Jump to content


Photo
- - - - -

Flipped Classroom : การเรียนรู้แนวใหม่สำหรับศตวรรษที่ 21

flipped classroom ม กระทรวงศึกษา

  • Please log in to reply
51 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 12:42

หนทางการเรียนรู้มีหลากหลาย แม้แนวคิดนี้เก่าสักหน่อยที่เมืองนอกคือเริ่มมีที่มาตั้งแต่ปี 2007

ผ่านมา 5 ปีกว่า กระทรวงศึกษาของไทยจะนำมาใช้   ..ไม่ลองไม่รู้งั้นมันคาใจ

เราท่านที่เสรีไทยจะไม่อยากอ่านแนวคิดที่กำลังจะใช้กับเด็กไทยนี้มั่งเชียวหรือ 

 

Flipped Classroom : การเรียนรู้แนวใหม่สำหรับศตวรรษที่ 21

 

ศตวรรษที่  21  ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าท้ายความสามารถของมนุษยชาติ  เพราะเป็นยุคที่โลกต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้อมูลข่าวสารทุกอย่างก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรอบตัวเราอีกต่อไป แค่เพียงคลิกที่ปลายนิ้ว  เราก็สามารถก้าวข้ามพรมแดนไปได้ทุกซอกทุกมุมโลก  ซึ่งแวดวงทางการศึกษาทั่วโลกต่างก้าวพ้นรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ครูเป็นศูนย์กลาง  มาเป็นการเรียนรู้ในแบบกระบวนทัศน์ใหม่  เรียกได้ว่าเป็นการจัดการศึกษายุคฐานแห่งเทคโนโลยี หรือ Technology  Based  Paradigm  ในขณะทีประเทศไทยได้เล็งเห็นความสำคัญและมุมมองของการเตรียมเด็กไทยสู่ศตวรรษที่  21 ในประเด็นดังต่อไปนี้

คุณลักษณะของเด็กไทยในศตวรรษที่ 21  จะต้องมีคุณลักษณะที่สำคัญ  3  ประการ

 

ประการแรก  คือ  มีทักษะที่หลากหลาย  เช่น  สามารถทำงานร่วมกับคนเยอะ  ๆ ได้อย่างรวดเร็ว  รับผิดชอบงานได้ด้วยตนเอง  และรู้จักพลิกแพลงกระบวนการแก้ไขปัญหาได้

 

ประการที่สอง  คือ มองโลกใบนี้เป็นโลกใบเล็ก ๆ ไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะประเทศไทย  เพื่่อมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่มีอยู่อย่างมากมาย

 

ประการสุดท้าย  คือ  เด็กไทยยุคใหม่ต้องมีทักษะด้านภาษา เพราะหากพูดหรือใช้แต่ภาษาไทยก็เหมือนกับมี "กะลา"มาครอบไว้

 

การศึกษาในศตวรรษที่  21  ครูจะต้องปรับแนวทางการเรียนการสอน (pedagogy) โดยครูจะต้องทำให้เด็กรักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีเป้าหมายในการสอนที่จะทำให้เด็กมีทักษะชีวิต  ทักษะการคิด  และทักษะด้านไอที ซึ่งไอทีในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหรือใช้ไอแพดเป็น แต่หมายถึงการที่เด็กรู้ว่า  เมื่อเขาอยากรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเขาจะไปตามหาข้อมูล (data) เหล่านั้นได้ที่ไหน และเมื่อได้ข้อมูลมาเด็กต้องวิเคราะห์ได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใด และสามารถแปลงข้อมูลเป็นความรู้ (knowledge) ได้  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดจากการฝึกฝน ครูจะต้องให้เด็กได้มีโอกาสทดลองด้วยตนเอง

 

การศึกษาในศตวรรษที่  21  ครูจะต้องปรับแนวทางการเรียนการสอน (pedagogy) โดยครูจะต้องทำให้เด็กรักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีเป้าหมายในการสอนที่จะทำให้เด็กมีทักษะชีวิต  ทักษะการคิด  และทักษะด้านไอที ซึ่งไอทีในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหรือใช้ไอแพดเป็น แต่หมายถึงการที่เด็กรู้ว่า  เมื่อเขาอยากรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเขาจะไปตามหาข้อมูล (data) เหล่านั้นได้ที่ไหน และเมื่อได้ข้อมูลมาเด็กต้องวิเคราะห์ได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใด และสามารถแปลงข้อมูลเป็นความรู้ (knowledge) ได้  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดจากการฝึกฝน ครูจะต้องให้เด็กได้มีโอกาสทดลองด้วยตนเอง

 

ในต่างประเทศ วิธีการสอนแบบ "พลิกกลับ"  กำลังเป็นที่แพร่หลายในวงกว้างมากขึ้น  โดยสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของ  Flipped  Classroom นี้ก็คือ  การใช้เทคโนโลยี การเรียนการสอนที่ทันสมัย และการให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ผ่านกิจกรรม  ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะกระตุ้นให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างเต็มที่    ที่มาของการเรียนการสอนแบบ  Flipped  Classroom เกิดขึ้นในปี 2007  โดยครู 2  คน ในรัฐโคโลราโด  สหรัฐอเมริกา  ชื่อ โจนาธาน  เบิร์กแมน  และแอรอน  แซมส์ ได้ถ่ายคลิปวิดีโอการสอนของตนเองเอาไว้สำหรับนักเรียนที่ขาดเรียน เมื่อคลิปบทเรียนของครูทั้งสองเริ่มแพร่ขยายออกไปในวงกว้าง  ครูหลายคนจึงเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ  อาทิ Podcasts  หรือ  YouTube เพื่อสอนนักเรียนนอกห้องเรียนและสงวนเวลาในชั้นเรียนไว้สำหรับการรวมกลุ่มทำแบบฝึกหัด หรือ ทำกิจกรรมร่วมกัน  และผลลัพธ์ที่ได้ คือ ดีกว่าการเรียนการสอนแบบเดิม นักเรียนจะสามารถศึกษาดูผ่านทางโทรทัศน์ หรือ ในห้องแล็บคอมพิวเตอร์ หรือดูจากที่บ้านได้  เมื่อเข้าชั้นเรียน จะได้ใช้เวลาในห้องเรียนเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆในเรื่องที่สงสัย หรือขอให้ครูอธิบายเพิ่มเติมได้เข้าใจยิ่งขึ้น และเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่มีขีดจำกัด

 

 

ในรูปแบบการเรียนการสอนวิธีนี้ ถือว่าเป็นการเรียนการสอนที่เน้นในรูปธรรมให้นักเรียนได้เห็นและปฏิบัติจากประสบการณ์จริง ซึ่งจะทำให้นักเรียนมีการจดจำและเกิดทักษะการเรียนรู้ได้ดีกว่าที่เรียนแบบนามธรรม  แต่ในมุมมองอีกด้านหนึ่งที่กว่าจะสอนให้นักเรียนรู้จักวิเคราะห์ เลือกใช้สื่อที่ถูกต้อง รู้จักเลือกศึกษาค้นคว้าในเรื่องต่าง ๆ ที่ตนเองสนใจนั้น  ก็จะมีสื่อที่ไม่เหมาะสมกับนักเรียนก็จะแทรกอยู่บนหน้าจอเหมือนกัน  ดังนั้นในการใช้สื่อต่าง ๆในด้านของไอที ก็ควรที่แนะนำให้เข้าใจอย่างแท้จริงและในระยะแรกก็ต้องมีผู้คอยให้คำแนะนำที่ดีไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง  ครูต้องมีส่วนร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันให้กับนักเรียนด้วยเหมือนกัน                               

 

http://anongswu502.b...01_archive.html


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#2 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 12:47

ง่ายๆ ฟลิบคือพลิกกลับ

เรียนเอง ........ที่บ้าน

ทำการบ้าน.....ที่โรงเรียน

flipped3.jpg


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#3 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 13:04

ห้องขอบฟ้ากว้าง ก็เป็นห้องเรียนอีกชนิดหนึ่งสำหรับเด็กหลังห้อง ที่เรียนตามเพื่อนในชั้นเรียนเดียวกันไม่ทัน

“การจัดการเรียนการสอนให้เด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คิดคำนวณไม่เป็น ไปเรียนปนกับเด็กคนอื่นในชั้นเรียน เด็กจะเบื่อ ทำให้โดดเรียน เพราะเรียนไม่ทัน ขณะที่ครูจะส่งเด็กขึ้นไปเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยคิดว่าเด็กจะดีขึ้น

 แต่ปรากฏว่าทำให้เด็กติด 0 ติด ร มาก บางคนถูกผลักออกจากระบบ หรือต้องย้ายไปเรียนที่อื่น จึงจำเป็นต้องจัดห้องเรียนเฉพาะให้เด็กกลุ่มนี้” ครูสายชล สิงห์สุวรรณ ครูแนะแนว ร.ร.เทศบาลวัดกลาง จ.ขอนแก่น บอกถึงที่มาของ ห้องขอบฟ้ากว้าง ห้องเรียนสำหรับเด็กหลังห้อง

 

ลูกใครไม่เป็นเด็กหลังห้อง ..คงไม่มีวันเข้าใจ ..

 

 

http://www.komchadlu...2338/72338.html

 

bifg8ba7597dj957bcekb.jpg


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#4 ทรงธรรม

ทรงธรรม

    ต่อให้ต้องเรียนจนแก่ ก็จะเรียนต่อไป คนเราพัฒนาได้ทุกคน

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,157 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 13:11

เห็น คุณครู สองท่าน ที่ทำ แล้ว นึกถึง คุณครู ผม สองคน

 

คนแรก เป็น บุคคล ผู้เป็น สมอเรือ ให้ผม ก็ได้ เค้าทำให้ผม ไม่เคว้ง

 

ผมสามารถ จับหลัก ของเค้า เพื่อไปต่อได้ เค้าคือ ครู นรินทร

 

ครู ผู้ อารี มอบคลิป ยูทูป ดี ๆ สอนผม อย่างละเอียด ยิบ

 

เค้าทำให้ เ็ด็ก ยังไม่ตั้งไข่ อย่างผม สามารถ เดิน เตาะแตะได้

 

เค้าเป็นครู แห่ง basic ของผม ที่ผม ไม่มีวันลืม

 

 

คนที่สอง คุณครู bucky เค้าเป็นคนตลก แต่ การสอน เค้า ก็เป็นไปแบบ

 

เข้าใจง่าย ๆ ตัวอย่าง เค้า ก็ง่าย ๆ ทำให้เรา ไม่เครียด

 

เค้าเป็น ครู แห่ง swing ของผมเลย

 

เค้าทำให้ผมมั่นใจว่า swing มันไม่ใช่ เรื่องยาก ขอบคุณ ๆ

 

 

สุดท้าย ขอบคุณ เพื่อน สมาชิก ทุกท่าน ที่บอร์ด นี้

 

ที่โอบอ้อมอารี แนะนำ สั่งสอน ผม ทุกท่าน เลยนะครับ

 

ขอบคุณ ยูทูป ขอบคุณ บอร์ด เสรีไทย มาก ๆ ไม่รู้จะ ทำอะไร เป็นการตอบแทน

 

ก็จะพยายาม เป็นสมาชิก ที่น่ารัก ไม่ก่อ ปัญหา แล้วกัน น่ะครับ

 

 

ปล. ผมก็มี นิยาม การเรียน เหมือนกัน

 

เรียนเอง ที่หน้าจอ แล้ว ก็รอ คุณครู ใจดี ที่เสรีไทย


Edited by ทรงธรรม, 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 13:14.

ขอให้พวกเรา ชาวหลากสี และพันธมิตร จงมีชีวิตรอด จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ฝีมือปูนา ไปตลอดรอดฝั่งด้วยครับ

 

PEMDAS ย่อมาจาก ลำดับการคำนวณ Parentheses , Exponentials , Multiply , Divide , Add , Subtract

 

FWGHSO ย่อมาจาก ลำดับการประเมินผลของ query  FROM, WHERE, GROUP BY, HAVING, SELECT, ORDER BY


#5 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 13:52

สพฐ.จัดทำแผนพัฒนาเด็กปี 2556
ข่าว dailynews.online วันอังคารที่ 30 เมษายน 2556 
201075.jpg
สพฐ.จัดทำแผนพัฒนาเด็กปี 2556 จัดให้เป็นปีปฏิรูปการเรียนการสอน มี 4 กิจกรรม

เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้มีการกำหนดแผนและเป้าหมายที่จะดำเนินการในปีการศึกษา 2556 โดยจะกำหนดให้ปีนี้เป็นปีแห่งการปฏิรูปการเรียนการสอน และพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่

1. จัดทำคู่มือในการบูรณาการการจัดการเรียนการสอนแบบครบวงจร โดยจะมีการจัดอบรมให้แก่ศึกษานิเทศก์ในช่วงเดือน พ.ค.นี้ เพื่อนำไปขยายผลให้กับเขตพื้นที่การศึกษาต่อไป อย่างไรก็ตามสำหรับคู่มือเล่มนี้จะมีการสอนเกี่ยวกับการให้การบ้าน และมอบงานที่เกี่ยวกับโครงงานต่างๆ แก่เด็ก เพื่อให้งานเหล่านี้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ และไม่เป็นภาระแก่เด็ก

 2. จะนำทฤษฎีห้องเรียนกลับด้าน(Flipped Classroom)มาใช้ โดยจะเป็นการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนในห้องเรียนอย่างเป็นรูปธรรม และจะมีการปรับโครงสร้างการใช้เวลาอย่างชัดเจน รวมทั้งจะมีการนำสื่อและเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้เป็นตัวช่วยในการเรียนการสอน

 

3.จัดทำแผนการพัฒนาคุณภาพของนักเรียน โดยนำผลการวิเคราะห์คะแนนแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET และคะแนนการประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ National Test (NT) ซึ่งเป็นข้อมูลที่แสดงถึงจุดอ่อนของนักเรียนในทุกช่วงชั้น มาจัดทำเป็นแผนการพัฒนาที่มีเป้าหมาย เพื่อให้ครูได้เน้นย้ำลงไปในจุดที่เด็กมีปัญหาโดยตรง

 

4.กำหนดให้ปีนี้เป็นปีแห่งการพัฒนาทั้งด้านคุณธรรม และวิชาการควบคู่กันไป

 

 

"ในปีการศึกษา 2556 สพฐ.จะพัฒนาโรงเรียนในเรื่องการส่งเสริมคุณธรรมนำวิชาการ ซึ่งในปีการศึกษา 2555 ได้เริ่มนำร่องในโรงเรียนดีประจำตำบลไปแล้ว 6,500 แห่ง โดยใช้ชื่อว่าโรงเรียนดีศรีตำบล ดังนั้นในปีนี้จะขยายผลเพิ่มเติมไปยังโรงเรียนในฝันอีก 2,628 แห่ง โดยผู้บริหาร ครู และนักเรียน จะต้องผ่านการอบรมในเชิงคุณธรรม และจริยธรรมผ่านภาคปฏิบัติด้วย เพื่อให้ผู้เรียนมีความสมดุลทั้งด้านวิชาการ และจิตใจ" นายชินภัทร กล่าว..

 

 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#6 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 14:03

ปีการศึกษาใหม่นี้ ผู้ปกครองสมควรมีเน็ตที่บ้าน (มันจำเป็น) ในการฝากงานไปอ่านที่บ้าน

เพราะเด็ก(ที่มีเน็ตที่บ้าน)จะได้เข้าไปเขียนรายงานไว้ในบล็อกของครู หรืออีแมวไปว่าอ่านแล้ว

ซึ่งผู้ปกครองควรมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเด็กให้เตรียมอ่านบทเรียนมาจากที่บ้านด้วย

รวมทั้งอาจตั้งคำถามของหัวข้อนั้นมาอย่างน้อยหนึ่งข้อเพื่อมาเฉลยร่วมกันในห้อง

 

และครูที่โรงเรียนจะสอนแก้โจทย์ที่เป็น Problem solving เพราะเด็กจะไม่สามารถแก้โจทย์ที่บ้านได้

 

 

ฉลุยแน่การศึกษาไทย ..


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#7 CanisLupus

CanisLupus

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 770 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 15:11

ปีการศึกษาใหม่นี้ ผู้ปกครองสมควรมีเน็ตที่บ้าน (มันจำเป็น) ในการฝากงานไปอ่านที่บ้าน

เพราะเด็ก(ที่มีเน็ตที่บ้าน)จะได้เข้าไปเขียนรายงานไว้ในบล็อกของครู หรืออีแมวไปว่าอ่านแล้ว

ซึ่งผู้ปกครองควรมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเด็กให้เตรียมอ่านบทเรียนมาจากที่บ้านด้วย

รวมทั้งอาจตั้งคำถามของหัวข้อนั้นมาอย่างน้อยหนึ่งข้อเพื่อมาเฉลยร่วมกันในห้อง

 

และครูที่โรงเรียนจะสอนแก้โจทย์ที่เป็น Problem solving เพราะเด็กจะไม่สามารถแก้โจทย์ที่บ้านได้

 

 

ฉลุยแน่การศึกษาไทย ..

 

 

มีเน็ตเอาไปทำอะไรอ่ะครับ? ที่บ้านเขาคอมสักเครื่องยังไม่มีเลย



#8 idecon

idecon

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,580 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 15:35

ครูเข้ามาสอนให้ครบตามเวลาก็ดีนะครับ
อย่ามัวแต่ประชุมโน่นนี่นั่นกันทุกอาทิตย์

#9 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 16:46

ปีการศึกษาใหม่นี้ ผู้ปกครองสมควรมีเน็ตที่บ้าน (มันจำเป็น) ในการฝากงานไปอ่านที่บ้าน

เพราะเด็ก(ที่มีเน็ตที่บ้าน)จะได้เข้าไปเขียนรายงานไว้ในบล็อกของครู หรืออีแมวไปว่าอ่านแล้ว

ซึ่งผู้ปกครองควรมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเด็กให้เตรียมอ่านบทเรียนมาจากที่บ้านด้วย

รวมทั้งอาจตั้งคำถามของหัวข้อนั้นมาอย่างน้อยหนึ่งข้อเพื่อมาเฉลยร่วมกันในห้อง

 

และครูที่โรงเรียนจะสอนแก้โจทย์ที่เป็น Problem solving เพราะเด็กจะไม่สามารถแก้โจทย์ที่บ้านได้

 

 

ฉลุยแน่การศึกษาไทย ..

 

 

มีเน็ตเอาไปทำอะไรอ่ะครับ? ที่บ้านเขาคอมสักเครื่องยังไม่มีเลย

 

แจกแทบเล็ตแล้วไงล่ะ

บ้านไหนยังไม่มีคอมก็ฝันให้ไกลไปให้ถึงสิคะ   :D


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#10 CanisLupus

CanisLupus

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 770 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 16:49

 

ปีการศึกษาใหม่นี้ ผู้ปกครองสมควรมีเน็ตที่บ้าน (มันจำเป็น) ในการฝากงานไปอ่านที่บ้าน

เพราะเด็ก(ที่มีเน็ตที่บ้าน)จะได้เข้าไปเขียนรายงานไว้ในบล็อกของครู หรืออีแมวไปว่าอ่านแล้ว

ซึ่งผู้ปกครองควรมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเด็กให้เตรียมอ่านบทเรียนมาจากที่บ้านด้วย

รวมทั้งอาจตั้งคำถามของหัวข้อนั้นมาอย่างน้อยหนึ่งข้อเพื่อมาเฉลยร่วมกันในห้อง

 

และครูที่โรงเรียนจะสอนแก้โจทย์ที่เป็น Problem solving เพราะเด็กจะไม่สามารถแก้โจทย์ที่บ้านได้

 

 

ฉลุยแน่การศึกษาไทย ..

 

 

มีเน็ตเอาไปทำอะไรอ่ะครับ? ที่บ้านเขาคอมสักเครื่องยังไม่มีเลย

 

แจกแทบเล็ตแล้วไงล่ะ

บ้านไหนยังไม่มีคอมก็ฝันให้ไกลไปให้ถึงสิคะ   :D

 

 

ก็เห็นตอนเขาแจก tablet พวกคุณก็ไปหัวเราะเขา

มาวันนี้บอกให้เขาติดเน็ตทุกบ้านอีก

ผมไม่ค่อยเข้าใจหลักคิดของพวกคุณจริงๆ 

 

???



#11 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 16:50

ท่านชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานสนองนโยบายท่านรัฐมนตรีพงศ์เทพ 

เรื่องนโยบาย "ลดการบ้านของนักเรียน" แล้ว หวังว่าคงไม่ย้ายเข้ากรุเหมือนท่านธีรพงษ์ โสดาศรี

อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เมื่อเร็วๆนี้นะ


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#12 CanisLupus

CanisLupus

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 770 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 16:51


%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%
เครื่องตรวจน้ำตาลจากหยดเลือดปลายนิ้ว
ครั้งหนึ่งเป็นอุปกรณ์ทันสมัยเกินหน้าระบบสาธารณสุขไทยระดับตำบลหลายขั้น
ถููกนำเสนอโดยนักการเมืองพรรคหนึ่งให้ออกเป็นนโยบาย(ประชานิยม)นำไปใช้ตรวจคนไข้ที่สุขศาลา

ปัจจุบันเลิกไปแล้วเพราะไม่พร้อมทั้งงบประมาณ, คน และอุปกรณ์ 
ไม่รู้ว่าแท็บเล็ตจะพบจุดจบอย่างเดียวกันหรือเปล่า



#13 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 16:57

 

 

ปีการศึกษาใหม่นี้ ผู้ปกครองสมควรมีเน็ตที่บ้าน (มันจำเป็น) ในการฝากงานไปอ่านที่บ้าน

เพราะเด็ก(ที่มีเน็ตที่บ้าน)จะได้เข้าไปเขียนรายงานไว้ในบล็อกของครู หรืออีแมวไปว่าอ่านแล้ว

ซึ่งผู้ปกครองควรมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเด็กให้เตรียมอ่านบทเรียนมาจากที่บ้านด้วย

รวมทั้งอาจตั้งคำถามของหัวข้อนั้นมาอย่างน้อยหนึ่งข้อเพื่อมาเฉลยร่วมกันในห้อง

 

และครูที่โรงเรียนจะสอนแก้โจทย์ที่เป็น Problem solving เพราะเด็กจะไม่สามารถแก้โจทย์ที่บ้านได้

 

 

ฉลุยแน่การศึกษาไทย ..

 

 

มีเน็ตเอาไปทำอะไรอ่ะครับ? ที่บ้านเขาคอมสักเครื่องยังไม่มีเลย

 

แจกแทบเล็ตแล้วไงล่ะ

บ้านไหนยังไม่มีคอมก็ฝันให้ไกลไปให้ถึงสิคะ   :D

 

 

ก็เห็นตอนเขาแจก tablet พวกคุณก็ไปหัวเราะเขา

มาวันนี้บอกให้เขาติดเน็ตทุกบ้านอีก

ผมไม่ค่อยเข้าใจหลักคิดของพวกคุณจริงๆ 

 

???

 

ไม่เคยไม่เห็นด้วยนะจ๊ะกับการแจกแทบเล็ต แจกน่ะมันดีแล้ว แต่ที่ถกกันน่ะมันคุณตะพาบห่วยแตก

เหมือนเครื่องเจาะน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้วยุคมนตรี พงษ์พานิช

แทบเล็ดซ่อมซะหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วก็เมื่อไม่พร้อมเรื่องแทบเล็ต ยังก้าวกระโดดไป"บังคับใช้" 

Flipped Classroom ในเปิดเทอมนี้อีก โอละหนอ

 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#14 notcomeng

notcomeng

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,963 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:01

อยากว่าคนในนี้จนตัวสั่น หางโผล่แล้วโผล่อีก ไม่ยักจำ  :lol:  :lol:  :lol:

 

ปล.ไม่ได้ว่าหนูอ้อยนะจ้ะ  ^_^



#15 CanisLupus

CanisLupus

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 770 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:02

 

 

 

ปีการศึกษาใหม่นี้ ผู้ปกครองสมควรมีเน็ตที่บ้าน (มันจำเป็น) ในการฝากงานไปอ่านที่บ้าน

เพราะเด็ก(ที่มีเน็ตที่บ้าน)จะได้เข้าไปเขียนรายงานไว้ในบล็อกของครู หรืออีแมวไปว่าอ่านแล้ว

ซึ่งผู้ปกครองควรมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเด็กให้เตรียมอ่านบทเรียนมาจากที่บ้านด้วย

รวมทั้งอาจตั้งคำถามของหัวข้อนั้นมาอย่างน้อยหนึ่งข้อเพื่อมาเฉลยร่วมกันในห้อง

 

และครูที่โรงเรียนจะสอนแก้โจทย์ที่เป็น Problem solving เพราะเด็กจะไม่สามารถแก้โจทย์ที่บ้านได้

 

 

ฉลุยแน่การศึกษาไทย ..

 

 

มีเน็ตเอาไปทำอะไรอ่ะครับ? ที่บ้านเขาคอมสักเครื่องยังไม่มีเลย

 

แจกแทบเล็ตแล้วไงล่ะ

บ้านไหนยังไม่มีคอมก็ฝันให้ไกลไปให้ถึงสิคะ   :D

 

 

ก็เห็นตอนเขาแจก tablet พวกคุณก็ไปหัวเราะเขา

มาวันนี้บอกให้เขาติดเน็ตทุกบ้านอีก

ผมไม่ค่อยเข้าใจหลักคิดของพวกคุณจริงๆ 

 

???

 

ไม่เคยไม่เห็นด้วยนะจ๊ะกับการแจกแทบเล็ต แจกน่ะมันดีแล้ว แต่ที่ถกกันน่ะมันคุณตะพาบห่วยแตก

เหมือนเครื่องเจาะน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้วยุคมนตรี พงษ์พานิช

แทบเล็ดซ่อมซะหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วก็เมื่อไม่พร้อมเรื่องแทบเล็ต ยังก้าวกระโดดไป"บังคับใช้" 

Flipped Classroom ในเปิดเทอมนี้อีก โอละหนอ

 

 

 

สรุปคือหนูอ้อยเห็นด้วยว่าโครงการ tablet ของรัฐบาลเป็นโครงการที่ดีโครงการหนึ่ง ถูกไหมครับ? 



#16 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:10

 

 

 

 

ปีการศึกษาใหม่นี้ ผู้ปกครองสมควรมีเน็ตที่บ้าน (มันจำเป็น) ในการฝากงานไปอ่านที่บ้าน

เพราะเด็ก(ที่มีเน็ตที่บ้าน)จะได้เข้าไปเขียนรายงานไว้ในบล็อกของครู หรืออีแมวไปว่าอ่านแล้ว

ซึ่งผู้ปกครองควรมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเด็กให้เตรียมอ่านบทเรียนมาจากที่บ้านด้วย

รวมทั้งอาจตั้งคำถามของหัวข้อนั้นมาอย่างน้อยหนึ่งข้อเพื่อมาเฉลยร่วมกันในห้อง

 

และครูที่โรงเรียนจะสอนแก้โจทย์ที่เป็น Problem solving เพราะเด็กจะไม่สามารถแก้โจทย์ที่บ้านได้

 

 

ฉลุยแน่การศึกษาไทย ..

 

 

มีเน็ตเอาไปทำอะไรอ่ะครับ? ที่บ้านเขาคอมสักเครื่องยังไม่มีเลย

 

แจกแทบเล็ตแล้วไงล่ะ

บ้านไหนยังไม่มีคอมก็ฝันให้ไกลไปให้ถึงสิคะ   :D

 

 

ก็เห็นตอนเขาแจก tablet พวกคุณก็ไปหัวเราะเขา

มาวันนี้บอกให้เขาติดเน็ตทุกบ้านอีก

ผมไม่ค่อยเข้าใจหลักคิดของพวกคุณจริงๆ 

 

???

 

ไม่เคยไม่เห็นด้วยนะจ๊ะกับการแจกแทบเล็ต แจกน่ะมันดีแล้ว แต่ที่ถกกันน่ะมันคุณตะพาบห่วยแตก

เหมือนเครื่องเจาะน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้วยุคมนตรี พงษ์พานิช

แทบเล็ดซ่อมซะหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วก็เมื่อไม่พร้อมเรื่องแทบเล็ต ยังก้าวกระโดดไป"บังคับใช้" 

Flipped Classroom ในเปิดเทอมนี้อีก โอละหนอ

 

 

 

สรุปคือหนูอ้อยเห็นด้วยว่าโครงการ tablet ของรัฐบาลเป็นโครงการที่ดีโครงการหนึ่ง ถูกไหมครับ? 

 

ถูกต้องค่ะ แต่ขอให้มีคุณภาพ คุณพ่อหนูอ้อยเป็น ผ.อ.โรงเรียนหนึ่ง  รณรงค์ให้ศิษย์เก่าทอดผ้าป่าคอมพิวเตอร์

มาให้เด็กที่โรงเรียนได้ใช้ ทำก่อนโครงการแทบเล็ตมานานหลายปีแล้ว คุณพ่อดีใจมากที่รัฐบาลให้แทบเล็ตกับทางโรงเรียน

แต่ตอนนี้พังเป็นส่วนใหญ่   :angry:แล้วก็อยู่ในประกัน  ช่างที่โรงเรียนไม่กล้ายุ่ง  

ส่วนคอมพ์ตั้งโตีะที่เอาท์จากที่อื่นแล้วเค้าบริจาคไปให้โรงเรียน   ยังใช้งานได้ดีค่ะ   :D  


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#17 CanisLupus

CanisLupus

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 770 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:15

 

 

 

 

 

ปีการศึกษาใหม่นี้ ผู้ปกครองสมควรมีเน็ตที่บ้าน (มันจำเป็น) ในการฝากงานไปอ่านที่บ้าน

เพราะเด็ก(ที่มีเน็ตที่บ้าน)จะได้เข้าไปเขียนรายงานไว้ในบล็อกของครู หรืออีแมวไปว่าอ่านแล้ว

ซึ่งผู้ปกครองควรมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเด็กให้เตรียมอ่านบทเรียนมาจากที่บ้านด้วย

รวมทั้งอาจตั้งคำถามของหัวข้อนั้นมาอย่างน้อยหนึ่งข้อเพื่อมาเฉลยร่วมกันในห้อง

 

และครูที่โรงเรียนจะสอนแก้โจทย์ที่เป็น Problem solving เพราะเด็กจะไม่สามารถแก้โจทย์ที่บ้านได้

 

 

ฉลุยแน่การศึกษาไทย ..

 

 

มีเน็ตเอาไปทำอะไรอ่ะครับ? ที่บ้านเขาคอมสักเครื่องยังไม่มีเลย

 

แจกแทบเล็ตแล้วไงล่ะ

บ้านไหนยังไม่มีคอมก็ฝันให้ไกลไปให้ถึงสิคะ   :D

 

 

ก็เห็นตอนเขาแจก tablet พวกคุณก็ไปหัวเราะเขา

มาวันนี้บอกให้เขาติดเน็ตทุกบ้านอีก

ผมไม่ค่อยเข้าใจหลักคิดของพวกคุณจริงๆ 

 

???

 

ไม่เคยไม่เห็นด้วยนะจ๊ะกับการแจกแทบเล็ต แจกน่ะมันดีแล้ว แต่ที่ถกกันน่ะมันคุณตะพาบห่วยแตก

เหมือนเครื่องเจาะน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้วยุคมนตรี พงษ์พานิช

แทบเล็ดซ่อมซะหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วก็เมื่อไม่พร้อมเรื่องแทบเล็ต ยังก้าวกระโดดไป"บังคับใช้" 

Flipped Classroom ในเปิดเทอมนี้อีก โอละหนอ

 

 

 

สรุปคือหนูอ้อยเห็นด้วยว่าโครงการ tablet ของรัฐบาลเป็นโครงการที่ดีโครงการหนึ่ง ถูกไหมครับ? 

 

ถูกต้องค่ะ แต่ขอให้มีคุณภาพ คุณพ่อหนูอ้อยเป็น ผ.อ.โรงเรียนหนึ่ง  รณรงค์ให้ศิษย์เก่าทอดผ้าป่าคอมพิวเตอร์

มาให้เด็กที่โรงเรียนได้ใช้ ทำก่อนโครงการแทบเล็ตมานานหลายปีแล้ว คุณพ่อดีใจมากที่รัฐบาลให้แทบเล็ตกับทางโรงเรียน

แต่ตอนนี้พังเป็นส่วนใหญ่   :angry:แล้วก็อยู่ในประกัน  ช่างที่โรงเรียนไม่กล้ายุ่ง  

ส่วนคอมพ์ตั้งโตีะที่เอาท์จากที่อื่นแล้วเค้าบริจาคไปให้โรงเรียน   ยังใช้งานได้ดีค่ะ   :D  

 

 

งบประมาณมันก็มีอยู่จำกัดแหล่ะครับ จะเอา ipad หรือ sumsung มันก็คงเกินงบประมาณไปมาก

มันก็ต้องมาลงที่เครื่องจีนแดงหรือไม่ก็ไม่มีเลย 

หนูอ้อยว่าเครื่องจีนแดงคุณภาพต่ำหน่อยกับไม่มีเลย น่าจะเลือกอย่างไหนครับ?



#18 hinotori

hinotori

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,899 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:16

สพฐ.จัดทำแผนพัฒนาเด็กปี 2556

 

 

อันนี้ผมไม่ได้ตอบโต้หนูอ้อยนะ แต่ขอบ่นหน่อยเถอะ

 

ท่านทั้งหลาย ที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง

 

ตอนที่ท่านจะออกนโยบาย 5 เหว ทั้งหลายแหล่น่ะ ได้ประเมินสภาพการเรียนรู้ในประเทศไทยหมดสิ้นแล้วหรือ

 

หรือดันทุรังออกนโยบายไปงั้นๆ ให้มันมีผลงาน (เฮงซวย) ขึ้นมาบ้าง

 

ขอถามคำถามง่ายๆ ตั้งแต่มีสถาบันทดสอบทางการศึกษา (สทศ.) และ สำนักงานรับรองมาตรฐานการศึกษา (สมศ.) มาเนี่ย

 

การศึกษาไทยมันดีขึ้นหรือแย่ลงขอรับ  แล้วมันเกิดจากอะไร

 

รวบอำนาจทั้งหมดไปไว้ส่วนกลาง เต็มไปหมดเลย ด้อกเตอร์ นักวิชาการห้องแอร์ นักการศึกษาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย

 

แล้วก็สุมหัว เอารูปแบบการศึกษาต่างชาติมาใช้  Backward design เอย Flipped อะไรนี่อีก

 

มาบังคับให้ครูนำไปใช้เว้ยเฮ้ย เขาคงคิดว่า โรงเรียนทั้งหมดในประเทศไทย เป็นโรงเรียนสาธิตกระมัง

 

แล้วเขาคงคิดว่า พ่อแม่ วัฒนธรรม ของไทย เหมือนของต่างประเทศด้วยซะล่ะมั๊ง

 

บ้าไปแล้ว กระทรวงศึกษา ท่านทั้งหลายต้องการอะไรกันแน่

 

 

ผมจะบอกให้นะ ท่านที่มีลูกหลาน มาดูกันว่าผมพูดจริงหรือไม่

 

1. โรงเรียนดีๆที่ท่านพยายามแก่งแย่งแข่งขันให้ลูกท่านเข้าไปเรียนน่ะ เพราะเขาสอนแบบ Flipped ใช่หรือไม่ หรือว่าสอนแบบ Backward ใช่หรือไม่

 

  เฮ้ย ท่านไม่รู้ อะไรคือ ฟลิป อะไร คือ แบ็ควาร์ด ที่ท่านอยากให้ลูกไปเข้าเพราะโรงเรียนเขาดัง โรงเรียนเขามีเด็กเก่ง ขึ้นป้ายตัวบะเร่อ ว่าสอบชิงทุนได้

 

  ได้โควต้าต่อมหาลัย  ท่านอยากเห็นลูกท่านเป็นแบบนั้นบ้าง คิดว่าลูกท่านเข้าไปอยู่ในโรงเรียนดีๆแล้ว ลูกท่านมันจะดีตามเขาไปได้

 

  แต่ในความเป็นจริง สอบชิงทุนได้กี่คนครับ ได้โควต้า นักเรียนดีเด่นกันกี่คน เขากวดกันเฉพาะ ห้อง 1 ห้อง 2 เป็นห้องพิเศษ ลูกท่านเข้าไปได้อยู่

 

  ห้องไหน ห้องหลังๆเขาก็สอนตามมีตามเกิดไปงั้นๆ แล้วท่านทำไง ก็จับลูกท่านไปเรียนพิเศษ นี่ไง ค่านิยมมันเป็นแบบนี้ ถามว่า ทำไมกลับบ้านท่านไม่

 

  สอนพิเศษลูกท่านเอง ท่านก็จะบอกว่า เหนื่อย ไม่มีเวลา เป็นงั้นไป 

 

2. โอเค  ในเมื่อโรงเรียน(ที่พวกท่านผู้ปกครองคิดว่าดีๆ) เต็ม  แล้วเด็กที่เหลือล่ะ จะไปเรียนที่ไหน แน่นอน ท่านก็ต้องกัดฟัน

 

    พาลูกท่านไปเข้าโรงเรียน(ที่พวกท่านคิดไปเองว่า)ที่มีคุณภาพรองลงมาหรือไม่ดัง กลายเป็นว่า ลูกๆของคนที่ผู้ปกครองระดับบนๆ

 

    หรือกลางๆได้เข้าไปอยู่โรงเรียนดังๆ ลูกๆของพ่อค้าแม่ค้า คนงานรับจ้าง หาเช้ากินค่ำ ต้องเข้าไปอยู่ในโรงเรียนระดับรอง ซึ่งเด็กเหล่านี้

 

    มีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี ย้ำ ไม่ดี และเด็กพวกนี้ในประเทศไทย มีจำนวนมากมายมหาศาล มีปมด้อย ขาดความอบอุ่น พ่อตาย แม่ทิ้ง

 

   ผู้ปกครองติดคุก กินเหล้า สารพัดปัญหาทางบ้าน อย่าไปคาดหวังความพร้อมในการเรียนของเด็กเหล่านี้เลย ความพร้อมในการดำรงชีวิต

 

   ยังขาดแคลนด้วยซ้ำ  แล้วยังไง  กระทรวงศึกษาเคยเล็งเห็นปัญหาเหล่านี้บางหรือไม่

 

3.  เอาล่ะ ผมยกตัวอย่างมา 2 ข้อ เพื่อให้เห็นว่า นี่คือความต่างในสังคมการศึกษาไทย ที่ไม่มีใครพูดถึงเลย  สักแต่ว่าพยายามจะดึงเอา

 

    ทฤษฏีการศึกษาของคนโน้นคนนี้มาใช้ เอาแผนการศึกษาของประเทศนั้นประเทศนี้มาใช้ สั่งให้ครูทำโน่นทำนี่เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา

 

   ในโรงเรียนสาธิตที่ผู้ปกครองมีอันจะกิน มีฐานะ สามารถผลักดันบุตรหลานตนเองได้ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ยังพอสามารถยัดเยียดการสอนแบบนี้ลงไป

 

   ได้(แบบทุลักทุเล คนไหนรับได้ก็ดีไป รับไม่ได้ก็ช่างมัน)

 

              แต่ในโรงเรียนบ้านนอก โรงเรียนชายขอบ เลิกหวังไปได้เลย เด็กๆมาโรงเรียนด้วยสภาพมอมแมม ผอม น้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์ เป็นพยาธิ

 

  มีเหา  ไม่ได้กินข้าวเช้ามา สภาพจิตใจไม่ปกติ แค่นี้ครูก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วครับ วันๆมานั่งเจียดยาในห้องพยาบาลให้เด็ก พาเด็กไปหาหมอ

 

 สอนเด็กด้วยแผนการสอนหุ้มทอง(ที่เต็มไปด้วยทฤษฏีเพ้อฝัน) เด็กก็รับไม่ไหว ป2 ป3 ต้องจับมานั่งสอน ก ไก่ กันใหม่ เพราะเด็กเขามีปัญหาจริงๆ

 

 ผมเรียกการสอนแบบนี้ว่า happening Teaching คือ สอนแบบตามมีตามเกิด สอนแบบครูต้องเสียสละจริงๆ เลิกเรียนจับมาหัดอ่านต่ออีกชั่วโมง

 

จับเขียนต่ออีก แค่หวังให้เด็กมันอ่านออกเขียนได้ ขึ้น ป4 ไปจะได้ไม่ลำบาก

 

            เนี่ย การศึกษาไทย จริงๆมันเป็นแบบนี้  ถามว่าไอ้พวกตัวใหญ่ๆบนหอคอยงาช้างมันได้รับรู้บ้างไหม ครูและเด็กในโรงเรียนบ้าน

 

นอกที่ขาดแคลน แทบทุกอย่าง ไม่ได้รับการเหลียวแลใดๆ แล้วต้องมาต่อสู้กับภาระงานซ้ำซ้อนที่โถมเข้ามาเรื่อยๆ แถมเป็นงานที่ทำแล้วไม่เกิดผลอันใด

 

นอกเสียจากเป็นเอกสารอ้างอิงให้เขามาตรวจ ประมาณว่า โรงเรียนฉันทำแล้วจริงๆนะ แต่ความจริงคือ ทำไม่ได้ เหมือนเอากุ้งมังกรไปป้อนเด็กทารก

 

มันจะกินเข้าไปได้ยังไง   ดันไปเดินโต๋เต๋อยู่โรงเรียนใหญ่ๆแล้วพาลคิดว่าโรงเรียนในประเทศไทยเป็นเหมือนกันหมด ช่องว่างระหว่างเด็กพร้อมกับเด็ก

 

ไม่พร้อมก็ห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ยังไม่นับหลักสูตรเฮงซวยที่พยายามให้สอนกันตอนนี้อีกนะ  บ้านบางหลังไฟยังไม่เข้า(ยังต้องแอบเกี่ยวสายไฟการไฟฟ้า

 

อยู่เลย) แล้วจะหวังให้ทุกบ้านมีอินเตอร์เน็ท ฝันกลางวันชัดๆ

 

 

ผมไม่ใช่ผู้วิเศษ ผมไม่ใช่ผู้หยั่งรู้ แต่ขอทำนายไว้เลยว่า การศึกษาไทยถ้ายังงมโข่งกันแบบนี้ อนาคตวิบัติแน่นอน ถ้าอยากให้มันพัฒนา ต้องให้ครูทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในนโยบาย เข้าใจและรับฟังปัญหาของแต่ละพื้นที่ ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก็ตัวใครตัวมันเถิดครับ ครูเขาพยายามกันเต็มที่แล้ว

 

จริงอยากบอกอะไรอีกเยอะนะ แต่แค่นี้เหอะ ขอบคุณที่อ่าน


Edited by hinotori, 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 18:02.


#19 Redbuffalo010

Redbuffalo010

    พ่อไอัควายแดงทุกตัว

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,120 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:19

อยากว่าคนในนี้จนตัวสั่น หางโผล่แล้วโผล่อีก ไม่ยักจำ  :lol:  :lol:  :lol:

 

ปล.ไม่ได้ว่าหนูอ้อยนะจ้ะ  ^_^

รู้นะว่าคิดไรอยู่ 

แต่ช่างเค้าเหอะ ขานั้นเค้าชอบคุยกับแต่ผู้หญิง อย่าง หนูอ้อยเงี้ย ดอกปีบเงี้ย

 

ว่าแล้วก็จะไปสมัครล๊อคอินใหม่ ชื่อผู้หญิงๆหน่อย อือ ขอเป็น "สุวรรณมาลี" ก็แล้วกัน :lol:  :lol:  :lol:


อย่าเชื่อในสิ่งที่ไอ้แม้วและไอ้พวกแกนนำ นปช. พูด
แต่ให้ดูในสิ่งที่พวกมันทำ


#20 hentai

hentai

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,046 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:20

มันไม่ใช่วิธีการ หรือ อะไร.. มันเป็น ตัวครู...  ที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้...  

 

 

อัตราการสอบตกของครู ที่ทำการทดสอบในกลุ่มวิชาที่พวกเขาสอนคือ 88% สำหรับวิชาคอมพิวเตอร์ 84% สำหรับวิชาการคำนวนและคณิตศาสตร์ 86% สำหรับวิชาชีววิทยา 71% สำหรับวิชาฟิสิกส์ และเกือบกว่าอีก 95% ของผู้อำนวยการโรงเรียน ในระดับมัธยมศึกษาไม่สามารถทำคะแนนผ่านเกณฑ์ ในวิชาภาษาอังกฤษ และวิชาด้านเทคโนโลยี ผลของการสอบที่แย่ได้จุดประกาย การวิพากษ์วิจารณ์ มาตราฐานระบบการศึกษาของประเทศไทย

 

 

http://www.ungkrit.c...ail.php?talk=19

 

 

นี่คือเหตุผล ของการ Home school สำหรับพ่อแม่ที่มี ฐานะและคิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู... 

:D


"คนโง่มักจะชอบว่าคนอื่นว่าโง่"

"ถ้าคนเราคิดเหมือนกันหมด ก็ไม่มีเลือกตั้งซิครับ"

"ผมไม่พูด เรื่อง 112 แล้ว นะครับ กรุณาอย่าถาม (17 พค 2012)"


#21 CanisLupus

CanisLupus

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 770 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:20

นี้ไงครับ..........พิษร้ายจากประชานิยม.........ที่จะทำร้ายลูกหลานเราในอนาคต.......

 

 

 

 

 


เรื่องแจกแท็บเล็ตให้เด็กป.1 นี่แย่ตั้งแต่แนวคิดแล้วครับ แทนที่จะให้เด็กวัยนี้พัฒนา
ทักษะการใช้มือกับสายตาให้มากๆ ด้วยการคัดลายมือกลับจะให้มาลากๆ จิ้มๆ
บนหน้าจอกระจกเล็กจิ๋วแทน ถ้าใช้ต่อเนื่องผมว่าไม่ต้องรอขึ้นถึงป.6 หรอกก็ได้
ใส่แว่นกันยกชั้นแหง (แถมเด็กจะลายมือห่วยอีกต่างหาก)


ผมลองซื้อแท็บด๋อยจีนมาเล่นแล้ว (หลังจากที่เคยลองไอแพ็ด) คิดว่าหากจะใช้ได้โดย
ไม่มีปัญหาต้องเป็นคนที่มีความรู้พื้นฐานเรื่องคอมมาบ้าง ถ้าเป็นเด็กมาจับเลยไม่รอดแน่ๆ
เพราะแท็บด๋อยจีนนี่ความทนทานก็น้อยกว่า ตกนิดก็เสี่ยงจะเจ๊ง โดนน้ำก็เสี่ยงจะเจ๊ง
ชาร์ตไฟผิดวิธีก็เสี่ยงจะเจ๊ง ยังไม่นับปัญหาเรื่องซอฟต์แวร์อีก ในห้องหนึ่งมีเด็กราวๆ 50 คน
ถ้าเด็กผลัดกันทำตกบ้าง หน้าจอค้างบ้าง เปิดไม่ติดบ้าง ฯลฯ แล้วยกมือเรียกครูมาดู
หมดคาบครูคงไม่ต้องสอนกันพอดี

แล้วยังไม่รวมค่าซ่อมที่ทางโรงเรียนจะโยนให้ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบด้วย
มันจะกลายเป็นเพิ่มภาระที่ไม่จำเป็นให้กับผู้ปกครองรึเปล่า?


ผมว่าแท็บเล็ตอันนี้ไม่ใช่ "อุปกรณ์เสริมการเรียน" สำหรับเด็กหรอก มันคือ
"ภาระชิ้นใหญ่ที่จะทำให้ผู้ปกครองต้องกลุ้มใจในระยะยาว" มากกว่า



ปล. หากผู้ปกครองทีมีเงินจะซื้อแท็บเล็ตให้บุตรหลานเล่นด้วยตัวเองอันนั้นก็เป็นเรื่อง
ส่วนบุคคล แต่การบังคับยัดแท็บเล็ตลงคอเด็กทุกคนทั้งๆ ที่บางคนไม่อยากได้เลย
ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วยครับ

 

 

 


สรุปแทปเลตไม่ได้ช่วยเรื่องการศึกษาเท่าไหร่ แถมยังต้องให้ทางโรงเรียน ครู ผู้ปกครองเดือดร้อนไปตามๆกัน laugh.png

 

 

 


 

^^ ข้างบนเป็นความเห็นบางส่วนของสมาชิกที่นี่ที่ดูจะไม่เห็นด้วยกับโครงการ tablet ของรัฐบาล

หนูอ้อยเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับพวกเขาครับ?



#22 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:23

สพฐ.จัดทำแผนพัฒนาเด็กปี 2556

 

 

อันนี้ผมไม่ได้ตอบโต้หนูอ้อยนะ แต่ขอบ่นหน่อยเถอะ

 

*
*
*

ได้โควต้าต่อมหาลัย (เด๋วมาต่อ ท่าทางจะยาว)

 

สนทนากันได้เลยค่ะ ชอบค่ะ หนูอ้อยก็อยากฟังความเห็นคนอื่นๆหลังจากที่ไปอ่านเจอมา เลยเอามาฝากเพื่อนๆ

ตอนนี้ก็มีประเด็นเรื่องทำความเข้าใจ ห้องเรียนฟลิบ  ซึ่งหลายคนยังไม่เคยได้ยินมาก่อน  แล้วกระทรวงประกาศจะใช้เปิดเทอม 2556 นี้แล้ว

 

และอีกข้อคือพร้อมมั้ย อุปกรณ์ทั้งหลาย  หรือเอาแค่ฟลิบแบบไทยๆ    :D


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#23 คนทุกที่

คนทุกที่

    ชนชั้นกลาง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,480 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:24

โอโห บอกว่าเป็นผู้สนับสนุนปชป แต่แก้ตัวแทนเพื่อไทยทุกดอกเลย แนวนี้คล้ายๆ ใครน้า ที่เคยบ่นเรื่องถังขยะอ่ะ



#24 CanisLupus

CanisLupus

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 770 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:26

โอโห บอกว่าเป็นผู้สนับสนุนปชป แต่แก้ตัวแทนเพื่อไทยทุกดอกเลย แนวนี้คล้ายๆ ใครน้า ที่เคยบ่นเรื่องถังขยะอ่ะ

 

โทษครับ ผมไม่ได้แก้ตัวแทนเพื่อไทย ผมแค่สงสัยหลักวิธีการคิดของพวกคุณเท่านั้นเอง  :D

 

อันที่จริง ผมไม่เห็นด้วยกับโครงการแจก tablet ของรัฐบาลนะ แต่ผมเห็นคุณหนูอ้อยแกเห็นด้วย ก็เลยอยากฟังเหตุผลแกดู


Edited by CanisLupus, 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:29.


#25 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:35

นี้ไงครับ..........พิษร้ายจากประชานิยม.........ที่จะทำร้ายลูกหลานเราในอนาคต.......

 

 

 

 

 


>เรื่องแจกแท็บเล็ตให้เด็กป.1 นี่แย่ตั้งแต่แนวคิดแล้วครับ แทนที่จะให้เด็กวัยนี้พัฒนา
ทักษะการใช้มือกับสายตาให้มากๆ ด้วยการคัดลายมือกลับจะให้มาลากๆ จิ้มๆ
บนหน้าจอกระจกเล็กจิ๋วแทน ถ้าใช้ต่อเนื่องผมว่าไม่ต้องรอขึ้นถึงป.6 หรอกก็ได้
ใส่แว่นกันยกชั้นแหง (แถมเด็กจะลายมือห่วยอีกต่างหาก)


ผมลองซื้อแท็บด๋อยจีนมาเล่นแล้ว (หลังจากที่เคยลองไอแพ็ด) คิดว่าหากจะใช้ได้โดย
ไม่มีปัญหาต้องเป็นคนที่มีความรู้พื้นฐานเรื่องคอมมาบ้าง ถ้าเป็นเด็กมาจับเลยไม่รอดแน่ๆ
เพราะแท็บด๋อยจีนนี่ความทนทานก็น้อยกว่า ตกนิดก็เสี่ยงจะเจ๊ง โดนน้ำก็เสี่ยงจะเจ๊ง
ชาร์ตไฟผิดวิธีก็เสี่ยงจะเจ๊ง ยังไม่นับปัญหาเรื่องซอฟต์แวร์อีก ในห้องหนึ่งมีเด็กราวๆ 50 คน
ถ้าเด็กผลัดกันทำตกบ้าง หน้าจอค้างบ้าง เปิดไม่ติดบ้าง ฯลฯ แล้วยกมือเรียกครูมาดู
หมดคาบครูคงไม่ต้องสอนกันพอดี

แล้วยังไม่รวมค่าซ่อมที่ทางโรงเรียนจะโยนให้ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบด้วย
มันจะกลายเป็นเพิ่มภาระที่ไม่จำเป็นให้กับผู้ปกครองรึเปล่า?


ผมว่าแท็บเล็ตอันนี้ไม่ใช่ "อุปกรณ์เสริมการเรียน" สำหรับเด็กหรอก มันคือ
"ภาระชิ้นใหญ่ที่จะทำให้ผู้ปกครองต้องกลุ้มใจในระยะยาว" มากกว่า



ปล. หากผู้ปกครองทีมีเงินจะซื้อแท็บเล็ตให้บุตรหลานเล่นด้วยตัวเองอันนั้นก็เป็นเรื่อง
ส่วนบุคคล แต่การบังคับยัดแท็บเล็ตลงคอเด็กทุกคนทั้งๆ ที่บางคนไม่อยากได้เลย
ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วยครับ

 

 

 


สรุปแทปเลตไม่ได้ช่วยเรื่องการศึกษาเท่าไหร่ แถมยังต้องให้ทางโรงเรียน ครู ผู้ปกครองเดือดร้อนไปตามๆกัน laugh.png

 

 

 


 

^^ ข้างบนเป็นความเห็นบางส่วนของสมาชิกที่นี่ที่ดูจะไม่เห็นด้วยกับโครงการ tablet ของรัฐบาล

หนูอ้อยเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับพวกเขาครับ?

 

 

เรื่องนโยบาย.. เห็นด้วยนะคะ เพราะทำให้เด็กๆทันเทคโนโลยีซึ่งเป็นเรื่องดี

แต่ติดขัดที่นักการเมืองไทยต้องมีค่าหัวคิวซึ่งทำให้ได้ของไม่ดี ไม่สมกับภาษีที่เก็บไปเพื่อพัฒนาประเทศด้านต่างๆรวมทั้งการศึกษา

 

ส่วนนโยบายเพื่อไทย ไม่คิดให้รอบคอบในหลายนโยบายเช่น รถคันแรก ไม่บังคับเก็บประกันความเสี่ยงเรื่อง "ตาย" ทำให้ลำบากต่อคนอยู่ข้างหลัง

แทบเล็ต น่าทดลองกลุ่มเล็กกว่านี้ก่อนแล้วดูเรื่องการซ่อมบำรุง การมีเครื่องเปลี่ยนทดแทน ฯลฯ

จากที่เห็นที่โรงเรียนคุณพ่อนั้น  คาดว่าเครื่องจีนแดงรุ่นแรกๆนี้วางเกลื่อนทิ้งเหมือนเครื่องเจาะน้ำตาลที่สุขศาลาแน่ค่ะ  เศร้าจัง   :(


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#26 CanisLupus

CanisLupus

    ขาประจำ

  • Banned
  • PipPipPip
  • 770 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:42

เรื่องนโยบาย.. เห็นด้วยนะคะ เพราะทำให้เด็กๆทันเทคโนโลยีซึ่งเป็นเรื่องดี

 

คุณหนูอ้อยเห็นด้วยกับนโยบายแจก tablet ของรัฐบาล
งั้นช่วยลองตอบนักเรียนในรูปด้านล่างแทนรัฐบาลหน่อยสิครับว่าการแจก tablet มันมีประโยชน์อะไรต่อการศึกษาบ้าง?

ผมจะได้จำเอาไว้ใช้เวลามีสมาชิกท่านอื่นไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้  :D 

 

1362712225-5970560962-o.jpg



#27 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:58

อ่านดูแล้ว.. ถ้าไม่มีเน็ต ก็คงเป็นฟลิปแบบไทยๆ  :o

 

ตัวอย่างห้องเรียนกลับทางที่โรงเรียนเทศบาล 1 โพศรี  อุดรธานี

 

 

“ห้องเรียนกลับทาง” (Flipped Classroom)

 

 

          จากการศึกษาในเรื่องของ ห้องเรียนกลับทาง” (Flipped Classroom) เป็นการเปลี่ยนการเรียนการสอน  จากที่ครูยืนอยู่ข้างหน้าของนักเรียน และพูดคุยกับพวกเขาในช่วงเวลาสามสิบถึงหกสิบนาที มาเป็นการบันทึกบทเรียนในรูปแบบวีดีโอ เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าเรียนได้ในระบบออนไลน์ที่บ้าน หรือดูล่วงหน้ามาก่อน และจะทำใบงานหรือกิจกรรมในห้องเรียน ซึ่งการสอนแบบนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงในบทบาทของครูกับนักเรียนที่ทำการสอนมาเป็นเวลานานหลายปี ซึ่งผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือบทบาทของครูมีการเปลี่ยนแปลงจากพรีเซนเตอร์ หน้าห้อง มาเป็นผู้แนะนำใช้เวลาพูดคุยกับเด็ก และตอบคำถามการทำงานร่วมกับกลุ่มเล็กและแนวทางการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละบุคคล นักเรียนจะได้เรียนรู้ ได้รับการช่วยเหลือซึ่งกันและกันแทนที่จะอาศัยครูเป็นเพียงผู้เดียวเผยแพร่ความรู้

          ในกิจกรรมการเรียนการสอนที่โรงเรียน (เทศบาล 1 โพศรี  อุดรธานี) เราจะให้นักเรียน เข้าศึกษาเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องการเนื้อหารายวิชาหรือการศึกษาตามอัธยาศัยแล้วนำมาสรุปบรรยายหน้าชั้นเรียน ซึ่งข้อจำกัดก็พอสรุปได้ดังนี้

          ความพร้อมของผู้เรียน ผู้เรียนจะต้องมีความพร้อมทั้งทางจิตใจ และความรู้ คือ จะต้องยอมรับในเทคโนโลยีรูปแบบนี้ ยอมรับการเรียนด้วยตนเอง มีความกระตือรือร้น ตื่นตัว ใฝ่รู้ มีความรับผิดชอบ กล้าแสดงความคิดเห็นและศึกษาความรู้ใหม่ๆ

          ความพร้อมของผู้สอน ผู้สอนจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้แนะนำ มาเป็นผู้อำนวยความสะดวก ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากเรียนรู้ กระตุ้นการทำกิจกรรม เตรียมเนื้อหาและแหล่งค้นคว้าที่มีคุณภาพ รวมทั้งความพร้อมด้านการใช้คอมพิวเตอร์ การผลิตบทเรียนออนไลน์ และการเผยแพร่บทเรียนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

          เนื้อหา บทเรียน เนื้อหาบทเรียนจะต้องเหมาะสมกับผู้เรียนให้มากกลุ่มที่สุด มีหลากหลายให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเลือกเรียนได้ด้วยตนเอง มีกิจกรรมวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เลือกใช้สื่อการสอนที่เหมาะสม และเหมาะสมกับความพร้อมของเทคโนโลยี การลำดับเนื้อหาไม่ซับซ้อน ไม่ก่อให้เกิดความสับสน ระบุแหล่งค้นคว้าอื่นๆ ที่เหมาะสม 

 

 

          แก่นแท้ของการเรียนการสอนคือการเรียนรู้ของผู้เรียน เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ตามลีลาการเรียนรู้เฉพาะตัวที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างบุคคล ครูยุคใหม่ต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้บอกความรู้ไปสู่ผู้สร้างประสบการณ์และเงื่อนไขให้นักเรียนได้แสวงหาคำตอบ ซึ่งคำตอบของแต่ละคนอาจมีที่มาแตกต่างกันตามบริบทที่ใกล้กับนักเรียน

          โรงเรียนเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ที่ให้บริการที่ผูกพันกับเรื่องการสอนและการเรียนรู้เป็นหลักเป้าหมายสุดท้ายของโรงเรียนก็คือการเรียนรู้ของนักเรียน ครูที่จัดการเรียนการสอนที่ดี จึงเป็นครูที่ท้าทายให้นักเรียนเกิดความต้องการที่จะเรียนรู้ ครูจึงควรส่งเสริมให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้จากแหล่งความรู้ที่อยู่รอบตัวทั้งจากครูคน  ครูเรื่อง และครูธรรมชาติสิ่งแวดล้อม  ครูเท่านั้นที่จะปรับเปลี่ยนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และคิดหาคำตอบ ได้ตัดสินใจ

 

 

“เรียนรู้ได้ตลอดเวลา   ถ้าต้องการที่จะเรียน

คนฉลาดจะรู้สึกว่า  เรียนเท่าไหร่ก็รู้ไม่หมด

คนเขลาจะรู้สึกว่า  รู้หมดแล้วไม่จำเป็นต้องเรียน”

 

 

http://www.gotoknow.org/posts/507993

 


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#28 วันศุกร์

วันศุกร์

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 518 posts

ตอบ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 21:23

วิธีการสอนดีคะ ถ้าทำได้ก็ดี แต่ก่อนทำอยากให้เตรียมตัวให้พร้อม เพราะคนที่ได้รับผลกระทบน่ะ เด็ก นั่นเอง

 

จริงๆไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้ พัฒนาครูให้ดีกว่านี้ เด็กก็จะได้ประโยชน์ไปด้วยแล้ว ค่อยๆทำ เริ่มฝึกให้เด็กตั้งคำถาม คิดเองตั้งแต่อนุบาล ก็จะทำให้เด็กมีพึ้นฐานที่ดีในการอยากเรียนรู้ ต้องเริ่มที่พ่อแม่ด้วยแหละ


You can't fix stupid - Ron White

 

You can have your own opinion, but not your own facts - Daniel Patrick Moynihan

 

"A society is judged by how it treats its animals and elderly"


#29 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 00:42

flipped1.png

 

แนวคิดเรื่อง Flipped Classroom ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด หากพูดถึงมิติเพียงแค่การให้นักเรียนอ่านเนื้อหาล่วงหน้าและมาทำกิจกรรมในห้อง ลองนึกถึงการเรียนวิชาวรรณกรรมเช่นพระอภัยมณีซึ่งนักเรียนต้องอ่านเรื่องมาก่อนจากบ้านแล้วนำมาวิเคราะห์ต่อในห้องเรียน หรือการเรียนวิชาด้านกฎหมายซึ่งนำสิ่งที่อ่านมาแล้วมาอภิปรายในห้อง..มาทำโจทย์ตุ๊กตากัน หรือการทดลองต้นกระสังดูดน้ำ นักเรียนก็กลับบ้านไปถอนต้นแล้วแช่ในแก้วน้ำสี สังเกตแล้วค้นเนื้อหา..จากนั้นนำมาถกในชั้นเรียนว่ามีน้ำแพร่ขึ้นไปตามลำต้นหรือเปล่า นี่คือฟลิบแบบไทยแต่เก่าก่อนคือมอบหมายงานให้ไปทำที่บ้าน อาจแจกชีทหรือบอกหนังสือที่จะค้น ซึ่งแบบนี้..ประเทศเราก็ทำมานมนานแล้ว มันก็ขึ้นกับว่าเด็กได้กลับบ้านไปอ่าน กลับไปค้นหรือเปล่า

 

ทฤษฎีฟลิบของฝรั่งเน้นให้กลับบ้านไปค้นจาก IT ที่อยู่ที่บ้าน โดยครูอาจชี้แนะว่าควรเข้าไปดูเรื่องใดหัวข้อใด เด็กไทยฟลิบก็หวังว่าจะไม่มัวแต่เข้าเน็ตไปฟลิบดูอย่างอื่น เพื่อที่เข้าห้องเรียนในวันรุ่งขึ้นจะมีเนื้อหาในหัวไปถกกับเพื่อนและครูในชั้นเรียนและไปทำการบ้านด้วยกันในห้อง

 

หากบ้านไหนที่มีเด็กเรียนหนังสือในประเทศไทยในปี 2556 นี้ยังไม่มีอุปกรณ์ให้เข้าไปฟลิบค้นได้ ครูก็ต้องฟลิบด้วยชีทหรือแนะนำหนังสือ (ทำแบบไทยเดิมไปพลางๆก่อน) ก็พอกล้อมแกล้มนะ --ฟลิบคลาสแบบไทยๆ


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#30 เรื่อยๆเอื่อยๆ

เรื่อยๆเอื่อยๆ

    There is a face beneath this mask, but it isn't me.

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,223 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 05:34

ผมเบื่อวิธีการคิดของกระทรวงศึกษามากครับ กี่ทฤษฎีแล้วครับที่เอามายัดเยียดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ ผมไม่ได้ว่าทฤษฎีเหล่านั้นไม่ดีนะครับ ผมเห็นด้วยทุกอย่าง เพียงแต่กระทรวงชอบคิดแบบ one size fits all คือ ออกนโยบายอะไรมา ทุกโรงเรียน ต้องเอาไปทำ โดยไม่เคยมีการสำรวจความพร้อม ความต้องการของแต่ละที่ว่าเป็นอย่างไร คิดเอาเองว่าจะดี แถมเวลาเอามาปฏิบัติก็ทำแต่เปลือก ต้องทำเอกสารก่อน เชื่อมั้ยครับ เดี๋ยวโรงเรียนก็ต้องไปเสียเวลาปรับปรุงเอกสารการประกันคุณภาพให้มีคำว่าห้องเรียนกลับด้านอยู่ด้วย ต้องจัดอบรม flipped classrom ต้องประชุมทำหลักสูตร แล้วครูจะมีสักกี่คนที่มีเวลาทำความเข้าใจ สามารถนำแนวคิดนี้มาใช้ได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ ไม่ใช่โยนภาระให้นักเรียนไปเรียนเองที่บ้าน  นำร่องใช้เป็นบางโรงเรียนจะดีกว่ามั้ยครับ ถ้าโรงเรียนไหนพร้อมจะเป็นประโยชน์ต่อเด็ก ผมว่าเรื่องแบบนี้ถ้าให้โรงเรียนมีอิสระเลือกวิธีการได้เอง โดยไม่ต้องยึดติดกับกระทรวงศึกษา แต่ละที่น่าจะหาทฤษฎีที่เหมาะกับสภาพของตัวเองมาใช้ได้เองนะครับ 

 

ส่วนในภาพรวม ผมว่า สภาพประเทศไทยไม่น่าจะเหมาะกับระบบนี้ครับ อย่างแรกห้องเรียนที่มีขนาดใหญ่ 40-50 คน ครูไม่สามารถดำเนินกิจกรรมโดยทั่วถึงได้ แนวคิดนี้ต้องการการพูดคุยถกเถียงกัน  นึกสภาพคงไม่ต่างจากตอนทำแล็ป กลุ่มที่ทำได้ก็ทำจนจบ กลุ่มที่ไม่รู้เรื่องก็นั่งเล่น รอครูวนมาบอกว่าต้องทำอย่างไรต่อ อย่างที่สอง วิชาเรียนเยอะมากครับ วันนึงนักเรียนต้องเรียนอย่างน้อย 6-7 วิชา ถ้าแต่ละวิชาให้นักเรียนไปนั่งฟัง นั่งอ่านที่บ้าน ต้องใช้เวลากี่ชั่วโมงต่อวันก็ไม่รู้ อย่างที่สามโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องพึ่งพาระบบ IT มาก เพื่อเป็นแหล่งเข้าถึงข้อมูล ไม่ใช่แค่โรงเรียนแต่ต้องที่บ้านนักเรียน อย่าสร้างความเหลื่อมล้ำขึ้นมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราเคยพูดถึง e-learning ซึ่งก็คล้ายๆ กัน สุดท้ายผลลัพธ์คืออะไร ผมว่า กระทรวงศึกษาเองยังไม่กล้าตอบเลยมั้งครับ   อย่างสุดท้ายก็คือกระทรวงศึกษานี่แหละครับ เมื่อไหร่จะเลิกยัดเยียดเนื้อหาเกินความต้องการของเด็กนักเรียนซะที ลูกผม ป 1 ต้องมาท่องว่าคอมพิวเตอร์ประกอบไปด้วยหน่วยประมวลผล หน่วยรับข้อมูล หน่วยแสดงผล นี่เหรอครับจะทำให้เด็กเก่ง IT ลดวิชาหลักลง เปลี่ยนไปเป็นวิชาเล่นบ้างก็ได้นะครับ  

 

 

ขอโทษคุณหนูอ้อยครับ ที่บ่นซะเป็นส่วนใหญ่ 


Edited by เรื่อยๆเอื่อยๆ, 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 05:36.


#31 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 05:49

ผมเบื่อวิธีการคิดของกระทรวงศึกษามากครับ กี่ทฤษฎีแล้วครับที่เอามายัดเยียดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ ผมไม่ได้ว่าทฤษฎีเหล่านั้นไม่ดีนะครับ ผมเห็นด้วยทุกอย่าง เพียงแต่กระทรวงชอบคิดแบบ one size fits all คือ ออกนโยบายอะไรมา ทุกโรงเรียน ต้องเอาไปทำ โดยไม่เคยมีการสำรวจความพร้อม ความต้องการของแต่ละที่ว่าเป็นอย่างไร คิดเอาเองว่าจะดี แถมเวลาเอามาปฏิบัติก็ทำแต่เปลือก ต้องทำเอกสารก่อน เชื่อมั้ยครับ เดี๋ยวโรงเรียนก็ต้องไปเสียเวลาปรับปรุงเอกสารการประกันคุณภาพให้มีคำว่าห้องเรียนกลับด้านอยู่ด้วย ต้องจัดอบรม flipped classroom ต้องประชุมทำหลักสูตร แล้วครูจะมีสักกี่คนที่มีเวลาทำความเข้าใจ สามารถนำแนวคิดนี้มาใช้ได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ ไม่ใช่โยนภาระให้นักเรียนไปเรียนเองที่บ้าน  นำร่องใช้เป็นบางโรงเรียนจะดีกว่ามั้ยครับ ถ้าโรงเรียนไหนพร้อมจะเป็นประโยชน์ต่อเด็ก ผมว่าเรื่องแบบนี้ถ้าให้โรงเรียนมีอิสระเลือกวิธีการได้เอง โดยไม่ต้องยึดติดกับกระทรวงศึกษา แต่ละที่น่าจะหาทฤษฎีที่เหมาะกับสภาพของตัวเองมาใช้ได้เองนะครับ 

 

ส่วนในภาพรวม ผมว่า สภาพประเทศไทยไม่น่าจะเหมาะกับระบบนี้ครับ

อย่างแรก ห้องเรียนที่มีขนาดใหญ่ 40-50 คน ครูไม่สามารถดำเนินกิจกรรมโดยทั่วถึงได้ แนวคิดนี้ต้องการการพูดคุยถกเถียงกัน  นึกสภาพคงไม่ต่างจากตอนทำแล็ป กลุ่มที่ทำได้ก็ทำจนจบ กลุ่มที่ไม่รู้เรื่องก็นั่งเล่น รอครูวนมาบอกว่าต้องทำอย่างไรต่อ

 

อย่างที่สอง วิชาเรียนเยอะมากครับ วันนึงนักเรียนต้องเรียนอย่างน้อย 6-7 วิชา ถ้าแต่ละวิชาให้นักเรียนไปนั่งฟัง นั่งอ่านที่บ้าน ต้องใช้เวลากี่ชั่วโมงต่อวันก็ไม่รู้

 

อย่างที่สาม โครงสร้างพื้นฐานที่ต้องพึ่งพาระบบ IT มาก เพื่อเป็นแหล่งเข้าถึงข้อมูล ไม่ใช่แค่โรงเรียนแต่ต้องที่บ้านนักเรียน อย่าสร้างความเหลื่อมล้ำขึ้นมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราเคยพูดถึง e-learning ซึ่งก็คล้ายๆ กัน สุดท้ายผลลัพธ์คืออะไร ผมว่า กระทรวงศึกษาเองยังไม่กล้าตอบเลยมั้งครับ  

 

อย่างสุดท้าย ก็คือกระทรวงศึกษานี่แหละครับ เมื่อไหร่จะเลิกยัดเยียดเนื้อหาเกินความต้องการของเด็กนักเรียนซะที ลูกผม ป 1 ต้องมาท่องว่าคอมพิวเตอร์ประกอบไปด้วยหน่วยประมวลผล หน่วยรับข้อมูล หน่วยแสดงผล นี่เหรอครับจะทำให้เด็กเก่ง IT ลดวิชาหลักลง เปลี่ยนไปเป็นวิชาเล่นบ้างก็ได้นะครับ  

 

 

ขอโทษคุณหนูอ้อยครับ ที่บ่นซะเป็นส่วนใหญ่ 

 

เจอเข้าไปแค่ 4 อย่าง(ตัวเอน ^ ^)เบื้องต้นนี่ กระทรวงเริ่มจุกแล้วนะคะ ช่วยกันสนทนาแบบบ่นเนี่ยละค่ะ

เปิดเทอมไปคุณพ่อคุณแม่จะได้ตามสถานการณ์ทันว่ากระทรวงเค้าจะเอาไง

แต่ส่วนตัวไม่มีไอที หรือมีไอทีแต่แบบคล่อกๆแคล่กๆ ๅก็คงได้แต่ฟลิบคลาสแบบไทยล่ะค่ะ   ;)


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#32 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 05:54

ครูจะต้องปรับแนวทางการเรียนการสอน (pedagogy) โดยครูจะต้องทำให้เด็กรักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีเป้าหมายในการสอนที่จะทำให้เด็กมีทักษะชีวิต  ทักษะการคิด  และทักษะด้านไอที ซึ่งไอทีในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหรือใช้ไอแพดเป็น แต่หมายถึงการที่เด็กรู้ว่า  เมื่อเขาอยากรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเขาจะไปตามหาข้อมูล (data) เหล่านั้นได้ที่ไหน และเมื่อได้ข้อมูลมาเด็กต้องวิเคราะห์ได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใด และสามารถแปลงข้อมูลเป็นความรู้ (knowledge) ได้  

 

 

เท่าที่ผมสังเกตมาตลอด  กระทรวงของเรามักคิดแต่จะเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนนักเรียน

โดยไม่เคยคิดเปลี่ยนระบบการคิดการกระทำของครูเลย

 

โคว้ตที่ผมยกมาเป็นตัวอย่าง  กระทรวงคิดว่า "ครูบ้านเรามีปัญญาสอนเด็กได้แบบนี้หรือ" ถามจริง

เคยไปตามติดชีวิตครูทุกวันนี้หรือไม่

ผ่อนสหกรณ์ เล่นหวย รับสอนพิเศษ ตกเย็นตั้งวงเหล้า  ช่วงก่อนวันที่ 1 กับ 16 โพยหวยร่อนทั่วรร.

 

ความสามารถที่จะ"คิด" ของครูยังมีแค่ผ่อนของ เล่นหวย สอนพิเศษ ยังไม่รู้จักเรียนรู้อะไรเลย

ครูจะเอาอะไรมาสอนให้เด็กๆของครูครับ?

 

 

 

 

 

ปล. เข้ามาเพิ่ม

 

การจะสร้างระบบที่เป็นเลิศอะไรก็ตาม ต้องสร้าง "คน" ก่อน คนจึงใช้ระบบได้

คนมาก่อนระบบ

 

แต่กระทรวงไม่เคยคิดสร้าง "ครู"   แล้วจะมีครูดีๆมาสร้างนักเรียนได้อย่างไร?


Edited by ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 05:56.

gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#33 ขออภัยในความไม่เหมาะสม

ขออภัยในความไม่เหมาะสม

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 52 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 08:46

บางทีวิธีคิดของกระทรวงศึกษาก็น่าอึดอัดนะครับ เพราะโรงเรียนแต่ละที่บริบทไม่เหมือนกัน โรงเรียนในชนบทส่วนใหญ่ของประเทศ

 

เด็กจะไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อ แม่ เด็กจะอยู่กับคนแก่ เด็กต้องช่วยเหลืองานต่างๆในครอบครัว และในบางครั้งอาจต้องช่วยผู้ปกครองทำงานเพื่อให้มีรายได้

 

หน้าที่ของครูในชนบทบางส่วนต้องทำหน้าที่ติดตามเด็กเหล่านี้ให้มาโรงเรียน เพื่ออย่างน้อยที่สุดเค้าจะได้มีข้าวกลางวันกิน

 

เด็กบางคนมีการเอาน้องมาเลี้ยงที่โรงเรียน เพื่อให้น้องได้กินข้าวกลางวันด้วย

 

ผลการเรียนของเด็กเหล่านี้ไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ มีบ้างที่ผลการเรียนเค้าดี แต่มีจำนวนน้อยถึงน้อยที่สุด

 

นอกจากนี้แล้วครูยังมีภาระหน้าที่ต้องทำงานเอกสารต่างๆ มากมาย โรงเรียนเล็กๆ ครูจำนวนน้อย ครูก็ต้องทำงานเอกสารต่างๆเหมือนโรงเรียนใหญ่

 

เช่น เรื่องจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งต้องทำให้ถูกต้องตามระเบียบ นี่ยังไม่ได้พูดถึงภาระงานปกติของครู ไหนจะต้องเตรียมการสอน จัดบรรยากาศในการเรียนการสอน

 

จัดเตรียมสื่อต่างๆเพื่อให้เด็กได้เกิดการเรียนรู้ วิเคราะห์ผลการเรียนของเด็ก เพื่อที่จะได้พัฒนาเด็ก

 

ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ ผมเชื่อว่าครูส่วนใหญ่ของประเทศ ย้ำว่าส่วนใหญ่นะครับ มีจิตสำนึกในการพัฒนาเด็กซึ่งเป็นอนาคตของชาติให้เป็นคนดี อย่างน้อยที่สุดให้เด็กรู้จักหลีกเลี่ยงห่างไกลจากยาเสพติด



#34 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 10:27

202474.jpg

 

 

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน์  เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานคนปัจจุบันกล่าวว่า “ห้องเรียนกลับด้าน” เป็นการคิดนอกกรอบที่สพฐ.หามานานสำหรับตอบโจทย์ปฏิรูปการศึกษาไทย

 

เพื่อตรวจสอบว่านักเรียนได้ดูสื่อที่ครูให้ไปหรือไม่ เด็กจะมีบันทึกโน้ตมาส่งครู อาจบันทึกมาในสมุด  หรือเข้าไปเขียนไว้ในเว็บบล็อกของครู 

หรือเขียนส่งมาทางอีเมล และจะให้เด็กตั้งคำถามมาด้วยอย่างน้อย 1 ข้อ

 

การให้เด็กได้ดูเนื้อหาล่วงหน้าที่บ้านแล้วมาพูดคุยในชั้นเรียนนั้น จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้ดีขึ้น เร็วขึ้น เหลือเวลาสำหรับเติมสิ่งอื่น

 

รูปแบบเดิมนั้นเวลาในชั้นเรียนจะหมดไปกับการ warm-up จำนวน 5 นาที ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการบ้านของนักเรียน 20 นาที 

บรรยายเนื้อหาใหม่ 30-45 นาที เหลือแค่ 20-35 นาทีให้นักเรียนทำงานและกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ

 

แต่ห้องเรียนกลับด้านใช้เวลา warm-up 5 นาที  ถามตอบเกี่ยวกับวิดีโอที่ดูมาจากบ้าน 10 นาที 

ที่เหลืออีก 75 นาทีเต็มๆที่นักเรียนจะได้ทำงานและทำกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆที่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้ลุ่มลึกกว้างขวางขึ้น

 

ที่ผ่านมาเด็กไทยอยู่ในกลุ่มบน คือต่อปีเรียนถึง 1,200 คาบ 

แต่ผลประเมินระดับชาติเช่น Pisa กลับอยู่ในกลุ่มล่าง เข้าทำนอง เรียนมากแต่รู้น้อย

 

“ห้องเรียนกลับด้าน” ยังเป็นการเข้าใกล้การจัดการเรียนการสอนแบบชายด์เซ็นเตอร์มากขึ้น  ที่สำคัญช่วยแก้ปัญหาการบ้านมากของเด็ก  

เด็กไม่ต้องไปทนทุกข์ทรมานกับการทำการบ้านที่บ้านอีกต่อไป  การบ้านบางประเภทโดยเฉพาะ Problem solving

เด็กไม่สามารถทำคนเดียวโดยปราศจากการแนะนำ

การฝึกโดยให้การบ้านไปคิดเองรังแต่จะสร้างความเครียดให้เด็ก 

สุดท้ายเด็กจะเกลียดกลัวการมาโรงเรียน  แต่การกลับด้านให้เด็กเรียนรู้เนื้อหามาล่วงหน้าแล้วมาทำงาน-ทำการบ้านร่วมกันในห้องเรียน

จะทำให้เด็กเข้าใจเนื้อหาที่เรียน และมีความสุขขึ้น

 

การปรับโฉมห้องเรียนเป็นแบบ Flipped Classroom จะทำทันทีในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 ที่จะถึง ..

คือเปิดเทอมวันที่ 20 พฤษภาคมในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

 

(จากคมชัดลึก ฉบับที่ 4213 )

 

 

 

 


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#35 hinotori

hinotori

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,899 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 10:50

มันไม่ใช่วิธีการ หรือ อะไร.. มันเป็น ตัวครู...  ที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้...  

 

 

อัตราการสอบตกของครู ที่ทำการทดสอบในกลุ่มวิชาที่พวกเขาสอนคือ 88% สำหรับวิชาคอมพิวเตอร์ 84% สำหรับวิชาการคำนวนและคณิตศาสตร์ 86% สำหรับวิชาชีววิทยา 71% สำหรับวิชาฟิสิกส์ และเกือบกว่าอีก 95% ของผู้อำนวยการโรงเรียน ในระดับมัธยมศึกษาไม่สามารถทำคะแนนผ่านเกณฑ์ ในวิชาภาษาอังกฤษ และวิชาด้านเทคโนโลยี ผลของการสอบที่แย่ได้จุดประกาย การวิพากษ์วิจารณ์ มาตราฐานระบบการศึกษาของประเทศไทย

 

 

http://www.ungkrit.c...ail.php?talk=19

 

 

นี่คือเหตุผล ของการ Home school สำหรับพ่อแม่ที่มี ฐานะและคิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู... 

:D

 

เจ๋งเลยว่ะ เฮน ที่เปิดประเด็นด้าน ครู

 

สมัยที่ผมเรียน ครู ของผมคนหนึ่ง ท่านเป็นด้อกเตอร์บ้านนอก แต่ทำตัวติดดิน ท่านเป็นที่รักของทุกคน ได้กล่าวไว้ว่า

 

"ครูที่ดี ต้องทำให้ได้ 3 ข้อ คือ รอบรู้ สอนดี มีคุณธรรม"

 

นักเรียนคนนึงถามท่านว่า ทำไมครูถึงได้มีศักดิ์ศรีด้อยกว่าวิศวะ ท่านตอบว่า

 

"ครุศาสตร์สร้างคน คนสร้างชาติ  วิศวะสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมพัฒนาชาติ"

 

ท่านเคยเล่าเรื่องราวชีวิตสมัยเด็กๆให้ฟัง

 

ท่านเป็นเด็กวัด เรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้เรียนหนังสือ แต่สั่งสอนท่านให้รู้หนังสือได้ จนสอบเทียบ ป7 และมัธยม สุดท้ายท่านสำเร็จด้อกเตอร์

 

ท่านบอกว่า ที่ท่านจบการศึกษาขั้นสูงสุดมาได้ ไม่ใช่เพราะหลวงพ่อท่านเก่งวิชาฟิสิกส์ ชีวะ แคลคูลัส อังกฤษ แต่เพราะการเอาใจใส่ไม่ทอดทิ้ง การช่วยเหลือผลักดัน ทำให้ท่านมีวันนี้

 

 

       ที่ผมว่ามานั้นคืออะไร สรุปให้ฟังง่ายๆว่า "ครู" ต้องรอบรู้ รู้ให้กว้าง ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ลึก เพราะครูต้องเป็นคนวางพื้นฐานให้มั่นคง ผู้เรียนจะเป็นคนต่อยอดขึ้นไปเอง

 

เช่นหลวงพ่อที่วางรากฐานให้เด็กวัดคนหนึ่งศึกษาจนจบด้อกเตอร์ ถามว่าด้อกเตอร์คนนั้นมีความรู้มากกว่าหลวงพ่อไหม มี แต่ถ้าไม่มีหลวงพ่อก็ไม่มีเขาคนนี้

 

   ประเด็นต่อไป คือการจับครูมาสอบ แล้วเอาผลมาวิพากษ์ เพื่อโยนความผิดไปให้ครู

 

    ก็คงต้องถามกันว่า  บ้ากันไปใหญ่แล้วหรือ ครูที่มีหน้าที่สอบเด็ก วัดผลเด็ก กลับต้องโดนจับมานั่งสอบซะเอง เพื่ออะไร 

 

   เข้าใจผิด เบี่ยงเบนประเด็นกันไปใหญ่  กว่าครูทุกท่านจะเป็นครูได้ ต้องจบปริญญาตรี ต้องศึกษาวิชาชีพครู นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า

 

  เมื่อมาเป็นครูจริงๆแล้ว จะสอนเด็กให้มีความรู้ตามที่ตั้งประสงค์ไว้ได้หรือไม่

 

                  ครูที่เก่งจริง คือครูที่สอนให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาวิชา และเด็กทำสอบได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน

 

                  ไม่ใช่ว่าครูต้องมาสอบผ่านวิชาอะไรพวกนั้นว๊อย (โอ้พระเจ้า)

 

แล้วพอมีอิแบบนี้ขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น มันก็เท่ากับเอาครูไปประจาน ครูหลายคนเป็นคนเก่งสอนดีเด็กๆก็รัก  แต่สอบตกคอมฯ ตกอังกฤษ กลายเป็นว่าครูคนนั้นไม่ได้คุณภาพ

 

เพราะการทดสอบ(เฮงซวย)อะไรก็ไม่รู้ สื่อก็เอาไปตีข่าวกันใหญ่ ว่าครูไทยมันแย่ไม่ผ่านประเมิน การเชื่อถือนับถือในตัวครูก็ตกต่ำลง ผู้ปกครองก็เชิดหน้าใส่ครู

 

หาว่าลูกตัวเรียนแย่เพราะครู (ก็จะให้ไม่แย่ได้ยังไง เอ็ดมันก็ไปฟ้องแม่ ตีมันก็เอาแม่มาฟ้องผอ. ลูกเทวดาชัดๆ) 

 

               แล้วอยากจะบอกไว้นะครับ ท่านผู้ปกครองที่คิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู แล้วจะ Home School สอนลูกท่านเองที่บ้าน อันนี้ ครูทั้งหลาย ยินดีมากๆเลยครับ

 

เพราะครูที่แท้จริงคนแรกของลูก ก็คือพ่อแม่นั่นเองครับ ลูกๆของท่านจะรู้สึกอบอุ่นเมื่อท่านได้ถ่ายทอดความรู้ให้เขาโดยตรง ถือเป็นก้าวกระโดดของการศึกษาไทย

 

เลยทีเดียว เรียนที่บ้านแล้วถึงเวลามาสอบเทียบเพื่อรับใบประกาศนียบัตร ปัญหาครูขาดแคลนก็จะหมดไป ปัญหาเด็กขาดความอบอุ่นก็จะหมดไปอีก แต่ถามหน่อยเถิด

 

มันจะดำเนินการได้ทุกครัวเรือนเลยหรือ แล้วถ้าบ้านไหนพ่อแม่ขายยาบ้า ติดการพนัน เขาจะสอนอะไรให้ลูก คุณจะ Home School ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสังคมอุดมคติ

 

ซึ่งมันไม่มีจริง การพาลูกมาโรงเรียน ไม่ใช่แค่มาเรียนอย่างเดียว แต่เพื่อปรับตัวให้อยู่ในสังคม เคารพในกฏระเบียบของสังคมส่วนใหญ่ สอนให้รู้จักมารยาท

 

การอยู่ร่วมกัน และอื่นๆอีกมากมาย การที่ผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง เห็นว่า ครู แย่ ไม่น่าเชื่อถือ โรงเรียนไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเองและลูกได้

 

จนอยากจะสอนเองนั้น ก็อยากให้ท่านได้ลองดูเลยว่า การสอนลูกของท่านแค่ คนสองคน มันจะไปยากกว่าการสอนลูกใครก็ไม่รู้ทั้งชั้นเรียนเป็น สิบๆคนได้อย่างไร

 

ถึงจุดนั้นต่อให้ครูคนนั้นจะเทพจนทำข้อสอบวัดมาตรฐานครูได้เต็มทุกวิชา แต่ไม่รู้วิธีการถ่ายทอดไปสู่เด็ก บกพร่องในการกระตุ้นเด็กให้อยากเรียรู้ เด็กก็ไม่ได้อะไร

 

เลยเช่นกัน

 

แต่ก็นั่นแหละนะ เห็นโควทด้านบนนั่นแล้ว ทำให้ผมรู้เลยว่า การศึกษาไทยมันเดินมาผิดทางจริงๆ

 

                   



#36 hentai

hentai

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,046 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 11:56

มันไม่ใช่วิธีการ หรือ อะไร.. มันเป็น ตัวครู...  ที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้...  

 

 

อัตราการสอบตกของครู ที่ทำการทดสอบในกลุ่มวิชาที่พวกเขาสอนคือ 88% สำหรับวิชาคอมพิวเตอร์ 84% สำหรับวิชาการคำนวนและคณิตศาสตร์ 86% สำหรับวิชาชีววิทยา 71% สำหรับวิชาฟิสิกส์ และเกือบกว่าอีก 95% ของผู้อำนวยการโรงเรียน ในระดับมัธยมศึกษาไม่สามารถทำคะแนนผ่านเกณฑ์ ในวิชาภาษาอังกฤษ และวิชาด้านเทคโนโลยี ผลของการสอบที่แย่ได้จุดประกาย การวิพากษ์วิจารณ์ มาตราฐานระบบการศึกษาของประเทศไทย

 

 

http://www.ungkrit.c...ail.php?talk=19

 

 

นี่คือเหตุผล ของการ Home school สำหรับพ่อแม่ที่มี ฐานะและคิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู... 

:D

 

เจ๋งเลยว่ะ เฮน ที่เปิดประเด็นด้าน ครู

 

สมัยที่ผมเรียน ครู ของผมคนหนึ่ง ท่านเป็นด้อกเตอร์บ้านนอก แต่ทำตัวติดดิน ท่านเป็นที่รักของทุกคน ได้กล่าวไว้ว่า

 

"ครูที่ดี ต้องทำให้ได้ 3 ข้อ คือ รอบรู้ สอนดี มีคุณธรรม"

 

นักเรียนคนนึงถามท่านว่า ทำไมครูถึงได้มีศักดิ์ศรีด้อยกว่าวิศวะ ท่านตอบว่า

 

"ครุศาสตร์สร้างคน คนสร้างชาติ  วิศวะสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมพัฒนาชาติ"

 

ท่านเคยเล่าเรื่องราวชีวิตสมัยเด็กๆให้ฟัง

 

ท่านเป็นเด็กวัด เรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้เรียนหนังสือ แต่สั่งสอนท่านให้รู้หนังสือได้ จนสอบเทียบ ป7 และมัธยม สุดท้ายท่านสำเร็จด้อกเตอร์

 

ท่านบอกว่า ที่ท่านจบการศึกษาขั้นสูงสุดมาได้ ไม่ใช่เพราะหลวงพ่อท่านเก่งวิชาฟิสิกส์ ชีวะ แคลคูลัส อังกฤษ แต่เพราะการเอาใจใส่ไม่ทอดทิ้ง การช่วยเหลือผลักดัน ทำให้ท่านมีวันนี้

 

 

       ที่ผมว่ามานั้นคืออะไร สรุปให้ฟังง่ายๆว่า "ครู" ต้องรอบรู้ รู้ให้กว้าง ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ลึก เพราะครูต้องเป็นคนวางพื้นฐานให้มั่นคง ผู้เรียนจะเป็นคนต่อยอดขึ้นไปเอง

 

เช่นหลวงพ่อที่วางรากฐานให้เด็กวัดคนหนึ่งศึกษาจนจบด้อกเตอร์ ถามว่าด้อกเตอร์คนนั้นมีความรู้มากกว่าหลวงพ่อไหม มี แต่ถ้าไม่มีหลวงพ่อก็ไม่มีเขาคนนี้

 

   ประเด็นต่อไป คือการจับครูมาสอบ แล้วเอาผลมาวิพากษ์ เพื่อโยนความผิดไปให้ครู

 

    ก็คงต้องถามกันว่า  บ้ากันไปใหญ่แล้วหรือ ครูที่มีหน้าที่สอบเด็ก วัดผลเด็ก กลับต้องโดนจับมานั่งสอบซะเอง เพื่ออะไร 

 

   เข้าใจผิด เบี่ยงเบนประเด็นกันไปใหญ่  กว่าครูทุกท่านจะเป็นครูได้ ต้องจบปริญญาตรี ต้องศึกษาวิชาชีพครู นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า

 

  เมื่อมาเป็นครูจริงๆแล้ว จะสอนเด็กให้มีความรู้ตามที่ตั้งประสงค์ไว้ได้หรือไม่

 

                  ครูที่เก่งจริง คือครูที่สอนให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาวิชา และเด็กทำสอบได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน

 

                  ไม่ใช่ว่าครูต้องมาสอบผ่านวิชาอะไรพวกนั้นว๊อย (โอ้พระเจ้า)

 

แล้วพอมีอิแบบนี้ขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น มันก็เท่ากับเอาครูไปประจาน ครูหลายคนเป็นคนเก่งสอนดีเด็กๆก็รัก  แต่สอบตกคอมฯ ตกอังกฤษ กลายเป็นว่าครูคนนั้นไม่ได้คุณภาพ

 

เพราะการทดสอบ(เฮงซวย)อะไรก็ไม่รู้ สื่อก็เอาไปตีข่าวกันใหญ่ ว่าครูไทยมันแย่ไม่ผ่านประเมิน การเชื่อถือนับถือในตัวครูก็ตกต่ำลง ผู้ปกครองก็เชิดหน้าใส่ครู

 

หาว่าลูกตัวเรียนแย่เพราะครู (ก็จะให้ไม่แย่ได้ยังไง เอ็ดมันก็ไปฟ้องแม่ ตีมันก็เอาแม่มาฟ้องผอ. ลูกเทวดาชัดๆ) 

 

               แล้วอยากจะบอกไว้นะครับ ท่านผู้ปกครองที่คิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู แล้วจะ Home School สอนลูกท่านเองที่บ้าน อันนี้ ครูทั้งหลาย ยินดีมากๆเลยครับ

 

เพราะครูที่แท้จริงคนแรกของลูก ก็คือพ่อแม่นั่นเองครับ ลูกๆของท่านจะรู้สึกอบอุ่นเมื่อท่านได้ถ่ายทอดความรู้ให้เขาโดยตรง ถือเป็นก้าวกระโดดของการศึกษาไทย

 

เลยทีเดียว เรียนที่บ้านแล้วถึงเวลามาสอบเทียบเพื่อรับใบประกาศนียบัตร ปัญหาครูขาดแคลนก็จะหมดไป ปัญหาเด็กขาดความอบอุ่นก็จะหมดไปอีก แต่ถามหน่อยเถิด

 

มันจะดำเนินการได้ทุกครัวเรือนเลยหรือ แล้วถ้าบ้านไหนพ่อแม่ขายยาบ้า ติดการพนัน เขาจะสอนอะไรให้ลูก คุณจะ Home School ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสังคมอุดมคติ

 

ซึ่งมันไม่มีจริง การพาลูกมาโรงเรียน ไม่ใช่แค่มาเรียนอย่างเดียว แต่เพื่อปรับตัวให้อยู่ในสังคม เคารพในกฏระเบียบของสังคมส่วนใหญ่ สอนให้รู้จักมารยาท

 

การอยู่ร่วมกัน และอื่นๆอีกมากมาย การที่ผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง เห็นว่า ครู แย่ ไม่น่าเชื่อถือ โรงเรียนไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเองและลูกได้

 

จนอยากจะสอนเองนั้น ก็อยากให้ท่านได้ลองดูเลยว่า การสอนลูกของท่านแค่ คนสองคน มันจะไปยากกว่าการสอนลูกใครก็ไม่รู้ทั้งชั้นเรียนเป็น สิบๆคนได้อย่างไร

 

ถึงจุดนั้นต่อให้ครูคนนั้นจะเทพจนทำข้อสอบวัดมาตรฐานครูได้เต็มทุกวิชา แต่ไม่รู้วิธีการถ่ายทอดไปสู่เด็ก บกพร่องในการกระตุ้นเด็กให้อยากเรียรู้ เด็กก็ไม่ได้อะไร

 

เลยเช่นกัน

 

แต่ก็นั่นแหละนะ เห็นโควทด้านบนนั่นแล้ว ทำให้ผมรู้เลยว่า การศึกษาไทยมันเดินมาผิดทางจริงๆ

 

                   

 

ผมว่าประเด็นที่เกิดคือ...

 

ครูจำเป็นจะต้อง มีความรู้เพียงพอที่จะ สอนนักเรียน ในเรื่องนั้นๆ หรือไม่...      ท่านเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะ "ครูที่เก่งจริง คือครูที่สอนให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาวิชา และเด็กทำสอบได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน"

แต่ผมกลับเห็นว่า...  ถ้า "ครูเองถ้าไม่ผ่านการ ประเมิน แล้วจะสอนให้เด็กผ่านการประเมินได้อย่างไร"...   

 

ตัวอย่างของท่าน เป็นตัวอย่างที่ บิดเบี้ยว...

 

ที่ว่า พระสอน สอนคน จบ doctor  ....  ถามว่า สอนอะไรครับ... สอนอ่านเขียน ความรู้ ระดับพื้นฐาน หรือ สอน differential equation..

ถามว่า คนที่จะจบ doctor มี สถาบันไหนที่ รับรอง ปริญญานี้ โดยให้ คนที่จบต่ำกว่าเป็น adviser ได้ครับ...  

 

ครูของเรา ตก วิชาที่สอน นะครับ...  ไม่ใช่ ครูเลข ตก อังกฤษ...  ครูอังกฤษ ตก physic...  กรุณาอ่านให้ดีด้วย...  

ผู้ปกครอง ถ้าเลือกได้ จะส่งลูก ม4 ความรู้ปานกลาง (ถ้าเก่งเรียนกับใครไม่ต่าง..)  เรียนเลข กับใคร ระหว่าง ครูที่ตกเลข ม4

แต่ได้รางวัลครูรักเด็ก 10 ปีซ้อน กับ ครูที่ไม่ตกเลข.ม4 

แต่ในระบบ... เราไม่มีทางเลือก เราหวังว่า ลูกเราจะเจอคนไม่ตก...      โรงเรียนดังๆ ทำให้ความน่าจะเป็นนี้ มากขึ้น.. 

 

ถูกครับ การจะเป็นครูมันก็ต้องจบ วิชาชีพมา..  มันก็ต้อง เคยฝ่านมาก่อน...    ไม่เถียงครับว่า ครูทุกคนเคยมีความรู้มาก่อน...

แต่ ท่านว่า อาการหนักไหมครับ ถ้า ครูที่ สอนเลขมาตลอด กลับ ไม่ผ่านการทดสอบเอง...    

แล้วที่สอนไปเด็กจะรู้เรื่องหรือ...      

 

 

ครูอาจแก้ทำโจทย์ยากๆไม่ได้  ในขณะที่เด็กบางคนทำได้.. ไม่แปลกครับ...   เพราะ..

ครูไม่จำเป้นต้องเก่งกว่าเด็กครับ   ...  ผมเห็นเด็กมัธยมเก่งกว่าครูเยอะแยะ...

แต่  

อย่างน้อยๆ ครูต้อง สอบผ่านในวิชาที่สอน...    ในปัจจุบัน..

 

การสอบไม่ผ่านเอง...   จะไปสอนใครได้...    

นี่พูดถึงการศึกษาขั้นมัธยม ม1 - ม6  นะครับ...    

:D


Edited by hentai, 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 12:04.

"คนโง่มักจะชอบว่าคนอื่นว่าโง่"

"ถ้าคนเราคิดเหมือนกันหมด ก็ไม่มีเลือกตั้งซิครับ"

"ผมไม่พูด เรื่อง 112 แล้ว นะครับ กรุณาอย่าถาม (17 พค 2012)"


#37 Gop

Gop

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,450 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 12:00

โดยส่วนตัว ผมเห็นด้วยกับการทดสอบครูนะครับ แต่ขอให้ทดสอบตามสาขาวิชาที่ตนเองสอนก็พอ เพราะครูต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญมากพอที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับบทเรียนที่ตัวเองสอนได้ อย่างเช่นครูคณิตศาสตร์ ม.ปลาย ก็ควรทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เพราะนั่นคือเป้าหมายในการสอน

ลองคิดดูนะครับ ถ้าครูทำได้แค่สอน พอนักเรียนถาม ครูตอบไม่ได้ แบบนี้ผมว่าไม่ไหวนะครับ ต้องปรับปรุง

หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.

 


#38 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 12:09

สรุปตอนนี้..  ต้นกระทู้พูดถึงวิธีการที่กระทรวงจะปรับเปลี่ยน เป็นการอัพเดทข้อมูลให้ผู้ปกครองวันนี้และผู้สนใจ

 

หลายท่านเสนอว่าจะเปลี่ยนไปใย  ตัวบุคคล (คือครู) ที่จะมาขับเคลื่อนกลวิธีนั้นมีประสิทธิภาพมากพอรึเปล่า

ส่วนหลายท่านก็ขอให้เห็นใจครูด้วยว่างานหนักไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น

 

 

ขอถามว่า หากเปลี่ยนเป็นฟลิบคลาสแล้ว แก้ปัญหาการศีกษาไทยได้บ้างมั้ย และประเด็นใดบ้าง ...


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#39 hentai

hentai

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,046 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 13:07

ขออภัย จขกท ที่พาไปเที่ยวทะเล...   

 

อย่างที่บอกไป ปัญหาเรา ครูเป็นส่วนหนึ่ง...   แก้หลักสูตรให้ตาย...    แต่ได้ครูตกเลข มาสอนเลข...    มันจะไปกันได้แค่ไหน... 

ถามว่า ครูตกเลข...  สอนแบบ Flip...   แล้วจะดีขึ้นหรือ... 

 

ผมว่า ทางรอดเดียวในตอนนี้คือ...  พึ่งครูให้น้อยลง... ช่วยตัวเองมากขึ้น...    

สำหรับผม... เรียนในโรงเรียน คือการไป รู้จักเพื่อนและสังคม...   เจอคนหลายประเภท เพื่อ

เตรียมสำหรับชีวิตจริง...    อำนี้เป็น จุดที่เด็ก Home school ขาดไป...     

 

:D


"คนโง่มักจะชอบว่าคนอื่นว่าโง่"

"ถ้าคนเราคิดเหมือนกันหมด ก็ไม่มีเลือกตั้งซิครับ"

"ผมไม่พูด เรื่อง 112 แล้ว นะครับ กรุณาอย่าถาม (17 พค 2012)"


#40 hinotori

hinotori

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,899 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 13:41

 

มันไม่ใช่วิธีการ หรือ อะไร.. มันเป็น ตัวครู...  ที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้...  

 

 

อัตราการสอบตกของครู ที่ทำการทดสอบในกลุ่มวิชาที่พวกเขาสอนคือ 88% สำหรับวิชาคอมพิวเตอร์ 84% สำหรับวิชาการคำนวนและคณิตศาสตร์ 86% สำหรับวิชาชีววิทยา 71% สำหรับวิชาฟิสิกส์ และเกือบกว่าอีก 95% ของผู้อำนวยการโรงเรียน ในระดับมัธยมศึกษาไม่สามารถทำคะแนนผ่านเกณฑ์ ในวิชาภาษาอังกฤษ และวิชาด้านเทคโนโลยี ผลของการสอบที่แย่ได้จุดประกาย การวิพากษ์วิจารณ์ มาตราฐานระบบการศึกษาของประเทศไทย

 

 

http://www.ungkrit.c...ail.php?talk=19

 

 

นี่คือเหตุผล ของการ Home school สำหรับพ่อแม่ที่มี ฐานะและคิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู... 

:D

 

เจ๋งเลยว่ะ เฮน ที่เปิดประเด็นด้าน ครู

 

สมัยที่ผมเรียน ครู ของผมคนหนึ่ง ท่านเป็นด้อกเตอร์บ้านนอก แต่ทำตัวติดดิน ท่านเป็นที่รักของทุกคน ได้กล่าวไว้ว่า

 

"ครูที่ดี ต้องทำให้ได้ 3 ข้อ คือ รอบรู้ สอนดี มีคุณธรรม"

 

นักเรียนคนนึงถามท่านว่า ทำไมครูถึงได้มีศักดิ์ศรีด้อยกว่าวิศวะ ท่านตอบว่า

 

"ครุศาสตร์สร้างคน คนสร้างชาติ  วิศวะสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมพัฒนาชาติ"

 

ท่านเคยเล่าเรื่องราวชีวิตสมัยเด็กๆให้ฟัง

 

ท่านเป็นเด็กวัด เรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้เรียนหนังสือ แต่สั่งสอนท่านให้รู้หนังสือได้ จนสอบเทียบ ป7 และมัธยม สุดท้ายท่านสำเร็จด้อกเตอร์

 

ท่านบอกว่า ที่ท่านจบการศึกษาขั้นสูงสุดมาได้ ไม่ใช่เพราะหลวงพ่อท่านเก่งวิชาฟิสิกส์ ชีวะ แคลคูลัส อังกฤษ แต่เพราะการเอาใจใส่ไม่ทอดทิ้ง การช่วยเหลือผลักดัน ทำให้ท่านมีวันนี้

 

 

       ที่ผมว่ามานั้นคืออะไร สรุปให้ฟังง่ายๆว่า "ครู" ต้องรอบรู้ รู้ให้กว้าง ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ลึก เพราะครูต้องเป็นคนวางพื้นฐานให้มั่นคง ผู้เรียนจะเป็นคนต่อยอดขึ้นไปเอง

 

เช่นหลวงพ่อที่วางรากฐานให้เด็กวัดคนหนึ่งศึกษาจนจบด้อกเตอร์ ถามว่าด้อกเตอร์คนนั้นมีความรู้มากกว่าหลวงพ่อไหม มี แต่ถ้าไม่มีหลวงพ่อก็ไม่มีเขาคนนี้

 

   ประเด็นต่อไป คือการจับครูมาสอบ แล้วเอาผลมาวิพากษ์ เพื่อโยนความผิดไปให้ครู

 

    ก็คงต้องถามกันว่า  บ้ากันไปใหญ่แล้วหรือ ครูที่มีหน้าที่สอบเด็ก วัดผลเด็ก กลับต้องโดนจับมานั่งสอบซะเอง เพื่ออะไร 

 

   เข้าใจผิด เบี่ยงเบนประเด็นกันไปใหญ่  กว่าครูทุกท่านจะเป็นครูได้ ต้องจบปริญญาตรี ต้องศึกษาวิชาชีพครู นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า

 

  เมื่อมาเป็นครูจริงๆแล้ว จะสอนเด็กให้มีความรู้ตามที่ตั้งประสงค์ไว้ได้หรือไม่

 

                  ครูที่เก่งจริง คือครูที่สอนให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาวิชา และเด็กทำสอบได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน

 

                  ไม่ใช่ว่าครูต้องมาสอบผ่านวิชาอะไรพวกนั้นว๊อย (โอ้พระเจ้า)

 

แล้วพอมีอิแบบนี้ขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น มันก็เท่ากับเอาครูไปประจาน ครูหลายคนเป็นคนเก่งสอนดีเด็กๆก็รัก  แต่สอบตกคอมฯ ตกอังกฤษ กลายเป็นว่าครูคนนั้นไม่ได้คุณภาพ

 

เพราะการทดสอบ(เฮงซวย)อะไรก็ไม่รู้ สื่อก็เอาไปตีข่าวกันใหญ่ ว่าครูไทยมันแย่ไม่ผ่านประเมิน การเชื่อถือนับถือในตัวครูก็ตกต่ำลง ผู้ปกครองก็เชิดหน้าใส่ครู

 

หาว่าลูกตัวเรียนแย่เพราะครู (ก็จะให้ไม่แย่ได้ยังไง เอ็ดมันก็ไปฟ้องแม่ ตีมันก็เอาแม่มาฟ้องผอ. ลูกเทวดาชัดๆ) 

 

               แล้วอยากจะบอกไว้นะครับ ท่านผู้ปกครองที่คิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู แล้วจะ Home School สอนลูกท่านเองที่บ้าน อันนี้ ครูทั้งหลาย ยินดีมากๆเลยครับ

 

เพราะครูที่แท้จริงคนแรกของลูก ก็คือพ่อแม่นั่นเองครับ ลูกๆของท่านจะรู้สึกอบอุ่นเมื่อท่านได้ถ่ายทอดความรู้ให้เขาโดยตรง ถือเป็นก้าวกระโดดของการศึกษาไทย

 

เลยทีเดียว เรียนที่บ้านแล้วถึงเวลามาสอบเทียบเพื่อรับใบประกาศนียบัตร ปัญหาครูขาดแคลนก็จะหมดไป ปัญหาเด็กขาดความอบอุ่นก็จะหมดไปอีก แต่ถามหน่อยเถิด

 

มันจะดำเนินการได้ทุกครัวเรือนเลยหรือ แล้วถ้าบ้านไหนพ่อแม่ขายยาบ้า ติดการพนัน เขาจะสอนอะไรให้ลูก คุณจะ Home School ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสังคมอุดมคติ

 

ซึ่งมันไม่มีจริง การพาลูกมาโรงเรียน ไม่ใช่แค่มาเรียนอย่างเดียว แต่เพื่อปรับตัวให้อยู่ในสังคม เคารพในกฏระเบียบของสังคมส่วนใหญ่ สอนให้รู้จักมารยาท

 

การอยู่ร่วมกัน และอื่นๆอีกมากมาย การที่ผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง เห็นว่า ครู แย่ ไม่น่าเชื่อถือ โรงเรียนไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเองและลูกได้

 

จนอยากจะสอนเองนั้น ก็อยากให้ท่านได้ลองดูเลยว่า การสอนลูกของท่านแค่ คนสองคน มันจะไปยากกว่าการสอนลูกใครก็ไม่รู้ทั้งชั้นเรียนเป็น สิบๆคนได้อย่างไร

 

ถึงจุดนั้นต่อให้ครูคนนั้นจะเทพจนทำข้อสอบวัดมาตรฐานครูได้เต็มทุกวิชา แต่ไม่รู้วิธีการถ่ายทอดไปสู่เด็ก บกพร่องในการกระตุ้นเด็กให้อยากเรียรู้ เด็กก็ไม่ได้อะไร

 

เลยเช่นกัน

 

แต่ก็นั่นแหละนะ เห็นโควทด้านบนนั่นแล้ว ทำให้ผมรู้เลยว่า การศึกษาไทยมันเดินมาผิดทางจริงๆ

 

                   

 

ผมว่าประเด็นที่เกิดคือ...

 

ครูจำเป็นจะต้อง มีความรู้เพียงพอที่จะ สอนนักเรียน ในเรื่องนั้นๆ หรือไม่...      ท่านเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะ "ครูที่เก่งจริง คือครูที่สอนให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาวิชา และเด็กทำสอบได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน"

แต่ผมกลับเห็นว่า...  ถ้า "ครูเองถ้าไม่ผ่านการ ประเมิน แล้วจะสอนให้เด็กผ่านการประเมินได้อย่างไร"...   

 

ตัวอย่างของท่าน เป็นตัวอย่างที่ บิดเบี้ยว...

 

ที่ว่า พระสอน สอนคน จบ doctor  ....  ถามว่า สอนอะไรครับ... สอนอ่านเขียน ความรู้ ระดับพื้นฐาน หรือ สอน differential equation..

ถามว่า คนที่จะจบ doctor มี สถาบันไหนที่ รับรอง ปริญญานี้ โดยให้ คนที่จบต่ำกว่าเป็น adviser ได้ครับ...  

 

ครูของเรา ตก วิชาที่สอน นะครับ...  ไม่ใช่ ครูเลข ตก อังกฤษ...  ครูอังกฤษ ตก physic...  กรุณาอ่านให้ดีด้วย...  

ผู้ปกครอง ถ้าเลือกได้ จะส่งลูก ม4 ความรู้ปานกลาง (ถ้าเก่งเรียนกับใครไม่ต่าง..)  เรียนเลข กับใคร ระหว่าง ครูที่ตกเลข ม4

แต่ได้รางวัลครูรักเด็ก 10 ปีซ้อน กับ ครูที่ไม่ตกเลข.ม4 

แต่ในระบบ... เราไม่มีทางเลือก เราหวังว่า ลูกเราจะเจอคนไม่ตก...      โรงเรียนดังๆ ทำให้ความน่าจะเป็นนี้ มากขึ้น.. 

 

ถูกครับ การจะเป็นครูมันก็ต้องจบ วิชาชีพมา..  มันก็ต้อง เคยฝ่านมาก่อน...    ไม่เถียงครับว่า ครูทุกคนเคยมีความรู้มาก่อน...

แต่ ท่านว่า อาการหนักไหมครับ ถ้า ครูที่ สอนเลขมาตลอด กลับ ไม่ผ่านการทดสอบเอง...    

แล้วที่สอนไปเด็กจะรู้เรื่องหรือ...      

 

 

ครูอาจแก้ทำโจทย์ยากๆไม่ได้  ในขณะที่เด็กบางคนทำได้.. ไม่แปลกครับ...   เพราะ..

ครูไม่จำเป้นต้องเก่งกว่าเด็กครับ   ...  ผมเห็นเด็กมัธยมเก่งกว่าครูเยอะแยะ...

แต่  

อย่างน้อยๆ ครูต้อง สอบผ่านในวิชาที่สอน...    ในปัจจุบัน..

 

การสอบไม่ผ่านเอง...   จะไปสอนใครได้...    

นี่พูดถึงการศึกษาขั้นมัธยม ม1 - ม6  นะครับ...    

:D

 

เอาอย่างนี้เลย ถามง่ายๆ

 

อย่างที่คุณเอามาแปะไว้ การทดสอบมาตรฐานครู ผลที่ได้แสดงให้เห็นถึงอะไรครับ อย่าเพิ่งตอบ ถ้ายังมองแค่ด้านเดียว

 

ผลที่ได้คือ ครูสอบตกหมดเลย ไม่ผ่านสักอย่าง อ๊ะๆ โทษครูไทยได้หรือยังครับ ยังก่อน ลองเปรียบเทียบกับกรณีนี้

 

 

ครูคนหนึ่ง สอนนักเรียนทั้งห้อง แต่ผลสอบของนักเรียนในห้องนั้น ตกกันหมดเลย มันเกิดอะไรขึ้น

 

คุณจะโทษใคร จะโทษนักเรียนที่งี่เง่า หรือจะโทษครูที่สอนอะไรก็ไม่รู้ หรือจะโทษเครื่องมือวัดผลที่ไม่ตรงกับเนื้อหาที่สอน

 

 

ในความเป็นจริง ครูเป็นผู้สอน และสร้างเครื่องมือวัดผลนักเรียน ถ้านักเรียนทำไม่ได้กันเลย ความผิดพลาดเกิดที่ครูคนนั้นแล้ว ว่าสอนอะไรไป เด็กรับได้หรือไม่

 

หรือเอาข้อสอบอะไรมาสอบเด็ก

 

มันก็เช่นเดียวกับการสอบประเมินผลครู ถ้าครูทำไม่ได้กันเลย อย่าเพิ่งโทษครู ต้องดูก่อนว่า คุณเอาอะไรมาประเมินเขา

 

เหมือนกับข้อสอบ Onet ที่โดนด่ากันโครมๆ นั่นแหละ ว่าเอาอะไรมาออกข้อสอบ สุดท้ายใครโดน ถ้าไม่ใช่คนออกข้อสอบ

 

แถมต้องดูด้วยว่า ครูระดับมัธยมที่เข้ารับการทดสอบนั้น สอนในระดับใด แค่ความรู้ระดับ ม.1 กับ ม.3 มันก็ต่างกันมากแล้ว ถ้าจับครู ม.1 ไปสอบด้วยข้อสอบ

 

สำหรับครู ม.6 มันก็จบเห่กัน

 

 

และถ้า คุณออกมาตั้งธงว่า อย่างน้อยๆ ครูต้องสอบผ่านในวิชาที่สอนในปัจจุบัน

 

ผมก็อยากจะบอกว่า ไม่มีปัญหา ศักยภาพในการสอนของครูแต่ละท่านในวิชาที่สอนนั้น

 

ท่านมีความชำนาญในระดับหนึ่งอยู่แล้ว คนที่สอนดิฟอินทิเกรต ถ้าทำเองไม่ได้ก็คงไปสอนใครไม่ได้

 

แต่มีข้อแม้ว่า การประเมินต้องเป็นธรรมและละเอียดรอบคอบสำหรับครู

 

ไม่ใช่เอาอะไรไม่รู้มาให้ทำ พอทำไม่ได้ ก็โทษว่าครูไม่มีศักยภาพ

 

 

 

แถมท้าย คุณว่าตัวอย่างของผมบิดเบี้ยว โอว มายก้อด ถ้าเช่นนั้น พวกผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในปัจจุบัน เขาจบปริญญาโท จบด้อกเตอร์ เขาเรียนได้ 4.00 กันได้ยังไง

 

ในเมื่อเขาอยู่ในระบบการศึกษา ที่ครูสอบไม่ผ่านการประเมินมาโดยตลอด



#41 sanskrit_shower

sanskrit_shower

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,741 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 13:47

 

มันไม่ใช่วิธีการ หรือ อะไร.. มันเป็น ตัวครู...  ที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้...  
 

อัตราการสอบตกของครู ที่ทำการทดสอบในกลุ่มวิชาที่พวกเขาสอนคือ 88% สำหรับวิชาคอมพิวเตอร์ 84% สำหรับวิชาการคำนวนและคณิตศาสตร์ 86% สำหรับวิชาชีววิทยา 71% สำหรับวิชาฟิสิกส์ และเกือบกว่าอีก 95% ของผู้อำนวยการโรงเรียน ในระดับมัธยมศึกษาไม่สามารถทำคะแนนผ่านเกณฑ์ ในวิชาภาษาอังกฤษ และวิชาด้านเทคโนโลยี ผลของการสอบที่แย่ได้จุดประกาย การวิพากษ์วิจารณ์ มาตราฐานระบบการศึกษาของประเทศไทย

 
 
http://www.ungkrit.c...ail.php?talk=19
 
 
นี่คือเหตุผล ของการ Home school สำหรับพ่อแม่ที่มี ฐานะและคิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู... 
:D

 
เจ๋งเลยว่ะ เฮน ที่เปิดประเด็นด้าน ครู
 
สมัยที่ผมเรียน ครู ของผมคนหนึ่ง ท่านเป็นด้อกเตอร์บ้านนอก แต่ทำตัวติดดิน ท่านเป็นที่รักของทุกคน ได้กล่าวไว้ว่า
 
"ครูที่ดี ต้องทำให้ได้ 3 ข้อ คือ รอบรู้ สอนดี มีคุณธรรม"
 
นักเรียนคนนึงถามท่านว่า ทำไมครูถึงได้มีศักดิ์ศรีด้อยกว่าวิศวะ ท่านตอบว่า
 
"ครุศาสตร์สร้างคน คนสร้างชาติ  วิศวะสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมพัฒนาชาติ"
 
ท่านเคยเล่าเรื่องราวชีวิตสมัยเด็กๆให้ฟัง
 
ท่านเป็นเด็กวัด เรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้เรียนหนังสือ แต่สั่งสอนท่านให้รู้หนังสือได้ จนสอบเทียบ ป7 และมัธยม สุดท้ายท่านสำเร็จด้อกเตอร์
 
ท่านบอกว่า ที่ท่านจบการศึกษาขั้นสูงสุดมาได้ ไม่ใช่เพราะหลวงพ่อท่านเก่งวิชาฟิสิกส์ ชีวะ แคลคูลัส อังกฤษ แต่เพราะการเอาใจใส่ไม่ทอดทิ้ง การช่วยเหลือผลักดัน ทำให้ท่านมีวันนี้
 
 
       ที่ผมว่ามานั้นคืออะไร สรุปให้ฟังง่ายๆว่า "ครู" ต้องรอบรู้ รู้ให้กว้าง ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ลึก เพราะครูต้องเป็นคนวางพื้นฐานให้มั่นคง ผู้เรียนจะเป็นคนต่อยอดขึ้นไปเอง
 
เช่นหลวงพ่อที่วางรากฐานให้เด็กวัดคนหนึ่งศึกษาจนจบด้อกเตอร์ ถามว่าด้อกเตอร์คนนั้นมีความรู้มากกว่าหลวงพ่อไหม มี แต่ถ้าไม่มีหลวงพ่อก็ไม่มีเขาคนนี้
 
   ประเด็นต่อไป คือการจับครูมาสอบ แล้วเอาผลมาวิพากษ์ เพื่อโยนความผิดไปให้ครู
 
    ก็คงต้องถามกันว่า  บ้ากันไปใหญ่แล้วหรือ ครูที่มีหน้าที่สอบเด็ก วัดผลเด็ก กลับต้องโดนจับมานั่งสอบซะเอง เพื่ออะไร 
 
   เข้าใจผิด เบี่ยงเบนประเด็นกันไปใหญ่  กว่าครูทุกท่านจะเป็นครูได้ ต้องจบปริญญาตรี ต้องศึกษาวิชาชีพครู นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า
 
  เมื่อมาเป็นครูจริงๆแล้ว จะสอนเด็กให้มีความรู้ตามที่ตั้งประสงค์ไว้ได้หรือไม่
 
                  ครูที่เก่งจริง คือครูที่สอนให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาวิชา และเด็กทำสอบได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน
 
                  ไม่ใช่ว่าครูต้องมาสอบผ่านวิชาอะไรพวกนั้นว๊อย (โอ้พระเจ้า)
 
แล้วพอมีอิแบบนี้ขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น มันก็เท่ากับเอาครูไปประจาน ครูหลายคนเป็นคนเก่งสอนดีเด็กๆก็รัก  แต่สอบตกคอมฯ ตกอังกฤษ กลายเป็นว่าครูคนนั้นไม่ได้คุณภาพ
 
เพราะการทดสอบ(เฮงซวย)อะไรก็ไม่รู้ สื่อก็เอาไปตีข่าวกันใหญ่ ว่าครูไทยมันแย่ไม่ผ่านประเมิน การเชื่อถือนับถือในตัวครูก็ตกต่ำลง ผู้ปกครองก็เชิดหน้าใส่ครู
 
หาว่าลูกตัวเรียนแย่เพราะครู (ก็จะให้ไม่แย่ได้ยังไง เอ็ดมันก็ไปฟ้องแม่ ตีมันก็เอาแม่มาฟ้องผอ. ลูกเทวดาชัดๆ) 
 
               แล้วอยากจะบอกไว้นะครับ ท่านผู้ปกครองที่คิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู แล้วจะ Home School สอนลูกท่านเองที่บ้าน อันนี้ ครูทั้งหลาย ยินดีมากๆเลยครับ
 
เพราะครูที่แท้จริงคนแรกของลูก ก็คือพ่อแม่นั่นเองครับ ลูกๆของท่านจะรู้สึกอบอุ่นเมื่อท่านได้ถ่ายทอดความรู้ให้เขาโดยตรง ถือเป็นก้าวกระโดดของการศึกษาไทย
 
เลยทีเดียว เรียนที่บ้านแล้วถึงเวลามาสอบเทียบเพื่อรับใบประกาศนียบัตร ปัญหาครูขาดแคลนก็จะหมดไป ปัญหาเด็กขาดความอบอุ่นก็จะหมดไปอีก แต่ถามหน่อยเถิด
 
มันจะดำเนินการได้ทุกครัวเรือนเลยหรือ แล้วถ้าบ้านไหนพ่อแม่ขายยาบ้า ติดการพนัน เขาจะสอนอะไรให้ลูก คุณจะ Home School ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสังคมอุดมคติ
 
ซึ่งมันไม่มีจริง การพาลูกมาโรงเรียน ไม่ใช่แค่มาเรียนอย่างเดียว แต่เพื่อปรับตัวให้อยู่ในสังคม เคารพในกฏระเบียบของสังคมส่วนใหญ่ สอนให้รู้จักมารยาท
 
การอยู่ร่วมกัน และอื่นๆอีกมากมาย การที่ผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง เห็นว่า ครู แย่ ไม่น่าเชื่อถือ โรงเรียนไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเองและลูกได้
 
จนอยากจะสอนเองนั้น ก็อยากให้ท่านได้ลองดูเลยว่า การสอนลูกของท่านแค่ คนสองคน มันจะไปยากกว่าการสอนลูกใครก็ไม่รู้ทั้งชั้นเรียนเป็น สิบๆคนได้อย่างไร
 
ถึงจุดนั้นต่อให้ครูคนนั้นจะเทพจนทำข้อสอบวัดมาตรฐานครูได้เต็มทุกวิชา แต่ไม่รู้วิธีการถ่ายทอดไปสู่เด็ก บกพร่องในการกระตุ้นเด็กให้อยากเรียรู้ เด็กก็ไม่ได้อะไร
 
เลยเช่นกัน
 
แต่ก็นั่นแหละนะ เห็นโควทด้านบนนั่นแล้ว ทำให้ผมรู้เลยว่า การศึกษาไทยมันเดินมาผิดทางจริงๆ
 
                   

 
ผมว่าประเด็นที่เกิดคือ...
 
ครูจำเป็นจะต้อง มีความรู้เพียงพอที่จะ สอนนักเรียน ในเรื่องนั้นๆ หรือไม่...      ท่านเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะ "ครูที่เก่งจริง คือครูที่สอนให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาวิชา และเด็กทำสอบได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน"
แต่ผมกลับเห็นว่า...  ถ้า "ครูเองถ้าไม่ผ่านการ ประเมิน แล้วจะสอนให้เด็กผ่านการประเมินได้อย่างไร"...   
 
ตัวอย่างของท่าน เป็นตัวอย่างที่ บิดเบี้ยว...
 
ที่ว่า พระสอน สอนคน จบ doctor  ....  ถามว่า สอนอะไรครับ... สอนอ่านเขียน ความรู้ ระดับพื้นฐาน หรือ สอน differential equation..
ถามว่า คนที่จะจบ doctor มี สถาบันไหนที่ รับรอง ปริญญานี้ โดยให้ คนที่จบต่ำกว่าเป็น adviser ได้ครับ...  
 
ครูของเรา ตก วิชาที่สอน นะครับ...  ไม่ใช่ ครูเลข ตก อังกฤษ...  ครูอังกฤษ ตก physic...  กรุณาอ่านให้ดีด้วย...  
ผู้ปกครอง ถ้าเลือกได้ จะส่งลูก ม4 ความรู้ปานกลาง (ถ้าเก่งเรียนกับใครไม่ต่าง..)  เรียนเลข กับใคร ระหว่าง ครูที่ตกเลข ม4
แต่ได้รางวัลครูรักเด็ก 10 ปีซ้อน กับ ครูที่ไม่ตกเลข.ม4 
แต่ในระบบ... เราไม่มีทางเลือก เราหวังว่า ลูกเราจะเจอคนไม่ตก...      โรงเรียนดังๆ ทำให้ความน่าจะเป็นนี้ มากขึ้น.. 
 
ถูกครับ การจะเป็นครูมันก็ต้องจบ วิชาชีพมา..  มันก็ต้อง เคยฝ่านมาก่อน...    ไม่เถียงครับว่า ครูทุกคนเคยมีความรู้มาก่อน...
แต่ ท่านว่า อาการหนักไหมครับ ถ้า ครูที่ สอนเลขมาตลอด กลับ ไม่ผ่านการทดสอบเอง...    
แล้วที่สอนไปเด็กจะรู้เรื่องหรือ...      
 
 
ครูอาจแก้ทำโจทย์ยากๆไม่ได้  ในขณะที่เด็กบางคนทำได้.. ไม่แปลกครับ...   เพราะ..
ครูไม่จำเป้นต้องเก่งกว่าเด็กครับ   ...  ผมเห็นเด็กมัธยมเก่งกว่าครูเยอะแยะ...
แต่  
อย่างน้อยๆ ครูต้อง สอบผ่านในวิชาที่สอน...    ในปัจจุบัน..
 
การสอบไม่ผ่านเอง...   จะไปสอนใครได้...    
นี่พูดถึงการศึกษาขั้นมัธยม ม1 - ม6  นะครับ...    
:D

 
เอาอย่างนี้เลย ถามง่ายๆ
 
อย่างที่คุณเอามาแปะไว้ การทดสอบมาตรฐานครู ผลที่ได้แสดงให้เห็นถึงอะไรครับ อย่าเพิ่งตอบ ถ้ายังมองแค่ด้านเดียว
 
ผลที่ได้คือ ครูสอบตกหมดเลย ไม่ผ่านสักอย่าง อ๊ะๆ โทษครูไทยได้หรือยังครับ ยังก่อน ลองเปรียบเทียบกับกรณีนี้
 
 
ครูคนหนึ่ง สอนนักเรียนทั้งห้อง แต่ผลสอบของนักเรียนในห้องนั้น ตกกันหมดเลย มันเกิดอะไรขึ้น
 
คุณจะโทษใคร จะโทษนักเรียนที่งี่เง่า หรือจะโทษครูที่สอนอะไรก็ไม่รู้ หรือจะโทษเครื่องมือวัดผลที่ไม่ตรงกับเนื้อหาที่สอน
 
 
ในความเป็นจริง ครูเป็นผู้สอน และสร้างเครื่องมือวัดผลนักเรียน ถ้านักเรียนทำไม่ได้กันเลย ความผิดพลาดเกิดที่ครูคนนั้นแล้ว ว่าสอนอะไรไป เด็กรับได้หรือไม่
 
หรือเอาข้อสอบอะไรมาสอบเด็ก
 
มันก็เช่นเดียวกับการสอบประเมินผลครู ถ้าครูทำไม่ได้กันเลย อย่าเพิ่งโทษครู ต้องดูก่อนว่า คุณเอาอะไรมาประเมินเขา
 
เหมือนกับข้อสอบ Onet ที่โดนด่ากันโครมๆ นั่นแหละ ว่าเอาอะไรมาออกข้อสอบ สุดท้ายใครโดน ถ้าไม่ใช่คนออกข้อสอบ
 
แถมต้องดูด้วยว่า ครูระดับมัธยมที่เข้ารับการทดสอบนั้น สอนในระดับใด แค่ความรู้ระดับ ม.1 กับ ม.3 มันก็ต่างกันมากแล้ว ถ้าจับครู ม.1 ไปสอบด้วยข้อสอบ
 
สำหรับครู ม.6 มันก็จบเห่กัน
 
 
และถ้า คุณออกมาตั้งธงว่า อย่างน้อยๆ ครูต้องสอบผ่านในวิชาที่สอนในปัจจุบัน
 
ผมก็อยากจะบอกว่า ไม่มีปัญหา ศักยภาพในการสอนของครูแต่ละท่านในวิชาที่สอนนั้น
 
ท่านมีความชำนาญในระดับหนึ่งอยู่แล้ว คนที่สอนดิฟอินทิเกรต ถ้าทำเองไม่ได้ก็คงไปสอนใครไม่ได้
 
แต่มีข้อแม้ว่า การประเมินต้องเป็นธรรมและละเอียดรอบคอบสำหรับครู
 
ไม่ใช่เอาอะไรไม่รู้มาให้ทำ พอทำไม่ได้ ก็โทษว่าครูไม่มีศักยภาพ
 
 
 
แถมท้าย คุณว่าตัวอย่างของผมบิดเบี้ยว โอว มายก้อด ถ้าเช่นนั้น พวกผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในปัจจุบัน เขาจบปริญญาโท จบด้อกเตอร์ เขาเรียนได้ 4.00 กันได้ยังไง
 
ในเมื่อเขาอยู่ในระบบการศึกษา ที่ครูสอบไม่ผ่านการประเมินมาโดยตลอด
 
ข้อสอบที่ใช้วัดครู เป็นข้อสอบแบบไหนหรอครับ

เช่น ครูสอนเลข ก็เป็นข้อสอบเลขซะเป็นส่วนใหญ่หรือปล่าว

#42 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 14:35

 
ข้อสอบที่ใช้วัดครู เป็นข้อสอบแบบไหนหรอครับ

เช่น ครูสอนเลข ก็เป็นข้อสอบเลขซะเป็นส่วนใหญ่หรือปล่าว

 

นั่นสิ ข้อสอบวัดครูที่คุณเฮ็นนำผลมาลงตามลิงก์  http://www.ungkrit.c...ail.php?talk=19

มันเป็นข้อสอบแบบไหนกัน ทำไมครูตกกันระนาวอย่างนั้น  ?

 

เคยดูข้อสอบ NT เลข ป.6 ชุดหนึ่งมีข้อง่ายเช่น จงเลือกการูปทีนักเรียนเห็นว่าเป็นวงกลม

ก็ขำๆมาถามคุณพ่อว่าอะไรจะง่ายขนาดนั้น คุณพ่อจบ Measurement มาก็เล่าให้ฟังว่า

 

เพราะมันเป็นข้อสอบกลางใช้วัดนักเรียนทั้งประเทศมันจึงต้องมีข้อกาได้ง่ายปนไว้ด้วยจำนวนหนึ่ง

เราจะเอาความรู้ของคนเมืองวัดถ่ายเดียวไม่ได้ ไม่งั้นจะเกิดการลำเอียง

ออกแต่คำถามยากๆ  เด็กตกมากหาคนทำไม่ได้ จัดเป็นข้อสอบที่ไม่มีอำนาจจำแนก

แค่วัดอัตตาของครูผู้ออกข้อสอบแค่นั้น หึหึ


 
 

 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#43 hentai

hentai

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,046 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 14:47

 

 

มันไม่ใช่วิธีการ หรือ อะไร.. มันเป็น ตัวครู...  ที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้...  

 

 

อัตราการสอบตกของครู ที่ทำการทดสอบในกลุ่มวิชาที่พวกเขาสอนคือ 88% สำหรับวิชาคอมพิวเตอร์ 84% สำหรับวิชาการคำนวนและคณิตศาสตร์ 86% สำหรับวิชาชีววิทยา 71% สำหรับวิชาฟิสิกส์ และเกือบกว่าอีก 95% ของผู้อำนวยการโรงเรียน ในระดับมัธยมศึกษาไม่สามารถทำคะแนนผ่านเกณฑ์ ในวิชาภาษาอังกฤษ และวิชาด้านเทคโนโลยี ผลของการสอบที่แย่ได้จุดประกาย การวิพากษ์วิจารณ์ มาตราฐานระบบการศึกษาของประเทศไทย

 

 

http://www.ungkrit.c...ail.php?talk=19

 

 

นี่คือเหตุผล ของการ Home school สำหรับพ่อแม่ที่มี ฐานะและคิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู... 

:D

 

เจ๋งเลยว่ะ เฮน ที่เปิดประเด็นด้าน ครู

 

สมัยที่ผมเรียน ครู ของผมคนหนึ่ง ท่านเป็นด้อกเตอร์บ้านนอก แต่ทำตัวติดดิน ท่านเป็นที่รักของทุกคน ได้กล่าวไว้ว่า

 

"ครูที่ดี ต้องทำให้ได้ 3 ข้อ คือ รอบรู้ สอนดี มีคุณธรรม"

 

นักเรียนคนนึงถามท่านว่า ทำไมครูถึงได้มีศักดิ์ศรีด้อยกว่าวิศวะ ท่านตอบว่า

 

"ครุศาสตร์สร้างคน คนสร้างชาติ  วิศวะสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมพัฒนาชาติ"

 

ท่านเคยเล่าเรื่องราวชีวิตสมัยเด็กๆให้ฟัง

 

ท่านเป็นเด็กวัด เรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้เรียนหนังสือ แต่สั่งสอนท่านให้รู้หนังสือได้ จนสอบเทียบ ป7 และมัธยม สุดท้ายท่านสำเร็จด้อกเตอร์

 

ท่านบอกว่า ที่ท่านจบการศึกษาขั้นสูงสุดมาได้ ไม่ใช่เพราะหลวงพ่อท่านเก่งวิชาฟิสิกส์ ชีวะ แคลคูลัส อังกฤษ แต่เพราะการเอาใจใส่ไม่ทอดทิ้ง การช่วยเหลือผลักดัน ทำให้ท่านมีวันนี้

 

 

       ที่ผมว่ามานั้นคืออะไร สรุปให้ฟังง่ายๆว่า "ครู" ต้องรอบรู้ รู้ให้กว้าง ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ลึก เพราะครูต้องเป็นคนวางพื้นฐานให้มั่นคง ผู้เรียนจะเป็นคนต่อยอดขึ้นไปเอง

 

เช่นหลวงพ่อที่วางรากฐานให้เด็กวัดคนหนึ่งศึกษาจนจบด้อกเตอร์ ถามว่าด้อกเตอร์คนนั้นมีความรู้มากกว่าหลวงพ่อไหม มี แต่ถ้าไม่มีหลวงพ่อก็ไม่มีเขาคนนี้

 

   ประเด็นต่อไป คือการจับครูมาสอบ แล้วเอาผลมาวิพากษ์ เพื่อโยนความผิดไปให้ครู

 

    ก็คงต้องถามกันว่า  บ้ากันไปใหญ่แล้วหรือ ครูที่มีหน้าที่สอบเด็ก วัดผลเด็ก กลับต้องโดนจับมานั่งสอบซะเอง เพื่ออะไร 

 

   เข้าใจผิด เบี่ยงเบนประเด็นกันไปใหญ่  กว่าครูทุกท่านจะเป็นครูได้ ต้องจบปริญญาตรี ต้องศึกษาวิชาชีพครู นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า

 

  เมื่อมาเป็นครูจริงๆแล้ว จะสอนเด็กให้มีความรู้ตามที่ตั้งประสงค์ไว้ได้หรือไม่

 

                  ครูที่เก่งจริง คือครูที่สอนให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาวิชา และเด็กทำสอบได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน

 

                  ไม่ใช่ว่าครูต้องมาสอบผ่านวิชาอะไรพวกนั้นว๊อย (โอ้พระเจ้า)

 

แล้วพอมีอิแบบนี้ขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น มันก็เท่ากับเอาครูไปประจาน ครูหลายคนเป็นคนเก่งสอนดีเด็กๆก็รัก  แต่สอบตกคอมฯ ตกอังกฤษ กลายเป็นว่าครูคนนั้นไม่ได้คุณภาพ

 

เพราะการทดสอบ(เฮงซวย)อะไรก็ไม่รู้ สื่อก็เอาไปตีข่าวกันใหญ่ ว่าครูไทยมันแย่ไม่ผ่านประเมิน การเชื่อถือนับถือในตัวครูก็ตกต่ำลง ผู้ปกครองก็เชิดหน้าใส่ครู

 

หาว่าลูกตัวเรียนแย่เพราะครู (ก็จะให้ไม่แย่ได้ยังไง เอ็ดมันก็ไปฟ้องแม่ ตีมันก็เอาแม่มาฟ้องผอ. ลูกเทวดาชัดๆ) 

 

               แล้วอยากจะบอกไว้นะครับ ท่านผู้ปกครองที่คิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู แล้วจะ Home School สอนลูกท่านเองที่บ้าน อันนี้ ครูทั้งหลาย ยินดีมากๆเลยครับ

 

เพราะครูที่แท้จริงคนแรกของลูก ก็คือพ่อแม่นั่นเองครับ ลูกๆของท่านจะรู้สึกอบอุ่นเมื่อท่านได้ถ่ายทอดความรู้ให้เขาโดยตรง ถือเป็นก้าวกระโดดของการศึกษาไทย

 

เลยทีเดียว เรียนที่บ้านแล้วถึงเวลามาสอบเทียบเพื่อรับใบประกาศนียบัตร ปัญหาครูขาดแคลนก็จะหมดไป ปัญหาเด็กขาดความอบอุ่นก็จะหมดไปอีก แต่ถามหน่อยเถิด

 

มันจะดำเนินการได้ทุกครัวเรือนเลยหรือ แล้วถ้าบ้านไหนพ่อแม่ขายยาบ้า ติดการพนัน เขาจะสอนอะไรให้ลูก คุณจะ Home School ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสังคมอุดมคติ

 

ซึ่งมันไม่มีจริง การพาลูกมาโรงเรียน ไม่ใช่แค่มาเรียนอย่างเดียว แต่เพื่อปรับตัวให้อยู่ในสังคม เคารพในกฏระเบียบของสังคมส่วนใหญ่ สอนให้รู้จักมารยาท

 

การอยู่ร่วมกัน และอื่นๆอีกมากมาย การที่ผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง เห็นว่า ครู แย่ ไม่น่าเชื่อถือ โรงเรียนไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเองและลูกได้

 

จนอยากจะสอนเองนั้น ก็อยากให้ท่านได้ลองดูเลยว่า การสอนลูกของท่านแค่ คนสองคน มันจะไปยากกว่าการสอนลูกใครก็ไม่รู้ทั้งชั้นเรียนเป็น สิบๆคนได้อย่างไร

 

ถึงจุดนั้นต่อให้ครูคนนั้นจะเทพจนทำข้อสอบวัดมาตรฐานครูได้เต็มทุกวิชา แต่ไม่รู้วิธีการถ่ายทอดไปสู่เด็ก บกพร่องในการกระตุ้นเด็กให้อยากเรียรู้ เด็กก็ไม่ได้อะไร

 

เลยเช่นกัน

 

แต่ก็นั่นแหละนะ เห็นโควทด้านบนนั่นแล้ว ทำให้ผมรู้เลยว่า การศึกษาไทยมันเดินมาผิดทางจริงๆ

 

                   

 

ผมว่าประเด็นที่เกิดคือ...

 

ครูจำเป็นจะต้อง มีความรู้เพียงพอที่จะ สอนนักเรียน ในเรื่องนั้นๆ หรือไม่...      ท่านเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะ "ครูที่เก่งจริง คือครูที่สอนให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาวิชา และเด็กทำสอบได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน"

แต่ผมกลับเห็นว่า...  ถ้า "ครูเองถ้าไม่ผ่านการ ประเมิน แล้วจะสอนให้เด็กผ่านการประเมินได้อย่างไร"...   

 

ตัวอย่างของท่าน เป็นตัวอย่างที่ บิดเบี้ยว...

 

ที่ว่า พระสอน สอนคน จบ doctor  ....  ถามว่า สอนอะไรครับ... สอนอ่านเขียน ความรู้ ระดับพื้นฐาน หรือ สอน differential equation..

ถามว่า คนที่จะจบ doctor มี สถาบันไหนที่ รับรอง ปริญญานี้ โดยให้ คนที่จบต่ำกว่าเป็น adviser ได้ครับ...  

 

ครูของเรา ตก วิชาที่สอน นะครับ...  ไม่ใช่ ครูเลข ตก อังกฤษ...  ครูอังกฤษ ตก physic...  กรุณาอ่านให้ดีด้วย...  

ผู้ปกครอง ถ้าเลือกได้ จะส่งลูก ม4 ความรู้ปานกลาง (ถ้าเก่งเรียนกับใครไม่ต่าง..)  เรียนเลข กับใคร ระหว่าง ครูที่ตกเลข ม4

แต่ได้รางวัลครูรักเด็ก 10 ปีซ้อน กับ ครูที่ไม่ตกเลข.ม4 

แต่ในระบบ... เราไม่มีทางเลือก เราหวังว่า ลูกเราจะเจอคนไม่ตก...      โรงเรียนดังๆ ทำให้ความน่าจะเป็นนี้ มากขึ้น.. 

 

ถูกครับ การจะเป็นครูมันก็ต้องจบ วิชาชีพมา..  มันก็ต้อง เคยฝ่านมาก่อน...    ไม่เถียงครับว่า ครูทุกคนเคยมีความรู้มาก่อน...

แต่ ท่านว่า อาการหนักไหมครับ ถ้า ครูที่ สอนเลขมาตลอด กลับ ไม่ผ่านการทดสอบเอง...    

แล้วที่สอนไปเด็กจะรู้เรื่องหรือ...      

 

 

ครูอาจแก้ทำโจทย์ยากๆไม่ได้  ในขณะที่เด็กบางคนทำได้.. ไม่แปลกครับ...   เพราะ..

ครูไม่จำเป้นต้องเก่งกว่าเด็กครับ   ...  ผมเห็นเด็กมัธยมเก่งกว่าครูเยอะแยะ...

แต่  

อย่างน้อยๆ ครูต้อง สอบผ่านในวิชาที่สอน...    ในปัจจุบัน..

 

การสอบไม่ผ่านเอง...   จะไปสอนใครได้...    

นี่พูดถึงการศึกษาขั้นมัธยม ม1 - ม6  นะครับ...    

:D

 

เอาอย่างนี้เลย ถามง่ายๆ

 

อย่างที่คุณเอามาแปะไว้ การทดสอบมาตรฐานครู ผลที่ได้แสดงให้เห็นถึงอะไรครับ อย่าเพิ่งตอบ ถ้ายังมองแค่ด้านเดียว

 

ผลที่ได้คือ ครูสอบตกหมดเลย ไม่ผ่านสักอย่าง อ๊ะๆ โทษครูไทยได้หรือยังครับ ยังก่อน ลองเปรียบเทียบกับกรณีนี้

 

 

ครูคนหนึ่ง สอนนักเรียนทั้งห้อง แต่ผลสอบของนักเรียนในห้องนั้น ตกกันหมดเลย มันเกิดอะไรขึ้น

 

คุณจะโทษใคร จะโทษนักเรียนที่งี่เง่า หรือจะโทษครูที่สอนอะไรก็ไม่รู้ หรือจะโทษเครื่องมือวัดผลที่ไม่ตรงกับเนื้อหาที่สอน

 

 

ในความเป็นจริง ครูเป็นผู้สอน และสร้างเครื่องมือวัดผลนักเรียน ถ้านักเรียนทำไม่ได้กันเลย ความผิดพลาดเกิดที่ครูคนนั้นแล้ว ว่าสอนอะไรไป เด็กรับได้หรือไม่

 

หรือเอาข้อสอบอะไรมาสอบเด็ก

 

มันก็เช่นเดียวกับการสอบประเมินผลครู ถ้าครูทำไม่ได้กันเลย อย่าเพิ่งโทษครู ต้องดูก่อนว่า คุณเอาอะไรมาประเมินเขา

 

เหมือนกับข้อสอบ Onet ที่โดนด่ากันโครมๆ นั่นแหละ ว่าเอาอะไรมาออกข้อสอบ สุดท้ายใครโดน ถ้าไม่ใช่คนออกข้อสอบ

 

แถมต้องดูด้วยว่า ครูระดับมัธยมที่เข้ารับการทดสอบนั้น สอนในระดับใด แค่ความรู้ระดับ ม.1 กับ ม.3 มันก็ต่างกันมากแล้ว ถ้าจับครู ม.1 ไปสอบด้วยข้อสอบ

 

สำหรับครู ม.6 มันก็จบเห่กัน

 

 

และถ้า คุณออกมาตั้งธงว่า อย่างน้อยๆ ครูต้องสอบผ่านในวิชาที่สอนในปัจจุบัน

 

ผมก็อยากจะบอกว่า ไม่มีปัญหา ศักยภาพในการสอนของครูแต่ละท่านในวิชาที่สอนนั้น

 

ท่านมีความชำนาญในระดับหนึ่งอยู่แล้ว คนที่สอนดิฟอินทิเกรต ถ้าทำเองไม่ได้ก็คงไปสอนใครไม่ได้

 

แต่มีข้อแม้ว่า การประเมินต้องเป็นธรรมและละเอียดรอบคอบสำหรับครู

 

ไม่ใช่เอาอะไรไม่รู้มาให้ทำ พอทำไม่ได้ ก็โทษว่าครูไม่มีศักยภาพ

 

 

 

แถมท้าย คุณว่าตัวอย่างของผมบิดเบี้ยว โอว มายก้อด ถ้าเช่นนั้น พวกผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในปัจจุบัน เขาจบปริญญาโท จบด้อกเตอร์ เขาเรียนได้ 4.00 กันได้ยังไง

 

ในเมื่อเขาอยู่ในระบบการศึกษา ที่ครูสอบไม่ผ่านการประเมินมาโดยตลอด

 

ผมว่า ท่านดูนี่ดีกว่า... 

http://www.manager.c...D=9530000078570

 

แล้วคิดเองว่า เค้าเอาข้อสอบเลข ม6 ให้ครู ม1 ทำหรือป่าว...    

 

ย้ำชัดๆ... เค้าเอาความรู้ที่สอน มาทดสอบ เพราะ อยากรู้ว่า ครูรู้เนื้อหาที่จะสอนหรือไม่..

ไม่ใช่ เอาอะไรไม่รู้มาสอบ...      โทษนะครับ  มีครูทำได้ 80% ก็มี...     แต่ที่มีปัญหาเพราะ ส่วนใหญ่มัน ตก..

 

 

จริงครับ มันเป็นไปได้ว่า...  ข้อสอบอาจจะอยากเกินไป...    เพราะผมก็ไม่เห็นข้อสอบ.. ท่านก็ไม่เห็น...

เพื่อความเป็นธรรม ผมบอกได้หรือป่าวว่า  สำหรับผมข้อสอบมันง่ายไป...    แต่ครูทำไม่ได้เอง...   

มันก็ไปได้ทั้งคู่...      ถ้าจะแย้งว่า ข้อสอบไม่ดี...   ผมว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าการพูดลอยๆ... 

การจิ้นแบบนี้มันไม่สร้างสรร...  

 

ข้อสอบมาจากกระทรวง...    รัฐบาลที่แล้วทำ..    จะยากจะง่าย...  คนทำเค้าก็ต้องทำมาดีแล้ว...  ไม่งั้นจะทำมา

ประจานตัวเองทำไม...  ถ้ามันยาก ป่านนี้ ครูออกมาดราม่าแล้วว่ามันยาก..  

หรือ จะสงสัยไปว่า ทำมาเพื่อของบ ไทยเข้มแข็ง..... พันกว่าล้าน...    

 

"คุณชินวรณ์ บอกว่า กระทรวงศึกษาฯ ได้เตรียมงบพัฒนาครูทั้งระบบ ไว้ในโครงการไทยเข้มแข็งแล้ว 1,440 ล้านบาท และผลวัดความรู้ครูที่ออกมา ทำให้ต้องให้ความสำคัญในการสร้างครูผู้สอนวิชาหลักระดับประถม และมัธยมต้นให้มีคุณสมบัติ สามารถสอนแบบบูรณาการได้หลายวิชาในครูคนเดียว"

http://www.bangkokbi...่านได้หรือ.html

 

 

แล้ว ตรรกก็ยังบิดเบี้ยวเหมือนเดิม...    เรื่องหลวงพ่อ สอน doctor ไม่พูดแล้ว... มาเรื่อง doctor จบจากครูสอบตกได้อย่างไรซะงั้น... 

ถามหน่อยครับ...  พวกนั้น เก่งเอง หรือ ครูสอบไม่ผ่านทำให้จากไม่เก่งเป็นเก่งได้... 

ถามหน่อยครับ...  พวกนั้น ท่านคิดว่าเรียนกับครูที่ สอบผ่าน หรือ ไม่ผ่าน...  

ถามหน่อยครับ...  ท่านคิดว่า พวกนั้นเข้ามหาลัยได้จาก ความรู้ ที่ได้จากครู สอบไม่ผ่าน...  อย่าเดียวหรือ.. ต้องช่วยตัวเอง... เช่น

กวดวิชา.  แล้ว รร กวดวิชา มีครูไม่เก่งได้หรือป่าวครับ...  

      

เราไม่ควรห่วงคนเก่งครับ...    ครูไม่สอนเค้าก็เรียนเองได้...

เราควรห่วง คนที่ไม่เก่ง... เค้าต้องการครูเก่ง   เพื่อแนะนำเพื่อสอน..  

 

เราพูดกันว่า การศึกษาเราห่วย...  ถ้าใช้ตรรกท่าน...  แล้วทำไมคนจบ doctor เยอะแยะละ...   

เหอๆๆ...  

 

:D


"คนโง่มักจะชอบว่าคนอื่นว่าโง่"

"ถ้าคนเราคิดเหมือนกันหมด ก็ไม่มีเลือกตั้งซิครับ"

"ผมไม่พูด เรื่อง 112 แล้ว นะครับ กรุณาอย่าถาม (17 พค 2012)"


#44 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 14:59

ท่านมีความเห็นเกี่ยวกับ Flipped Classroom อย่างไรบ้าง  ?

50-Flip-Your-Classroom-Cover.jpg


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#45 sanskrit_shower

sanskrit_shower

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,741 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 14:59

 
ข้อสอบที่ใช้วัดครู เป็นข้อสอบแบบไหนหรอครับ

เช่น ครูสอนเลข ก็เป็นข้อสอบเลขซะเป็นส่วนใหญ่หรือปล่าว

 

นั่นสิ ข้อสอบวัดครูที่คุณเฮ็นนำผลมาลงตามลิงก์  http://www.ungkrit.c...ail.php?talk=19

มันเป็นข้อสอบแบบไหนกัน ทำไมครูตกกันระนาวอย่างนั้น  ?

 

เคยดูข้อสอบ NT เลข ป.6 ชุดหนึ่งมีข้อง่ายเช่น จงเลือกการูปทีนักเรียนเห็นว่าเป็นวงกลม

ก็ขำๆมาถามคุณพ่อว่าอะไรจะง่ายขนาดนั้น คุณพ่อจบ Measurement มาก็เล่าให้ฟังว่า

 

เพราะมันเป็นข้อสอบกลางใช้วัดนักเรียนทั้งประเทศมันจึงต้องมีข้อกาได้ง่ายปนไว้ด้วยจำนวนหนึ่ง

เราจะเอาความรู้ของคนเมืองวัดถ่ายเดียวไม่ได้ ไม่งั้นจะเกิดการลำเอียง

ออกแต่คำถามยากๆ  เด็กตกมากหาคนทำไม่ได้ จัดเป็นข้อสอบที่ไม่มีอำนาจจำแนก

แค่วัดอัตตาของครูผู้ออกข้อสอบแค่นั้น หึหึ


 
 

ผมว่าก่อนที่จะคุยต่อได้  เราต้องรู้กันก่อนว่าข้อสอบมันเป็นข้อสอบลักษณะไหน  วัดกันยังไง  ซึ่งทำไมมาประเด็นนี้ได้   ผมก็ยัง งงๆ ทั้งๆที่ จขกท พูดเรื่อง Flipped Classroom แท้ๆ



#46 hentai

hentai

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,046 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 15:02

ความผิด ตรูอีก...        ให้มันได้แบบนี้ซิ...

:D


"คนโง่มักจะชอบว่าคนอื่นว่าโง่"

"ถ้าคนเราคิดเหมือนกันหมด ก็ไม่มีเลือกตั้งซิครับ"

"ผมไม่พูด เรื่อง 112 แล้ว นะครับ กรุณาอย่าถาม (17 พค 2012)"


#47 sanskrit_shower

sanskrit_shower

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,741 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 15:16

ความผิด ตรูอีก...        ให้มันได้แบบนี้ซิ...

:D

 

ผิดเรื่องอะไรครับ



#48 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 17:10

กลับจากทะเล ..

 

Slide2.jpg

 

 

นิยามสั้นๆ ของ Flipped Classroom นั้น “รุ่งนภา นุตราวงศ์" ผู้เชี่ยวชาญของ สพฐ. ซึ่งจับเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า นำสิ่งที่เดิมเคยทำในชั้นเรียนไปทำที่บ้าน และนำสิ่งที่เคยถูกมอบหมายให้ทำที่บ้านมาทำในชั้นเรียนแทน ชั้นเรียนที่เราคุ้นเคยกันมานั้น ครูจะเป็นผู้บรรยายเนื้อหาต่างๆ ในชั้นเรียนแล้วมอบงานให้นักเรียนกลับไปทำเป็นการบ้าน แต่ Jonathan และ Aaron  สังเกตว่า เวลาที่นักเรียนต้องการพบครูจริงๆ คือ เวลาที่เขาติดขัดและต้องการความช่วยเหลือ เขาไม่ได้ต้องการครูอยู่ในชั้นเรียนเพื่อบอกเนื้อหา เพราะเขาสามารถค้นหาเนื้อหานั้นด้วยตนเองได้

 

 

เพราะฉะนั้น ถ้าครูบันทึกวิดีโอการสอนให้เด็กไปดูเป็นการบ้าน แล้วครูใช้ชั้นเรียนสำหรับชี้แนะนักเรียนให้เข้าใจแก่นความรู้ หรือชี้แนะในการที่เด็กได้รับมอบหมายจะดีกว่า ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก เว็บไซต์ต่างๆ อย่างยูทูบอัดแน่นไปด้วยความรู้ต่างๆ เด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง หมดยุคที่ต้องคอยมารอรับความรู้ในชั้นเรียนเพียงช่องทางเดียวแล้ว

 

 

เพราะฉะนั้นในห้องเรียนกลับด้านหรือ Flipped Classroom นั้นครูจะแจกสื่อให้เด็กไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่บ้าน หรืออาจให้เด็กไปดูสื่ออย่างยูทูบ เมื่อมาเข้าชั้นเรียนในวันรุ่งขึ้น นักเรียนจะซักถามข้อสงสัยต่างๆ จากนั้นก็ลงมือทำงานที่ได้รับมอบหมายเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มโดยมีครูคอยให้คำแนะนำตอบข้อสงสัย


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  


#49 hinotori

hinotori

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,899 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 18:00

 

 

 

มันไม่ใช่วิธีการ หรือ อะไร.. มันเป็น ตัวครู...  ที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้...  

 

 

อัตราการสอบตกของครู ที่ทำการทดสอบในกลุ่มวิชาที่พวกเขาสอนคือ 88% สำหรับวิชาคอมพิวเตอร์ 84% สำหรับวิชาการคำนวนและคณิตศาสตร์ 86% สำหรับวิชาชีววิทยา 71% สำหรับวิชาฟิสิกส์ และเกือบกว่าอีก 95% ของผู้อำนวยการโรงเรียน ในระดับมัธยมศึกษาไม่สามารถทำคะแนนผ่านเกณฑ์ ในวิชาภาษาอังกฤษ และวิชาด้านเทคโนโลยี ผลของการสอบที่แย่ได้จุดประกาย การวิพากษ์วิจารณ์ มาตราฐานระบบการศึกษาของประเทศไทย

 

 

http://www.ungkrit.c...ail.php?talk=19

 

 

นี่คือเหตุผล ของการ Home school สำหรับพ่อแม่ที่มี ฐานะและคิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู... 

:D

 

เจ๋งเลยว่ะ เฮน ที่เปิดประเด็นด้าน ครู

 

สมัยที่ผมเรียน ครู ของผมคนหนึ่ง ท่านเป็นด้อกเตอร์บ้านนอก แต่ทำตัวติดดิน ท่านเป็นที่รักของทุกคน ได้กล่าวไว้ว่า

 

"ครูที่ดี ต้องทำให้ได้ 3 ข้อ คือ รอบรู้ สอนดี มีคุณธรรม"

 

นักเรียนคนนึงถามท่านว่า ทำไมครูถึงได้มีศักดิ์ศรีด้อยกว่าวิศวะ ท่านตอบว่า

 

"ครุศาสตร์สร้างคน คนสร้างชาติ  วิศวะสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมพัฒนาชาติ"

 

ท่านเคยเล่าเรื่องราวชีวิตสมัยเด็กๆให้ฟัง

 

ท่านเป็นเด็กวัด เรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้เรียนหนังสือ แต่สั่งสอนท่านให้รู้หนังสือได้ จนสอบเทียบ ป7 และมัธยม สุดท้ายท่านสำเร็จด้อกเตอร์

 

ท่านบอกว่า ที่ท่านจบการศึกษาขั้นสูงสุดมาได้ ไม่ใช่เพราะหลวงพ่อท่านเก่งวิชาฟิสิกส์ ชีวะ แคลคูลัส อังกฤษ แต่เพราะการเอาใจใส่ไม่ทอดทิ้ง การช่วยเหลือผลักดัน ทำให้ท่านมีวันนี้

 

 

       ที่ผมว่ามานั้นคืออะไร สรุปให้ฟังง่ายๆว่า "ครู" ต้องรอบรู้ รู้ให้กว้าง ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ลึก เพราะครูต้องเป็นคนวางพื้นฐานให้มั่นคง ผู้เรียนจะเป็นคนต่อยอดขึ้นไปเอง

 

เช่นหลวงพ่อที่วางรากฐานให้เด็กวัดคนหนึ่งศึกษาจนจบด้อกเตอร์ ถามว่าด้อกเตอร์คนนั้นมีความรู้มากกว่าหลวงพ่อไหม มี แต่ถ้าไม่มีหลวงพ่อก็ไม่มีเขาคนนี้

 

   ประเด็นต่อไป คือการจับครูมาสอบ แล้วเอาผลมาวิพากษ์ เพื่อโยนความผิดไปให้ครู

 

    ก็คงต้องถามกันว่า  บ้ากันไปใหญ่แล้วหรือ ครูที่มีหน้าที่สอบเด็ก วัดผลเด็ก กลับต้องโดนจับมานั่งสอบซะเอง เพื่ออะไร 

 

   เข้าใจผิด เบี่ยงเบนประเด็นกันไปใหญ่  กว่าครูทุกท่านจะเป็นครูได้ ต้องจบปริญญาตรี ต้องศึกษาวิชาชีพครู นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า

 

  เมื่อมาเป็นครูจริงๆแล้ว จะสอนเด็กให้มีความรู้ตามที่ตั้งประสงค์ไว้ได้หรือไม่

 

                  ครูที่เก่งจริง คือครูที่สอนให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาวิชา และเด็กทำสอบได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน

 

                  ไม่ใช่ว่าครูต้องมาสอบผ่านวิชาอะไรพวกนั้นว๊อย (โอ้พระเจ้า)

 

แล้วพอมีอิแบบนี้ขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น มันก็เท่ากับเอาครูไปประจาน ครูหลายคนเป็นคนเก่งสอนดีเด็กๆก็รัก  แต่สอบตกคอมฯ ตกอังกฤษ กลายเป็นว่าครูคนนั้นไม่ได้คุณภาพ

 

เพราะการทดสอบ(เฮงซวย)อะไรก็ไม่รู้ สื่อก็เอาไปตีข่าวกันใหญ่ ว่าครูไทยมันแย่ไม่ผ่านประเมิน การเชื่อถือนับถือในตัวครูก็ตกต่ำลง ผู้ปกครองก็เชิดหน้าใส่ครู

 

หาว่าลูกตัวเรียนแย่เพราะครู (ก็จะให้ไม่แย่ได้ยังไง เอ็ดมันก็ไปฟ้องแม่ ตีมันก็เอาแม่มาฟ้องผอ. ลูกเทวดาชัดๆ) 

 

               แล้วอยากจะบอกไว้นะครับ ท่านผู้ปกครองที่คิดว่าตัวเองสอนได้ดีกว่าครู แล้วจะ Home School สอนลูกท่านเองที่บ้าน อันนี้ ครูทั้งหลาย ยินดีมากๆเลยครับ

 

เพราะครูที่แท้จริงคนแรกของลูก ก็คือพ่อแม่นั่นเองครับ ลูกๆของท่านจะรู้สึกอบอุ่นเมื่อท่านได้ถ่ายทอดความรู้ให้เขาโดยตรง ถือเป็นก้าวกระโดดของการศึกษาไทย

 

เลยทีเดียว เรียนที่บ้านแล้วถึงเวลามาสอบเทียบเพื่อรับใบประกาศนียบัตร ปัญหาครูขาดแคลนก็จะหมดไป ปัญหาเด็กขาดความอบอุ่นก็จะหมดไปอีก แต่ถามหน่อยเถิด

 

มันจะดำเนินการได้ทุกครัวเรือนเลยหรือ แล้วถ้าบ้านไหนพ่อแม่ขายยาบ้า ติดการพนัน เขาจะสอนอะไรให้ลูก คุณจะ Home School ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสังคมอุดมคติ

 

ซึ่งมันไม่มีจริง การพาลูกมาโรงเรียน ไม่ใช่แค่มาเรียนอย่างเดียว แต่เพื่อปรับตัวให้อยู่ในสังคม เคารพในกฏระเบียบของสังคมส่วนใหญ่ สอนให้รู้จักมารยาท

 

การอยู่ร่วมกัน และอื่นๆอีกมากมาย การที่ผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง เห็นว่า ครู แย่ ไม่น่าเชื่อถือ โรงเรียนไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเองและลูกได้

 

จนอยากจะสอนเองนั้น ก็อยากให้ท่านได้ลองดูเลยว่า การสอนลูกของท่านแค่ คนสองคน มันจะไปยากกว่าการสอนลูกใครก็ไม่รู้ทั้งชั้นเรียนเป็น สิบๆคนได้อย่างไร

 

ถึงจุดนั้นต่อให้ครูคนนั้นจะเทพจนทำข้อสอบวัดมาตรฐานครูได้เต็มทุกวิชา แต่ไม่รู้วิธีการถ่ายทอดไปสู่เด็ก บกพร่องในการกระตุ้นเด็กให้อยากเรียรู้ เด็กก็ไม่ได้อะไร

 

เลยเช่นกัน

 

แต่ก็นั่นแหละนะ เห็นโควทด้านบนนั่นแล้ว ทำให้ผมรู้เลยว่า การศึกษาไทยมันเดินมาผิดทางจริงๆ

 

                   

 

ผมว่าประเด็นที่เกิดคือ...

 

ครูจำเป็นจะต้อง มีความรู้เพียงพอที่จะ สอนนักเรียน ในเรื่องนั้นๆ หรือไม่...      ท่านเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะ "ครูที่เก่งจริง คือครูที่สอนให้เด็กเข้าใจในเนื้อหาวิชา และเด็กทำสอบได้ผ่านเกณฑ์การประเมิน"

แต่ผมกลับเห็นว่า...  ถ้า "ครูเองถ้าไม่ผ่านการ ประเมิน แล้วจะสอนให้เด็กผ่านการประเมินได้อย่างไร"...   

 

ตัวอย่างของท่าน เป็นตัวอย่างที่ บิดเบี้ยว...

 

ที่ว่า พระสอน สอนคน จบ doctor  ....  ถามว่า สอนอะไรครับ... สอนอ่านเขียน ความรู้ ระดับพื้นฐาน หรือ สอน differential equation..

ถามว่า คนที่จะจบ doctor มี สถาบันไหนที่ รับรอง ปริญญานี้ โดยให้ คนที่จบต่ำกว่าเป็น adviser ได้ครับ...  

 

ครูของเรา ตก วิชาที่สอน นะครับ...  ไม่ใช่ ครูเลข ตก อังกฤษ...  ครูอังกฤษ ตก physic...  กรุณาอ่านให้ดีด้วย...  

ผู้ปกครอง ถ้าเลือกได้ จะส่งลูก ม4 ความรู้ปานกลาง (ถ้าเก่งเรียนกับใครไม่ต่าง..)  เรียนเลข กับใคร ระหว่าง ครูที่ตกเลข ม4

แต่ได้รางวัลครูรักเด็ก 10 ปีซ้อน กับ ครูที่ไม่ตกเลข.ม4 

แต่ในระบบ... เราไม่มีทางเลือก เราหวังว่า ลูกเราจะเจอคนไม่ตก...      โรงเรียนดังๆ ทำให้ความน่าจะเป็นนี้ มากขึ้น.. 

 

ถูกครับ การจะเป็นครูมันก็ต้องจบ วิชาชีพมา..  มันก็ต้อง เคยฝ่านมาก่อน...    ไม่เถียงครับว่า ครูทุกคนเคยมีความรู้มาก่อน...

แต่ ท่านว่า อาการหนักไหมครับ ถ้า ครูที่ สอนเลขมาตลอด กลับ ไม่ผ่านการทดสอบเอง...    

แล้วที่สอนไปเด็กจะรู้เรื่องหรือ...      

 

 

ครูอาจแก้ทำโจทย์ยากๆไม่ได้  ในขณะที่เด็กบางคนทำได้.. ไม่แปลกครับ...   เพราะ..

ครูไม่จำเป้นต้องเก่งกว่าเด็กครับ   ...  ผมเห็นเด็กมัธยมเก่งกว่าครูเยอะแยะ...

แต่  

อย่างน้อยๆ ครูต้อง สอบผ่านในวิชาที่สอน...    ในปัจจุบัน..

 

การสอบไม่ผ่านเอง...   จะไปสอนใครได้...    

นี่พูดถึงการศึกษาขั้นมัธยม ม1 - ม6  นะครับ...    

:D

 

เอาอย่างนี้เลย ถามง่ายๆ

 

อย่างที่คุณเอามาแปะไว้ การทดสอบมาตรฐานครู ผลที่ได้แสดงให้เห็นถึงอะไรครับ อย่าเพิ่งตอบ ถ้ายังมองแค่ด้านเดียว

 

ผลที่ได้คือ ครูสอบตกหมดเลย ไม่ผ่านสักอย่าง อ๊ะๆ โทษครูไทยได้หรือยังครับ ยังก่อน ลองเปรียบเทียบกับกรณีนี้

 

 

ครูคนหนึ่ง สอนนักเรียนทั้งห้อง แต่ผลสอบของนักเรียนในห้องนั้น ตกกันหมดเลย มันเกิดอะไรขึ้น

 

คุณจะโทษใคร จะโทษนักเรียนที่งี่เง่า หรือจะโทษครูที่สอนอะไรก็ไม่รู้ หรือจะโทษเครื่องมือวัดผลที่ไม่ตรงกับเนื้อหาที่สอน

 

 

ในความเป็นจริง ครูเป็นผู้สอน และสร้างเครื่องมือวัดผลนักเรียน ถ้านักเรียนทำไม่ได้กันเลย ความผิดพลาดเกิดที่ครูคนนั้นแล้ว ว่าสอนอะไรไป เด็กรับได้หรือไม่

 

หรือเอาข้อสอบอะไรมาสอบเด็ก

 

มันก็เช่นเดียวกับการสอบประเมินผลครู ถ้าครูทำไม่ได้กันเลย อย่าเพิ่งโทษครู ต้องดูก่อนว่า คุณเอาอะไรมาประเมินเขา

 

เหมือนกับข้อสอบ Onet ที่โดนด่ากันโครมๆ นั่นแหละ ว่าเอาอะไรมาออกข้อสอบ สุดท้ายใครโดน ถ้าไม่ใช่คนออกข้อสอบ

 

แถมต้องดูด้วยว่า ครูระดับมัธยมที่เข้ารับการทดสอบนั้น สอนในระดับใด แค่ความรู้ระดับ ม.1 กับ ม.3 มันก็ต่างกันมากแล้ว ถ้าจับครู ม.1 ไปสอบด้วยข้อสอบ

 

สำหรับครู ม.6 มันก็จบเห่กัน

 

 

และถ้า คุณออกมาตั้งธงว่า อย่างน้อยๆ ครูต้องสอบผ่านในวิชาที่สอนในปัจจุบัน

 

ผมก็อยากจะบอกว่า ไม่มีปัญหา ศักยภาพในการสอนของครูแต่ละท่านในวิชาที่สอนนั้น

 

ท่านมีความชำนาญในระดับหนึ่งอยู่แล้ว คนที่สอนดิฟอินทิเกรต ถ้าทำเองไม่ได้ก็คงไปสอนใครไม่ได้

 

แต่มีข้อแม้ว่า การประเมินต้องเป็นธรรมและละเอียดรอบคอบสำหรับครู

 

ไม่ใช่เอาอะไรไม่รู้มาให้ทำ พอทำไม่ได้ ก็โทษว่าครูไม่มีศักยภาพ

 

 

 

แถมท้าย คุณว่าตัวอย่างของผมบิดเบี้ยว โอว มายก้อด ถ้าเช่นนั้น พวกผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในปัจจุบัน เขาจบปริญญาโท จบด้อกเตอร์ เขาเรียนได้ 4.00 กันได้ยังไง

 

ในเมื่อเขาอยู่ในระบบการศึกษา ที่ครูสอบไม่ผ่านการประเมินมาโดยตลอด

 

ผมว่า ท่านดูนี่ดีกว่า... 

http://www.manager.c...D=9530000078570

 

แล้วคิดเองว่า เค้าเอาข้อสอบเลข ม6 ให้ครู ม1 ทำหรือป่าว...    

 

ย้ำชัดๆ... เค้าเอาความรู้ที่สอน มาทดสอบ เพราะ อยากรู้ว่า ครูรู้เนื้อหาที่จะสอนหรือไม่..

ไม่ใช่ เอาอะไรไม่รู้มาสอบ...      โทษนะครับ  มีครูทำได้ 80% ก็มี...     แต่ที่มีปัญหาเพราะ ส่วนใหญ่มัน ตก..

 

 

จริงครับ มันเป็นไปได้ว่า...  ข้อสอบอาจจะอยากเกินไป...    เพราะผมก็ไม่เห็นข้อสอบ.. ท่านก็ไม่เห็น...

เพื่อความเป็นธรรม ผมบอกได้หรือป่าวว่า  สำหรับผมข้อสอบมันง่ายไป...    แต่ครูทำไม่ได้เอง...   

มันก็ไปได้ทั้งคู่...      ถ้าจะแย้งว่า ข้อสอบไม่ดี...   ผมว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าการพูดลอยๆ... 

การจิ้นแบบนี้มันไม่สร้างสรร...  

 

ข้อสอบมาจากกระทรวง...    รัฐบาลที่แล้วทำ..    จะยากจะง่าย...  คนทำเค้าก็ต้องทำมาดีแล้ว...  ไม่งั้นจะทำมา

ประจานตัวเองทำไม...  ถ้ามันยาก ป่านนี้ ครูออกมาดราม่าแล้วว่ามันยาก..  

หรือ จะสงสัยไปว่า ทำมาเพื่อของบ ไทยเข้มแข็ง..... พันกว่าล้าน...    

 

>"คุณชินวรณ์ บอกว่า กระทรวงศึกษาฯ ได้เตรียมงบพัฒนาครูทั้งระบบ ไว้ในโครงการไทยเข้มแข็งแล้ว 1,440 ล้านบาท และผลวัดความรู้ครูที่ออกมา ทำให้ต้องให้ความสำคัญในการสร้างครูผู้สอนวิชาหลักระดับประถม และมัธยมต้นให้มีคุณสมบัติ สามารถสอนแบบบูรณาการได้หลายวิชาในครูคนเดียว"

http://www.bangkokbi...่านได้หรือ.html

 

 

แล้ว ตรรกก็ยังบิดเบี้ยวเหมือนเดิม...    เรื่องหลวงพ่อ สอน doctor ไม่พูดแล้ว... มาเรื่อง doctor จบจากครูสอบตกได้อย่างไรซะงั้น... 

ถามหน่อยครับ...  พวกนั้น เก่งเอง หรือ ครูสอบไม่ผ่านทำให้จากไม่เก่งเป็นเก่งได้... 

ถามหน่อยครับ...  พวกนั้น ท่านคิดว่าเรียนกับครูที่ สอบผ่าน หรือ ไม่ผ่าน...  

ถามหน่อยครับ...  ท่านคิดว่า พวกนั้นเข้ามหาลัยได้จาก ความรู้ ที่ได้จากครู สอบไม่ผ่าน...  อย่าเดียวหรือ.. ต้องช่วยตัวเอง... เช่น

กวดวิชา.  แล้ว รร กวดวิชา มีครูไม่เก่งได้หรือป่าวครับ...  

      

เราไม่ควรห่วงคนเก่งครับ...    ครูไม่สอนเค้าก็เรียนเองได้...

เราควรห่วง คนที่ไม่เก่ง... เค้าต้องการครูเก่ง   เพื่อแนะนำเพื่อสอน..  

 

เราพูดกันว่า การศึกษาเราห่วย...  ถ้าใช้ตรรกท่าน...  แล้วทำไมคนจบ doctor เยอะแยะละ...   

เหอๆๆ...  

 

:D

 

 

เฮนไต งวดนี้ผมจะตอบสั้นๆแล้วกัน

 

ประการแรก ผมไม่ได้ปฏิเสธว่า ผมยกตัวอย่างตรรกะที่บิดเบี้ยว เพราะในโลกนี้มันไม่มีอะไรที่เป็นเส้นตรงเป๊ะอยู่แล้ว นอกจากไม้บรรทัด 

 

ประการต่อไป ข้อสอบหรืออะไรก็ตามที่ใช้วัดระดับความสามารถครู มันจะไม่สามารถวัดได้เลยว่าครูคนนั้นมีคุณภาพจริงหรือไม่

 

ต้องวัดจากผลสัมฤทธิ์ในการเรียนการสอนและความพึงพอใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ พูดง่ายๆคือ เอานักเรียนที่ครูคนนั้นสอนมาวัดนั่นแหละ

 

ประการถัดมา  เรื่องแบบทดสอบที่ ดี หรือ ไม่ดี นั้น มันมีเกณฑ์ของมันอยู่ ลองไปหาดูละกัน

 

ประการต่อไป เรื่องของคนเก่ง กับคนไม่เก่ง "ครู" ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อสอนคนเก่ง แต่ถูกสร้างมาสอนคนไม่เก่งให้พัฒนาเป็นคนเก่งได้ด้วยตัวเองในอนาคต

 

คนที่เก่งอยู่แล้ว ครูก็แทบจะไม่ต่้องไปเซ้าซี้อะไรนอกจากสนับสนุนให้ก้าวไปในทางที่ควร สอบชิงทุน ให้โควต้า อะไรก็ว่าไป

 

ประการต่อไปอีก นักเรียนที่ไม่เก่ง ต้องการครูที่เก่งใช่หรือไม่ ไม่เสมอไป แต่ต้องการครูที่มีศิลปในการถ่ายทอดความรู้ ความอดทนต่อสภาพของเด็ก ความเสียสละ 

 

ซึ่งส่วนใหญ่ครูที่เก่งๆจะไม่ทำแบบนั้น แต่เขาจะทำเพื่อตัวเอง ทำวิจัย ทำผลงานเพื่อถีบตัวเองขึ้นไปเป็นผู้บริหาร นานๆถึงจะมีครูเก่งๆที่ยอมเสียสละเพื่อเด็กจริงๆสักคนนึง

 

ประการสุดท้าย เรื่องการศึกษาเราห่วย ยังครับ ยัง ผมยังไม่ได้บอกว่าเราห่วย มันยังไม่ย่ำแย่ถึงขั้นห่วยเพราะครูหลายๆคนยัง "ขบฏ" ต่อระบอบกันอยู่ แต่ถ้าไปปล่อยไปเรื่อยๆแบบนี้ มันจะยิ่งกว่า"ห่วย" แน่นอน



#50 ขออภัยในความไม่เหมาะสม

ขออภัยในความไม่เหมาะสม

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 52 posts

ตอบ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 18:30

ขอโทษเจ้าของกระทู้ที่ทำให้เข้าใจผิด ผมเห็นด้วยเรื่อง Flipped Classroom แต่ผมอาจสื่อความหมายไม่ชัดเจนว่าบริบทของแต่ละพื้นที่มีความพร้อมไม่เหนือนกัน

ทำให้เจ้าของกระทู้เข้าใจผิด คิดว่าครูไม่จำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับระบบการศึกษาใหม่ๆ

และขออภัยคุณ hinotori และคุณ hentai ขออนุญาตออกความเห็นนะครับ ผมเข้าใจว่าคุณทั้งสองคนกำลังเถียงกัน ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน คือตามความเข้าใจของผม

นะ ผมว่าการศึกษา มีทั้งการศึกษาภาคบังคับคือระดับ ป.1- ม.3 ซึ่งในส่วนนี้ครูมีส่วนสำคัญที่ทำให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นและรักการเรียน ส่วนคุณเฮนไต มองอีก

มุมหนึ่งคือระดับ ม.ปลาย ซึ่งครูจำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่รับผิดชอบ




ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน