ผมแย้งตรงนี้น่ะครับ เมื้อมีคนแขนขาดเดินมาถามหายาพารา คุณจะหยิบยาพาราให้เพื่อให้เขาคลายความต้องการในยาพาราหรือหยิบผ้าเข็มด้ายมาทำแผลให้เขา การถามแนวความคิดนี้แหละคือต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเพราะย่อมค่อนข้างจะมีการเทียเคียงและยิ่งกล้าพูดว่าถามว่า แค่ไหน นี้แหละคือการเอาอัตตาตัวตนมาตั้งมาเตรียมวัด ไม่ใช่การพูดการถามแนวคิดจะพูดจะถามไมไ่ด้น่ะครับถ้าพร้อมจะถามพร้อมจะแก้ไข แต่เพราะการให้ค่าตัวเองสูงตลอดจนลืมดูข้อผิดพลาดตัวเอง เหมือนอย่างที่คุณterตำหนิผมเรื่อง พูดถึงพระศรีอาริยะว่าไกลไปแต่ผมก็ยืนยันว่าไม่ไ่ด้สนับสนุน แต่ตัวคุณterยังใช้คำว่า มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล เหมือนกับคุณสอนผมให้รีบข้ามโคตรภูญาณซ่ะ แต่คุณเองยังปราธณาอะไรที่ยาวนานมากกว่าพระศรีอาริยะเสียด้วยซ้ำ การพูดถึงศาสนาพุทธในมิติของ ประวัติศาสตร์ ศิลป ยาวกี่โยชน์ สูงกี่ศอก นานกี่กัล์ปจึงเป็นเพียงเปลือกเพราะแก่นของศาสนาพุทธอยู่ที่จิต เพราะจิตเป็นตัวทำให้เกิด การพูดถึงแก่นจึงเป็นการรักษาศาสนาพุทธให้ยาวนานที่สุด ผมพึ่งเห็นคุณนี้แหละครับที่ตำหนิคนสอนแนะแนวทางการปฎิบัติว่าไม่ถูกไม่สมควรจะแนะนำ
ศาสนาศรีอาริย์
#51
Posted 2 April 2013 - 09:26
#52
Posted 3 April 2013 - 16:59
ผมแย้งตรงนี้น่ะครับ เมื้อมีคนแขนขาดเดินมาถามหายาพารา คุณจะหยิบยาพาราให้เพื่อให้เขาคลายความต้องการในยาพาราหรือหยิบผ้าเข็มด้ายมาทำแผลให้เขา การถามแนวความคิดนี้แหละคือต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเพราะย่อมค่อนข้างจะมีการเทียเคียงและยิ่งกล้าพูดว่าถามว่า แค่ไหน นี้แหละคือการเอาอัตตาตัวตนมาตั้งมาเตรียมวัด ไม่ใช่การพูดการถามแนวคิดจะพูดจะถามไมไ่ด้น่ะครับถ้าพร้อมจะถามพร้อมจะแก้ไข แต่เพราะการให้ค่าตัวเองสูงตลอดจนลืมดูข้อผิดพลาดตัวเอง เหมือนอย่างที่คุณterตำหนิผมเรื่อง พูดถึงพระศรีอาริยะว่าไกลไปแต่ผมก็ยืนยันว่าไม่ไ่ด้สนับสนุน แต่ตัวคุณterยังใช้คำว่า มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล เหมือนกับคุณสอนผมให้รีบข้ามโคตรภูญาณซ่ะ แต่คุณเองยังปราธณาอะไรที่ยาวนานมากกว่าพระศรีอาริยะเสียด้วยซ้ำ การพูดถึงศาสนาพุทธในมิติของ ประวัติศาสตร์ ศิลป ยาวกี่โยชน์ สูงกี่ศอก นานกี่กัล์ปจึงเป็นเพียงเปลือกเพราะแก่นของศาสนาพุทธอยู่ที่จิต เพราะจิตเป็นตัวทำให้เกิด การพูดถึงแก่นจึงเป็นการรักษาศาสนาพุทธให้ยาวนานที่สุด ผมพึ่งเห็นคุณนี้แหละครับที่ตำหนิคนสอนแนะแนวทางการปฎิบัติว่าไม่ถูกไม่สมควรจะแนะนำ
ผม มี ข้อ สงสัย นิดหน่อย นะครับ ถ้าคุณอิ่มจะกรุณาพิจราณา สักนิด
1. ท่านมั่นใจ มากไหม ว่าท่านเห็น คนที่เดินมานั้นแขนขาด จริง เขาไม่ได้เอาแขนซุกไว้ในเสื้อ
2. ถ้าท่านบอกว่าท่านมั่นใจ ท่านเป็นหมอแล้วหรือ ท่านถึงคิดว่า เขาต้องทำแผล เขาถามหาพารา เพราะเขาแค่ปวดหัวเท่านั้นเองก็ได้ (เป็นอัตตาของตัวเองหรือเปล่า)
3. ถ้าท่านไม่มั่นใจ ท่านควรแล้วหรือที่จะไปวินิฉัยเขาโดยที่เขาไม่ได้ ต้องการหรือร้องขอ (เพราะคนระดับ จบหมด แล้ว ยังไม่ทำเลยถ้าไม่ร้องขอ)
การคุยถึงเรื่องแก่น กับผู้ต้องการแค่เปลือก หรือกระพี้ อาจราย์ที่ผมเคารพ หลายท่านส่วนมาก ท่านจะคุยแค่เปลือก สำหรับคนต้องการแค่เปลือก
ท่านจักคุยแค่กระพี้สำหรับคนที่ต้องการแค่กระพี้ คุยเรื่องแก่น สำหรับคนที่ต้องการแก่น
แล้วก็ บอร์ด แห่งนี้้ มีคนเขาคิดว่าเป็นบอร์ดของพวก ที่ใฝ่ในอำมาตย์ จึงเป็นที่มาของ อำมาตย์ ใหญ่ใต้พระบาทตลอตกาล เพราะระหว่าง ทักษิณกับ ในหลวงนั้น สัญลักษณ์ของคนดีมันอยู่ฝั่งไหน ผมก็อยู่ฝั่งนั้น
กาย แสดง ใช้ ว่าจิต จำเป็นจะต้องเป็นแบบนั้นด้วย เพราะกายกับจิตมันคนละส่วนกัน หรือว่าท่านไม่รู้
- wat likes this
#53
Posted 4 April 2013 - 09:24
1.ตอนแรกมั่นใจไม่มากหรอกครับเพราะเห็นลางๆจากการอ้างพุทธวัจจนะเยอะมากเพราะการอ้างคุณธรรมผู้อื่นเยอะไปแบบนี้มันแสดงถึงความไม่มีคุณธรรมในตัวเองพอที่จะกล้าพูดว่า เราปฎิบัติมาเช่นนี้ เราได้เช่นนี้ แม้ไม่ถึงอริยะบุุคลแต่ก็มีคุณธรรมประจำตัว หรือการใช้คำพูดสงสัยไม่กี่คำให้คนอื่นอธิบายเป็นหน้ากระดาษแถมภายหลังยังบอกด้วยว่าที่ถามแค่วัดว่าแค่ไหนเพราะตัวเองยึดมั่นในแนวทางปฎิบัติอยู่แล้ว จะถามคำถามนี้เพื่ออะไรที่เป็นเป็นประโยชน์กับตัวเองหรือเปล่า คำตอบคือไม่เป็นประโยชน์ นี้แหละครับแขนขาด เพราะข้อเสียใหญ่หลวงที่มีในตัวไม่เห็นแต่ไปเห็นสิ่งอื่นทำสิ่งอื่นแก้สิ่งอื่น
2.อาการแบบนี้เคยเป็นมาก่อนครับเพราะผมก็เป็นวิตกจริตเหมือนกันสมัยอ่านพระไตรปิฏกแต่ไม่ปฎิบัติ พวกอ่านเยอะรู้เยอะ เอาเข้าแต่ไม่เอาออก มันเลยพอกพูนเป็นตัวเราว่าเราถูกเสมอ แต่นี้มันอันตรายเกินไปมากเพราะลามปามไปเยอะ เช่น กรรมฐานคือฐานที่ตั้งแห่งการงาน เช่นการทำไร่ ทำนา ต่อไปเข้าจะไม่เข้าใจเหรอว่าพระกรรมฐานคือพระที่ มั่วแต่อยู่ในฐานที่ตั้งแห่งการทำงานเช่นพวกทำไรทำนา หรือที่บอกว่าเฉพาะพระสุปฎิปันโน อันนี้ก็หนัก เพราะปุถุชนเข้าใจกัลยาณปุถุชนไม่ไ่ด้หรอกครับ หรือกัลยาณปุถุชนก็ไม่เข้าใจอริยภูมิแน่นอน เพราะฉะนั้นหากไม่สุปฎิปันโนมีหรือจะเข้าใจสุปฎิปันโนด้วยกัน เหมือนบางคนศีล5ไม่ครบ ศีล8ไม่ได้ จะเข้าใจสุปฎิปันโนของพระสงฆ์ได้เช่นไร ตรงนี้แขนขาดแน่นอนครับ จะสุ่มเสี่ยงต่อการปรามาสพระรัตนไตรในพระสงฆ์เป็นอย่างมาก ผมแก้อาการพวกนี้ด้วยความสงบของใจและโอปนยิโกมากขึ้นรวมถึงการกำหนดข้อเขตวินัยของความคิด
3.ผมว่าความเมตตาไม่จำเป็นต้องรอให้ผู้อื่นร้องขอ
เรื่องครูบาอาจารย์น่ะครับตรงนี้เป็นเรื่องความเห็นทางโลก เช่นพ่อท่านลีท่านให้เปลือกของศาสนาเช่นพระเครื่องกับคนที่ไม่ทำตัวอยู่ในศาสนาเพราะท่านอยากให้ติดดี ดีกว่า ติดชั่ว นี้เป็นความเห็นของท่าน ส่วนหลวงพ่อชาหลวงตามหาบัว ท่านไม่สร้างไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น บางองค์จึงให้แต่แก่นอย่างเดียวก็มี แต่ท่านจะให้อะไรยังไงเป็นความเห็นของท่านเพียงแต่เจตนาท่านดี เข้าใจครับว่ากายกับจิตคนล่ะส่วน แต่จะบอกว่าที่พูดออกมาทั้งหมดไม่ไ่ด้มาจากจิตคิดเลยเหรอครับ
#54
Posted 4 April 2013 - 14:54
1.ตอนแรกมั่นใจไม่มากหรอกครับเพราะเห็นลางๆจากการอ้างพุทธวัจจนะเยอะมากเพราะการอ้างคุณธรรมผู้อื่นเยอะไปแบบนี้มันแสดงถึงความไม่มีคุณธรรมในตัวเองพอที่จะกล้าพูดว่า เราปฎิบัติมาเช่นนี้ เราได้เช่นนี้ แม้ไม่ถึงอริยะบุุคลแต่ก็มีคุณธรรมประจำตัว หรือการใช้คำพูดสงสัยไม่กี่คำให้คนอื่นอธิบายเป็นหน้ากระดาษแถมภายหลังยังบอกด้วยว่าที่ถามแค่วัดว่าแค่ไหนเพราะตัวเองยึดมั่นในแนวทางปฎิบัติอยู่แล้ว จะถามคำถามนี้เพื่ออะไรที่เป็นเป็นประโยชน์กับตัวเองหรือเปล่า คำตอบคือไม่เป็นประโยชน์ นี้แหละครับแขนขาด เพราะข้อเสียใหญ่หลวงที่มีในตัวไม่เห็นแต่ไปเห็นสิ่งอื่นทำสิ่งอื่นแก้สิ่งอื่น
เรื่องนี้ผมเห็นต่างกันไปหน่อย ครับ การอ้างแต่คุณธรรม ของตนเองก็ไม่ดี เวลาที่เราไม่ไ้ด้ รู้จัก สนิทสนม เป็นสหายธรรมมิก กันมา ท่านจะอ้าง คุณธรรมตัวเอง แล้ว เขาจะมองเราแบบไหน สถานที่ นี้เป็นบอรด์ สาธารณะ คนทุกระดับเข้ามา ส่วน เรื่องการ วัด ระดับ ถ้าทิฐิ แบบนั้นผมก็เห็นด้วยกับท่านว่าเป็นคนแขนขาด แต่ บอร์ดแห่งนี้คุยผ่านตัวหนังสือ เราไม่สามารถ จะไปคาดเดาความคิดเขาได้ทั้งหมดเห็นตัวเขาทั้งหมดผ่านตัวหนังสือแค่ 1-2 ครั้ง (เห็นตัวเป็น ๆ ยังยากแล้ว)
2.อาการแบบนี้เคยเป็นมาก่อนครับเพราะผมก็เป็นวิตกจริตเหมือนกันสมัยอ่านพระไตรปิฏกแต่ไม่ปฎิบัติ พวกอ่านเยอะรู้เยอะ เอาเข้าแต่ไม่เอาออก มันเลยพอกพูนเป็นตัวเราว่าเราถูกเสมอ แต่นี้มันอันตรายเกินไปมากเพราะลามปามไปเยอะ เช่น กรรมฐานคือฐานที่ตั้งแห่งการงาน เช่นการทำไร่ ทำนา ต่อไปเข้าจะไม่เข้าใจเหรอว่าพระกรรมฐานคือพระที่ มั่วแต่อยู่ในฐานที่ตั้งแห่งการทำงานเช่นพวกทำไรทำนา หรือที่บอกว่าเฉพาะพระสุปฎิปันโน อันนี้ก็หนัก เพราะปุถุชนเข้าใจกัลยาณปุถุชนไม่ไ่ด้หรอกครับ หรือกัลยาณปุถุชนก็ไม่เข้าใจอริยภูมิแน่นอน เพราะฉะนั้นหากไม่สุปฎิปันโนมีหรือจะเข้าใจสุปฎิปันโนด้วยกัน เหมือนบางคนศีล5ไม่ครบ ศีล8ไม่ได้ จะเข้าใจสุปฎิปันโนของพระสงฆ์ได้เช่นไร ตรงนี้แขนขาดแน่นอนครับ จะสุ่มเสี่ยงต่อการปรามาสพระรัตนไตรในพระสงฆ์เป็นอย่างมาก ผมแก้อาการพวกนี้ด้วยความสงบของใจและโอปนยิโกมากขึ้นรวมถึงการกำหนดข้อเขตวินัยของความคิด
อันนี้ รู้สึก ท่านจะพิจราณาไปไกล มากเกินไป หรือเปล่า ครับ เขาอาจจะพูด ให้เข้าใจง่าย หรือเปล่า เพราะ ถ้าจะให้พูดผมก็จะบอกแบบนั้น เหมือนกัน กรรมฐานคือ ฐานที่ตั้งของการ งาน ถ้าใครสงสัย ผมก็คงต้องอธิบายเพิ่มไปว่า เวลาทำงานสิ่งใด ก็นำสติไปจดจ่อ กับสิ่งนี้นั้น เมื่อเรามีสมาธิ ในงานที่ทำ บ้างครั้งมันจะเกิด อุบายแห่งปัญญา ให้เราพิจราณา ดังนั้นการทำงานทุกชนิด อย่าง ทำไร่ ทำนา ถ้าตั้งสติ จดจ่อ ในงานที่ทำ มันก็เป็นกรรมฐาน ถ้าท่านเห็นพระเล่นหวย เที่ยวกลางคืน กินเหล้า เอาของ บิณฑบาตรมาเวียน ขาย เอาเงิิน หรือทำพุทธพานิชณ์แบบ ทัมมี่ แล้วบอกว่านั้นเป็นพระสุปฎิบันโน นะ ผมแค่ปุถุชน ก็คงใช่หรอ ไม่จำเป็นต้อง เป็นสุปฏิบันโนด้วย เรื่องสุ่มเสี่ยงนะ สุ่มเสี่ยงแน่นอน แต่ผู้ที่มีพื้นฐานแล้วผมว่ายาก (ยกเว้นอัตตาของตัวเองจะมากเกินไป) แต่ผมเห็นคุณวัตเขาก็ไม่ได้ ปรามาสท่าน (ผมยังปรามาสท่าน มากกว่าอีก (ว่าเกิน)ขออโหสิ)
ฉะนั้นการวัดระดับของเขาอาจเป็นกลไกการป้องกันตัว ของเขาก็ได้
3.ผมว่าความเมตตาไม่จำเป็นต้องรอให้ผู้อื่นร้องขอ
เรื่องครูบาอาจารย์น่ะครับตรงนี้เป็นเรื่องความเห็นทางโลก เช่นพ่อท่านลีท่านให้เปลือกของศาสนาเช่นพระเครื่องกับคนที่ไม่ทำตัวอยู่ในศาสนาเพราะท่านอยากให้ติดดี ดีกว่า ติดชั่ว นี้เป็นความเห็นของท่าน ส่วนหลวงพ่อชาหลวงตามหาบัว ท่านไม่สร้างไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น บางองค์จึงให้แต่แก่นอย่างเดียวก็มี แต่ท่านจะให้อะไรยังไงเป็นความเห็นของท่านเพียงแต่เจตนาท่านดี เข้าใจครับว่ากายกับจิตคนล่ะส่วน แต่จะบอกว่าที่พูดออกมาทั้งหมดไม่ไ่ด้มาจากจิตคิดเลยเหรอครับ
ครับ แต่เมตตา นั้นใช่ได้ กับ คนๆ ไม่ได้กับทุกคน ไม่งั้น จะมีกรุณา มุทิตา และ อุเบกขา ตามมากำกับด้วยหรือ ดังนั้น ต้องดูให้ดีก่อนครับ ไม่งั้นเมตตาเราจะไปทำร้ายคนนั้นๆ ได้ "จงระวังความคิดของ โต้ว เพราะความคิดของโต้ว จะเป็นคำพูด ของโต้ว " แค่นี้ก็จบแล้วครับ แต่เราจักฟันธงได้อย่างไรว่า คำพูดนั้นมาจากจิตคิดหรือจิตไม่ได้คิด ถ้าเราไม่รู้ชัวว่าคนๆนั้น ถึงที่สุดแล้ว จริง แล้ว ที่ผ่านมาผมก็ ทดสอบ ท่านเหมือนกัน แต่ไม่ได้ว่าเพื่อว่าสูงหรือต่ำ แต่เพื่อว่า ควรจะคุยกันในระดับไหน เพราะบอร์ด นี้ มีคนมากมายหลายระดับ ต้องของอภัย ด้วย
ขอให้ท่านทั้งหลายเจริญในธรรม เรื่องสมมุติ ทั้งนั้น เฮอ จขกท ก็เปิดตูดไปแล้ว
- wat likes this
#55
Posted 4 April 2013 - 15:27
มีพาดพวงกระพ๊มอีก...
1.ตอนแรกมั่นใจไม่มากหรอกครับเพราะเห็นลางๆจากการอ้างพุทธวัจจนะเยอะมากเพราะการอ้างคุณธรรมผู้อื่นเยอะไปแบบนี้มันแสดงถึงความไม่มีคุณธรรมในตัวเองพอที่จะกล้าพูดว่า เราปฎิบัติมาเช่นนี้ เราได้เช่นนี้ แม้ไม่ถึงอริยะบุุคลแต่ก็มีคุณธรรมประจำตัว หรือการใช้คำพูดสงสัยไม่กี่คำให้คนอื่นอธิบายเป็นหน้ากระดาษแถมภายหลังยังบอกด้วยว่าที่ถามแค่วัดว่าแค่ไหนเพราะตัวเองยึดมั่นในแนวทางปฎิบัติอยู่แล้ว จะถามคำถามนี้เพื่ออะไรที่เป็นเป็นประโยชน์กับตัวเองหรือเปล่า คำตอบคือไม่เป็นประโยชน์ นี้แหละครับแขนขาด เพราะข้อเสียใหญ่หลวงที่มีในตัวไม่เห็นแต่ไปเห็นสิ่งอื่นทำสิ่งอื่นแก้สิ่งอื่น
รู้จัก 10 พระสูตรนี่มั้ยขอรับ?
http://webboard.seri...ทธวจนะ-เท่านั้/
ถ้าไม่รู้จัก ก็ลองศึกษาเสียนะขอรับ บอกทางเอาบุญบ้าง กระพ๊มเป็นเพียงมรรคานุคาของพระตถาคต ดำเนินตามปฏิปทาของพระตถาคต ดังพระตถาคตกล่าว ธรรมนั้นเป็นปัจจัตตัง (รู้ได้เฉพาะตน) เป็นสิกขีภูโต (เป็นพยานได้ด้วยตัวเอง) กระพ๊มจึงไม่จำเป็นต้องไปโพทะนาว่ากรูแน่ กรูเจ๋ง กรูเนี่ยแหละคนสมบูรณ์ มะรึงนั่นแหละกรูที่มองด้วยความสมเพชเวทนาดังคนแขนขาด... เหมือนที่ท่านเป็น... กระพ๊มก็เห็นเก่งนักก็ว่าจะไม่ยุ่ง, ไม่แตะแล้วเชียว ดังพระสูตรที่ว่า งูตกไปในหล่มมูตร, คูถนั่นแหละขอรับ ใครลงไปหวังจะช่วย (ทั้งนี้...กระพ๊มไม่ได้คิดจะช่วยอะไรท่านนะขอรับ... แค่เสวนาด้วยเฉยๆ ด้วยเห็นว่าสนใจทางพุทธเช่นกัน เหมือนที่กระพ๊มก็เสวนากับท่าน Terฯ มา แต่ก็ว่ากันด้วยเหตุผลของใคร คิดยังไง ด้านไหน แล้วก็รับฟังกันไป ถึงเสวนากันได้ขอรับ) จับไป แตะไปก็มีแต่จะเหม็นไปด้วย ก็เลยไม่ยุ่งดีกว่า... แล้วที่บอกว่าวัดว่าแค่ไหน... ก็ท่านมาวัดกระพ๊มก่อนนี่ขอรับ... ถ้าไม่อัตตาหรือใจบอดมากนักก็แหกตาอ่านลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันให้ดีว่าใครวัดใครก่อน... ตั้งสติดีๆนะขอรับ...
.อาการแบบนี้เคยเป็นมาก่อนครับเพราะผมก็เป็นวิตกจริตเหมือนกันสมัยอ่านพระไตรปิฏกแต่ไม่ปฎิบัติ พวกอ่านเยอะรู้เยอะ เอาเข้าแต่ไม่เอาออก มันเลยพอกพูนเป็นตัวเราว่าเราถูกเสมอ แต่นี้มันอันตรายเกินไปมากเพราะลามปามไปเยอะ เช่น กรรมฐานคือฐานที่ตั้งแห่งการงาน เช่นการทำไร่ ทำนา ต่อไปเข้าจะไม่เข้าใจเหรอว่าพระกรรมฐานคือพระที่ มั่วแต่อยู่ในฐานที่ตั้งแห่งการทำงานเช่นพวกทำไรทำนา หรือที่บอกว่าเฉพาะพระสุปฎิปันโน อันนี้ก็หนัก เพราะปุถุชนเข้าใจกัลยาณปุถุชนไม่ไ่ด้หรอกครับ หรือกัลยาณปุถุชนก็ไม่เข้าใจอริยภูมิแน่นอน เพราะฉะนั้นหากไม่สุปฎิปันโนมีหรือจะเข้าใจสุปฎิปันโนด้วยกัน เหมือนบางคนศีล5ไม่ครบ ศีล8ไม่ได้ จะเข้าใจสุปฎิปันโนของพระสงฆ์ได้เช่นไร ตรงนี้แขนขาดแน่นอนครับ จะสุ่มเสี่ยงต่อการปรามาสพระรัตนไตรในพระสงฆ์เป็นอย่างมาก ผมแก้อาการพวกนี้ด้วยความสงบของใจและโอปนยิโกมากขึ้นรวมถึงการกำหนดข้อเขตวินัยของความคิด
ไอ้ที่ "หนัก" น่ะท่านทั้งนั้น กระพ๊มไม่ได้หนักอะไรเลยขอรับ... ก็บอกแล้วข้อมูลนั่นก็ตามที่กระพ๊มศึกษามา หากไม่เชื่อก็ไปค้นคว้าดูสิขอรับ นั่นถึงจะเรียกว่าดำเนินตามรอยพระตถาคตตาม 10 พระสูตรข้างต้นขอรับ... ท่านนั่นแหละขอรับ (ว่าจะไม่ฟันธงแบบท่านแล้วนะ) ที่รู้ไม่จริง... แค่บอกถึงความหมายว่ามันจำกันมาผิด ท่านก็แปลไปเสียใหญ่โต, ลามปามพระเจ้า ฯลฯ ...
"ตถาคเต เอกนฺตคโต อภิปฺปสนฺโน" ท่านรู้ความหมายมั้ยขอรับ? ทราบที่มาของพระสูตรมั้ย พระพุทธองค์ตรัสเรื่องนี้หมายถึงใคร, อะไร, อย่างไร, เพื่ออะไร? ถ้าไม่ทราบกระพ๊มก็ป่วยการจะอธิบายถึง "สุปฏิปัณโน ภะคะวะโต สาวกสังโฆ" ขอรับ... ไปศึกษาดูเองเถิด หรือก็งมงายตามวิถีของท่านไปก็เชิญตามสะดวก บอกแล้วขอรับ นรก, สวรรค์ พระตถาคตบอกอยู่ที่ตัวเอง ไม่มีใครบันดาลให้ได้ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวเอง... ก็ช่วยไม่ได้ขอรับ (ทั้งนี้...กระพ๊มไม่ได้คิดจะเตือนอะไรท่านนะขอรับ... แค่เสวนาด้วยเฉยๆ ด้วยเห็นว่าสนใจทางพุทธเช่นกัน เหมือนที่กระพ๊มก็เสวนากับท่าน Terฯ มา แต่ก็ว่ากันด้วยเหตุผลของใคร คิดยังไง ด้านไหน แล้วก็รับฟังกันไป ถึงเสวนากันได้ขอรับ)
3.ผมว่าความเมตตาไม่จำเป็นต้องรอให้ผู้อื่นร้องขอ
เรื่องครูบาอาจารย์น่ะครับตรงนี้เป็นเรื่องความเห็นทางโลก เช่นพ่อท่านลีท่านให้เปลือกของศาสนาเช่นพระเครื่องกับคนที่ไม่ทำตัวอยู่ในศาสนาเพราะท่านอยากให้ติดดี ดีกว่า ติดชั่ว นี้เป็นความเห็นของท่าน ส่วนหลวงพ่อชาหลวงตามหาบัว ท่านไม่สร้างไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น บางองค์จึงให้แต่แก่นอย่างเดียวก็มี แต่ท่านจะให้อะไรยังไงเป็นความเห็นของท่านเพียงแต่เจตนาท่านดี เข้าใจครับว่ากายกับจิตคนล่ะส่วน แต่จะบอกว่าที่พูดออกมาทั้งหมดไม่ไ่ด้มาจากจิตคิดเลยเหรอครับ
เก็บความเมตตาท่านไว้เถิดขอรับ... ตอนนี้กระพ๊มเชื่อมั่นแล้วว่าท่านน่ะแค่ไหน... เชิญตามสะดวกเถิดขอรับ กระพ๊มคงรับความเมตตาจากท่านไม่ได้ เพราะกระพ๊มเชื่อว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกที่ควรจะรับมาปฏิปทา... กระพ๊มเชื่อมั่นในพระธรรมอันเป็นพุทธวจนะนั่นแหละ เชื่อว่าถูกแล้ว, ดีอยู่แล้วขอรับ... กระพ๊มจะเปรียบเปรยถึงนิพพานว่าถ้าคือเชียงใหม่ พระตถาคตกล่าวให้เดินไปทางนครสวรรค์เนี่ยแหละ ถึงแล้วก็ขึ้นเหนือตรงไปเรื่อยๆ... เดี๋ยวก็ถึงเชียงใหม่... คนดี คนจน คนรวย คนพิการ หากมีสติปัญญา...แล้วเค้าเชื่อมั่นในคำพระองค์ กระพ๊มก็เชื่อว่ายังไงๆเค้าก็ต้องกระเสื อกกระสนไปตามทางที่พระองค์บอก... หากต้องการไปเชียงใหม่จริงๆ... แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของท่านบอกต้องเดินลงสุไหงโกลก ว่ายน้ำข้ามไปอีกสี่มหาสมุทร ปีนข้ามเขาหิมาลัยก่อน แล้วค่อยวกลงมาทางจีน... เดี๋ยวก็อาจจะถึงเชียงใหม่... ท่านเชื่อก็เรื่องของท่านเถิดขอรับ... มันปัจจัตตัง... กระพ๊มถึงบอกไม่ขอรับความเมตตาเยี่ยงนี้ของท่านหรอกขอรับ... ขอบใจ...ไม่ต้อง... และถ้าให้ดีก็อย่างมาพาดพิงอะไรกระพ๊มอีกเลยขอรับ... นี่คงเป็นบทสุดท้ายสำหรับคนเยี่ยงท่าน... กระพ๊มคงไม่ยุ่งแล้วนะขอรับ...
ก็เหมือนปริพาชกถามพระพุทธองค์ว่า "ท่านสมณะว่าเก่งนัก รู้แจ้งถึงอมตะ แล้วไฉนไม่นำพาคนไปให้เสียทั้งโลกเลยเล่า ไฉนเลยยังมีหมู่ชนที่ยังไปได้ไม่ถึง" พระตถาคตก็ตรัสถามปริพาชกว่า "ถ้ามีคนถามท่านถึงทางไปเมืองพาราณสี ท่านบอกหมู่พวกเค้าได้หรือไม่ ไปทางไหน อย่างไร?" ปริพาชกก็กล่าวว่าได้ พระตถาคตจึงถามต่อ "แล้วท่านบอกทางไปอย่างไรกับทุกคน แล้วทุกคนสามารถไปถึงเมืองพาราณสีได้ทั้งหมดหรือไม่?" ปริพาชกก็กล่าวว่าบางคนก็ชี้ทางได้โดยย่อ บางคนก็ต้องบอกอย่างพิสดาร แล้วก็ไม่ทั้งหมดที่ไปถึง หลงเสียระหว่างทาง แล้วเดินกลับมาบ้าง... พระองค์จึงสรุปบอก... "เราเป็นเพียงผู้บอกทาง ดังเช่นท่านบอกทางไปเมืองพาราณสีนั่นแหละ ใครจะไปได้ถึงหรือไม่ถึงนั่นก็อยู่ที่เหตุปัจจัย, อินทรีย์บารมีของเขาผู้นั้น เหมือนดังบางคนที่ไปตามทางแล้วถึงเมืองพาราณสี บางคนก็ไปไม่ถึง หลงเสียระหว่างกลางทางนั่นแล"... อันนี้แถมให้เป็นธรรมทานอันเป็นพุทธวจนะ ด้วยเมตตาจิตเช่นกันขอรับ เผื่อจะมองเป็นดอกบัวบ้าง...
Edited by wat, 4 April 2013 - 15:37.
#56
Posted 6 April 2013 - 15:10
คือการอธิบายคุณธรรมของตัวเอง คือเราทำเช่นไรได้เช่นไร นี้คือการอธิบาย ถึงที่มาที่ไปอุบายการปฎิบัติ ทำไมครูบาอาจารย์บอกว่าลูกศิษย์ตถาคตเหมือนแต่ก็ยังสอนแตกต่างกันในแง่อุบาย เพราะท่านปฎิบัติคนล่ะแนว ทำเช่นไร ได้ผลเช่นไรถึงสอนเช่นนั้น การอธิบายด้วยคุณธรรมของเรานี้แหละเพราะเราผ่านมาเรารับรู้ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้มันอธิบายได้ชัดเจน คุณธรรมที่เรามีคือข้อเท็จจริงที่ต้องพูดเพราะเรารู้เรื่องพวกนี้ดีที่สุด ส่วนจะต้องรู้จักกันยาวนานแค่ไหน อันนี้ผมว่าไม่สำคัญ เรื่องธรรมทานเห็นคนยากไร้ตรงหน้าเรามีเราให้แค่นั้นเอง
ผมว่าไม่ไกลหรอกครับ เพราะคำพูดว่า "เขาอาจ" มันออกแง่ดีได้แง่ร้ายได้ เพราะมันออกได้ทั้งดีทั้งร้ายถึงต้องระมัดระวัง คือระวังไว้ดีกว่าไม่ระวัง จะวัดอะไรก็วัดไปครับคนธรรมดาเช่นเราๆท่านๆมันไม่เท่าไรหรอก แต่กับพระรัตนตรัยน่ะรุนแรง และผมก็เห็นด้วยกับคุณที่บอกว่า "เขาวัดระดับเพื่อป้องกันตัว" ข้อนี้ผมเห็นด้วยครับว่าชัดเจน เจอคนแปลกหน้ามาจากไหนไม่รู้วัดมันก่อนเลยเจ๋งไม่เจ๋ง เพราะกลไกลนี้เป็นปกติของพวกที่มีอุปนิสัย วิตกกังวล เพราะจริตเขาเป็น วิตกจริต ส่วนเรื่องปรามาสอะไรเนี้ย ผมไม่อยากถือเป็นทุกข์ครับ หนักเฉยๆ จะมาเจ็บปวดเพราะคำพูดคนอื่น และผมก็ไม่คิดว่าใครปรามาสเพราะผมคิดในแง่ดีว่า เขาตักเขาเตือน
เรื่องเมตตานี้ ผมใช้ในแง่ความหมายรวมๆแบบเข้าใจง่าย แต่ถ้าจะอธิบายลงย่อยๆผมมีเมตตาให้เบื้องต้นเพราะไม่รู็จักไม่เห็นข้อเสียเขาแล้วกรุณาให้คุณwatหลังจากเขาตอบเขาคำถามผมและอ่านความเห็นของเขาผ่านสายตาในบ้างกระทู้ แต่มุทิตาไม่มีเพราะยังไม่เห็นความสำเร็จที่ควรยินดี และไม่ต้องถึงมุทิตาผมก็วางอุเบกขากับตัวเองเพราะยิ่งพูดคุณwatยิ่งกลับกลอกบอกจะอัปเปหิ ก็กลับมาตอบมาอ่าน มันห้ามความคิด ความสงสัย ความวิตกกังวลไม่ได้หรอก มันจะเป็นจะตายกับโลกธรรม8จนต้องผิดคำพูดขนาดนั้นเลย ที่คุณศึกษามาทั้งหมดมันช่วยให้คุณเห็นโลกตามข้อเท็จจริงบ้างมั๊ย ที่คุณเอาเรื่องพุทธวัจจะอะไรมาอธิบาย ผมอ่านตั้งแต่สมัยที่พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โดนวัดหนองป่าพงมติตัดสาขาเมื้อ2-3ปีก่อนแล้ว ไม่ต้องยกประกอบหรอกครับไม่ใช่ว่าผมไม่ศึกษา ทุกคนก็คิดเสมอแหละครับว่าตัวเองถือเพชร แล้วเพชรที่ถือในมือ มันช่วยอะไรคุณบ้าง? แค่สติก่อนจะพิมพ์ก่อนจะพูดยังไม่ไ่ด้เลย กับคำพูดตัวเองพูดไปยังรักษาไม่ไ่ด้เลย พิจรณาใหม่เถอะครับ ความเมตตามันไม่ทำร้ายใครหรอกครับ น้ำร้อนปลามันเป็นน้ำเย็นตะหากที่ปลามันตาย ปรามคนผิดดีกว่าไปเออออด้วย ส่วนเรื่องจะหยุดให้ความเมตตา มันเป็นอารมณ์ปกติครับ ผมมองเห็นเป็นมิตรหมด โดยส่วนตัวผมชอบคนตำหนิ ยิ่งแรงๆยิ่งชอบ กิเลศและความผิดที่เราไม่เห็นเมื้อมีคนเห็นคนแนะนำ ขอแรงๆเลยครับ ผมก็เข้าใจน่ะครับว่าคนไม่เหมือนกัน และก็เชื่อคุณterบางคนแนะนำไม่ได้เยอะแยะมากกกก
0 user(s) are reading this topic
0 members, 0 guests, 0 anonymous users