Jump to content


Photo
- - - - -

'พระพุทธเจ้าน้อย' มาจากไหน?


  • Please log in to reply
163 replies to this topic

#151 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

Posted 13 March 2013 - 15:04

 

 

^_^  ถามกลับมั่ง... ใครทราบบ้างขอรับ พระพุทธองค์ผู้เป็นที่เคารพศรัทธาสูงสุดของมนุษย์ เทวดา มาร พรหม นั้น... เคารพอะไรสูงสุด?

 

:rolleyes:  ดันๆๆ จะได้สรุปๆๆ... ฮี่ๆๆ

 

ไม่ทราบครับ

ถึงแม้ผมคิดว่าจะรู้คำตอบ แต่ก็ไม่รู้ว่าตรงกับท่านไหม

ท่านเสด็จแล้วพบว่า "สาวก" กำลังทำกิจนั้น ท่านยังรอคอย

จนทำกิจนั้นสำเร็จ แล้วถึงเสด็จเข้าไป ท่านเคารพสิ่งใดกันหนอ

 

>เหอะ เหอะ  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

 

"เราควรสักการะ เคารพธรรมที่เราตรัสรู้นี่แหละแล้วอาศัยอยู่" 

 

ไม่รู้ตรงคำตอบของน้า wat หรือเปล่า

 

:mellow:   มีตอบกันแค่เนี้ย...

 

^_^   สรุปเลยแล้วกันขอรับ... ธรรมที่ทรงตรัสไว้ชอบแล้ว สมบูรณ์ บริบูรณ์แล้วนั่นแหละขอรับ คือสิ่งที่พระตถาคตเคารพสูงสุด พระตถาคตกล่าวว่าการที่เราเคารพผู้ที่ควรเคารพ สักการะผู้ที่ควรสักการะ ให้ทานผู้ที่ควรรับทานนั้นเป็นสิ่งประเสริฐที่ควรจะกระทำ อันเป็นธรรมอย่างหนึ่งของการก้าวเป็นอริยะ แต่พระองค์เองเป็นผู้สูงสุดในวัฏฏะนี้ การจะไม่เคารพสิ่งใดๆเลยเป็นการไม่สมควร พระองค์จึงถือ "ธรรมะ" เป็นสิ่งที่พระองค์เคารพอย่างสูงสุดขอรับ (พระสูตรไหน ลองไปหากันดูนะขอรับ... จำไม่ได้แล้ว)

 

...เพราะฉะนั้น... การที่กระพ๊มหรือพุทธศาสนิกชนท่านใดออกมาวิจารณ์, ติเตียนสิ่งที่ไม่ใช่ "ธรรม" ของพระองค์  ใครบอกเป็นการลบหลู่, สุดโต่ง, เทวทัต ฯลฯ กระพ๊มว่ามันก็นานาจิตตังขอรับ จะคิดเป็นกุศล หรืออกุศล... ก็อยู่ที่ทิฐฐิตนเองขอรับ จะเป็นสัมมาทิฐฐิหรือมิจฉาทิฐฐิที่นำตนไปสู่อบายเองก็ตามใจเลือกกันเอง ไม่มีใครบังคับหรือกำหนดให้ได้... แต่กระพ๊มเชื่อว่า การเชื่อ, ศรัทธาโดยผ่านการใคร่ครวญ พิจารณา และค้นหา "ความจริง" อันเป็น "แก่น" นั้น ที่สุดก็คือสัมมาทิฐฐิ และของกระพ๊มก็คือ เชื่อมั่น, ศรัทธาใน "ธรรม" อันเป็น "พุทธวจนะ" ของพระตถาคตอย่างสูงสุดเท่านั้นขอรับ...

 

:)   คนอื่นจะยังไง... ก็ว่ากันไปขอรับ... กระพ๊มทำหน้าที่ตามที่เป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องของพระพุทธองค์แค่นั้น...

 

 

attachicon.gif42852a206.jpg

 

 

 

แสดงว่า พวกเรา ใช้ตำราเล่มเดียวกัน :)



#152 เกลียดคุณแม้วจังครับ

เกลียดคุณแม้วจังครับ

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,190 posts

Posted 13 March 2013 - 15:14

เชื่อกันสนิทใจว่า

 

ถ้าได้สร้างอะไรๆ ที่ใหญ่ๆ เยอะๆ มากๆ แพงๆ

ถวายพระศาสนาแล้วจะเป็นบุญกุศลสูงสุดแก่ตน

 

ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน????

วัดจานบินไง



#153 พิฆาตอสูร

พิฆาตอสูร

    พอจะทนเสื้อแดงได้นิดๆ

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,786 posts

Posted 13 March 2013 - 15:21

เพิ่งมาจากเนปาล

ที่วัดไทยลุมพินีวัน  มีการสร้างพระพุทธเจ้าน้อยมาก่อนหน้านี้แล้ว

น่าจะเพราะเป็นที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ  คนที่นั่นเรียกว่า เบบี้บุดดา


ฟ้าสีทองผ่องอำไพ  ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน


#154 คนสับปะหลี้

คนสับปะหลี้

    สูงสุดแดนสยาม

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,262 posts

Posted 14 March 2013 - 08:48

เชื่อกันสนิทใจว่า

 

ถ้าได้สร้างอะไรๆ ที่ใหญ่ๆ เยอะๆ มากๆ แพงๆ

ถวายพระศาสนาแล้วจะเป็นบุญกุศลสูงสุดแก่ตน

 

ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน????

วัดจานบินไงครับ


"ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ" - หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

"คนเราสามารถเปลี่ยนต้นไม้ประหลาด ให้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนคนผิดให้เป็นพระเจ้า เปลี่ยนสีขาวให้เป็นสีดำ เพียงเพราะความเชื่อของตัวเองเพียงเท่านั้น"


#155 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

Posted 14 March 2013 - 09:43

เชื่อกันสนิทใจว่า

 

ถ้าได้สร้างอะไรๆ ที่ใหญ่ๆ เยอะๆ มากๆ แพงๆ

ถวายพระศาสนาแล้วจะเป็นบุญกุศลสูงสุดแก่ตน

 

ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน????

วัดจานบินไงครับ

 

เป็นการมอมเมาที่สุดๆๆๆ

เพราะการทำบุญถือว่าได้บุญน้อยสุดแล้ว  

การให้ธรรมะต่างหากถือว่าได้บุญมาก

 

และการทำจิตให้บริสุทธิ์คือบุญสูงสุดเลยนะครับ


gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#156 wise

wise

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 1 posts

Posted 18 March 2013 - 11:16

หลังจากได้อ่านบทความด้านบน ก็คิดอยู่นานว่าจะเขียนดีหรือไม่ดีเพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นฝักฝ่ายการเมือง เดี๋ยวก็บอกว่าเป็นการแก้ตัวให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ เพราะวันนี้มีการโยงใยประเด็นนี้เป็นการเมืองไปแล้ว เอาเป็นว่าขอให้ความรู้ก็แล้วกันเพราะเป็นห่วงกลัวคนจะจาบจ้วงพระรัตนตรัยโดยใช่เหตุ

เนื่องจากงาน "หล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร(พระพุทธเจ้าน้อย) วันที่ 8-10มีนาคม ณ.ท้องสนามหลวง" และมีการนำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอยู่ 2-3 ประเด็น

๑. ชื่อนี้ได้แต่ไหนมา "พระพุทธเจ้าน้อย" 

ซึ่งจริงๆ ภายในงานใช้ชื่อว่า "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย)" มีการวงเล็บว่าพระพุทธเจ้าน้อย เมื่อตามไปดูเป็นการแปลกลับมาจากคำว่า Baby Buddha หรือ A little Buddha ตามความเข้าใจและนิยมเรียกของชาวต่างประเทศ ครั้งหนึ่ง ฮอลลิวูดก็เคยสร้างภาพยนตร์ที่ใช้ชื่ออย่างนี้ และเป็นการเข้าใจตรงกันว่าเมื่อเราพูดถึง Baby Buddha ก็จะเข้าใจหมายถึง "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร"

ดังนั้นการหล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) เพื่อไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีสถานประเทศเนปาล ที่ไม่ใช่ประเทศไทยและต้องการสื่อสารกันชาวพุทธทั้งโลกทั้งในฝ่ายมหายาน เถรวาท และวัชรยาน ก็คงหมายเอาสัญญาสากลที่หมายรู้กันว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) ก็คือ Baby Buddha นั่นเอง

๒. องค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) มีการสร้างกันมาก่อนหรือไม่หรือเป็นการโยงใยการที่ยืนยกมือชี้ฟ้า ประหนึ่งโยงใยไปถึงตอนหัวหน้าพรรคบางพรรคหาเสียงเบอร์ 1 ประเด็นนี้ ไม่อยากจะให้มองแบบนี้เลยไม่น่าจะเอาเรื่องของ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร มาโยงกับการหาเสียงในเมืองไทย

การที่มีลักษณะดังกล่าวเนื่องจากหมายเอาตอนที่ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร ได้ประสูติมีพระดำเนิน ๗ ก้าวแล้วได้ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ แปลว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก เราเป็นเจริญที่สุดในโลก ความเกิดของเรานี้ เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ของเราไม่มีอีก” ซึ่งปรากฏชัดในพระพุทธประวัติ ในพระไตรปิฎก จึงไม่สมควรที่จะโยงใยประเด็นเหล่านี้ไปผูกกับประเด็นการเมืองอย่างยิ่ง

และการสร้าง Baby Buddha นั้นมีกันมานานมากแล้วมีทั้งการพบหลักฐานโบราณ และในสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธศาสนาก็มีการสร้างกัน แม้แต่ในเมืองลุมพินีก็มีการสร้างไว้กลางแยกใหญ่เป็นสัญลักษณ์กลางเมืองลุมพินี (ตามรูปที่แสดงให้เห็น)

๓. แล้วเด็กเพิ่งถือกำเนิดสมควรจะกราบไหว้หรือไม่ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย ข้อนี้ในพุทธประวัติ 'อสิตดาบส' หรือบางแห่งเรียกว่า 'กาฬเทวินดาบส' ท่านดาบสผู้นี้บวชเป็นฤาษีอยู่ข้างเขาหิมพานต์ หรือที่ทุกวันนี้เรียกว่าเขาหิมาลัยนั่นเอง เมื่อท่านทราบข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะ ประมุขกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ทรงมีพระราชโอรสใหม่ จึงออกจากอาศรมเชิงเขา เข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อถวายพระพรยังราชสำนัก พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวว่าท่านดาบสมาเยี่ยม ก็ทรงดีพระพระทัยนักหนา จึงตรัสสั่งให้นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะแล้วทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อให้นมัสการท่านดาบส

พอท่านดาบสได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ทำกริยาผิดวิสัยสมณะ ๓ อย่าง คือ ยิ้มหรือแย้ม หรือที่ภาษากวีในหนังสือปฐมสมโพธิเรียกอย่างหนึ่งว่า หัวเราะแล้วร้องไห้ แล้วกราบแทบพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะ

ท่านยิ้มเพราะเห็นพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะต้องด้วยตำรับมหาบุรุษลักษณ์ ท่านเห็นว่า คนที่มีลักษณะอย่างนี้ ถ้าอย่างครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงมีพระบรมเดชานุภาพแผ่ไปไกล แต่ถ้าได้ออกบวชจะได้เป็นพระศาสดาผู้มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ที่ท่านร้องไห้ก็เพราะเชื่อแน่ว่าเจ้าชายราชกุมารนี้ จะต้องออกบวช เพราะเหตุที่เชื่ออย่างนี้ เลยนึกถึงตัวท่านเองว่า เรานี่แก่เกินการณ์เสียแล้ว เลยเสียใจว่ามีบุญน้อย ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และที่กราบไหว้พระบาทราชกุมารที่เพิ่งประสูติใหม่ 

เพราะการอุบัติขึ้นของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร นั้นต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะสั่งสมบารมีมาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าดังนั้นเรื่องพุทธวิสัย พระพุทธองค์ท่านทรงเรียกว่า อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น


เอาละที่เขียนมาเสียยืดยาวเพราะไม่ต้องการให้มีการโยงใยงานบุญงานกุศล งานการเมือง หลักธรรม ความเชื่อ แนวทางการปฏิบัติให้ยุ่งกันไปมากกว่านี้วันนี้ในเมืองเรายุ่งพอแล้วอย่างสร้างความแปลกแยกให้ศาสนจักรด้วยเลย สาธุ
522673_445169275561871_298988350_n.jpg

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พอดีผมก็ไปร่วมทำบุญมา  ผมว่าอย่าเอาศาสนามาปนกับการเมืองเลยครับ  งานนี้ เขาทำดี ก็ต้องช่วยกันครับ เพื่อศาสนาของเรา



#157 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

Posted 18 March 2013 - 11:43

พอดีผมก็ไปร่วมทำบุญมา  ผมว่าอย่าเอาศาสนามาปนกับการเมืองเลยครับ  งานนี้ เขาทำดี ก็ต้องช่วยกันครับ เพื่อศาสนาของเรา

 

อุตส่าห์สมัครล็อกอินมาใหม่เพื่อการนี้  1 โพสต์

 

 

หึหึ

 

 

 

ปล. ขี้เกียจด่าซ้ำ พวกบัวเต่าถุย ด่าไปก็เท่านั้น


gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#158 hbkhbkz

hbkhbkz

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 1 posts

Posted 18 March 2013 - 13:36

ขอยกคำจาก พระครูวินัยมาค่ะ

หลังจากได้อ่านบทความด้านบน ก็คิดอยู่นานว่าจะเขียนดีหรือไม่ดีเพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นฝักฝ่ายการเมือง เดี๋ยวก็บอกว่าเป็นการแก้ตัวให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ เพราะวันนี้มีการโยงใยประเด็นนี้เป็นการเมืองไปแล้ว เอาเป็นว่าขอให้ความรู้ก็แล้วกันเพราะเป็นห่วงกลัวคนจะจาบจ้วงพระรัตนตรัยโดยใช่เหตุ

เนื่องจากงาน "หล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร(พระพุทธเจ้าน้อย) วันที่ 8-10มีนาคม ณ.ท้องสนามหลวง" และมีการนำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอยู่ 2-3 ประเด็น

๑. ชื่อนี้ได้แต่ไหนมา "พระพุทธเจ้าน้อย"

ซึ่งจริงๆ ภายในงานใช้ชื่อว่า "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย)" มีการวงเล็บว่าพระพุทธเจ้าน้อย เมื่อตามไปดูเป็นการแปลกลับมาจากคำว่า Baby Buddha หรือ A little Buddha ตามความเข้าใจและนิยมเรียกของชาวต่างประเทศ ครั้งหนึ่ง ฮอลลิวูดก็เคยสร้างภาพยนตร์ที่ใช้ชื่ออย่างนี้ และเป็นการเข้าใจตรงกันว่าเมื่อเราพูดถึง Baby Buddha ก็จะเข้าใจหมายถึง "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร"

ดังนั้นการหล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) เพื่อไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีสถานประเทศเนปาล ที่ไม่ใช่ประเทศไทยและต้องการสื่อสารกันชาวพุทธทั้งโลกทั้งในฝ่ายมหายาน เถรวาท และวัชรยาน ก็คงหมายเอาสัญญาสากลที่หมายรู้กันว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) ก็คือ Baby Buddha นั่นเอง

 ๒. องค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) มีการสร้างกันมาก่อนหรือไม่หรือเป็นการโยงใยการที่ยืนยกมือชี้ฟ้า ประหนึ่งโยงใยไปถึงตอนหัวหน้าพรรคบางพรรคหาเสียงเบอร์ 1 ประเด็นนี้ ไม่อยากจะให้มองแบบนี้เลยไม่น่าจะเอาเรื่องของ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร มาโยงกับการหาเสียงในเมืองไทย

 การที่มีลักษณะดังกล่าวเนื่องจากหมายเอาตอนที่ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร ได้ประสูติมีพระดำเนิน ๗ ก้าวแล้วได้ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ แปลว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก เราเป็นเจริญที่สุดในโลก ความเกิดของเรานี้ เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ของเราไม่มีอีก” ซึ่งปรากฏชัดในพระพุทธประวัติ ในพระไตรปิฎก จึงไม่สมควรที่จะโยงใยประเด็นเหล่านี้ไปผูกกับประเด็นการเมืองอย่างยิ่ง

 และการสร้าง Baby Buddha นั้นมีกันมานานมากแล้วมีทั้งการพบหลักฐานโบราณ และในสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธศาสนาก็มีการสร้างกัน แม้แต่ในเมืองลุมพินีก็มีการสร้างไว้กลางแยกใหญ่เป็นสัญลักษณ์กลางเมืองลุมพินี (ตามรูปที่แสดงให้เห็น)

 ๓. แล้วเด็กเพิ่งถือกำเนิดสมควรจะกราบไหว้หรือไม่ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย ข้อนี้ในพุทธประวัติ 'อสิตดาบส' หรือบางแห่งเรียกว่า 'กาฬเทวินดาบส' ท่านดาบสผู้นี้บวชเป็นฤาษีอยู่ข้างเขาหิมพานต์ หรือที่ทุกวันนี้เรียกว่าเขาหิมาลัยนั่นเองเมื่อท่านทราบข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะ ประมุขกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ทรงมีพระราชโอรสใหม่ จึงออกจากอาศรมเชิงเขา เข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อถวายพระพรยังราชสำนัก พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวว่าท่านดาบสมาเยี่ยม ก็ทรงดีพระพระทัยนักหนา จึงตรัสสั่งให้นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะแล้วทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อให้นมัสการท่านดาบส

 พอท่านดาบสได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ทำกริยาผิดวิสัยสมณะ ๓ อย่าง คือ ยิ้มหรือแย้ม หรือที่ภาษากวีในหนังสือปฐมสมโพธิเรียกอย่างหนึ่งว่า หัวเราะแล้วร้องไห้ แล้วกราบแทบพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะ

 ท่านยิ้มเพราะเห็นพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะต้องด้วยตำรับมหาบุรุษลักษณ์ ท่านเห็นว่า คนที่มีลักษณะอย่างนี้ ถ้าอย่างครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงมีพระบรมเดชานุภาพแผ่ไปไกล แต่ถ้าได้ออกบวชจะได้เป็นพระศาสดาผู้มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ที่ท่านร้องไห้ก็เพราะเชื่อแน่ว่าเจ้าชายราชกุมารนี้ จะต้องออกบวช เพราะเหตุที่เชื่ออย่างนี้ เลยนึกถึงตัวท่านเองว่า เรานี่แก่เกินการณ์เสียแล้ว เลยเสียใจว่ามีบุญน้อย ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และที่กราบไหว้พระบาทราชกุมารที่เพิ่งประสูติใหม่

เพราะการอุบัติขึ้นของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร นั้นต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะสั่งสมบารมีมาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าดังนั้นเรื่องพุทธวิสัย พระพุทธองค์ท่านทรงเรียกว่า อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น

 เอาละที่เขียนมาเสียยืดยาวเพราะไม่ต้องการให้มีการโยงใยงานบุญงานกุศล งานการเมือง หลักธรรม ความเชื่อ แนวทางการปฏิบัติให้ยุ่งกันไปมากกว่านี้วันนี้ในเมืองเรายุ่งพอแล้วอย่างสร้างความแปลกแยกให้ศาสนจักรด้วยเลย สาธุ



#159 ypk

ypk

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,173 posts

Posted 18 March 2013 - 15:20

เหอะ เหอะ  รูปหล่อของพระพุทธเจ้าตอนประสูติก็กราบไหว้ได้ครับ ผมคิดอย่างนั้นนะ

เพราะมันอยู่ที่ความ เชื่อความศรัทธาของแต่ละคน โดยเฉพาะ คนไทยแล้ว จอมปลวก

ต้นกล้วยยังไหว้ได้ ทำไมรูปหล่อของพระพุทธเจ้าตอนประสูติทำไมจะไหว้ไม่ได้

 

แต่ประเด็นมันอยู่ที่คำว่า พระพุทธเจ้าน้อยมากกว่า ความจริงผมว่าชื่อเป็นทางการนั้นเหมาะสม

ดีอยู่แล้ว ไม่น่าไปวงเล็บให้มันสับสนเลย เพราะคำว่า Baby Buddha หรือ Little Buddha นี่

ฝรั่งเขาใช้ เขาเข้าใจความหมาย ว่าคือพระพุทธเจ้าตอนเด็ก หรือตอนประสูติ แต่พอเรามาแปล

และใส่วงเล็บว่าพระพุทธเจ้าน้อยนี่ ในความหมายหรือความเข้าใจของคนไทยกลายเป็นคนละเรื่อง

เลย กลายเป็นมีพระพุทธเจ้าใหม่ขึ้นมาอีกองค์หนึ่งเลย

 

ภาษาอังกฤษนี่ ผมว่า ถ้าแปลเป็นไทยแล้ว มันเยื่อนเย้อ เข้าใจยาก ก็เรียกทับศัพท์ไปเลยดีกว่าจะได้

ไม่ต้องมาแปลไทยเป็นไทยอีกครั้ง



#160 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

Posted 18 March 2013 - 18:21

ขอยกคำจาก พระครูวินัยมาค่ะ

หลังจากได้อ่านบทความด้านบน ก็คิดอยู่นานว่าจะเขียนดีหรือไม่ดีเพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นฝักฝ่ายการเมือง เดี๋ยวก็บอกว่าเป็นการแก้ตัวให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ เพราะวันนี้มีการโยงใยประเด็นนี้เป็นการเมืองไปแล้ว เอาเป็นว่าขอให้ความรู้ก็แล้วกันเพราะเป็นห่วงกลัวคนจะจาบจ้วงพระรัตนตรัยโดยใช่เหตุ

เนื่องจากงาน "หล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร(พระพุทธเจ้าน้อย) วันที่ 8-10มีนาคม ณ.ท้องสนามหลวง" และมีการนำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอยู่ 2-3 ประเด็น

๑. ชื่อนี้ได้แต่ไหนมา "พระพุทธเจ้าน้อย"

ซึ่งจริงๆ ภายในงานใช้ชื่อว่า "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย)" มีการวงเล็บว่าพระพุทธเจ้าน้อย เมื่อตามไปดูเป็นการแปลกลับมาจากคำว่า Baby Buddha หรือ A little Buddha ตามความเข้าใจและนิยมเรียกของชาวต่างประเทศ ครั้งหนึ่ง ฮอลลิวูดก็เคยสร้างภาพยนตร์ที่ใช้ชื่ออย่างนี้ และเป็นการเข้าใจตรงกันว่าเมื่อเราพูดถึง Baby Buddha ก็จะเข้าใจหมายถึง "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร"

ดังนั้นการหล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) เพื่อไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีสถานประเทศเนปาล ที่ไม่ใช่ประเทศไทยและต้องการสื่อสารกันชาวพุทธทั้งโลกทั้งในฝ่ายมหายาน เถรวาท และวัชรยาน ก็คงหมายเอาสัญญาสากลที่หมายรู้กันว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) ก็คือ Baby Buddha นั่นเอง

 ๒. องค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) มีการสร้างกันมาก่อนหรือไม่หรือเป็นการโยงใยการที่ยืนยกมือชี้ฟ้า ประหนึ่งโยงใยไปถึงตอนหัวหน้าพรรคบางพรรคหาเสียงเบอร์ 1 ประเด็นนี้ ไม่อยากจะให้มองแบบนี้เลยไม่น่าจะเอาเรื่องของ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร มาโยงกับการหาเสียงในเมืองไทย

 การที่มีลักษณะดังกล่าวเนื่องจากหมายเอาตอนที่ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร ได้ประสูติมีพระดำเนิน ๗ ก้าวแล้วได้ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ แปลว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก เราเป็นเจริญที่สุดในโลก ความเกิดของเรานี้ เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ของเราไม่มีอีก” ซึ่งปรากฏชัดในพระพุทธประวัติ ในพระไตรปิฎก จึงไม่สมควรที่จะโยงใยประเด็นเหล่านี้ไปผูกกับประเด็นการเมืองอย่างยิ่ง

 และการสร้าง Baby Buddha นั้นมีกันมานานมากแล้วมีทั้งการพบหลักฐานโบราณ และในสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธศาสนาก็มีการสร้างกัน แม้แต่ในเมืองลุมพินีก็มีการสร้างไว้กลางแยกใหญ่เป็นสัญลักษณ์กลางเมืองลุมพินี (ตามรูปที่แสดงให้เห็น)

 ๓. แล้วเด็กเพิ่งถือกำเนิดสมควรจะกราบไหว้หรือไม่ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย ข้อนี้ในพุทธประวัติ 'อสิตดาบส' หรือบางแห่งเรียกว่า 'กาฬเทวินดาบส' ท่านดาบสผู้นี้บวชเป็นฤาษีอยู่ข้างเขาหิมพานต์ หรือที่ทุกวันนี้เรียกว่าเขาหิมาลัยนั่นเองเมื่อท่านทราบข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะ ประมุขกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ทรงมีพระราชโอรสใหม่ จึงออกจากอาศรมเชิงเขา เข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อถวายพระพรยังราชสำนัก พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวว่าท่านดาบสมาเยี่ยม ก็ทรงดีพระพระทัยนักหนา จึงตรัสสั่งให้นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะแล้วทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อให้นมัสการท่านดาบส

 พอท่านดาบสได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ทำกริยาผิดวิสัยสมณะ ๓ อย่าง คือ ยิ้มหรือแย้ม หรือที่ภาษากวีในหนังสือปฐมสมโพธิเรียกอย่างหนึ่งว่า หัวเราะแล้วร้องไห้ แล้วกราบแทบพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะ

 ท่านยิ้มเพราะเห็นพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะต้องด้วยตำรับมหาบุรุษลักษณ์ ท่านเห็นว่า คนที่มีลักษณะอย่างนี้ ถ้าอย่างครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงมีพระบรมเดชานุภาพแผ่ไปไกล แต่ถ้าได้ออกบวชจะได้เป็นพระศาสดาผู้มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ที่ท่านร้องไห้ก็เพราะเชื่อแน่ว่าเจ้าชายราชกุมารนี้ จะต้องออกบวช เพราะเหตุที่เชื่ออย่างนี้ เลยนึกถึงตัวท่านเองว่า เรานี่แก่เกินการณ์เสียแล้ว เลยเสียใจว่ามีบุญน้อย ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และที่กราบไหว้พระบาทราชกุมารที่เพิ่งประสูติใหม่

เพราะการอุบัติขึ้นของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร นั้นต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะสั่งสมบารมีมาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าดังนั้นเรื่องพุทธวิสัย พระพุทธองค์ท่านทรงเรียกว่า อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น

 เอาละที่เขียนมาเสียยืดยาวเพราะไม่ต้องการให้มีการโยงใยงานบุญงานกุศล งานการเมือง หลักธรรม ความเชื่อ แนวทางการปฏิบัติให้ยุ่งกันไปมากกว่านี้วันนี้ในเมืองเรายุ่งพอแล้วอย่างสร้างความแปลกแยกให้ศาสนจักรด้วยเลย สาธุ

 

 

 

:mellow:  หัวข้อประเด็นนี้คืออะไรขอรับ... ขอแก่นๆ กระพี้ไม่ต้องขอรับ... เกี่ยวอะไรกับหลักความเชื่อว่าพระพุทธองค์ประสูติยังไง เกิดอะไรขึ้นบ้าง หรือสุดท้ายที่ว่าคิดไปก็อจินไตย...

 

-_-   ยิ่งเป็นคนของสาธารณะ ยิ่งต้องถูกตรวจสอบเป็นเรื่องธรรมดา ในทางกลับกัน...บุคคลสาธารณะเช่นนั้น ควรจะมี "วิจารณญาณ" ที่ดีกว่าคนธรรมดา ก่อนจะนำเสนอสิ่งใดหรือไม่ขอรับ หรือจะให้เชื่อว่าความเป็นบุคคลสาธารณะคือทำในสิ่งที่ถูกต้อง ประเสริฐสุดแล้วแน่นอนที่ซู๊ดดดดดดดดๆๆๆๆๆ....

 

<_<   ...บ้านเมืองมันถึงชิหายวายป่วงกันงี้ไงขอรับ...


Edited by wat, 18 March 2013 - 18:43.

:) Sometime...Sun shine through the rain...

#161 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

Posted 18 March 2013 - 18:44

หลังจากได้อ่านบทความด้านบน ก็คิดอยู่นานว่าจะเขียนดีหรือไม่ดีเพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นฝักฝ่ายการเมือง เดี๋ยวก็บอกว่าเป็นการแก้ตัวให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ เพราะวันนี้มีการโยงใยประเด็นนี้เป็นการเมืองไปแล้ว เอาเป็นว่าขอให้ความรู้ก็แล้วกันเพราะเป็นห่วงกลัวคนจะจาบจ้วงพระรัตนตรัยโดยใช่เหตุ

เนื่องจากงาน "หล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร(พระพุทธเจ้าน้อย) วันที่ 8-10มีนาคม ณ.ท้องสนามหลวง" และมีการนำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอยู่ 2-3 ประเด็น

๑. ชื่อนี้ได้แต่ไหนมา "พระพุทธเจ้าน้อย" 

ซึ่งจริงๆ ภายในงานใช้ชื่อว่า "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย)" มีการวงเล็บว่าพระพุทธเจ้าน้อย เมื่อตามไปดูเป็นการแปลกลับมาจากคำว่า Baby Buddha หรือ A little Buddha ตามความเข้าใจและนิยมเรียกของชาวต่างประเทศ ครั้งหนึ่ง ฮอลลิวูดก็เคยสร้างภาพยนตร์ที่ใช้ชื่ออย่างนี้ และเป็นการเข้าใจตรงกันว่าเมื่อเราพูดถึง Baby Buddha ก็จะเข้าใจหมายถึง "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร"

ดังนั้นการหล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) เพื่อไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีสถานประเทศเนปาล ที่ไม่ใช่ประเทศไทยและต้องการสื่อสารกันชาวพุทธทั้งโลกทั้งในฝ่ายมหายาน เถรวาท และวัชรยาน ก็คงหมายเอาสัญญาสากลที่หมายรู้กันว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) ก็คือ Baby Buddha นั่นเอง

๒. องค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) มีการสร้างกันมาก่อนหรือไม่หรือเป็นการโยงใยการที่ยืนยกมือชี้ฟ้า ประหนึ่งโยงใยไปถึงตอนหัวหน้าพรรคบางพรรคหาเสียงเบอร์ 1 ประเด็นนี้ ไม่อยากจะให้มองแบบนี้เลยไม่น่าจะเอาเรื่องของ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร มาโยงกับการหาเสียงในเมืองไทย

การที่มีลักษณะดังกล่าวเนื่องจากหมายเอาตอนที่ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร ได้ประสูติมีพระดำเนิน ๗ ก้าวแล้วได้ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ แปลว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก เราเป็นเจริญที่สุดในโลก ความเกิดของเรานี้ เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ของเราไม่มีอีก” ซึ่งปรากฏชัดในพระพุทธประวัติ ในพระไตรปิฎก จึงไม่สมควรที่จะโยงใยประเด็นเหล่านี้ไปผูกกับประเด็นการเมืองอย่างยิ่ง

และการสร้าง Baby Buddha นั้นมีกันมานานมากแล้วมีทั้งการพบหลักฐานโบราณ และในสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธศาสนาก็มีการสร้างกัน แม้แต่ในเมืองลุมพินีก็มีการสร้างไว้กลางแยกใหญ่เป็นสัญลักษณ์กลางเมืองลุมพินี (ตามรูปที่แสดงให้เห็น)

๓. แล้วเด็กเพิ่งถือกำเนิดสมควรจะกราบไหว้หรือไม่ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย ข้อนี้ในพุทธประวัติ 'อสิตดาบส' หรือบางแห่งเรียกว่า 'กาฬเทวินดาบส' ท่านดาบสผู้นี้บวชเป็นฤาษีอยู่ข้างเขาหิมพานต์ หรือที่ทุกวันนี้เรียกว่าเขาหิมาลัยนั่นเอง เมื่อท่านทราบข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะ ประมุขกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ทรงมีพระราชโอรสใหม่ จึงออกจากอาศรมเชิงเขา เข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อถวายพระพรยังราชสำนัก พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวว่าท่านดาบสมาเยี่ยม ก็ทรงดีพระพระทัยนักหนา จึงตรัสสั่งให้นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะแล้วทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อให้นมัสการท่านดาบส

พอท่านดาบสได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ทำกริยาผิดวิสัยสมณะ ๓ อย่าง คือ ยิ้มหรือแย้ม หรือที่ภาษากวีในหนังสือปฐมสมโพธิเรียกอย่างหนึ่งว่า หัวเราะแล้วร้องไห้ แล้วกราบแทบพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะ

ท่านยิ้มเพราะเห็นพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะต้องด้วยตำรับมหาบุรุษลักษณ์ ท่านเห็นว่า คนที่มีลักษณะอย่างนี้ ถ้าอย่างครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงมีพระบรมเดชานุภาพแผ่ไปไกล แต่ถ้าได้ออกบวชจะได้เป็นพระศาสดาผู้มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ที่ท่านร้องไห้ก็เพราะเชื่อแน่ว่าเจ้าชายราชกุมารนี้ จะต้องออกบวช เพราะเหตุที่เชื่ออย่างนี้ เลยนึกถึงตัวท่านเองว่า เรานี่แก่เกินการณ์เสียแล้ว เลยเสียใจว่ามีบุญน้อย ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และที่กราบไหว้พระบาทราชกุมารที่เพิ่งประสูติใหม่ 

เพราะการอุบัติขึ้นของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร นั้นต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะสั่งสมบารมีมาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าดังนั้นเรื่องพุทธวิสัย พระพุทธองค์ท่านทรงเรียกว่า อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น


เอาละที่เขียนมาเสียยืดยาวเพราะไม่ต้องการให้มีการโยงใยงานบุญงานกุศล งานการเมือง หลักธรรม ความเชื่อ แนวทางการปฏิบัติให้ยุ่งกันไปมากกว่านี้วันนี้ในเมืองเรายุ่งพอแล้วอย่างสร้างความแปลกแยกให้ศาสนจักรด้วยเลย สาธุ
522673_445169275561871_298988350_n.jpg

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พอดีผมก็ไปร่วมทำบุญมา  ผมว่าอย่าเอาศาสนามาปนกับการเมืองเลยครับ  งานนี้ เขาทำดี ก็ต้องช่วยกันครับ เพื่อศาสนาของเรา

:mellow:  นี่อันเดียวคนเดียวกันหรือเปล่าขอรับ... ถามเหมือนกระทู้ #160 ขอรับ...


:) Sometime...Sun shine through the rain...

#162 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

Posted 19 March 2013 - 01:16

อ้าววววววววววววววววววววววววว  ปาหี่!!!!

ตกลงลอกข้อความกันเองได้ด้วยเว้ยเฮ้ย :o 

1 โพสต์เหมือนกันด้วย

โอว....รึมันนัดกันสมัครล็อกมาเป็นขบวนการ???

 

 

 

หลังจากได้อ่านบทความด้านบน ก็คิดอยู่นานว่าจะเขียนดีหรือไม่ดีเพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นฝักฝ่ายการเมือง เดี๋ยวก็บอกว่าเป็นการแก้ตัวให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ เพราะวันนี้มีการโยงใยประเด็นนี้เป็นการเมืองไปแล้ว เอาเป็นว่าขอให้ความรู้ก็แล้วกันเพราะเป็นห่วงกลัวคนจะจาบจ้วงพระรัตนตรัยโดยใช่เหตุ

เนื่องจากงาน "หล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร(พระพุทธเจ้าน้อย) วันที่ 8-10มีนาคม ณ.ท้องสนามหลวง" และมีการนำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอยู่ 2-3 ประเด็น

๑. ชื่อนี้ได้แต่ไหนมา "พระพุทธเจ้าน้อย" 

ซึ่งจริงๆ ภายในงานใช้ชื่อว่า "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย)" มีการวงเล็บว่าพระพุทธเจ้าน้อย เมื่อตามไปดูเป็นการแปลกลับมาจากคำว่า Baby Buddha หรือ A little Buddha ตามความเข้าใจและนิยมเรียกของชาวต่างประเทศ ครั้งหนึ่ง ฮอลลิวูดก็เคยสร้างภาพยนตร์ที่ใช้ชื่ออย่างนี้ และเป็นการเข้าใจตรงกันว่าเมื่อเราพูดถึง Baby Buddha ก็จะเข้าใจหมายถึง "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร"

ดังนั้นการหล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) เพื่อไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีสถานประเทศเนปาล ที่ไม่ใช่ประเทศไทยและต้องการสื่อสารกันชาวพุทธทั้งโลกทั้งในฝ่ายมหายาน เถรวาท และวัชรยาน ก็คงหมายเอาสัญญาสากลที่หมายรู้กันว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) ก็คือ Baby Buddha นั่นเอง

๒. องค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) มีการสร้างกันมาก่อนหรือไม่หรือเป็นการโยงใยการที่ยืนยกมือชี้ฟ้า ประหนึ่งโยงใยไปถึงตอนหัวหน้าพรรคบางพรรคหาเสียงเบอร์ 1 ประเด็นนี้ ไม่อยากจะให้มองแบบนี้เลยไม่น่าจะเอาเรื่องของ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร มาโยงกับการหาเสียงในเมืองไทย

การที่มีลักษณะดังกล่าวเนื่องจากหมายเอาตอนที่ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร ได้ประสูติมีพระดำเนิน ๗ ก้าวแล้วได้ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ แปลว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก เราเป็นเจริญที่สุดในโลก ความเกิดของเรานี้ เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ของเราไม่มีอีก” ซึ่งปรากฏชัดในพระพุทธประวัติ ในพระไตรปิฎก จึงไม่สมควรที่จะโยงใยประเด็นเหล่านี้ไปผูกกับประเด็นการเมืองอย่างยิ่ง

และการสร้าง Baby Buddha นั้นมีกันมานานมากแล้วมีทั้งการพบหลักฐานโบราณ และในสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธศาสนาก็มีการสร้างกัน แม้แต่ในเมืองลุมพินีก็มีการสร้างไว้กลางแยกใหญ่เป็นสัญลักษณ์กลางเมืองลุมพินี (ตามรูปที่แสดงให้เห็น)

๓. แล้วเด็กเพิ่งถือกำเนิดสมควรจะกราบไหว้หรือไม่ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย ข้อนี้ในพุทธประวัติ 'อสิตดาบส' หรือบางแห่งเรียกว่า 'กาฬเทวินดาบส' ท่านดาบสผู้นี้บวชเป็นฤาษีอยู่ข้างเขาหิมพานต์ หรือที่ทุกวันนี้เรียกว่าเขาหิมาลัยนั่นเอง เมื่อท่านทราบข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะ ประมุขกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ทรงมีพระราชโอรสใหม่ จึงออกจากอาศรมเชิงเขา เข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อถวายพระพรยังราชสำนัก พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวว่าท่านดาบสมาเยี่ยม ก็ทรงดีพระพระทัยนักหนา จึงตรัสสั่งให้นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะแล้วทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อให้นมัสการท่านดาบส

พอท่านดาบสได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ทำกริยาผิดวิสัยสมณะ ๓ อย่าง คือ ยิ้มหรือแย้ม หรือที่ภาษากวีในหนังสือปฐมสมโพธิเรียกอย่างหนึ่งว่า หัวเราะแล้วร้องไห้ แล้วกราบแทบพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะ

ท่านยิ้มเพราะเห็นพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะต้องด้วยตำรับมหาบุรุษลักษณ์ ท่านเห็นว่า คนที่มีลักษณะอย่างนี้ ถ้าอย่างครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงมีพระบรมเดชานุภาพแผ่ไปไกล แต่ถ้าได้ออกบวชจะได้เป็นพระศาสดาผู้มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ที่ท่านร้องไห้ก็เพราะเชื่อแน่ว่าเจ้าชายราชกุมารนี้ จะต้องออกบวช เพราะเหตุที่เชื่ออย่างนี้ เลยนึกถึงตัวท่านเองว่า เรานี่แก่เกินการณ์เสียแล้ว เลยเสียใจว่ามีบุญน้อย ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และที่กราบไหว้พระบาทราชกุมารที่เพิ่งประสูติใหม่ 

เพราะการอุบัติขึ้นของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร นั้นต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะสั่งสมบารมีมาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าดังนั้นเรื่องพุทธวิสัย พระพุทธองค์ท่านทรงเรียกว่า อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น

เอาละที่เขียนมาเสียยืดยาวเพราะไม่ต้องการให้มีการโยงใยงานบุญงานกุศล งานการเมือง หลักธรรม ความเชื่อ แนวทางการปฏิบัติให้ยุ่งกันไปมากกว่านี้วันนี้ในเมืองเรายุ่งพอแล้วอย่างสร้างความแปลกแยกให้ศาสนจักรด้วยเลย สาธุ
 

 

 

 

 

 

 

พอดีผมก็ไปร่วมทำบุญมา  ผมว่าอย่าเอาศาสนามาปนกับการเมืองเลยครับ  งานนี้ เขาทำดี ก็ต้องช่วยกันครับ เพื่อศาสนาของเรา

 

 

ขอยกคำจาก พระครูวินัยมาค่ะ

หลังจากได้อ่านบทความด้านบน ก็คิดอยู่นานว่าจะเขียนดีหรือไม่ดีเพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นฝักฝ่ายการเมือง เดี๋ยวก็บอกว่าเป็นการแก้ตัวให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ เพราะวันนี้มีการโยงใยประเด็นนี้เป็นการเมืองไปแล้ว เอาเป็นว่าขอให้ความรู้ก็แล้วกันเพราะเป็นห่วงกลัวคนจะจาบจ้วงพระรัตนตรัยโดยใช่เหตุ

เนื่องจากงาน "หล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร(พระพุทธเจ้าน้อย) วันที่ 8-10มีนาคม ณ.ท้องสนามหลวง" และมีการนำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอยู่ 2-3 ประเด็น

๑. ชื่อนี้ได้แต่ไหนมา "พระพุทธเจ้าน้อย"

ซึ่งจริงๆ ภายในงานใช้ชื่อว่า "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย)" มีการวงเล็บว่าพระพุทธเจ้าน้อย เมื่อตามไปดูเป็นการแปลกลับมาจากคำว่า Baby Buddha หรือ A little Buddha ตามความเข้าใจและนิยมเรียกของชาวต่างประเทศ ครั้งหนึ่ง ฮอลลิวูดก็เคยสร้างภาพยนตร์ที่ใช้ชื่ออย่างนี้ และเป็นการเข้าใจตรงกันว่าเมื่อเราพูดถึง Baby Buddha ก็จะเข้าใจหมายถึง "พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร"

ดังนั้นการหล่อองค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) เพื่อไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีสถานประเทศเนปาล ที่ไม่ใช่ประเทศไทยและต้องการสื่อสารกันชาวพุทธทั้งโลกทั้งในฝ่ายมหายาน เถรวาท และวัชรยาน ก็คงหมายเอาสัญญาสากลที่หมายรู้กันว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) ก็คือ Baby Buddha นั่นเอง

 ๒. องค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) มีการสร้างกันมาก่อนหรือไม่หรือเป็นการโยงใยการที่ยืนยกมือชี้ฟ้า ประหนึ่งโยงใยไปถึงตอนหัวหน้าพรรคบางพรรคหาเสียงเบอร์ 1 ประเด็นนี้ ไม่อยากจะให้มองแบบนี้เลยไม่น่าจะเอาเรื่องของ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร มาโยงกับการหาเสียงในเมืองไทย

 การที่มีลักษณะดังกล่าวเนื่องจากหมายเอาตอนที่ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร ได้ประสูติมีพระดำเนิน ๗ ก้าวแล้วได้ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ แปลว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก เราเป็นเจริญที่สุดในโลก ความเกิดของเรานี้ เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ของเราไม่มีอีก” ซึ่งปรากฏชัดในพระพุทธประวัติ ในพระไตรปิฎก จึงไม่สมควรที่จะโยงใยประเด็นเหล่านี้ไปผูกกับประเด็นการเมืองอย่างยิ่ง

 และการสร้าง Baby Buddha นั้นมีกันมานานมากแล้วมีทั้งการพบหลักฐานโบราณ และในสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธศาสนาก็มีการสร้างกัน แม้แต่ในเมืองลุมพินีก็มีการสร้างไว้กลางแยกใหญ่เป็นสัญลักษณ์กลางเมืองลุมพินี (ตามรูปที่แสดงให้เห็น)

 ๓. แล้วเด็กเพิ่งถือกำเนิดสมควรจะกราบไหว้หรือไม่ ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย ข้อนี้ในพุทธประวัติ 'อสิตดาบส' หรือบางแห่งเรียกว่า 'กาฬเทวินดาบส' ท่านดาบสผู้นี้บวชเป็นฤาษีอยู่ข้างเขาหิมพานต์ หรือที่ทุกวันนี้เรียกว่าเขาหิมาลัยนั่นเองเมื่อท่านทราบข่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะ ประมุขกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ทรงมีพระราชโอรสใหม่ จึงออกจากอาศรมเชิงเขา เข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อถวายพระพรยังราชสำนัก พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบข่าวว่าท่านดาบสมาเยี่ยม ก็ทรงดีพระพระทัยนักหนา จึงตรัสสั่งให้นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะแล้วทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อให้นมัสการท่านดาบส

 พอท่านดาบสได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ทำกริยาผิดวิสัยสมณะ ๓ อย่าง คือ ยิ้มหรือแย้ม หรือที่ภาษากวีในหนังสือปฐมสมโพธิเรียกอย่างหนึ่งว่า หัวเราะแล้วร้องไห้ แล้วกราบแทบพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะ

 ท่านยิ้มเพราะเห็นพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะต้องด้วยตำรับมหาบุรุษลักษณ์ ท่านเห็นว่า คนที่มีลักษณะอย่างนี้ ถ้าอย่างครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงมีพระบรมเดชานุภาพแผ่ไปไกล แต่ถ้าได้ออกบวชจะได้เป็นพระศาสดาผู้มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ที่ท่านร้องไห้ก็เพราะเชื่อแน่ว่าเจ้าชายราชกุมารนี้ จะต้องออกบวช เพราะเหตุที่เชื่ออย่างนี้ เลยนึกถึงตัวท่านเองว่า เรานี่แก่เกินการณ์เสียแล้ว เลยเสียใจว่ามีบุญน้อย ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และที่กราบไหว้พระบาทราชกุมารที่เพิ่งประสูติใหม่

เพราะการอุบัติขึ้นของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร นั้นต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะสั่งสมบารมีมาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าดังนั้นเรื่องพุทธวิสัย พระพุทธองค์ท่านทรงเรียกว่า อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น

 เอาละที่เขียนมาเสียยืดยาวเพราะไม่ต้องการให้มีการโยงใยงานบุญงานกุศล งานการเมือง หลักธรรม ความเชื่อ แนวทางการปฏิบัติให้ยุ่งกันไปมากกว่านี้วันนี้ในเมืองเรายุ่งพอแล้วอย่างสร้างความแปลกแยกให้ศาสนจักรด้วยเลย สาธุ


gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#163 mebeam

mebeam

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 775 posts

Posted 19 March 2013 - 08:26

แห่ชมพระพุทธเจ้าน้อยพันปีองค์เดียวในประเทศ
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2556 เวลา 14:35 น.
ชาวลำพูนตื่นแห่ชมพระพุทธเจ้าน้อยอายุพันกว่าปี ที่วัดพระธาตุหริภุญชัย หลังขุดพบเจอใต้เจดีย์เชียงยัน กรมศิลป์ยันพบเพียงองค์เดียวในประเทศไทย

วันนี้ (15 มี.ค.) พระราชปัญญาโมลี เจ้าคณะจังหวัดลำพูน รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.ลำพูน เปิดเผยว่า เมื่อเดือน ก.ย.2550 ทางวัดพระธาตุหริภุญชัย ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ เจดีย์เชียงยัน ภายในบริเวณวัดแล้วขุดพบเจอกลุ่มโบราณวัตถุที่สำคัญและมีลักษณะพิเศษหลาย ชิ้น โดยเฉพาะประติมากรรมลักษณะคล้ายภิกษุยืนถือ ตะเกียง ประติมากรรมรูปฤาษีถือสังข์ ประติมากรรมรูปเทวดา ประติมากรรมรูปช้างสำริด และที่สำคัญที่สุดคือ การค้นพบประติมากรรมรูปบุคคลผอมประทับยืนบนฐานดอกบัว พระพักตร์มนเป็นรูปไข่ พระวรกายท่อนบนเปลือย ท่อนล่างสวมผ้านุ่งสั้นเหนือพระชานุ มีขอบอันตรวาสก ปลายพระหัตถ์ขวาชี้ขึ้นเบื้องบน ปลายพระหัตถ์ซ้ายชี้ลงเบื้องล่าง มีความสูง 7 นิ้ว

จึงติดต่อให้เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปกรมาตรวจสอบ ซึ่งหลังจากที่ทางกรมศิลป์ได้นำไปตรวจสอบพิสูจน์อย่างละเอียดแล้ว พบว่าเป็นพระพุทธรูปปางประสูติ หรือ ที่เรียกกันว่าพระพุทธเจ้าน้อย ( Baby Buddha ) เนื้อสำริด อายุราว 1000  กว่าปี ซึ่งพบเพียงองค์เดียวในประเทศไทย โดยเจ้าหน้าที่ได้นำไปทำการอนุรักษ์ ไว้ที่กรมศิลปากร กรุงเทพมหานคร  และได้นำกลับมาคืนวัดพระธาตุหริภุญชัย เมื่อต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ทางวัดจึงได้นำออกมาประดิษฐานไว้ในพระวิหารหลวงของวัดพระธาตุหริภุญชัย  เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ชมและสักการบูชา เพราะเชื่อกันว่าพระพุทธรูปปางประสูตินี้เป็นสิ่งที่เป็นมงคลสำหรับผู้เริ่ม ต้นชีวิตใหม่ ซึ่งผู้ที่ได้บูชาพระพุทธรูปปางนี้ จะเป็นผู้ได้เริ่มต้นชีวิตอันเจริญรุ่งเรือง เฉกเช่นเดียวกับอากัปกิริยาแรกเริ่มของพระพุทธเจ้านั่นเอง

ทั้งนี้ในวันอังคารที่ 19 มี.ค.นี้ ซึ่งเป็นปีครบรอบ 102 ปี ของการสถาปนากรมศิลปากร ทางกรมศิลปากรได้คัดเลือกใช้พื้นที่บริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัย ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอน พิเภกสวามิภักดิ์ มีการขับพิเภก พิเภกสวามิภักดิ์ และยกรบ ในโขนชุดนี้มีลีลากระบวนท่าการแสดงขับพิเภกออกจากกรุงลังกาของบรรดาพญายักษ์ อันได้รับการสืบทอดมาจากโขนหลวงในราชสำนัก และยังมีกระบวนการเล่นเยาะเย้ยระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย เป็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่ดีงามสู่สายตาชาวจังหวัดลำพูนและภาคเหนือ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเข้าชมแต่อย่างใด  อีกทั้งเพื่อเป็นการร่วมฉลองพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

อย่างไรก็ตามทางวัดจะมีพิธี เททอง หล่อ รูป เหมือน พระพุทธเจ้าน้อย ความสูง 179 เซนติเมตร เพื่อนำไปประดิษฐานไว้ในพระวิหารหลวง โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ จะเป็นประธานพิธีเททอง และนอกจากนี้ทางวัดฯยังได้มีการจัดสร้างพระพุทธรูปปางประสูติ หรือพุทธเจ้าน้อย ขนาด เท่ากับองค์ ที่ค้นพบ คือขนาดสูง 7 นิ้ว จำนวน 2,600 องค์ และ ขนาด 3 เซนติเมตร จำนวน 10,000 องค์ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้นำไปสักการบูชา  จึงขอเชิญชวน พุทธศาสนิกชนเข้าร่วมพิธีดังกล่าว.

 

http://www.dailynews...thailand/190795


Fear can hold you prisoner. Hope can set you free.

#164 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

Posted 19 March 2013 - 08:40

แห่ชมพระพุทธเจ้าน้อยพันปีองค์เดียวในประเทศ

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2556 เวลา 14:35 น.
ชาวลำพูนตื่นแห่ชมพระพุทธเจ้าน้อยอายุพันกว่าปี ที่วัดพระธาตุหริภุญชัย หลังขุดพบเจอใต้เจดีย์เชียงยัน กรมศิลป์ยันพบเพียงองค์เดียวในประเทศไทย

วันนี้ (15 มี.ค.) พระราชปัญญาโมลี เจ้าคณะจังหวัดลำพูน รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.ลำพูน เปิดเผยว่า เมื่อเดือน ก.ย.2550 ทางวัดพระธาตุหริภุญชัย ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ เจดีย์เชียงยัน ภายในบริเวณวัดแล้วขุดพบเจอกลุ่มโบราณวัตถุที่สำคัญและมีลักษณะพิเศษหลาย ชิ้น โดยเฉพาะประติมากรรมลักษณะคล้ายภิกษุยืนถือ ตะเกียง ประติมากรรมรูปฤาษีถือสังข์ ประติมากรรมรูปเทวดา ประติมากรรมรูปช้างสำริด และที่สำคัญที่สุดคือ การค้นพบประติมากรรมรูปบุคคลผอมประทับยืนบนฐานดอกบัว พระพักตร์มนเป็นรูปไข่ พระวรกายท่อนบนเปลือย ท่อนล่างสวมผ้านุ่งสั้นเหนือพระชานุ มีขอบอันตรวาสก ปลายพระหัตถ์ขวาชี้ขึ้นเบื้องบน ปลายพระหัตถ์ซ้ายชี้ลงเบื้องล่าง มีความสูง 7 นิ้ว

จึงติดต่อให้เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปกรมาตรวจสอบ ซึ่งหลังจากที่ทางกรมศิลป์ได้นำไปตรวจสอบพิสูจน์อย่างละเอียดแล้ว พบว่าเป็นพระพุทธรูปปางประสูติ หรือ ที่เรียกกันว่าพระพุทธเจ้าน้อย ( Baby Buddha ) เนื้อสำริด อายุราว 1000  กว่าปี ซึ่งพบเพียงองค์เดียวในประเทศไทย โดยเจ้าหน้าที่ได้นำไปทำการอนุรักษ์ ไว้ที่กรมศิลปากร กรุงเทพมหานคร  และได้นำกลับมาคืนวัดพระธาตุหริภุญชัย เมื่อต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ทางวัดจึงได้นำออกมาประดิษฐานไว้ในพระวิหารหลวงของวัดพระธาตุหริภุญชัย  เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ชมและสักการบูชา เพราะเชื่อกันว่าพระพุทธรูปปางประสูตินี้เป็นสิ่งที่เป็นมงคลสำหรับผู้เริ่ม ต้นชีวิตใหม่ ซึ่งผู้ที่ได้บูชาพระพุทธรูปปางนี้ จะเป็นผู้ได้เริ่มต้นชีวิตอันเจริญรุ่งเรือง เฉกเช่นเดียวกับอากัปกิริยาแรกเริ่มของพระพุทธเจ้านั่นเอง

ทั้งนี้ในวันอังคารที่ 19 มี.ค.นี้ ซึ่งเป็นปีครบรอบ 102 ปี ของการสถาปนากรมศิลปากร ทางกรมศิลปากรได้คัดเลือกใช้พื้นที่บริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัย ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอน พิเภกสวามิภักดิ์ มีการขับพิเภก พิเภกสวามิภักดิ์ และยกรบ ในโขนชุดนี้มีลีลากระบวนท่าการแสดงขับพิเภกออกจากกรุงลังกาของบรรดาพญายักษ์ อันได้รับการสืบทอดมาจากโขนหลวงในราชสำนัก และยังมีกระบวนการเล่นเยาะเย้ยระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย เป็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่ดีงามสู่สายตาชาวจังหวัดลำพูนและภาคเหนือ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเข้าชมแต่อย่างใด  อีกทั้งเพื่อเป็นการร่วมฉลองพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

อย่างไรก็ตามทางวัดจะมีพิธี เททอง หล่อ รูป เหมือน พระพุทธเจ้าน้อย ความสูง 179 เซนติเมตร เพื่อนำไปประดิษฐานไว้ในพระวิหารหลวง โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ จะเป็นประธานพิธีเททอง และนอกจากนี้ทางวัดฯยังได้มีการจัดสร้างพระพุทธรูปปางประสูติ หรือพุทธเจ้าน้อย ขนาด เท่ากับองค์ ที่ค้นพบ คือขนาดสูง 7 นิ้ว จำนวน 2,600 องค์ และ ขนาด 3 เซนติเมตร จำนวน 10,000 องค์ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้นำไปสักการบูชา  จึงขอเชิญชวน พุทธศาสนิกชนเข้าร่วมพิธีดังกล่าว.

 

http://www.dailynews...thailand/190795

 

:mellow:   คืออะไรหว่า... หรือแค่ให้ทราบขอรับ????


:) Sometime...Sun shine through the rain...




0 user(s) are reading this topic

0 members, 0 guests, 0 anonymous users