เปิดหลักฐาน ... 'ทักษิณ'ยอมรับรู้เรื่องประชุมลดค่าเงินบาท-มือมืดโทรแจ้งข่าวตอน 4 ทุ่ม
หมายเหตุ 'มติชนออนไลน์' เป็นคำพิพากษาศาลฎีกา(5730/2550)ยกฟ้องคดีที่นายโภคิน พลกุล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก นายสุเทพ เทือสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กับหนังสือพิมพ์อีก 8 ฉบับเป็นเงินกว่า 2,500 ล้านบาท กรณีที่นายสุเทพอภิปรายในญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 26 กันายน 2540 โจมตีเรื่องการลดค่าเงินบาทว่า สงสัยนายโภคินจะนำความลับเรื่องการลดค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ของรัฐบาลไปบอก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้บริษัทของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ประโยชน์จากการลดค่าเงิน
คำพิพากษาดังกล่าวทำให้ สาธารณชนรู้ข้อเท็จจริงว่า ในการประชุมเรื่องการลดค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2540 ซึ่งเป็นความลับที่สุดยนั้น นอกจากมีพล.อ.ชวลิต ในฐานะนายกรัฐมนตรี นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ในที่ประชุมแล้ว ยังมี นายโภคิน พลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในที่ประชุมด้วยและข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้ศาลฎีกาชี้ให้เห็น 'ข้อพิรุธสำคัญ'จนกระทั่งนำไปสู่การยกฟ้องคดีที่นายโภคินฟ้องนายสุเทพ
--------------------------------
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2540 และวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้น ร่วมปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท
ต่อ มาวันที่ 26 กันยายน 2540 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่รัฐสภา เป็นการอภิปรายญัตติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีคือพลเอกชวลิต และมีการถ่ายทอดไขข่าวแพร่หลายทั้งการกระจายเสียงทางสถานีวิทยุและแพร่ภาพ ทางสถานีโทรทัศน์ จำเลยที่ 1(นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ซึ่งขณะนั้นป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้าน ส่วนโจทก์(นายโภคิน พลกุล)เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลของพลเอกชวลิต
จำเลย ที่ 1 ได้รับมอบหมายจากพรรคประชาธิปัตย์ให้อภิปรายญัตติไม่ไว้วางใจพลเอกชวลิตนายก รัฐมนตรีเกี่ยวกับการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท และระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
จำเลยที่ 1 อภิปรายว่า "การที่มีคนมีกำไรอย่างนี้นะครับทำให้ผมสงสัยว่ามีคนอื่นที่ได้กำไร ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อพลเอกชวลิต แต่เป็นพวกที่เชื่อพลเอกชวลิต แล้วได้กำไรมีไหม มีครับท่านประธาน เพราะเขาเชื่อว่าพลเอกชวลิตจะตัดสินใจลดค่าเงินบาทเมื่อไร คนนี้เอาเปรียบคนไทยทั้งชาติ คนนี้เอาข้อมูลภายในไปแสวงหาประโยชน์
มี ข่าวลือกันมากในตลาดการเงินในประเทศไทยว่า ขาใหญ่ที่ร่ำรวยนั้น รวยถึงขนาดมีการันตีได้ว่า เลือกตั้งคราวหน้าสบายกันทุกคน ท่านประธานที่เคารพครับ ผมสงสัยเรื่องนี้แล้ว ท่านประธานต้องเห็นใจอย่างยิ่งที่ผมมีความสงสัย เพราะพลเอกชวลิตแสดงพิรุธ พลเอกชวลิตแสดงพิรุธ 2 ประการ
ประการที่ 1 พลเอกชวลิตแสดงพิรุธด้วยการมาพูดจาในที่สาธารณะต่อสื่อมวลชน ทั้งหนังสือพิมพ์ ทั้งทีวี ทั้งวิทยุ ว่าในการตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่จะประกาศให้ค่าเงินบาทลอยตัวนั้น ทำอย่างเป็นความลับที่สุด รู้กัน 3 คน เท่านั้นเอง คือพลเอกชวลิต นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ตรงนี้เป็นพิรุธครับท่านประธาน ผมสอบสวนมีพยานหลักฐานยืนยันได้ ถ้าพลเอกชวลิตต้องการรู้ว่า ต้องการที่จะเถียงกับผม ผมท้าให้ฟ้องศาลเรื่องนี้เพราะผมมีหลักฐาน พยานบุคคลยืนยันว่า วันที่ตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้รู้กันแค่ 3 คนมีคนที่ 4 รู้ด้วย
ท่านประธานที่เคารพครับ เข้าประตูทำเนียบนี่มียามรักษาการณ์ มีเจ้าหน้าที่ มีว่า วันนั้นเวลานั้นในห้องนายกรัฐมนตรีมีใครอยู่กี่คน ผมแอบได้ยินมาด้ว ว่า พูดอย่างไรด้วย มีคนเขาเล่าให้ผมฟัง เขาพร้อมที่จะเป็นพยานให้ผม
คนที่ 4 ซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและไม่สมควรที่จะนั่งอยู่ในการตัดสินใจครั้งสุด ท้าย ตามตำหนิรูปพรรณที่คนเขาให้การมา รวมทั้งแผลเป็นบอกว่าชื่อนายโภคิน พลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ไม่เคยปรากฏว่า ในวันที่นายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างนี้จะต้องมีคนมานั่งใกล้ชิด กำกับอยู่ด้วย นายกรัฐมนตรีควรมีสติ มีปัญญาที่จะตัดสินวินิจฉัยได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องมีคนกำกับ
ผมสงสัย ว่า นายโภคิน พลกุล ไปนั่งอยู่ทำไมในเวลานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของนายโภคิน ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะให้นายโภคินล่วงรู้เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตัดสินใจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกันตัดสินใจเท่านั้น
แต่เรื่องนี้ แม้พลเอกชวลิตจะมาพูดกับคนทั้งชาติว่ารู้กัน 3 คน แต่ที่จริงรู้กัน 4 คน นายโภคินนั่งอยู่ด้วยตลอดในเวลา 1 ชั่วโมง ที่หารือกันเรื่องนี้ หารือกันวันที่เท่าไร ท่านประธานครับ วันที่ 29 มิถุนายน เป็นวันอาทิตย์ เวลา 9.30 นาฬิกา เป็นต้นไป
ตรงนี้พลเอกชวลิตแสดงพิรุธอีก เพราะพลเอกชวลิตบอกกับสภานี้ว่าได้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายที่จะประกาศที่จะให้ ค่าเงินบาทลอยตัวเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ความตรงนี้มีนัยที่น่าสนใจมาก
ท่าน ประธานครับ พลเอกชวลิตคล้ายๆ จะบอกกับสภานี้ว่า ตัดสินใจวันที่ 1 รุ่งขึ้นเช้าวันที่ 2 ประกาศเลย เหมือนกับเป็นการป้องกันตัวไว้ก่อนว่าไม่มีใครหยิบฉวยจังหวะตรงนี้ไปหา ประโยชน์ได้หรอก
ความจริงไม่ใช่ ไปปรึกษาการตัดสินใจครั้งสุดท้ายวันที่ 29 มิถุนายน เป็นวันอาทิตย์ 9.30 น. ก่อน หน้านี้มีคนนั่งกันอยู่ในห้องหลายคนมีผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ มีสภาพัฒน์ฯ พอ 3 คนนี้เข้าไปก็ให้คนอื่นออก แต่เหลือนายโภคินเอาไว้ แล้วตัดสินใจเสร็จ จากวันที่ 29 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ รุ่งขึ้นวันที่ 30 เป็นวันจันทร์ วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นวันอังคาร
พลเอกชวลิตมาพูดที่นี่ว่า วันที่ 1 เป็นวันหยุดกลางปีของธนาคาร ใครรู้อะไรก็ทำอะไรไม่ได้ ธนาคารแห่งประเทสไทยหยุด ท่าน ประธานครับ ธนาคารฮ่องกง ธนาคารสิงคโปร์ไม่หยุด รู้ล่วงหน้า 2 วัน ทำเงินได้หลายพันล้านบาทครับ ถ้าคนนั้นมีเงินในระดับที่จะไปลงทุนได้
ความ 2 ประการนี้เป็นพิรุธ พิรุธเรื่องที่บอกว่ารู้กัน 3 คน ทั้งๆ ที่รู้กัน 4 คน พิรุธเรื่องที่บอกว่า ตัดสินวันที่ 1 ทั้งๆ ที่ตัดสินเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พิรุธนี้ทำให้ผมสงสัยว่าอย่างไร สงสัยว่า เอาเวลาช่วงที่ขาดไปนั้นไปให้พรรคพวกของตัวเองได้ไปซื้อเงินดอลลาร์ไว้ล่วง หน้า ไปซื้ออัตราแลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้าแล้วทำกำไร
ท่านประธานที่เคารพครับวันนี้ผมยอมบาป คนที่ผมสงสัยมากที่สุดนั่งอยู่ตรงนั้นครับ ด็อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร ครับผู้ต้องสงสัยของผม ท่านด็อกเตอร์ทักษิณไม่ได้ทำบาปอะไรหรอกครับ
ที่ ผมสงสัยคือสงสัยว่ารัฐมนตรีโภคินจะเป็นคนบอกความลับเรื่องนี้กับด็อกเตอร์ ทักษิณ แล้วด็อกเตอร์ทักษิณไปซื้อขายเงินไว้ล่วงหน้าทำกำไร
ท่านประธานที่เคารพครับ ท่านได้กำไรไปเยอะในขณะที่คนในชาติน้ำตาไหลกันทุกคน ผม ไม่แปลกใจว่า หลังจากนั้นไม่นาน ได้มาเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ก็เก่งขนาดทำเงินได้ 2 วัน 4,000,000,000 บาท ถึง 5,000,000,000 บาท ก็น่าจะให้เป็นหรอกครับ
ท่านประธาน นี่เป็นข้อสงสัยของผม ผมคาดคะเนสงสัยด้วยเหตุผลแวดล้อมอย่างนี้และผมมีประจักษ์พยานหลักฐานว่า หลังจากนายโภคินได้รับความลับเรื่องนี้ ได้มีการโทรศัพท์ติดต่อกับด็อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร
เสียอย่างเดียว ว่า ผมไม่มีหูทิพย์ว่าพูดกันอย่างไรเท่านั้นเองครับ แต่ผมสงสัย และผมรู้ว่านายโภคินได้พูดความลับเรื่องนี้กับคนอื่นอีก ถ้าท่านรัฐมนตรีโภคินสงสัยฟ้องศาล จะได้รู้ว่า คนที่ท่านบอกนั้นจะเป็นพยานให้ท่านหรือจะเป็นพยานให้ผม
การที่มีคนรู้ความลับและเอาความลับไปเปิดเผยแล้วไปหาประโยชน์กันมันผิดทั้งคุณธรรม ทั้งจรรยา
ผมต้องเรียนกับท่านประธานตรงๆ นะครับ ผมไม่สามารถจะสงสัยคนอื่นที่เปิดเผยความลับได้หรอกนอกจากรัฐมนตรีโภคิน เพราะว่า คนแรกคือนายกรัฐมนตรีผมเชื่อว่า ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นนายกรัฐมนตรีคงไม่บอกด้วยปากตัวเอง
คนที่ 2 คือ รัฐมนตรีฯ ทนง ถึงจะเคยมีความสัมพันธ์กับด็อกเตอร์ทักษิณมาก่อน ทำงานอยู่ด้วยกัน แต่ศักดิ์ศรีขุนคลังของประเทศคงไม่เปิดปาก
คนที่ 3 คือ นายเริงชัย มะระกานนท์ ที่รู้เรื่อง เขาเป็นลูกหม้อธนาคารแห่งประเทศไทยแบงก์ชาติ ผมว่า จิตวิญญาณเขาคงหนักแน่นไม่ทำอย่างนั้น
คนที่ 4 ซึ่งไม่เกี่ยวกับเขาละสิครับไปนั่งอยู่ด้วยนี่สิครับ ไม่ให้ผมสงสัยได้อย่างไร นี่คือเหตุผลครับ ท่านประธานครับ...."
วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ลงพาดหัวข่าวการอภิปรายของจำเลยที่ 1
คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า คำอภิปรายของจำเลยที่ 1 เป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่
โจทก์ เบิกความว่า คำอภิปรายของจำเลยที่ 1 ได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์ว่า โจทก์ทราบว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท ในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 และโจทก์นำข้อมูลที่ทราบไปบอกด็อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ด็อกเตอร์ทักษิณอาศัยข้อมูลที่ได้รับทราบจากโจทก์ไปทำการซื้อขายเงิน ตราในระยะเวลา 2 วัน ได้กำไร 4,000,000,000 บาท ถึง 5,000,000,000 บาท ทำให้ประชาชนน้ำตาไหล และพรรคพวกของโจทก์ได้ประโยชน์เป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมจรรยา
โดย สรุปจำเลยที่ 1 กล่าวว่าโจทก์ร่วมกันหาประโยชน์กับด็อกเตอร์ทักษิณเกี่ยวกับข้อมูลที่จะ เปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท ซึ่งเป็นการทำให้บ้านเมืองเสียหาย
ต่อ มาหนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ลงพิมพ์โฆษณาพาดหัวข่าวและลงข้อความว่า โจทก์ทำกำไรเรื่องค่าเงินบาท ซึ่งข้อความที่จำเลยที่ 1 อภิปรายนั้นเป็นความเท็จ โจทก์ไม่ทราบว่าในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 จะมีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท โจทก์ไม่เคยติดต่อกับด็อกเตอร์ทักษิณ ทั้งไม่เคยร่วมมือกับด็อกเตอร์ทักษิณหรือบุคคลอื่นใดในการแสวงหาประโยชน์จาก ข้อมูลดังกล่าว คำอภิปรายของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
ส่วน จำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้ว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกชวลิตนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จำเลยที่ 1 ได้อภิปรายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงลดค่าเงินบาท โดยก่อนวันที่โจทก์อภิปรายได้มีสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ในทำนองที่ว่า ความลับเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงลดค่าเงินบาทได้รั่วไหลไปสู่นักธุรกิจก่อน แล้ว
พลเอกชวลิตได้ออกมายืนยันว่า เรื่องนี้ได้ทำเป็นความลับและมีผู้รู้เพียง 3 คน เท่านั้น คือพลเอกชวลิต นายทนง พิทยะ ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายเริงชัย มะระกานนท์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
เหตุที่จำเลยที่ 1 อภิปรายเกี่ยวกับโจทก์เนื่องจากได้รับทราบข้อมูลจากนายภูษณ ปรีย์มาโนช และนายไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ ซึ่งเป็นเพื่อนของโจทก์ ทั้งได้ทราบจากนายเริงชัย มะระกานนท์ ด้วยว่า ในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 ไม่ได้มีบุคคลเพียง 3 คนดังกล่าวข้างต้น แต่โจทก์ได้ร่วมประชุมด้วย
ใน การอภิปรายจำเลยที่ 1 ไม่เคยอภิปรายยืนยันว่า โจทก์ทุจริต จำเลยที่ 1 อภิปรายโดยตั้งข้อสงสัยในพฤติกรรมของโจทก์ว่า โจทก์จะนำความลับเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงลดค่าเงินบาทไปบอกด็อกเตอร์ทักษิณ
จำเลย ที่ 1 อภิปรายในฐานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้าน มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เป็นการอภิปรายตามหน้าที่ และเป็นการติชมโดยสุจริต อันเป็นวิสัยของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะต้องปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของ ประเทศชาติและประชาชน
เห็นว่า โจทก์เบิกความยืนยันว่า โจทก์ไม่ทราบว่าจะเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท โจทก์ไม่เคยบอกด็อกเตอร์ทักษิณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาท โจทก์ไม่เคยร่วมมือกับด็อกเตอร์ทักษิณหรือบุคคลอื่นใดในการแสวงหาประโยชน์ จากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท
การอภิปรายของจำเลยที่ 1 เป็นความเท็จทั้งหมดแต่กลับได้ความจากนายเริงชัยพยานโจทก์เองว่า ในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 พยานกับนายทนง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าพบพลเอกชวลิตนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อที่จะปรึกษาหารือเกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท โจทก์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั่งอยู่ด้วย
นายทนง พูดขึ้นว่า ที่มาพบก็เนื่องจากจะปรึกษาหารือเรื่อองสำคัญเกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท พยาน(นายเริงชัย)จึงพูดขึ้นว่า เรื่องนี้จะนำมาพูดในขณะนี้สมควรหรือไม่ เนื่องจากมีโจทก์อยู่ด้วย
นายก รัฐมนตรีก็พูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรให้โจทก์อยู่ด้วยได้ และรับทราบได้ ดังนั้นนายทนงซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงได้รายงานผลสรุปของ คณะกรรมการที่ได้เสนอต่อพยาน(นายเริงชัย) โดยจะต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัว
นอกจากนี้นายทนง พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า ในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 เวลาประมาณ 8 นาฬิกา พยาน(นายทนง)ได้ไปพบนายกรัฐมนตรีเพื่อร่วมปรึกษาหารือทางด้านเศรษฐกิจ นายเริงชัยได้ เข้าพบนายกรัฐมนตรีพร้อมกับพยาน และโจทก์ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งมีบางตอนที่นายกรัฐมนตรีถามที่ประชุมว่า หากประชาชนมีคำถามเกี่ยวกับนโยบายการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน จะให้ตอบอย่างไร นายเริงชัยได้ให้คำแนะนำว่า ให้นายกรัฐมนตรีปฏิเสธว่า ยังไม่มีการดำเนินการอย่างใด
ดังนี้ เห็นได้ว่า คำ เบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวข้างต้นแตกต่างขัดแย้งกับคำเบิกความ ของโจทก์โดยสิ้นเชิง พยานโจทก์ทั้งสองปาก(นายเริงชัยและนายทนง)ดังกล่าวเป็นประจักษ์พยานที่อยู่ ในเหตุการณ์วันที่ 29 มิถุนายน 2540 และไม่มีส่วนได้เสียในคดี ทั้งเป็นพยานที่โจทก์อ้าง จึงเชื่อว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากเบิกความไปตามความจริง ซึ่งสอดคล้องกับทางนำสืบของจำเลยที่ 1
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 ขณะที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและนายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่วมประชุมกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท โจทก์ได้ร่วมประชุมอยู่ด้วย
นอกจากนี้นายเริงชัยยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า ตามประเพณีปฏิบัติเกี่ยวกับการลดค่าเงินบาทจะรู้กันเพียง 3 คน เท่านั้น คือ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายกรัฐมนตรี
เหตุ ที่เป็นความลับเนื่องจากว่า หากบุคคลภายนอกซึ่งไม่เกี่ยวข้องล่วงรู้จะนำไปหาประโยชน์โดยแสวงหากำไร พยานจึงท้วงติงนายกรัฐมนตรีว่า ควรที่จะพูดเรื่องลดค่าเงินบาทในขณะนั้นหรือไม่เพราะมีโจทก์อยู่ด้วย เนื่องจากโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลก เปลี่ยน
ดังนี้ จึงเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรว่า โจทก์ซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและไม่สมควรจะไปนั่งอยู่ด้วยในการประชุม ตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะให้ค่าเงินบาทลอยตัวนั้น ไม่ใช่ข้อความอันเป็นเท็จหรือฝ่าฝืนต่อความจริง ฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้ต่างหากที่ฝ่าฝืนต่อความจริง
ส่วนที่จำเลยที่ 1 อภิปรายต่อไปว่า จำเลยที่ 1 สงสัยว่า โจทก์เป็นคนบอกความลับเรื่องนี้แก่ด็อกเตอร์ทักษิณนั้น
ศาลฎีกาโดยมติของที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิและหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลพล เอกชวลิตได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 มาตรา 148 ถึงมาตรา 150 ส่วนโจทก์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกชวลิตเป็น บุคคลที่ต้องรับการตรวจสอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับมอบหมายจากพรรคประชาธิปัตย์ให้ร่วมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้ วางใจพลเอกชวลิตนายกรัฐมนตรี ได้อภิปรายถึงการทำงานของพลเอกชวลิตว่ามีข้อบกพร่องและไม่ถูกต้องอย่างไร นั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูยแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2534 กำหนดไว้และการกระทำของพลเอกชวลิตที่ยอมให้ โจทก์ได้ร่วมรับรู้ถึงการปรึกษาหารือและตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลก เปลี่ยนเงินบาท อันเป็นเรื่องความลับที่สุดซึ่งเกี่ยวกับประโยชน์และส่วนได้เสียของประเทศ และประชาชนจำนวนมากเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2540 ก่อนวันประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ถึง 3 วันทั้งๆ ที่โจทก์ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือควรรับรู้ถึงการปรึกษาหารือและการตัดสิน ใจในครั้งนี้เลยและหลังจากนั้นยังยืนยันในที่สาธารณะต่อสื่อมวลชนมาโดยตลอด ว่า มีผู้รู้ถึงการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเพียง 3 คนเท่านั้น คือ ตัวพลเอกชวลิต นายทนง และนายเริงชัย เป็นข้อพิรุธสำคัญ
ประกอบกับพัน ตำรวจโททักษิณซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจการค้ารายใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบเสียหาย รุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอย่างผู้ประกอบธุรกิจการ ค้าใหญ่รายอื่นที่มีหนี้สินเป็นเงินตราต่างประเทศที่ต่างประสบความเสีย หายอย่างรุนแรง ย่อมเป็นมูลเหตุเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายตั้งข้อสงสัยโจทก์ได้
จำเลย ที่ 1 เพียงแต่ตั้งข้อสงสัยว่าโจทก์เป็นผู้นำเอาความลับที่สุดดังกล่าวที่รู้มาโดย ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและไม่ควรจะรู้ไปบอกพันตำรวจโททักษิณ ไม่ได้เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง
การตั้งข้อสงสัยดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จึงมีมูลเหตุเพียงพอที่จะให้ตั้งข้อสงสัยเช่นนั้นได้ ไม่ได้ตั้งข้อสงสัยอย่างเลื่อยลอย อันจะทำให้เห็นเจตนาร้ายของจำเลยที่ 1 ที่จงใจฉวยโอกาสในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎพรรคฝ่ายค้าน ให้ร้ายโจทก์โดยปราศจากเหตุอันสมควร
การอภิปรายของจำเลยที่ 1 ที่พาดพิงถึงโจทก์นั้นยังอยู่ในขอบเขตของการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรฝ่ายค้านในการตรวจสอบการทำงานของพลเอกชวลิตนายกรัฐมนตรีเพื่อผล ประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน อันเป็นวิสัยที่พึงกระทำคำอภิปรายของจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงไม่จำต้องวินิยฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป