือนทั้งตัวเอง และสามี
จึงมีโอกาสเที่ยวมากกว่าเพื่อนๆ ที่ทำธุรกิจ (วันหยุดเยอะ)
ตอนนี้เพื่อนๆที่ทำธุรกิจส่วนตัวเริ่มเที่ยว แต่ตัวเองต้องทำงาน 7 วัน วันละ 15 ชั่วโมงเพราะต้องเข้ามาดูธุรกิจของครอบครัวสามี
ยามใกล้เกษียณคนอื่นเริ่มพัก แต่ตัวเองเพิ่งเริ่มเรียนงานธุรกิจ เศร้ามากๆ ค่ะ
- pinkpanda, sorrow, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ and 4 others like this
#61
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 07:35
ตอนเด็ก ๆ ในวันหยุด ชอบเปิดทีวี มาฟังพระเทศน์ครับ
- G.Maniac, คุณนายนอกบ้าน, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ and 3 others like this
#62
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 07:53
This post will need approval from a moderator before this post is shown.
สงสัย ท่านม็อด หลับ ไปตอนตี ๒...
สมัยเด็กๆ แถวบ้านมีแต่เด็กผู้หญิง ชอบเล่น พ่อ-แม่-ลูก กัน ... ผมเล่นเป็นพ่อ มีเมียสี่คน ลูกสาว อีกเป็นสิบ
- คุณนายนอกบ้าน and Redbuffalo010 like this
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ... ศีลธรรม เป็นกรอบรักษาจินตนาการให้ดำรงอยู่ด้วยความดีงาม...
#63
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 07:53
Your post requires moderator approval before it will be displayed on the site.
รอๆๆๆ สงสัยยังไม่ตื่น
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ... ศีลธรรม เป็นกรอบรักษาจินตนาการให้ดำรงอยู่ด้วยความดีงาม...
#64
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 08:26
สมัยเด็กผมเกิดในครอบครัวผู้ดี แต่ไม่ได้โตที่ไทย ไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก เมืองนิวคลาสเซิล จาน ชาม ไม่เคยล้าง ถูบ้านไม่เคย
เพราะเกิดมาเป็นผู้ดี เพื่อนมักเรียกผมว่า แต๋ว วีรกรรมผมเหรอ หนีทหารไงละั
ท่านคืออดีตนายก คนนี้นี่เองงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
พ่อแม่ของท่านทั้งสองภูมิใจไหมครับ ที่มีลูกเช่นท่าน ผมใช้จินตนาการส่วนตัวของผมคิดว่าท่านทั้งสองเป็นคน ชั่วโดยสันดาน หรือชั่วตามกรรมพันธ์ุ ผมอยากทราบว่าท่านทั่งสองคน เป็นไปตามจินตนาการของผมหรือปล่าวครับ?
- pinkpanda and Redbuffalo010 like this
#65
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 08:34
POPULAR
อ่านเพลินดีจัง.....วัยเด็กของผมก็สนุกพอใช้ได้
พ่อเสียตั้งแต่ผม 3 ขวบ แม่เป็นแม่หม้ายไม่มีความรู้อะไร แต่เลี้ยงลูกได้ 5 คน
ผมไปกับเพื่อนได้ทุกเรื่อง
ล้อต๊อก ทอยเส้น....เตะบอล.....แอบหนีแม่ตามเพื่อนไปว่ายน้ำเล่นริมน้ำเจ้าพระยา ตรงแถวท่าน้ำดูเม็กที่ฝั่งธน
แต่ไม่เคยทิ้งการเรียน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร (โชคดีมั้ง) ไม่ได้ถึงขนาดมุ่งมั่น แค่คิดว่าต้องเรียน ไม่ได้มีเหตุผลอะไรพิเศษ
ผมมีงานประจำตอนเย็นตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก 8-9 ขวบ
พวกพี่ ๆ ก็มีงานประจำช่วงบ่าย ๆ หลังเลิกเรียน คือ เตรียมดอกไม้พวงมาลัยไว้ให้ผมกับพี่สาวเอาไปขาย
ความทรงจำดี ๆ ซึ่งผมชอบที่สุด คือ ตอน มื้อเย็น
แม่จะไม่กินข้าวจนกว่าผมกับพี่สาวกลับจากเดินขายพวงมาลัย
จะได้กินพร้อมกัน มันประหยัดดี เป็นแบบนี้เกือบทุกวันในช่วงหลายปี
บางวันแม่ทอดไข่ดาวให้คนละฟองก็ยังอร่อย (อร่อยจริง ๆ)
ผมโชคดี มีพี่สาว 3 คน...ทั้งหมด อดทน แล้วสู้ มาก ๆ (ได้เลือดแม่มาเต็ม ๆ )
ไม่งั้นพวกเราคงไปกันไม่รอด...ไม่มีวันนี้แหง๋ ๆ
#66
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 08:41
เมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสได้กลับบ้านเกิด และได้ไปเยือนบ้านของผม
ได้ไปถ่ายรูป เดินทอดน่องดูโน่นดูนี่ เห็นแล้วนึกสะท้อนใขหลายๆ อย่างเหมือนกัน
ภาพบ้านหลังนั้นในวัยเด็กไม่เกิน ป4
ผมรู้สึกว่ามันเป็นบ้านหลังใหญ่โต
สมัยนั้น พื้นบ้านเป้นปูนขัดมัน จะเย็นหลังเมื่อนอนลงไป
ผนังขั้นล่างเป้นอิฐฉาบปูน ผนังชั้นสองเป็นไม้
พื้นชั้นสองเป็นไม้กระดานแผ่นยาวๆ ที่เวลาเดินจะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดบ้าง
ในตัวบ้านจะมีบ่อน้ำ ที่ตาขุดเอาไว้สำหรับเป้นน้ำใช้
เมื่อเวลาจะอาบน้ำ พ่อก็จะตักน้ำขึ้นมาเทใส่บ่อกรองที่อยู่สูงเหนือที่ใส่น้ำอาบ
เพื่อให้กรองลงไปเป้นน้ำใสๆ ซึ่งจะใชไปถึงการล้างจาน ถูบ้านหรือใช้ในโอกาสอื่นด้วย
ส่วนน้ำกิน จะเป็นน้ำฝนที่รองใส่โอ่งเอาไว้รอบๆ บ้าน
หลังบ้านจะมีเล้าหมู เล้าไก่ และรังนกกระทาเลี้ยงเอาไว้
บริเวณบ้าน จะปลูกมะพร้าวและกล้วยเอาไว้ รวมถึงมีสวนกล้วยเล็กๆ
ที่ผมมักไปวิ่งเล่นอยู่บ้าง
แต่สถานที่ที่เล่นสนุกกันจริง คือคลองซึ่งอยู่ห่างจากบ้านออกไปประมาณ 20 เมตร
หน้าบ้าน จะมีสะพานทอดยาวข้ามคลองเส้นนั้น
สะพานนี้ ผมใช้เดินข้ามไป เลาะริมคันนาไปก็จะถึงโรงเรียนครับ
สมัยนั้น น้ำคลองช่วงหน้าฝน น้ำจะเยอะ เด็กๆ จะชอบมาเล่นกัน
เด็กเล็กหน่อยหรือแม้แต่ผม ถึงบ้านก็ถอดเสื้อนักเรียน
เหลือกางกางตัวเดียว วิ่งตื๋อไปที่สะพาน พอถึงจุดหมาย ก็ถอดกางเกงแขวนไว้กับราวสะพาน
กระโดดลงน้ำกันเลย (แน่นอน มันคือการแก้ผ้าเล่นน้ำแหละครับ)
เล่นกันจนเย็นค่ำ บางวัน แม่ต้องให้ก้านมะยมมาตาม
(ดูเหมือนแทบทุกบ้านที่มีลูกชายจะต้องปลูกต้นมะยมเอาไว้)
ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ สถานที่นัดเจอกันของเด็กบ้านนอกคือวัดครับ
วัดบ้านนอกสมัยนั้น จะเป็นวัดกว้างๆ เต็มไปด้วยพื้นทราย
เกมที่เราชอบเล่นกันที่สุด ภาษาใต้เรียกว่า “เก้-ลัก-หยบ” หรือเล่นซ่อนหากันและครับ
เล่นกันรอบๆ โบสถ์ ในพื้นที่วัดนั่นแหละ
อาจจะมีเกมอื่นก็แล้วแต่จะคิดกัน
วัดแห่งนั้น เป้นหนึ่งในสองวัด ในหมู่บ้าน
วัดนี้เป็นวัดหลัก มีงานเทศกาลอะไร ชาวบ้านก็มาทำกันที่นี่
สิ่งที่เด็กอย่างเราชอบมากที่สุดคือ หนังกลางแปลงครับ
เพราะบ้านนอก ไม่มีโอกาสได้ดูหนังหรือละคร
สมัยผมเล็กๆ มีโทรทัศน์กันแค่ 2-3 บ้านเท่านั้น
ดีที่สุดก็เป้นวิทยุ ดังนั้น เมื่อมีหนังกลางแปลง ชาวบ้านแทบทุกหลังคาเรือน
ก็จะหอบลูกจูงหลานกันมา หอบเสื่อหอบหมอนกันมา
เด็กเล็กพอดึกหน่อยก้หลับกันตรงนั้น หนังจบก็อุ้มกันกลับบ้าน
อ้อ เกือบลืมอีกที่นึงครับ
มีอีกอย่าง ที่เรามักเล่นกันอย่างเป็นกิจะลักษณะในยามปิดเทอม
คือ ว่าว
สถานที่หลักๆ ก็มีอยู่สองที่ คือสนามบอลที่โรงเรียน และท้องนา
ทุ่งนา้านผมสมัยนั้น คุนนาจะใหญ่โตพอที่เด็กๆ จะวิ่งเล่นกันได้
ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ทำเล็กแค่พอเดิน
ไม่มีสายไฟ ไม่มีต้นไม้สูง ทุ่งนาจึงเป้นสวรรคสำหรับเด็กที่จะเล่นว่าว
เด็กๆ หน่อย ก็เล่นว่าวปักเป้า หรือแม้แต่ว่าวกระบอก
(ว่าวกระบอก คือเว่าวที่พับกระดาษให้เหมือนไส้แม็กน่ะครับ)
หาเศษผ้ามาต่อหางเข้าหน่อยก็เล่นได้แล้ว
ถ้าเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ก็มักเล่นว่าวนก
ลักษณะจะเหมือนว่าวจุฬา แต่หัวจะเล็กกว่า
และสองท่อนหางจะรวมเป็นหางเดียว ลักษณะเหมือนหางนก
บางคนจะติด “แอก” เข้าไปด้วย
แอก จะเป็นคันไม้ไผ่เหลาบางๆ ผุกริบบิ้นให้เหมือนคันธนู
คล้องไว้ที่ส่วนหัวของว่าว
เวลาชักขึ้นติดลม ริบบิ้นโดนลม จะมีเสียงดังกังวานไปทั่วทุ่งนาเชียวครับ
บางคน ทำว่าวใหญ่ๆ แอกก็ยิ่งใหญ่ไปด้วย ดังไปกว่าใคร
ว่าวสมัยนั้น ไม่มีว่าวสำเร็จทำขายนะครับ
ใครโตพอ ก็เหลาไม้ แปะกระดาษเอาเอง
คนไหนเด็กหน่อย ก็ต้องพึ่งพี่หรือพ่อให้ช่วยทำให้
ทีนี้ก็เอาไว้มาเกทับกันล่ะ พ่อใครทำว่าวได้เจ๋งกว่าใคร
จำได้ว่า พ่อเคยทำให้ครั้งนึง แต่พ่อผมฝีมือไม่ดี ทำแล้วก็ไม่ค่อยสวยครับ
อวดใครก็ไม่ได้ ก็แอบเล่นเงียบๆ ไป
ผ่านไป 30 ปี ผมจึงมีโอกาสได้ไปเยือนที่นั่น
วันนั้น ที่ผมเห็น
ผปมเห็นบ้านหลังเล็กๆ เก่าๆ เสื่อมโทรมไปตามเวลา
บ้านหลังนั้น ขนาดเล็กจนผมนึกภาพไม่ออก ว่าผมเคยรู้สึกว่ามันใหญ่โตได้ยังไง
บ้านยกพื้นหลังข้างๆ ที่เคยทำไว้ให้ยายอยู่ ถูกรื้อไปแล้ว
เล้าหมูเล้าไก่ ก็ไม่มีแล้ว
คนที่อยู่ตอนนี้ ไม่ได้ทำสวนมะพร้าวหรือสวนกล้วย หรือเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่อีก
ลานข้างบ้านที่เป็นลานทรายผืนใหญ่ๆ บัดนี้ กลายเป็นพื้นดินลูกรังที่มีหญ้าขึ้นหรอมแหรม
สะพานถูกรื้อทิ้งไป เพราะห่างออกไปมีการทำสะพานใหม่
คลองที่เคยโดดน้ำเล่น บัดนี่ กลางเป็นคูขนาดประมาณ 3-4 เมตรเท่านั้น
สิ่งที่ยังเหลือให้จดจำและระลึกถึงย่างนึง
ที่ผมเห็นแล้วจำได้ดี คือระหว่างทางเดินข้างบ้าน
จะมีต้นนุ่นต้นใหญ่อยู่ต้นนึง
ที่สมัยก่อน แม่ก็มักเก็บนุ่นจากต้นนี้มานัดหมอน
เวลาอารมณ์ดีๆ พ่อก้เคยเอากิ่งนุ่นมาริด เพื่อทำดาบไม้ให้ผมเอาไว้เล่นกับเพื่อน
(ไม้นุ่น เป็นไม้เนื้ออ่อน ง่ายต่อการริด และง่ายต่อการหักด้วยเช่นกัน)
มันยังยืนต้นสูงและออกฝักอยู่เช่นดังเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
หรือไม่ มันก็อาจเป็นต้นใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนต้นเดิม ผมก็ไม่ทราบได้
ในขณะที่ทุกอย่างที่นั้น เปลี่ยนไปหมด หลังจากผ่านไป 30 ปี
คลับคล้าย คลับคล้า
ว่ารู้จักกันดี
- หงส์เฒ่าเสาร์ธรรม likes this
#67
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 09:58
ช่วงว่างขอเล่ามั่ง รีแร็ก ๆ
เป็นลูกเกษตรกรรมค่ะ
ช่วงประถม จำขึ้นใจเรื่องความเจ็บปวด อิอิ
ตอน ป.3 มีต้นไม้ใหญ่มันโคล่นทั้งต้น ผู้ใหญ่ก็ไปตัดกิ่งก้านมันออกเอาไปทำฟืน ตัดเตียนเหลือแต่ลำต้นกับกิ่งใหญ่ๆ
เด็กอย่างเราเกิดไอเดียสนุก ชวนกันไปเล่น ไต่ขั้นไป แล้วก็กระโดดลงไปพื้นดิน วนกันคนละหลายรอบ
เราเป็นหญิง ใส่กระโปรงไปเล่น โดดสองรอบผาน พอรอบสาม หัวห้อยโตงเตงเลยคร้าผู้ชม กระโปรงไปเกียวอีกกิ่งเข้า ๕๕๕๕๕
ตกใจร้องให้จ๊ากกกกกกกกกกกเขล็ดจนตายเลยคร้าาาาา เพื่อนๆ ต้องรีบไปบอกผู้ใหญ่มาช่วยเอาลง
ป.5 วิ่งเล่นตี่จับกับเพื่อนที่ รร. ไม่รู้สบัดคออิท่าไหน คอเคล็ด (ฮา) ปวดคอมากกกกกก
ครูให้กลับบ้านก่อนเพื่อน เลยต้องเดินคอเอียง น้ำตาคลอ พกความเจ็บปวดกลับบ้านคนเดียว
ก่อนถึงบ้านต้องเดินผ่านไร่แตงโม ป้าเจ้าของไร่ ตะโกนถามว่า อีหนูนนนนนน เองเป็นไรถึงเดินคอเอียงมาแบบนั้นนนนน
เลยตะโกนตอบป้าพร้อมกับร้องให้ไปว่า หนูคอเคล็ดมันเลยหันไม่ได้จ้าป้าาาาาาาาา ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (ปี่แตกทันที)
ป้าแกก็รีบเดินเข้ามาหาทันที แล้วก็ช่วยนวดคลายเส้นให้ พอได้คลายเส้นจากฝีมือป้าค่อยดีขึ้น ขยับหัวได้ตรงขึ้นมาหน่อย
แต่ก็ยังปวดอยู่ ป้าบอกค่อยเดินกลับนะหนู เราขอบคุณป้า แล้วก็เดินกลับบ้าน ถึงบ้านแม่นวดยาให้ กินข้าว กินพารา นอน
ตื่นเช้าอีกวันหายเจ็บเหมือนฝันค่ะ
ช่วง ม.ต้น ปั่นจักรยานตราจรเข้ไป รร.กับเพื่อนๆ ทุกวัน (4 โล) ถ.ลาดยาง 3 โล ลูกรังก่อนถึงบ้านอีก 1 โล
ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน เหตุการณ์ปกติผ่านไปเกือบสองปี มีวันนึงมีกิจกรรมที่ รร.กลับช้า ไม่ทันเพื่อนๆ
เลยต้องปั่นกลับคนเดียว กลางทางเจอไอ้โรคจิต มันยืนเล่นว่าวอยู่ข้างถนนตั้งใจให้เราเห็นมัน เรามองมาแต่ไกล
เหมือนมีเซ้นว่ามันทำอะไร พอปั่นมาใกล้ก็ไม่มองมัน รีบปั่นจ้ำอ้าวๆ กลับบ้้านไปเล่าให้พ่อฟัง
พอไปแจ้งความที่โรงพักไว้ว่ามีไอ้โรคจิตแถวนั้น
หลังจากนั้น พอวันไหนที่มีกิจกรรมที่ รร. ไม่มีเพื่อนร่วมทาง พ่อก็จะละจากงานแล้วปั่นจักรยานอีกคันออกมารับที่ปากทาง
ม.ต้น ม.ปลาย การเรียนแค่ พอใช้มาตลอด แต่เรียน ไม่เคยสอบตก ไม่เคยติด ร. ติดศูนย์ ฉลุยตลอด
ไม่เคยทำให้พ่อแม่กังวลเรื่องการเรียน เอาตัวรอดได้ดี อิอิ การบ้านทำเองบ้างลอกบ้างเฉพาะอันไหนที่ทำไม่ได้จริงๆ
ด้วยความทีเป็นลุกคนโต ไม่มีพี่ให้ปรึกษา พ่อแม่ก็เป็นเพียงเกษตรกร ความรุ้ ป.4 แกก็สอนไม่เป็น
ด้วยความคิดแบบเด็กๆ จึงไม่เคยคิดว่าจะอยากได้เกรดดีๆ คิดแค่ขอให้ผ่าน เรียนไปแบบไม่มีจุดประสงค์
เย้ยยย มีซิ มีจุดประสงค์แค่ผ่านไง ฮาาาา
สมัยนั้นไม่ค่อยมีคนเรียนมากนัก จบ ป.6 เขาก็เลิกเรียนกันแล้ว เลยทำให้ไม่มีการแข่งขัน เด็กเลยเฉื่อย
พอมหาลัย ถึงพ่อจะเป็นเกษตรกร แต่พ่อก็แนะนำลูกว่า อยากให้เรียนบริหาร จบมาจะได้นั่งทำงานในออฟฟิต
ไม่ตากแดดเหมือนพ่อแม่ จบแล้วจะได้หางานทำได้ง่ายด้วย จะได้มีรายได้ช่วยดูแลน้องๆ ช่วยพ่อ ไอ้เราตอนนี้ั้น
เกลียดตัวเลขมากกกกกกก ใจอยากเรียนอะไรก็ไดที่มันง่ายๆ จบง่ายๆ ฮาาาา สมัยนั้นอยากเรียนไปทางคหกรรมศาสตร์
(ตัดเย็บเสื้อผ้า) ตามเพื่อนเพราะเห็นว่า มันน่าจะง่ายดี ไม่ต้องอ่านหนังสือมาก แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเชื่อตามที่พ่อแนะนำ
ผลการเรียน จากมัธยม ลอกบ้าง ทำเองบ้าง กลายมาเป็นให้เพื่อนลอกซะงั้น
- หน้าตาไม่ดี แต่เร้าใจ, คนปลูกต้นไม้, pinkpanda and 6 others like this
ความเท็จแม้นเร้นได้ในปัจจุบัน แต่ก็เหมือนซ่อนสุริยันไว้หลังเมฆ
อย่านึกถึงแต่ความผิดพลาด จงระลึกถึงต้นเหตุของความผิดพลาด
#68
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:08
เด็กไม่ถึงร้อยคน ก็อยู่บนเนินใกล้ๆทะเลอีกเหมือนกัน ตอนพักเที่ยงเด็กๆก็จะเล่นบอลกันบ้าง ไปเล่นทรายกันบ้าง ในช่วงหน้าน้ำ จะมีคลื่นใหญ่ข้ามหาด
ต้นมะพร้าวก็จะล้มเป็นประจำ ชาวบ้านก็จะตัดจาวมะพร้าวอ่อนๆมาให้พ่อที่เป็นครูใหญ่แกงกินกันทุกปี เวลามีงานบุญ ก็จะได้ขนมอย่างขนมพอง ขนมลาจากชาวบ้านมากินกันไม่หวาดไม่ไหว
เกมอีกอย่างที่เด็กๆชอบเล่นตอนพักเที่ยง ก็คือก่อเจดีย์จากกองทราย ใช้น้ำทรายหยอดให้เป็นยอด แล้วก็วิ่งไปยั่วคลื่นให้ซัดมาพังเจดีย์ (คลื่นก็ไล่ตามมาจนถึงเจดีย์ทุกครั้งด้วยสิ...แปลกแฮะ)
นอกจากนั้นก็มีเกมที่คงจะมีเฉพาะเด็กชายทะเลที่คิดขึ้นมาเล่นกัน อย่างนั่งกันสี่คน ขุดทรายให้เป็นรูลงไปชนกัน จากนั้นก็ใช้ทรายปิดปากรูทั้งสี่
เอาก้านมะพร้าวเจาะรูเล็กๆตรงกลาง เอาเศษกระดาษวาง แล้วชกพร้อมๆกัน แรงอัดอากาศจะดันให้ "กาบิน" (ก็คือเศษกระดาษลอยนั่นแหละ)
ไม่รู้ว่าสนุกตรงๆไหน แต่ก็เล่นกันได้เล่นกันดี ถ้าใครขุดพังก็จะลงโทษ โดยขุดหลุมแค่เข่า ให้ลงไปยืน กลบทรายแล้วกระทืบให้แน่นๆ
บางคนเพื่อความชัวร์ มันเอากะลาไปตักน้ำทะเลมาราดด้วย บางทีระฆังเรียกเข้าชั้นแล้ว ไอ้คนโดนฝังยังขึ้นไม่ได้เลย (แถวบ้านเกิดผม คนเดินตีนเปล่ากันเป็นเรื่องปกติครับ)
อีกเกมก็คือเอาทรายเปียกน้ำมาปั้นเป็นบอลกลมๆ แล้วขุดทรายทำเป็นลู่ จากนั้นก็กลิ้งบอลให้มาชนกัน ใครแตกแพ้ ยังมีเกม "ชนวัว"
เอากิ่งไม้สองกิ่งปักลงพื้นเป็นหลัก เอาหนังสะติ๊กขึง แล้วเอาหญ้าขนมาวาง ติ๊งต่างว่าเป็นวัว จากนั้นต่างคนก็เอากิ่งไม้มาเคาะหลักเบาๆ
ให้วัวค่อยๆเคลื่อนมาชนกัน วัวใครตกก็แพ้
เหตุการณ์หนึ่งที่ยังจำแม่นก็คือตอนที่คลื่นใหญ่ข้ามหาด ทรายก็เลยมาถมใต้ถุนโรงเรียนซะมิด พ่อกับแม่ซึ่งเป็นครูทั้งคู่ เลยต้องเกณฑ์นักเรียนมาช่วยกันขุดโรงเรียนตอนวันหยุด
แต่ระหว่างทำงาน เรืออวนลอยของชาวบ้านดักติดปลาตัวเท่าลำเรือหางยาว ชาวบ้านเรียกว่า "ปลาหม้อหยง" แต่เมื่อโตขึ้นมา ผมถึงได้รู้ว่ามันเป็นฉลามวาฬ
เรืออวนลอยที่ว่าเป็นการประมงชายฝั่ง โดยเรือหางยาวสองลำ (เป็นเรือประมงเล็ก ใช้เครื่องเล็กที่เรียกว่าเครื่อง "หม้อดำ" นะครับ
ไม่ใช่เรือหางยาวแบบที่แล่นในแม่น้ำเจ้าพระยา เรือแบบนั้นบ้านผมเค้าเรียก "เรือสู้สู" น่าจะมาจากชื่อ "อีซูสุ" ยี่ห้อเครื่องยนต์")
จะเอาอวนไปปล่อยนอกชายฝั่ง จากนั้นเรือแต่ละลำจะพาปลายอวนวิ่งกลับมาถึงฝั่ง แล้วชาวบ้านที่อยู่บนฝั่งก็จะช่วยกันดึงปลายอวนขึ้นมาจนถึงตลิ่งแล้วจับปลาที่ติดขึ้นมา
จำได้ว่ากว่าจะลาก "ปลาหม้อหยง" ขึ้นมาถึงฝั่งได้ก็ขอแรงทั้งพวกนักเรียน ทั้งชาวบ้านมาแทบจะหมดหมู่บ้าน
ตอนเช้าๆราวตีสี่แต่ละวัน พ่อจะปลุกลูกรุ่นเล็กที่ยังอยู่กับบ้าน 3 คน คนใดคนหนึ่ง ให้ถือถุงเชือกสานที่เรียกว่า "ย่าหยุด"
ตามพ่อไปทอดแหชายทะเลเพื่อให้แม่ทำอาหารตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน พ่อเป็นคนทอดแห ลูกถือถุงปลาเดินตาม
ดูดวงอาทิตย์ค่อยๆตั้งดวงขึ้นมาตอนเช้า ถึงจะเป็นเด็กก็พอรู้ว่ามันสวย รอบบ้านพ่อก็ปลูกผักไว้เพียบ มีเป็ด มีไก่เป็นฝูง
จ่าฝูงไก่ตัวเป้งมากขนาดเด็กเล็กๆขี่ได้ (โดนงูเห่ากัดตายตอนผมอยู่ป.2 น่าเสียดายมาก) มีต้นไม้ดอกสีชมพูฝักรสหวานๆที่พ่อเรียกว่า "ซากุระ"
แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า พี่น้องสามคนเด็กๆ แค่ในบริเวณบ้านตัวเองนี่ยังสำรวจไม่หมดเลยครับ
ตัวผมเองหนักไปทางเป็นนักอ่านครับ อ่านดะมาตั้งแต่เด็กๆ ที่หลังชั้นเรียนป.4 พ่อจะมีหีบใบโตๆ ใส่หนังสือเรียนยุคเก่าๆ
ที่แทบไม่มีนักเรียนคนไหนแตะ ทั้งโรงเรียนมีแต่ผมนี่แหละที่ไปเปิดอ่านอยู่ ทุกวันนี้เลยมีงานอดิเรกเป็นนักสะสมแบบเรียนเก่าๆ
บ้านเกิดผมอยู่ไกลการคมนาคมแบบที่ ถ้าจะมาก็ต้องใช้รถจิ๊ปวิ่งเลียบชายหาดมา หรือไม่งั้นก็ต้องเดินด้วยถนนดินไป 8 กิโล
เพื่อนั่งเรือหางยาวอีก 2 ชั่วโมงเพื่อเข้าตัวอำเภอ ผมใช้ชีวิตเด็กบ้านนอกไกลปืนเที่ยงจริงๆอยู่ที่นั่นจนอายุ 7 ขวบ
แล้วจึงย้ายเข้าตัวอำเภอ ซึ่งกลายเป็นชีวิตวัยเด็กอีกแบบไปเลย ว่างๆค่อยมาเล่าสู่กันฟัง...
Edited by isa, 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:31.
- หน้าตาไม่ดี แต่เร้าใจ, คนปลูกต้นไม้, pinkpanda and 5 others like this
#69
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:16
ชอบอ่านครับ ไม่เครียดดี ผมเป็นแฝด มีเพื่อนคู่คิดตลอด ว่าไปแล้วมันก็ดีนะ แต่ลำบากบ้างเวลาอยู่คนเดียว เพิ่งได้แยกกันตอนเรียนปริญญาตรี กว่าจะปรับตัวได้ก็แย่เหมือนกัน ตอนนี้อยู่กับคู่หูคนใหม่(ภรรยา) ฮากว่าเดิมอีกครับ ภรรยาบอกว่าอยากเป็นผู้บริหารที่เก่ง แต่ไม่สนใจการเมืองเลย ผมล่ะยิ่งฮา จะมีวิธีไหนบ้างให้หล่อนสนใจ เพราะผมว่ามันมีอะไรๆ ที่สอนเราได้มากเลยทีเดียว
เท่าที่โพสท์มา ผมก็ว่าเธอเก่งแล้ว บริหารสามีได้ ...ถ้าจะให้เก่งขึ้น คุณต้องหาเรื่องให้ใหม่ๆ ให้เธอคิดหาวิธีแก้ไขดูซิครับ คุณจะเห็นว่าเธอเก่งจนคาดไม่ถึง
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#71
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:20
ตั้งแต่เข้า สรท มาเนี่ย กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่เยี่ยมมาก อ่านความหลังของแต่ละท่านแล้วอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ขอบคุณคุณผึ้งน้อยที่ตั้งกระทู้นี้ที่มีสาระ แต่แปลกใจอยู่อย่างเดียวยังไม่เห็นมีฝ่ายโน้นเข้ามาแชร์เรื่องวัยเด็กสักคน
อ๋อ..................น่าจะเกิดมาแล้วแก่เลยอ้ะ........เลยไม่มีความทรงจำ................เหมือนปลาทอง................ว่ายวนไปวนมาแล้วก็จำได้แต่เรื่องเดิมๆ
- kwan_kao likes this
ถึงสูงศักดิ์อัครฐานสักปานไหน.ถึงวิไลเลิศฟ้าสง่าศรี..ถึงเก่งกาจฉลาดกล้าปัญญาดี..ถ้าไม่มี "คุณธรรม" ก็ต่ำคน.... พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้า รัชกาลที่ ๕ " https://www.facebook...akwarakfromyala https://www.facebook.com/NARAPEACE
#72
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:32
ที่ฟังๆมา เด็กใต้เพ มากันเยอะหล่าวนิ
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ... ศีลธรรม เป็นกรอบรักษาจินตนาการให้ดำรงอยู่ด้วยความดีงาม...
#73
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:34
ชีวิตวัยเด็กเรียบง่ายมาก. พ่อแม่ เป็นครูสอนที่ วิทยาลัยครูเทพสตรี ลพบุรี. อยุู่บ้านพักครูในวิทยาลัย. โรงเรียนอนุบาลรั้วอยู่ติดวิทยาลัย. ม.ต้นเรียนสาธิตวิทยาลัยครู. ชีวิตวนเวียนอยู่แค่นี้ cleanมาก
เป็นเด็กเรียนเก่ง ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการเรียน. แต่สังคมไม่เป็น. เพื่อนน้อย
ถึงจะดูเรียบแค่ไหน. ชีวิตวัยเด็กก็ยังเป็นชีวิตที่อบอุ่น มีความสุขทุกครั้งที่นึกถึง ความสุขที่เกิดได้ง่ายๆ. ไม่ต้องอาศัยวัตถุหรือเงินมาช่วยปรุงแต่ง. ตอนนั้นที่บ้านไม่มีมอเตอร์ไซค์ ไม่มีรถยนต์. เวลาพ่อแม่จะพาลูกสามคนไปกินข้าวที่ตลาด. ต้องเดินจากบ้านออกไปหน้าวิทยาลัย. ไกลพอดู แล้วนั่งสามล้อต่อ. กินเสร็จนั่งสามล้อมาถึงหน้าวิทยาลัย แล้วเดินจูงมือกันกลับบ้าน ท่ามกลางแสงจันทร์ คุยกันไป วิ่งเล่นกันไป. บางทีเมื่อยหนักก็ขี่คอพ่อบ้าง แค่นี้ก็เป็นความสุขแล้ว
ชีวิตที่มีความสุข ไม่ได้ต้องการเงินทอง หรือความหรูหราฟุ่มเฟือยอะไรมากมาย. ขอแค่มี ความรัก และความดี ก็สุขแล้ว. นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมจึงได้รัก เคารพ ศรัทธา เทิดทูน ในหลวงมาก เพราะความพอเพียงไม่ใช่แค่เป็นเกราะให้เราห่างไกลจากการทำสิ่งที่ไม่ดีเท่านั้น ยังทำให้เรามีความสุขได้อย่างง่ายๆด้วย
- Tee, isa, คนปลูกต้นไม้ and 4 others like this
#74
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:35
ชีวิตในวัยเด็ก เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด มีข้าวกินอิ่ม(ทั้งที่ในมื้อนั้นอาจมี บางคน ที่กินไม่อิ่ม คือพ่อแม่เรา)
กินแล้วออกไปเล่น หาเรื่องเล่น หาวิธีเล่น เหนื่อยมืดค่ำก็นอน หิวก็มีกิน
ไม่ต้องกังวลเรื่องอนาคต
ผมเชื่อว่า ทุกคนที่เข้ามาอ่าน ทุกคนที่โพสท์ จะมีแต่รอยยิ้ม มีแต่ความสุข
รีบกอบโกยกันนะครับ เหลืออีกไม่ถึง24ชั่วโมง เราจะมาเจอความจริงกันในเวลาปัจจุบันกันแล้ว
โอกาสนี้ขอถือโอกาส
กราบเพื่อรำลึกถึงพ่อ-แม่ ป้า น้า ลุง
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#75
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:39
ที่ฟังๆมา เด็กใต้เพ มากันเยอะหล่าวนิ
พ้มคนเมืองลุง บานอยู่นัยหลาด แควนประชาธิปัด เตินบานอยู่หนั้ย?
อย่าเชื่อในสิ่งที่ไอ้แม้วและไอ้พวกแกนนำ นปช. พูด
แต่ให้ดูในสิ่งที่พวกมันทำ
#76
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:45
มอบให้กับทุกๆคน และทุกๆ ความทรงจำ
ถึงสูงศักดิ์อัครฐานสักปานไหน.ถึงวิไลเลิศฟ้าสง่าศรี..ถึงเก่งกาจฉลาดกล้าปัญญาดี..ถ้าไม่มี "คุณธรรม" ก็ต่ำคน.... พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้า รัชกาลที่ ๕ " https://www.facebook...akwarakfromyala https://www.facebook.com/NARAPEACE
#77
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:52
ผมเป็นลูกจีนครับ พ่อเป็นจีนอพยพจากแผ่นดินใหญ่ แม่ก็เป็นลูกจีนเกิดในเมืองไทย ทั้งสองรักเมืองไทยมากที่บ้านผมขายกาแฟ ผมมีพี่น้องโดยผมเป็นคนเล็กสุด ปิดเทอมตอนเด็กๆพี่สาวจะพาผมเร่ขายไอติมหลอดที่ถังไอติมจะถูกสะพายด้วยหวายคล้องไหล่ และถือฉลากประเภทกล่องกระดาษเจาะโดยเจาะรูละสลึงมีแหวนเด็กเล่น, ปืนจิ๋ว ฯลฯ สนุกมาก แต่ก่อนเรียนโรงเรียนจีนและเปลี่ยนมาเรียนโรงเรียนไทย โดยกดขี่มากจากการโดนล้อว่าอ้ายเจ๊กขบถ ฯลฯ เมื่อโตขึ้นพี่สาวสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้และพาผมไปร่วมกิจกรรม ผมรักพี่สาวผมมากตอนรุ่นๆ แกพาผมถือธงแดง เสียดายแกจากไปก่อนวัยอันควรหลังจบการศึกษาไม่เท่าไร
- Tee, isa, ก๊องส์ไข่กวน and 2 others like this
#78
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 11:29
นอกจากเรื่องเป็นหนอนหนังสือแล้ว อุปนิสัย จะเป็นคนดื้อฝังใน อิ อิ
สมัยเด็กๆ อยู่ที่จังหวัดชลบุรี คุณพ่อเป็นทหารเรือ แม่เป็นแม่ค้าอยู่ในตลาดชลบุรี ปู่กับย่าเป็นคนบางมด ก็จะไปๆ มาๆ ระหว่างชลบุรี กับ บางมด เวลามาบ้านปู่-ย่า ตื่นเต้นมาก นั่งรถเมล์(ตัวถังไม้)จากชลบุรีมาเกือบวัน แล้วมานอนบ้านลุงที่สามเสน เช้าก็ขึ้นรถรางมาสนามหลวง ต่อรถเมล์สาย 43 มาที่ท่าเรือบางขุนเทียน นั่งเรือจ้างแจวเข้าคลองบางมดบ้านปู่กับย่า อยู่ริมคลอง มีเรือนแพอยู่ริมน้ำ จะชอบไปนอนอ่านหนังสือ แล้วก็ดูปลาอยู่ริมคลอง อยากเล่นก็ไปเอาดินมาปั้นเป็นตุ๊กตาต่างๆ แล้วก็เอาทางมะพร้าวมาเหลาเป็นดาบซามูไร เล่นกับน้องชาย กลางวันก็รอเรือก๋วยเตี๋ยว เรือกาแฟผ่านมา จะได้ซื้อกิน พอจบประถมปีที่ 7 ก็ย้ายจากชลบุรีมาอยู่ีกรุงเทพฯ ตอนนั้นพ่อเออลี่ จากทหารเรือแล้ว เข้าทำงานที่กรมชลประทาน ย้ายบ้านตามกันเหนื่อยมาก จนต่างคน จะมีลังไม้ใส่สมบัติบ้าประจำตัว 555 ของผมโดยมากจะเป็นหนังสือ จบเนอะ
- bird, pinkpanda, ฉันรักเมืองไทย and 2 others like this
ถึงสูงศักดิ์อัครฐานสักปานไหน.ถึงวิไลเลิศฟ้าสง่าศรี..ถึงเก่งกาจฉลาดกล้าปัญญาดี..ถ้าไม่มี "คุณธรรม" ก็ต่ำคน.... พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้า รัชกาลที่ ๕ " https://www.facebook...akwarakfromyala https://www.facebook.com/NARAPEACE
#79
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 11:31
ไม่เข้าใจ tense ต่าง ๆ มี past present future ยังมี past participle
อื่น ๆ อีก ไม่รู้มี tense บ้าบออะไรมากมาย ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ไม่เข้าใจเลย
เรียกได้ว่าโง่มากสำหรับภาษาอังกฤษ แถมต้องเรียนภาษาฝรั่งเศสอีก
พอมีชั่วโมงภาษาฝรังเศสทีไรเกิดไม่สบายทุกที ต้องนอนห้องพยาบาล คงเป็น
โรคภูมิแพ้ภาษา แต่ออกมาก็ยังจำได้ 2 คำถึงวันนี้คือ je t'aime = ฉันรักเธอ
และ le chien = หมา เวลามีการบ้านภาษาอังกฤษก็ใช้วิธีลอกเพื่อนส่งครู
แต่เราก็เรียนคำนวณได้ดี เลยได้แลกการบ้านกันและกัน
เลยได้สรุปกับตัวเองว่า "เราไม่ใช่เมืองขึ้นใคร ทำไมต้องเรียนภาษาอังกฤษด้วย"
เลยบอกเพื่อน ๆ ที่อ่อนภาษาด้วยกันด้วยประโยคนี้ หลังจากออกโรงเรียน ต่างคน
ต่างไปเรียนที่อื่น เราไปมหาวิทยาลัยที่จัดห้องเรียนตามภาษา มี 36 ห้อง เราอยู่
ห้อง 34 เพื่อน ๆ ว่าเรียน รร ฝรั่งทำไมถึงอยู่ห้อง 34 เรายังบอกไม่อยู่ห้อง บ๊วยก็ดีแล้ว
ส่วนเพื่อนที่เชื่อว่าเราไม่ต้องรู้ภาษาอังกฤษเพราะไม่ใช่เมืองขึ้น ก็ด่าเราเรื่อยเวลาพบกัน
ว่าเราทำให้เขาลำบาก เพราะไปที่ไหนก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษ ไปเรียนปริญญาโทก็แทบแย่
ก็ตอนนั้นเด็กผู้คนภูมิใจในความเป็นไท ไม่ขึ้นกับใคร เราก็เชื่อ แต่พอไปเมืองอังกฤษเพื่อ
เรียนภาษาอังกฤษที่ไม่ได้เรื่อง เราก็เล่าอย่างภูมิใจกับการไม่เป็นเมืองขึ้นใคร ตอนสงครามโลก
พอญี่ปุ่นเข้าประเทศเราก็ยอมเข้าด้วย ส่วนหนึ่งที่เป็นเสรีไทยก็เป็นพวกพันธมิตร
สุดท้ายเราไม่แพ้สงคราม พวกฝรั่งมันพูดขึ้นทันทีว่า "เราเป็นนกสองหัว" เราสอึกมากเลย
เราก็เถียงว่าเราเป็นสนลู่ลม รู้จักโอนอ่อนผ่อนตาม วันนั้นทำให้เราได้คิดว่า การกระทำ
ความคิดเห็นของคนหนึ่งอีกคนจะเห็นต่างได้ ถึงแม้เราจะเถียงเขาในใจว่า พวกเขาไม่ได้มา
อยู่ในสภาพที่เราอยู่นิ แต่สิ่งที่เถียงไม่ได้คือความเห็นต่าง แล้วอะไรเล่าที่จะบอกเราว่าใครผิดใครถูก
เราก็คิดว่า เราต้องเอาสติปัญญาคิด เพราะถ้าพูดไปดูเหมือนถูกทั้งคู่
เนื่องจากเราได้อยู่อังกฤษและชอบใจกับการมีจริยธรรมของเขา เราทำของหายเราก็มีโอกาสได้ของกลับคืน
ความซื่อสัตย์สุจริตของเขามีสูงมาก เนื่องจากเราต้องเรียนภาษานานมากถึงจะพูดได้ เราเลยอยู่นาน
จนเราได้ทำงาน แต่เราต้องเสียภาษีสูงพอสมควร เราจะไม่ค่อยชอบที่คนบางคนไม่ทำงานเลย แต่ได้รับเงินรัฐ
แต่สิ่งที่เราชอบมากก็คือคนไม่สบายไม่ต้องเสียค่ารักษา แต่มันก็ต้องรอคิวกันนานมาก มีวันเสาร์หนึ่งปวดฟันมาก
ร้านหมอฟันปิดหมด ต้องไปโรงพยาบาล รอไปเถอะเพราะมีคนเลือดออกเข้ามาเขาก็ได้เข้าก่อน คนที่มีอาการ
แรงกว่าเราก็ได้เข้าก่อนเรา ไม่มีใครสนใจกับเราที่ปวดฟันมากเลย จนเราทนไม่ได้กลับบ้านดีกว่า ระหว่างกับ
บ้านพบคนข้างบ้านซึ่งเป็นพยาบาล เอายาแก้ปวดให้กินก็หาย รอถึงวันจันทร์ไปหาหมอฟันได้
ความเจริญ พัฒนาของเขาเราว่าเกิดจากการที่นักการเมืองเขาไม่โกงไม่กิน แม้แต่นโยบายที่เราจะไม่เห็นด้วย
แต่การไม่โกงไม่กิน ของเขาและผู้คนก็มีความคิดในการที่จะพูดจาถกเถียงกันได้ มีความเห็นต่างก็ไม่เห็นเขา
จะทะเลาะกัน เขาก็ยอมรับความคิดของกันและกัน พรรคแรงงานนี่นโยบายประชานิยมพอสมควร จะเอาเงิน
ภาษีแจกจ่ายให้ ขณะเดียวกันประชาชชนของเขาจะดูผลประโยชน์ส่วนรวม เพราะนโยบายของเขาขึ้นกับรายได้
มิใช่กู้ยืม ฉะนั้นพอเก็บภาษีมากคนก็เริ่มมีความเห็นเปลี่ยน สติปัญญาจะช่วยให้คนเห็นภาพชัดเจนในการบริหาร
ประเทศของรัฐบาล
เนื่องจากภาษาดีขึ้นกลับมาก็ได้ทำงานกับบริษัทต่างชาติอีก เขาก็มีประมวลจริยธรรมให้ต้องปฎิบัติ สิ่งหนึ่ง
คือ "การให้ของขวัญและการรับของขวัญ" เขาสั่งห้ามทั้ง รับทั้งให้ เพราะการรับเราก็ต้องทำอะไรตอบแทน การ
ให้ถ้าเพื่อผลประโยชน์มันก็ผิดคุณธรรม ฉะนั้นเขาก็ตั้งกฎขึ้น และทุกคนต้องรายงานเมื่อสิ้นปีว่า ในปีที่ผ่านมาได้รับ
อะไรบ้าง ประเมินราคาไว้ด้วย และได้ทำอะไรกับของเหล่านั้น การกระทำต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามกฎบริษัท ส่วนใหญ่
จะให้บริจาค นอกจากนี้ทุกปีเขาจะต้องมีการอบรมเรื่องจริยธรรม และทุกคนจะต้องเซนรับทราบจริยธรรมของบริษัท
เลยทำให้เราเห็นว่า ทุกอย่างที่ให้ทำอยู่บนความเชื่อใจ แต่ถ้าถูกจับว่าผิดก็ไม่สามารถโต้แย้งได้ แม้แต่ถ้าทำผิด
ระเบียบถึงจะทำกำไรให้กับบริษัท เขาก็ไม่เก็บไว้ เราจึงเชื่อเรื่องจริยธรรม
สิ่งที่โชคดี คือได้พ่อที่ดี ทำมาหากิน ไม่โกงใคร และไม่ต้องก้มหัวให้ใคร พ่อไม่ได้เป็นคนรวยแม่ขายของในตลาด
เรียนหนังสือก็ไม่สูงนักเพราะชอบแอบหนีเที่ยวไปถึงเมืองจีน แต่กลับมาก็ได้ทำงาน จนมีกิจการเป็นของตัวเอง แต่
ไม่ได้รวยมาก เพียงหาความสุขใส่ตัวได้ อยากกินอะไรก็ได้กิน เราเองก็มารู้ทีหลังว่าที่พ่อส่งเราไปเรียนภาษาอังกฤษ
นะหืดพอควร พ่อก็ติดตามการเมือง เราก็ได้รับรู้เรื่องการเมืองโดยปริยาย แต่บอกตรง ๆ แรก ๆ ไม่สนใจ มาสนใจ
ก็ ไม่ถึง 20 ปีนี้เอง ด้วยความที่พ่อเป็นธรรมลูกก็ซึมซับความดีมาบ้าง
และโชคดีอีกเข้ามหาวิทยาลัยได้พบ ดร. ป๋วย ที่บอกนักศึกษาทุกคนไม่ให้โกง ถ้าพบใครโกงก็ให้ออกสถานเดียว
เราจึงเชื่อมั่นในความถูกต้อง ไม่โกงไม่กิน ไม่ยอมรับการโกงกินของใคร เราต้อมีสติปัญญา ต้องรู้ว่าการกระทำของ
ใครหวังอะไร โดยเฉพาะผู้นำประเทศ เราไม่ควรให้คนชั่วลอยนวลได้ ประเทศจะพัฒนาได้ ผู้คนประชาชนต้องพัฒนาด้วย
และต้องอยู่ในกฎ กฎหมาย กติกา จริยธรรม ธรรมภิบาล ที่จะทำให้ผู้คนจะเห็นประโยชน์ชาติเหนือประโยชน์ส่วนตัว
เราเชื่อว่าเราเกิดมาเป็นคนโชคดี ถึงแม้เราจะไม่มีรถเบซ์ขี่ มีรถอายุ 17-18 ปีขับ มีที่นอน มีพี่น้อง โดยเฉพาะเพื่อน
ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พบปะเล่าโจ๊กฟังกัน กินข้าวกัน เที่ยวกันบ้าง อยู่บ้านบ้าง มีสรทให้เขียนความคิดเห็นได้
ไม่มีลูกหลาน เลยไม่ต้องเป็นห่วงเมื่อเราตาย
มีเรื่องที่เราว่าไม่ค่อยดีอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ตอนเด็ก ๆ เราว่าเราฉลาดมากเลย คือ พ่อไม่ค่อยรวย แต่อารวยมีเงิน เราก็
อยากสบายก็จะไปอยู่กับอา เขาแจกเงินให้ลูกเขา เราก็ได้ด้วย แล้วเราก็กลับมาเอาเงินจากพ่อด้วย ฉะนั้นเรามีเงินมากกว่า
พี่น้องอีก และความที่เราไปหาอา อยู้กับอา อาก็สนิทกับเรามากกว่าพี่น้อง แต่เราไม่เคยโกงเงินใครเลย และไม่ได้ทำ
ให้เรารักพ่อแม่น้อยกว่าเดิม
ชีวิตเรา เราก็คิดว่ามันเป็นสุขแล้วครับผม
- หน้าตาไม่ดี แต่เร้าใจ, bird, pinkpanda and 5 others like this
#80
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 12:06
เกิด เรียนประถม มัธยม รวมทั้งอาชีวะศึกษา อยู่ที่อุดรธานี เมืองหลวงของแดง( มันอุปโลกน์ว่างั้น)
ประถม เรียน ป1 - ป 7 ยังทันเขียนกระดานชนวนอยู่พักนึง (ป1) โตมาหน่อยสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัด รู้สึกตื่นเต้นมาก
เพราะเห็นเพื่อนๆมาจากต่างโรงเรียนเยอะมาก และเผอิญสอบติดห้องคิงส์ของผลัดบ่าย มีติดอยู่คนเดียวของโรงเรียนเดิม ในห้องนั้น
โตขึ้นมาอีกหน่อยเริ่มเป็นวัยรุ่นก็เรียนต่อแผนกช่างก่อสร้างของวิทยาลัยเทคนิค ที่นั่น ได้ใช้ชีวิตแทบทุกอย่างที่วัยรุ่น(ในยุคนั้น)พึงหาได้
ทั้งเหล้า ยา(เฉพาะยาสูบ อย่างอื่นไม่กล้ำกราย) ตีกับเด็กเกษตร เล่นดนตรี กีฬา สนุกสนานกับชีวิตที่โลดโผน โดยที่ยังไม่ทันคิดเรื่องอื่นๆให้รกสมอง
ในขณะที่อยู่ในวัยนั้น
หลังจากนั้นก็รับใช้ชาติในนามไอ้เณร อยู่ 2 ปี (ไม่เรียน รด. กลัวทรงผมไม่หล่อ หุ หุ ) ผลัด 2 ที่ค่ายพระยอดเมืองขวาง นครพนม
ปลดทหารปี 28 ก็โต๋เต๋ที่บ้านพักหนึ่ง จึงได้ตัดสินใจเร่ร่อนจรรีเข้ามาเผชิญโชคที่ในเมืองหลวง แรกๆได้เป็นโฟร์แมน งานเหล็กของ หจก.เล็กๆแห่งหนึ่ง
งานแรกคือ สร้างบ่อเก็บน้ำใต้ดิน ของสยามจัสโก้ หลักสี่ แต่ที่จะเล่าไม่ใช่เนื้อหาของงานแต่เป็นวีรกรรม เมาเหล้าขาวกับคนงานก่อสร้างด้วยกัน ที่หน่วยงาน
เพราะเหล้าขาวที่ กทม.แค่ 28 ดีกรี เอง ไอ้เราก็คอทองแดงมาจาก ตจว.ที่เล่นกันเฉพาะ 40 ดีกรี เท่านั้น ซึ่งกว่าจะเมาได้ที่ ก็เล่นเอาหลายขวด แต่พอเมาเท่านั้นแหละพีน้องเอ๋ย
ขาแข้งมันไม่ยอมมีแรงเลย ลุกไปไหนก็ไม่ไหว งานหนักจึงเป็นของลูกน้องที่กินแค่เป็นกระสาย นับแต่นั้นมา ไม่กล้าเมา 28 ดีกรีอีกเลย อิ อิ
(เอาแค่นี้ก่อนละกัน แบบว่าพิมพ์ไม่คล่อง มันเลยพาลขี้เกียจขึ้นมา )
- ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ and kwan_kao like this
#81
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 12:13
เมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสได้กลับบ้านเกิด และได้ไปเยือนบ้านของผม
ได้ไปถ่ายรูป เดินทอดน่องดูโน่นดูนี่ เห็นแล้วนึกสะท้อนใขหลายๆ อย่างเหมือนกัน
ภาพบ้านหลังนั้นในวัยเด็กไม่เกิน ป4
ผมรู้สึกว่ามันเป็นบ้านหลังใหญ่โต
สมัยนั้น พื้นบ้านเป้นปูนขัดมัน จะเย็นหลังเมื่อนอนลงไป
ผนังขั้นล่างเป้นอิฐฉาบปูน ผนังชั้นสองเป็นไม้
พื้นชั้นสองเป็นไม้กระดานแผ่นยาวๆ ที่เวลาเดินจะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดบ้าง
ในตัวบ้านจะมีบ่อน้ำ ที่ตาขุดเอาไว้สำหรับเป้นน้ำใช้
เมื่อเวลาจะอาบน้ำ พ่อก็จะตักน้ำขึ้นมาเทใส่บ่อกรองที่อยู่สูงเหนือที่ใส่น้ำอาบ
เพื่อให้กรองลงไปเป้นน้ำใสๆ ซึ่งจะใชไปถึงการล้างจาน ถูบ้านหรือใช้ในโอกาสอื่นด้วย
ส่วนน้ำกิน จะเป็นน้ำฝนที่รองใส่โอ่งเอาไว้รอบๆ บ้าน
หลังบ้านจะมีเล้าหมู เล้าไก่ และรังนกกระทาเลี้ยงเอาไว้
บริเวณบ้าน จะปลูกมะพร้าวและกล้วยเอาไว้ รวมถึงมีสวนกล้วยเล็กๆ
ที่ผมมักไปวิ่งเล่นอยู่บ้าง
แต่สถานที่ที่เล่นสนุกกันจริง คือคลองซึ่งอยู่ห่างจากบ้านออกไปประมาณ 20 เมตร
หน้าบ้าน จะมีสะพานทอดยาวข้ามคลองเส้นนั้น
สะพานนี้ ผมใช้เดินข้ามไป เลาะริมคันนาไปก็จะถึงโรงเรียนครับ
สมัยนั้น น้ำคลองช่วงหน้าฝน น้ำจะเยอะ เด็กๆ จะชอบมาเล่นกัน
เด็กเล็กหน่อยหรือแม้แต่ผม ถึงบ้านก็ถอดเสื้อนักเรียน
เหลือกางกางตัวเดียว วิ่งตื๋อไปที่สะพาน พอถึงจุดหมาย ก็ถอดกางเกงแขวนไว้กับราวสะพาน
กระโดดลงน้ำกันเลย (แน่นอน มันคือการแก้ผ้าเล่นน้ำแหละครับ)
เล่นกันจนเย็นค่ำ บางวัน แม่ต้องให้ก้านมะยมมาตาม
(ดูเหมือนแทบทุกบ้านที่มีลูกชายจะต้องปลูกต้นมะยมเอาไว้)
ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ สถานที่นัดเจอกันของเด็กบ้านนอกคือวัดครับ
วัดบ้านนอกสมัยนั้น จะเป็นวัดกว้างๆ เต็มไปด้วยพื้นทราย
เกมที่เราชอบเล่นกันที่สุด ภาษาใต้เรียกว่า “เก้-ลัก-หยบ” หรือเล่นซ่อนหากันและครับ
เล่นกันรอบๆ โบสถ์ ในพื้นที่วัดนั่นแหละ
อาจจะมีเกมอื่นก็แล้วแต่จะคิดกัน
วัดแห่งนั้น เป้นหนึ่งในสองวัด ในหมู่บ้าน
วัดนี้เป็นวัดหลัก มีงานเทศกาลอะไร ชาวบ้านก็มาทำกันที่นี่
สิ่งที่เด็กอย่างเราชอบมากที่สุดคือ หนังกลางแปลงครับ
เพราะบ้านนอก ไม่มีโอกาสได้ดูหนังหรือละคร
สมัยผมเล็กๆ มีโทรทัศน์กันแค่ 2-3 บ้านเท่านั้น
ดีที่สุดก็เป้นวิทยุ ดังนั้น เมื่อมีหนังกลางแปลง ชาวบ้านแทบทุกหลังคาเรือน
ก็จะหอบลูกจูงหลานกันมา หอบเสื่อหอบหมอนกันมา
เด็กเล็กพอดึกหน่อยก้หลับกันตรงนั้น หนังจบก็อุ้มกันกลับบ้าน
อ้อ เกือบลืมอีกที่นึงครับ
มีอีกอย่าง ที่เรามักเล่นกันอย่างเป็นกิจะลักษณะในยามปิดเทอม
คือ ว่าว
สถานที่หลักๆ ก็มีอยู่สองที่ คือสนามบอลที่โรงเรียน และท้องนา
ทุ่งนา้านผมสมัยนั้น คุนนาจะใหญ่โตพอที่เด็กๆ จะวิ่งเล่นกันได้
ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ทำเล็กแค่พอเดิน
ไม่มีสายไฟ ไม่มีต้นไม้สูง ทุ่งนาจึงเป้นสวรรคสำหรับเด็กที่จะเล่นว่าว
เด็กๆ หน่อย ก็เล่นว่าวปักเป้า หรือแม้แต่ว่าวกระบอก
(ว่าวกระบอก คือเว่าวที่พับกระดาษให้เหมือนไส้แม็กน่ะครับ)
หาเศษผ้ามาต่อหางเข้าหน่อยก็เล่นได้แล้ว
ถ้าเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ก็มักเล่นว่าวนก
ลักษณะจะเหมือนว่าวจุฬา แต่หัวจะเล็กกว่า
และสองท่อนหางจะรวมเป็นหางเดียว ลักษณะเหมือนหางนก
บางคนจะติด “แอก” เข้าไปด้วย
แอก จะเป็นคันไม้ไผ่เหลาบางๆ ผุกริบบิ้นให้เหมือนคันธนู
คล้องไว้ที่ส่วนหัวของว่าว
เวลาชักขึ้นติดลม ริบบิ้นโดนลม จะมีเสียงดังกังวานไปทั่วทุ่งนาเชียวครับ
บางคน ทำว่าวใหญ่ๆ แอกก็ยิ่งใหญ่ไปด้วย ดังไปกว่าใคร
ว่าวสมัยนั้น ไม่มีว่าวสำเร็จทำขายนะครับ
ใครโตพอ ก็เหลาไม้ แปะกระดาษเอาเอง
คนไหนเด็กหน่อย ก็ต้องพึ่งพี่หรือพ่อให้ช่วยทำให้
ทีนี้ก็เอาไว้มาเกทับกันล่ะ พ่อใครทำว่าวได้เจ๋งกว่าใคร
จำได้ว่า พ่อเคยทำให้ครั้งนึง แต่พ่อผมฝีมือไม่ดี ทำแล้วก็ไม่ค่อยสวยครับ
อวดใครก็ไม่ได้ ก็แอบเล่นเงียบๆ ไป
ผ่านไป 30 ปี ผมจึงมีโอกาสได้ไปเยือนที่นั่น
วันนั้น ที่ผมเห็น
ผปมเห็นบ้านหลังเล็กๆ เก่าๆ เสื่อมโทรมไปตามเวลา
บ้านหลังนั้น ขนาดเล็กจนผมนึกภาพไม่ออก ว่าผมเคยรู้สึกว่ามันใหญ่โตได้ยังไง
บ้านยกพื้นหลังข้างๆ ที่เคยทำไว้ให้ยายอยู่ ถูกรื้อไปแล้ว
เล้าหมูเล้าไก่ ก็ไม่มีแล้ว
คนที่อยู่ตอนนี้ ไม่ได้ทำสวนมะพร้าวหรือสวนกล้วย หรือเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่อีก
ลานข้างบ้านที่เป็นลานทรายผืนใหญ่ๆ บัดนี้ กลายเป็นพื้นดินลูกรังที่มีหญ้าขึ้นหรอมแหรม
สะพานถูกรื้อทิ้งไป เพราะห่างออกไปมีการทำสะพานใหม่
คลองที่เคยโดดน้ำเล่น บัดนี่ กลางเป็นคูขนาดประมาณ 3-4 เมตรเท่านั้น
สิ่งที่ยังเหลือให้จดจำและระลึกถึงย่างนึง
ที่ผมเห็นแล้วจำได้ดี คือระหว่างทางเดินข้างบ้าน
จะมีต้นนุ่นต้นใหญ่อยู่ต้นนึง
ที่สมัยก่อน แม่ก็มักเก็บนุ่นจากต้นนี้มานัดหมอน
เวลาอารมณ์ดีๆ พ่อก้เคยเอากิ่งนุ่นมาริด เพื่อทำดาบไม้ให้ผมเอาไว้เล่นกับเพื่อน
(ไม้นุ่น เป็นไม้เนื้ออ่อน ง่ายต่อการริด และง่ายต่อการหักด้วยเช่นกัน)
มันยังยืนต้นสูงและออกฝักอยู่เช่นดังเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
หรือไม่ มันก็อาจเป็นต้นใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนต้นเดิม ผมก็ไม่ทราบได้
ในขณะที่ทุกอย่างที่นั้น เปลี่ยนไปหมด หลังจากผ่านไป 30 ปี
คลับคล้าย คลับคล้า
ว่ารู้จักกันดี
บ้านผมอยู่ตำบลห้วยลึก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุงครับ
เรียนที่โรงเรียนวัดท่าข้าม วัดที่ว่าคือวัดห้วยลึกครับ
เริ่มคุ้นมากขึ้นมั้ยครับ
- หงส์เฒ่าเสาร์ธรรม likes this
ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ
เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน
#82
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 12:24
POPULAR
ถ้าเอาให้เกี่ยวข้องกับเวปนี้หน่อย ก็ต้องเล่าถึงวัยเด็กของผมในมุมนี้นะครับ
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ชีวิตคือการแข่งขัน
ตอนเด็ก จบ ป6 ผมต้องพยายามอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้า ม 1 สอบติด ดีใจมาก
จบ ม6 ผมต้องพยายามอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาลัย สอบติด ดีใจมาก
จบมหาลัย ต้องพยายามสมัครสอบในองค์กรใหญ่ระดับประเทศ สอบติดเข้าได้ ดีใจมาก
เจอสาวสวย พยามจีบ จีบติด เป็นแฟนกัน แต่งงานดีใจมาก จากนั้นช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัว เดิมเช่าทาวเฮ้าส์อยู่ ก็ซื้อบ้านเดี่ยวเพื่อจะมีครอบครัวที่มีความสุขเหมือนในโฆษณาโจ๊ก ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ฯลฯ
แฟนท้อง มีลูกชายน่ารัก จากนั้นอีกปีนึงก็มีลูกสาวน่ารักๆมาอีกคน ดีใจมาก
สิ่งเหล่านี้ ผมใช้ความพยายามหามาด้วยตนเอง ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน ไม่หวังลมๆแล้วๆว่าใครจะมาช่วยให้เรามี ถ้าไม่ได้พยายามด้วยตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ผมจึงรังเกียจคนที่มีมือมีตรีนครบ เอาแต่เรียกร้องประชาธิปไตยที่เชื่อว่ามีถ้ามีแล้วมันจะแดรกเข้าไปได้ เข้าเมืองมาแมร่งก็เผาแล้วก็ขโมยของ (ยกเว้นหนังสือ) แต่ไม่เคยพยายามต่อสู้ในแนวทางที่ถูกต้องเพื่อที่จะให้ตนเองมีที่อยู่ในสังคมนี้ได้เลย
อยากจะบอกพวกเค้าเหล่านั้นเหลือเกินว่า พวกเอ็งกลับไปบอกลูกบอกหลานให้ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือที่มีประโยชน์ ตั้งใจเรียน เข้าวัดเข้าวาบ้าง ถ้าเป็นไปได้ก็เลือกดูหนังฟังเพลงที่ดี แล้วชีวิตลูกหลานเอ็งจะดีกว่าตอนที่พวกเอ็งกำลังเรียกร้องบ้าๆบอๆอยู่นะเว้ย
นี่สินะ วัยเด็กของผม
- isa, หน้าตาไม่ดี แต่เร้าใจ, bird and 10 others like this
#83
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 13:03
ตอนเด็ก ซนครับ ชอบค้นหา รื้อของเล่นพังไปหลายชิ้น เพื่อที่จะดูว่ากลไกมันเป็นยังไง 555+
ส่วนนิสัย ชอบทำอ่ะไรที่มันไม่เหมือนคนอื่น เวลาเห็นใครเก่งกว่าหรือมีคนชม/ชอบเยอะกว่า มันรู้สึกว่าเราต้องทำให้ได้เหนือกว่าคนนั้นๆ (ไม่ได้ขี้อิจฉานะ 555+)
ละก็ ตอนป.6 เพิ่งไรท์แผ่นซีดีเป็น เลยไปยืมแผ่นเกมแท้เพื่อน มาไรท์ไปขายเพื่อนคนอื่น แล้วไปทำแผ่นแท้ของเพื่อนพัง ต้องเอาค่าขนมมาจ่ายผ่อนค่าแผ่น (จำได้ว่าไม่มีตังกินหนมเป็นเดือนๆเลย)5555+
ที่ปัจจุบัน สอบได้คะแนนดีแต่ไม่ถึงดีมาก เพราะพ่อชอบสบประมาทมาตั้งแต่เด็กๆ แบบว่า พอทำอะไรดีแล้ว พ่อชอบบอกประมาณว่า "น่าจะทำได้เยอะกว่านี้นะ","แค่นี้คนอื่นก็ทำได้","แล้วมันพิเศษตรงไหน" เลยเป็นแรงผลักดัน ให้ขยันเรียนเป็นบางเวลา
- ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ likes this
ฉันมาที่บอร์ดแห่งนี้ เพื่อหยุดระบอบทักษิณ
#84
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 13:05
ชอบอ่านครับ ไม่เครียดดี ผมเป็นแฝด มีเพื่อนคู่คิดตลอด ว่าไปแล้วมันก็ดีนะ แต่ลำบากบ้างเวลาอยู่คนเดียว เพิ่งได้แยกกันตอนเรียนปริญญาตรี กว่าจะปรับตัวได้ก็แย่เหมือนกัน ตอนนี้อยู่กับคู่หูคนใหม่(ภรรยา) ฮากว่าเดิมอีกครับ ภรรยาบอกว่าอยากเป็นผู้บริหารที่เก่ง แต่ไม่สนใจการเมืองเลย ผมล่ะยิ่งฮา จะมีวิธีไหนบ้างให้หล่อนสนใจ เพราะผมว่ามันมีอะไรๆ ที่สอนเราได้มากเลยทีเดียว
ใช่เลย จะเป็นผู้บริหารต้องรู้เรื่องคน เป็นสำคัญประการหนึ่ง
การเืมือง สอนเรื่อง คน ได้ดีไม่น้อยทีเดียว
#85
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 13:26
ที่ฟังๆมา เด็กใต้เพ มากันเยอะหล่าวนิ
พ้มคนเมืองลุง บานอยู่นัยหลาด แควนประชาธิปัด เตินบานอยู่หนั้ย?
บานเดิมอยู่ตานี กินน้ำบูดู ตั้งแต่ตัวเล็กๆ พอตัวเติบมาเรียนอยู่หาดใหญ่ เคยเที่ยวเมืองลุง กินข้าวแกง หรอยจังหูนิ
- ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ likes this
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ... ศีลธรรม เป็นกรอบรักษาจินตนาการให้ดำรงอยู่ด้วยความดีงาม...
#86
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 13:34
เอาแบบจริงๆ เป็นเด็กเพื่อนน้อย ไม่ค่อยแข็งแรง ท่าทางเก้ๆ กังๆ แต่เรียนเก่งครับ
เป็นความหวังของเพื่อนๆ ที่จะช่วยพาให้สอบผ่านกันทั้งกลุ่มได้ เวลาสอบแบบไม่นั่งเรียงตามเลขที่ จะเนื้อหอมมากเป็นพิเศษ
เพื่อนที่เรียกว่าเป็นเพื่อนจริงๆ นับแล้ว อาจจะไม่เกิน 10 คนก็ได้
เพราะโดยนิสัยค่อนข้างรักสันโดษ ชอบอยู่คนเดียว เป็นฮิกคิโคโมริอ่อนๆ ครับ
- Tee likes this
#87
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 16:33
ตอนเรียนมัธยม ก็เรียนไปด้วย ตอนเย็นไปซื้อของให้แม่ขาย
หอบเงินใบละ 20 ไปโรงเรียนเป็นฟ่อนๆ ใส่ย่ามไป วันละ 1000 - 2000 ไม่เคยหาย
แม้ว่าจะแขวนไว้ในห้อง
พอโตมาก็มาเรียน มหาลัย ที่ กทม จนจบโท แล้วก็ทำงานเรื่อยมาตลอด
แล้วเอาไว้ที่บ้านจักหาย ฤ แม่พริ้งถึงได้นำติดตัวไปเยี่ยงนั้น
ความเท็จแม้นเร้นได้ในปัจจุบัน แต่ก็เหมือนซ่อนสุริยันไว้หลังเมฆ
อย่านึกถึงแต่ความผิดพลาด จงระลึกถึงต้นเหตุของความผิดพลาด
#89
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 16:41
ตอนเรียนมัธยม ก็เรียนไปด้วย ตอนเย็นไปซื้อของให้แม่ขาย
หอบเงินใบละ 20 ไปโรงเรียนเป็นฟ่อนๆ ใส่ย่ามไป วันละ 1000 - 2000 ไม่เคยหาย
แม้ว่าจะแขวนไว้ในห้อง
พอโตมาก็มาเรียน มหาลัย ที่ กทม จนจบโท แล้วก็ทำงานเรื่อยมาตลอด
แล้วเอาไว้ที่บ้านจักหาย ฤ แม่พริ้งถึงได้นำติดตัวไปเยี่ยงนั้น
แ่ม่ให้ไปซื้อของจากร้านส่งตอนเย็น เค้าไม่อยากพกติดตัวไง เพราะกระโปรงนักเรียนมันนิดเดียว
แล้วเงิน 2000 ธนบัตรใบละ 20 มันตุงมาก เลยเอาใส่ไว้ในย่าม พาดไว้ที่เก้าอี้นั่งเรียน ๕๕๕
มันไม่เคยหาย คงเพราะไม่มีใครรู้่ว่าเราพกเงินมา
- wewe likes this
#90
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 17:08
อ่านมู้นี้เจอผู้อาวุโสเยอะเลยแฮะ
ร่วมกันทำลายล้างระบอบทักษิณ-เผด็จการชินวัตรให้หมดไปจากแผ่นดินไทย
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่ เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย
#91
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 17:31
^^
"ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน”
"กลุ่มชาวพุทธหูรุนแรง"
#92
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 17:41
เมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสได้กลับบ้านเกิด และได้ไปเยือนบ้านของผม
ได้ไปถ่ายรูป เดินทอดน่องดูโน่นดูนี่ เห็นแล้วนึกสะท้อนใขหลายๆ อย่างเหมือนกัน
ภาพบ้านหลังนั้นในวัยเด็กไม่เกิน ป4
ผมรู้สึกว่ามันเป็นบ้านหลังใหญ่โต
สมัยนั้น พื้นบ้านเป้นปูนขัดมัน จะเย็นหลังเมื่อนอนลงไป
ผนังขั้นล่างเป้นอิฐฉาบปูน ผนังชั้นสองเป็นไม้
พื้นชั้นสองเป็นไม้กระดานแผ่นยาวๆ ที่เวลาเดินจะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดบ้าง
ในตัวบ้านจะมีบ่อน้ำ ที่ตาขุดเอาไว้สำหรับเป้นน้ำใช้
เมื่อเวลาจะอาบน้ำ พ่อก็จะตักน้ำขึ้นมาเทใส่บ่อกรองที่อยู่สูงเหนือที่ใส่น้ำอาบ
เพื่อให้กรองลงไปเป้นน้ำใสๆ ซึ่งจะใชไปถึงการล้างจาน ถูบ้านหรือใช้ในโอกาสอื่นด้วย
ส่วนน้ำกิน จะเป็นน้ำฝนที่รองใส่โอ่งเอาไว้รอบๆ บ้าน
หลังบ้านจะมีเล้าหมู เล้าไก่ และรังนกกระทาเลี้ยงเอาไว้
บริเวณบ้าน จะปลูกมะพร้าวและกล้วยเอาไว้ รวมถึงมีสวนกล้วยเล็กๆ
ที่ผมมักไปวิ่งเล่นอยู่บ้าง
แต่สถานที่ที่เล่นสนุกกันจริง คือคลองซึ่งอยู่ห่างจากบ้านออกไปประมาณ 20 เมตร
หน้าบ้าน จะมีสะพานทอดยาวข้ามคลองเส้นนั้น
สะพานนี้ ผมใช้เดินข้ามไป เลาะริมคันนาไปก็จะถึงโรงเรียนครับ
สมัยนั้น น้ำคลองช่วงหน้าฝน น้ำจะเยอะ เด็กๆ จะชอบมาเล่นกัน
เด็กเล็กหน่อยหรือแม้แต่ผม ถึงบ้านก็ถอดเสื้อนักเรียน
เหลือกางกางตัวเดียว วิ่งตื๋อไปที่สะพาน พอถึงจุดหมาย ก็ถอดกางเกงแขวนไว้กับราวสะพาน
กระโดดลงน้ำกันเลย (แน่นอน มันคือการแก้ผ้าเล่นน้ำแหละครับ)
เล่นกันจนเย็นค่ำ บางวัน แม่ต้องให้ก้านมะยมมาตาม
(ดูเหมือนแทบทุกบ้านที่มีลูกชายจะต้องปลูกต้นมะยมเอาไว้)
ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ สถานที่นัดเจอกันของเด็กบ้านนอกคือวัดครับ
วัดบ้านนอกสมัยนั้น จะเป็นวัดกว้างๆ เต็มไปด้วยพื้นทราย
เกมที่เราชอบเล่นกันที่สุด ภาษาใต้เรียกว่า “เก้-ลัก-หยบ” หรือเล่นซ่อนหากันและครับ
เล่นกันรอบๆ โบสถ์ ในพื้นที่วัดนั่นแหละ
อาจจะมีเกมอื่นก็แล้วแต่จะคิดกัน
วัดแห่งนั้น เป้นหนึ่งในสองวัด ในหมู่บ้าน
วัดนี้เป็นวัดหลัก มีงานเทศกาลอะไร ชาวบ้านก็มาทำกันที่นี่
สิ่งที่เด็กอย่างเราชอบมากที่สุดคือ หนังกลางแปลงครับ
เพราะบ้านนอก ไม่มีโอกาสได้ดูหนังหรือละคร
สมัยผมเล็กๆ มีโทรทัศน์กันแค่ 2-3 บ้านเท่านั้น
ดีที่สุดก็เป้นวิทยุ ดังนั้น เมื่อมีหนังกลางแปลง ชาวบ้านแทบทุกหลังคาเรือน
ก็จะหอบลูกจูงหลานกันมา หอบเสื่อหอบหมอนกันมา
เด็กเล็กพอดึกหน่อยก้หลับกันตรงนั้น หนังจบก็อุ้มกันกลับบ้าน
อ้อ เกือบลืมอีกที่นึงครับ
มีอีกอย่าง ที่เรามักเล่นกันอย่างเป็นกิจะลักษณะในยามปิดเทอม
คือ ว่าว
สถานที่หลักๆ ก็มีอยู่สองที่ คือสนามบอลที่โรงเรียน และท้องนา
ทุ่งนา้านผมสมัยนั้น คุนนาจะใหญ่โตพอที่เด็กๆ จะวิ่งเล่นกันได้
ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ทำเล็กแค่พอเดิน
ไม่มีสายไฟ ไม่มีต้นไม้สูง ทุ่งนาจึงเป้นสวรรคสำหรับเด็กที่จะเล่นว่าว
เด็กๆ หน่อย ก็เล่นว่าวปักเป้า หรือแม้แต่ว่าวกระบอก
(ว่าวกระบอก คือเว่าวที่พับกระดาษให้เหมือนไส้แม็กน่ะครับ)
หาเศษผ้ามาต่อหางเข้าหน่อยก็เล่นได้แล้ว
ถ้าเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ก็มักเล่นว่าวนก
ลักษณะจะเหมือนว่าวจุฬา แต่หัวจะเล็กกว่า
และสองท่อนหางจะรวมเป็นหางเดียว ลักษณะเหมือนหางนก
บางคนจะติด “แอก” เข้าไปด้วย
แอก จะเป็นคันไม้ไผ่เหลาบางๆ ผุกริบบิ้นให้เหมือนคันธนู
คล้องไว้ที่ส่วนหัวของว่าว
เวลาชักขึ้นติดลม ริบบิ้นโดนลม จะมีเสียงดังกังวานไปทั่วทุ่งนาเชียวครับ
บางคน ทำว่าวใหญ่ๆ แอกก็ยิ่งใหญ่ไปด้วย ดังไปกว่าใคร
ว่าวสมัยนั้น ไม่มีว่าวสำเร็จทำขายนะครับ
ใครโตพอ ก็เหลาไม้ แปะกระดาษเอาเอง
คนไหนเด็กหน่อย ก็ต้องพึ่งพี่หรือพ่อให้ช่วยทำให้
ทีนี้ก็เอาไว้มาเกทับกันล่ะ พ่อใครทำว่าวได้เจ๋งกว่าใคร
จำได้ว่า พ่อเคยทำให้ครั้งนึง แต่พ่อผมฝีมือไม่ดี ทำแล้วก็ไม่ค่อยสวยครับ
อวดใครก็ไม่ได้ ก็แอบเล่นเงียบๆ ไป
ผ่านไป 30 ปี ผมจึงมีโอกาสได้ไปเยือนที่นั่น
วันนั้น ที่ผมเห็น
ผปมเห็นบ้านหลังเล็กๆ เก่าๆ เสื่อมโทรมไปตามเวลา
บ้านหลังนั้น ขนาดเล็กจนผมนึกภาพไม่ออก ว่าผมเคยรู้สึกว่ามันใหญ่โตได้ยังไง
บ้านยกพื้นหลังข้างๆ ที่เคยทำไว้ให้ยายอยู่ ถูกรื้อไปแล้ว
เล้าหมูเล้าไก่ ก็ไม่มีแล้ว
คนที่อยู่ตอนนี้ ไม่ได้ทำสวนมะพร้าวหรือสวนกล้วย หรือเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่อีก
ลานข้างบ้านที่เป็นลานทรายผืนใหญ่ๆ บัดนี้ กลายเป็นพื้นดินลูกรังที่มีหญ้าขึ้นหรอมแหรม
สะพานถูกรื้อทิ้งไป เพราะห่างออกไปมีการทำสะพานใหม่
คลองที่เคยโดดน้ำเล่น บัดนี่ กลางเป็นคูขนาดประมาณ 3-4 เมตรเท่านั้น
สิ่งที่ยังเหลือให้จดจำและระลึกถึงย่างนึง
ที่ผมเห็นแล้วจำได้ดี คือระหว่างทางเดินข้างบ้าน
จะมีต้นนุ่นต้นใหญ่อยู่ต้นนึง
ที่สมัยก่อน แม่ก็มักเก็บนุ่นจากต้นนี้มานัดหมอน
เวลาอารมณ์ดีๆ พ่อก้เคยเอากิ่งนุ่นมาริด เพื่อทำดาบไม้ให้ผมเอาไว้เล่นกับเพื่อน
(ไม้นุ่น เป็นไม้เนื้ออ่อน ง่ายต่อการริด และง่ายต่อการหักด้วยเช่นกัน)
มันยังยืนต้นสูงและออกฝักอยู่เช่นดังเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
หรือไม่ มันก็อาจเป็นต้นใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนต้นเดิม ผมก็ไม่ทราบได้
ในขณะที่ทุกอย่างที่นั้น เปลี่ยนไปหมด หลังจากผ่านไป 30 ปี
คลับคล้าย คลับคล้า
ว่ารู้จักกันดี
บ้านผมอยู่ตำบลห้วยลึก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุงครับ
เรียนที่โรงเรียนวัดท่าข้าม วัดที่ว่าคือวัดห้วยลึกครับ
เริ่มคุ้นมากขึ้นมั้ยครับ
อยู่ข้างบ้านพี่ชายผมละดิ
คุณรู้จักพี่ชายผมดี
- tonythebest likes this
#93
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 20:13
มาต่อครับ
ท่านโทนี่ฯบอกว่าคิดถึงต้นนุ่นอายุ๓๐ปี
ที่หน้าบ้านผมมีต้นพลา(ไม่ทราบว่ารู้จักกันหรือไม่
เป็นไม้ยืนต้น ออกลูกเป็นพวง ไม้พลาเป็นชื่อหนึ่ง
ที่ท่านพุทธทาส นำไปเป็นชื่อสวนโมกพลาราม
คือชื่อไม้โมก+ไม้พลา นี่คือสุดยอดการประยุกต์ของท่าน)
มาต่อครับต้นพลาต้นนี้ใหญ่ขนาดสองคนโอบ
เวลาหน้าออกลูก พอลูกสุก นกมากินลูกเยอะมาก
นกที่มากมากที่สุด คือนกกรงหัวจุก นกหล่อ(ตัวเหลืองหัวดำ)
นกกรงแกร็ก(ภาษาถิ่น)
วิธีพิชิตนกเหล่านี้ ใช้ก้านมะพร้าวชุบยางตีนเป็ด+ยางพารา
ไปปักไว้ตามกิ่งเล็กๆบนต้นพลา โดยคะเนว่ามันน่าจะเกาะตรงนี้
เวลานกมันลง มันมาฝูงหนึ่งเป็นร้อย
พอโดนอาวุธที่ว่าติดที่ปีก มันก็บินไม่ได้
หล่นลงมาตุ๊บตั๊บๆๆๆ
ฝ่ายผู้ล่า ซึ่งซุ่มอยู่ในผ็ดอ่ะที่ปกปิดใกล้ๆนั้น
ก็จับนกดึงเอาอาวุธออก ใส่ถุง
ตัวไหนสวยอาจเอาไว้เลี้ยง
นอกนั้นปรุงอาหาร ปิ้ง ย่าง สำหรับเด็กวัยซน
แกง สำหรับผู้ใหญ่
แกงนกปักษ์ใต้ ไม่อยากพรืด อร่อยยยยยยยยยยยยยยยยย
กินไปร้องไป.........มันเผ็ดอ่ะ
ถ้าเป็นสมัยนี้
นกกรงหัวจุกธรรมดา ยังไม่ได้ขึ้นกรง ราคาตัวละเฉียดๆพันบาท
น่าจะมีตังค์นะ
ปัจจุบัน
นกกรงหัวจุกในธรรมชาติแถวบ้าน อย่าไปหาเลย มิมีแม้แต่ตัวเดียว
เล่าไปก็หายใจครับ
อ้อ...หายใจคือใจหายครับ
- tonythebest likes this
#94
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 20:37
เรื่องนี้ดราม่าเยอะนะครับ
ผมเกิดที่ กทม. อายุยังไม่ถึงขวบ พ่อแม่ก็ย้ายไปบางพลี สมุทรปราการ
ตอนผมอายุ 4-5 ขวบ ครอบครัวก็ย้ายไปบางบัวทอง ซึ่งเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่น่าจดจำ
พ่อแม่ปูพื้นฐานมาดีมาก ซื้อหนังสือให้อ่านตั้งแต่ผมยังเด็กๆ และสอนการบ้านเองด้วย ตั้งแต่อนุบาล - ป.3
ผลการเรียนก็เป็นอันดับต้นๆ ตลอด
แม่ผมเคยเปิดร้านขายอาหารตามสั่ง ตอนนั้นผมอายุ 7-8 ขวบ แม่ก็ใช้ให้ผมปั่นจักรยานไปส่งก๋วยเตี๋ยวตามบ้าน ลูกค้าก็เป็นเพื่อนบ้่านแถวนั้นแหละครับ
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ย้ายไปอยู่ราชบุรีเพราะปัญหาทางการเงิน เนื่องจากพ่อผมติดพนันบอลจนเป็นหนี้ ต้องขายบ้านที่บางบัวทองไป
ที่ย้ายไปราชบุรีเพราะญาติฝ่ายแม่อยู่แถวนั้น แล้วหลังจากนั้นไม่กี่เดือน แม่ก็หย่ากับพ่อ ผมก็เลยอยู่กับแม่อยู่พักหนึ่ง
แล้วพ่อก็กลับมาอีก แต่ฐานะทางกฎหมายคือหย่า เพราะเห็นแก่ลูก คือ ผมกับน้อง
ที่จริงผมเป็นคนเพื่อนน้อยนะครับ ตั้งแต่เรียนหนังสือมา ก็จะมีเพื่อนที่สนิทๆ อยู่ไม่กี่คน
- a.mtvv, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ and Redbuffalo010 like this
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#95
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 20:45
แถวบ้านฝนตกน้ำท่วมบ่อยมากๆ วิ่งเล่นน้ำ จนนิ้วเท้าเป็นบาดทะยักประจำเลย
- Redbuffalo010 likes this
#96
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 20:49
บ้านผมอยู่ตำบลห้วยลึก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุงครับ
เรียนที่โรงเรียนวัดท่าข้าม วัดที่ว่าคือวัดห้วยลึกครับ
เริ่มคุ้นมากขึ้นมั้ยครับอยู่ข้างบ้านพี่ชายผมละดิ
คุณรู้จักพี่ชายผมดี
โว่ว เจอเพื่อนบ้านกันซะงั้น!!!!
ผมอ่านเรื่องราวของเพื่อนๆทุกคนด้วยความสนุกและมีความสุขมากครับ
แต่....ไลค์ผมหมดอีกรอบไปกับกระมู้เลือกตั้งแล้ว....ติดไว้พรุ่งนี้นะค้าบ
เชิญชวนเพื่อนๆเล่าต่อๆนะครับ ผมรออ่านอยู่
- tonythebest likes this
#97
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 21:37
วีรกรรมเยอะเลยล่ะครับ ฮ่า ฮ่า ด้วยความที่เกิดมาในตระกูลทหาร เลยออกจะห่ามๆ ห้าวๆ ไม่กลัวใครตั้งแต่เด็ก ยิงปืนครั้งแรกตั้งแต่ 6 ขวบ พอยิงเป็นแล้วดันนึกสนุกขโมยปืนพ่อไปซ่อน - -' ซนมากตอนนั้น โดนพ่อเตะเลย
ม.ต้น ขับรถเป็นแล้วก็ แอบจิ้กรถพ่อไปรับสาว เวลาพ่อไม่อยู่.....ความซวยดันโดนตำรวจเรียก.....ไอ้ตำรวจเวรนั่นดันรู้จักพ่อตูอีก......เค้าปล่อยผมนะ
...ไม่แจกใบสั่ง แค่สอนๆ .....แต่ดันไปบอกพ่อผม....ซวยกว่าโดนใบสั่งอีก55555+
ม.4 ได้สัมผัสชีวิตมัธยมปลายที่มีสาวๆมาเรียนด้วยแค่ปีเดียวครับ หลังจากนั้นก็เข้าสู่วิถีชีวิตประจำตระกูล แน่นอนครับเป็นคนที่รุ่นพี่ๆทั้งรัก(มั้ง) ทั้งหมายหัว...พี่ๆสั่งไรมาผมทำได้หมดแหละ แต่จะมีอาการกวนตีนตามประสาน้องๆบ้าง ผลคือ...."ผมแม่ม เหนื่อยตลอด ชั้น1"....ขึ้นชั้น 2 ไปแล้ว พี่ๆบางท่านก็เอ็นดู.....ลงมาเหล่า "จวก" โชว์น้องชั้น1 ...ผมนี่ ตัวแทบระเบิด ><! ..... สนุกดีครับ ชีวิตช่วงนั้น สนุกที่สุดแล้ว เปลี่ยน "ญาติ" ไม่ซ้ำงานเลย 55+
- a.mtvv and ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ like this
#98
ตอบ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 21:58
เล่ามั่งๆ
เด็กๆชอบเล่นหมากเก็บ กระโดดยาง โป้งแปะ
ฝันอยากเป็นนางสาวไทย
เป็นคนยิ่งเรียนยิ่งเก่ง ตอนอยู่ประถมเป็นนักเรียนระดับ top three นับจากที่หนึ่ง
ถึงม.ปลายยังรักษาระดับนั้นอยู่ แต่ต้องนับจากที่สุดท้าย
ม.ต้นสอบภาษาอังกฤษได้เต็ม พออยู่ม.ปลายสอบตกวิชานี้
เรียนศิลป์คำนวณ สอบคณิตศาสตร์ได้เกรด 3 ตั้งหนึ่งครั้ง
นอกนั้นตลอด 6 ปี มีสอบซ่อมทุกเทอม ... ยืนยันความเป็นคนคงเส้นคงวา^^
อยากเรียนนิเทศ แต่เลือกเอนทรานซ์คณะอักษร
(เออหนอตัวกรู ... คิดอย่างทำอย่าง ไม่ยักคิดใหม่ทำใหม่)
สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง >> ชอบอ่านหนังสือมาก
ถ้าหายไป ทุกคนจะรู้ว่าตามเจอได้ที่ห้องสมุด
ยามนี้ ... ยังไม่เลิกฝันอยากเป็นนางสาวไทย ... กล้าแค่ไหน คิดดู
- THE THIRD WAY and ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ like this
#99
ตอบ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 21:16
กระทู้น่ารักเหมือนกระทู้ที่มีคนเคยตั้งเกี่ยวกับชื่อล็อคอิน ที่ว่าทำไมถึงใช้ชื่อล็อคอินแบบนี้เลยค่ะ
เล่ามั่งๆ
เด็กๆชอบเล่นหมากเก็บ กระโดดยาง โป้งแปะ
ฝันอยากเป็นนางสาวไทย
เป็นคนยิ่งเรียนยิ่งเก่ง ตอนอยู่ประถมเป็นนักเรียนระดับ top three นับจากที่หนึ่ง
ถึงม.ปลายยังรักษาระดับนั้นอยู่ แต่ต้องนับจากที่สุดท้าย
ม.ต้นสอบภาษาอังกฤษได้เต็ม พออยู่ม.ปลายสอบตกวิชานี้
เรียนศิลป์คำนวณ สอบคณิตศาสตร์ได้เกรด 3 ตั้งหนึ่งครั้ง
นอกนั้นตลอด 6 ปี มีสอบซ่อมทุกเทอม ... ยืนยันความเป็นคนคงเส้นคงวา^^
อยากเรียนนิเทศ แต่เลือกเอนทรานซ์คณะอักษร
(เออหนอตัวกรู ... คิดอย่างทำอย่าง ไม่ยักคิดใหม่ทำใหม่)
สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง >> ชอบอ่านหนังสือมาก
ถ้าหายไป ทุกคนจะรู้ว่าตามเจอได้ที่ห้องสมุด
ยามนี้ ... ยังไม่เลิกฝันอยากเป็นนางสาวไทย ... กล้าแค่ไหน คิดดู
-ขอจงมีความสุข
แม้เป็นเพียงฝัน
ยามนี้ บ้านเมืองเราหาความสุขยากจริงๆ
- คุณหนูจีน่า likes this
ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน