http://www.thaipost....ws/210313/71201
แผนเพิ่มจำนวนเสียงข้างมากยึดครองประเทศไทยเริ่มแล้ว ส.ส.พรรคร่วมรวมหัว ส.ว.สายรัฐบาล ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4 ประเด็นตามใบสั่ง "นายใหญ่" อัปยศ! ซอยแหลกแยกเป็น 3 ร่างแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เพื่อไทยชงล้างบาง ส.ว.สรรหา ให้เลือกตั้งเพิ่มเป็น 200 คน ส่วน ส.ว.แก้ ม.237 ปล่อยผีขี้โกง พ่วง ม.68 ไว้ขี่ศาล รธน. อีกร่างรวมมิตรฝีมือ ส.ว.สุพรรณฯ ยื่นรื้อ ม.190 ให้อำนาจรัฐบาลถลุงสมบัติชาติ ทำสัญญากับต่างประเทศโดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา เร่งผ่านวาระ 1 สมัยประชุมนี้ ไม่เกินสิงหาเสร็จหมด "นพดล" แบไต๋นี่แค่ล็อตแรก คิวต่อไปรื้อทั้งฉบับ
ช่วงเที่ยงวันพุธที่ผ่านมา กลุ่ม ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล นำโดยนายอำนวย คลังผา ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการบริหารงานพรรคร่วมรัฐบาล และกลุ่ม ส.ว.เลือกตั้ง นำโดยนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ได้ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ส.ส.และ ส.ว.ได้แยกยื่นเป็น 3 ร่าง โดยนายอุดมเดชยื่นแก้ไขเรื่องที่มาของ ส.ว. ได้แก่ มาตรา 111, 112, 113, 114, 115, 117, 118 และมาตรา 120 โดยให้มี ส.ว.เลือกตั้งจำนวน 200 คน และให้ ส.ว.เลือกตั้งสามารถลงรับสมัครเลือกตั้งได้ติดต่อกัน โดยไม่ต้องเว้นวรรค และให้ตัด ส.ว.สรรหาทิ้ง แต่ไม่กระทบกับ ส.ว.สรรหาที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน แต่เมื่อครบวาระแล้วจะไม่มีการสรรหาใหม่
ขณะที่นายดิเรกได้ยื่นร่างแก้ไขมาตรา 237 เรื่องการยุบพรรคการเมือง และพ่วงมาตรา 68 เกี่ยวกับสิทธิในการยื่นเรื่องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญจะยื่นโดยตรงไม่ได้ ต้องยื่นให้อัยการสูงสุดพิจารณาเท่านั้น พร้อมทั้งให้ยกเลิกการตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และห้ามยุบพรรคการเมือง
ส่วนนายประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี ยื่นแก้ไขมาตรา 190 เรื่องการให้รัฐสภารับรองการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ พบว่ามีการแก้ไขลดเงื่อนไขไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง การลงนามหนังสือหรือสัญญา มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอีกต่อไป ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของพ.ต.ท.ทักษิณ (รายละเอียดหน้า 4)
สำหรับรายชื่อ ส.ส.และ ส.ว.ที่ร่วมลงชื่อทั้ง 3 ร่าง จากการตรวจสอบพบว่า ร่างที่นายอุดมเดชยื่นแก้ไขที่มาของ ส.ว. มีผู้เข้าชื่อทั้งสิ้นจำนวน 303 คน แยกเป็น ส.ส. 248 คน และ ส.ว. 55 คน โดยเป็นที่น่าสังเกตว่ามี ส.ว.สรรหาร่วมลงชื่อ 8 คน ได้แก่ นายประวิทย์ จันทราประภาวัฒน์, นายปัญญา เบ็ญจศิริวรรณ, พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์, นายจารุพงศ์ จีนาพันธ์, นายมหรรณพ เดชวิทักษ์, พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ ซึ่งล้วนเป็น ส.ว.ที่ใกล้ชิดรัฐบาล
ขณะที่ร่างของนายดิเรกซึ่งยื่นให้แก้ไขมาตรา 237 และมาตรา 68 มีผู้เข้าชื่อทั้งสิ้น 308 คน แยกเป็น ส.ส. 248, ส.ว. 60 คน ส่วนร่างของนายประสิทธิ์ ยื่นแก้ไขมาตรา 190 มีผู้เข้าชื่อ 310 คน แยกเป็น ส.ส. 248 คน และ ส.ว. 62 คน
เร่งบรรจุระเบียบวาระ
นายสมศักดิ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า จากการตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อ ตามข้อบังคับการประชุมจะต้องบรรจุการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบ วาระการประชุมรัฐสภาภายใน 7 วัน จากนั้นเป็นเรื่องของสมาชิกจะพิจารณาให้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อนหรือไม่ และตนก็ได้ทำตามอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งร่างดังกล่าวนี้จะพิจารณาร่วมกันทั้ง 3 ร่าง และตั้งกรรมาธิการขึ้นมา 3 ชุด ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของเก่าที่ยังคงอยู่ในสภาฯ ที่กำลังรอโหวตวาระ 3
ถามว่าจะเป็นชนวนความขัดแย้งครั้งใหม่หรือไม่ ประธานรัฐสภาตอบว่า แก้ไขไม่มาก คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร เท่าที่ดูเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งสมาชิกพิจารณาแล้วคิดว่าเหมาะสม การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถทำได้ทุกเวลา
ด้านนายดิเรกคาดว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งน่าจะเสร็จภายในเดือนส.ค.นี้ ส่วนกรณีที่ ส.ว.ยื่นในสิ่งที่ ส.ส.ต้องการ อาทิ มาตรา 68 และมาตรา 237 ขณะที่ ส.ส.ก็ยื่นแก้ไขเรื่องที่มาของ ส.ว. เพราะหาก ส.ว.เป็นแกนนำยื่นเอง อาจถูกตีความเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกันได้ อย่างไรก็ตาม รูปแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราที่จะเสนอแก้ไขอยู่นี้ คิดว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องแล้ว หากวิธีการนี้แก้ไขไม่สำเร็จก็ไม่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกแล้ว
(อ่านต่อฉบับเต็มได้ตามลิงค์ครับ)
100.JPG
