>>> สุรนันทน์ == ตระกูล อะไร.??
>>> อภิสิทธิ์ == ตระกูล อะไร.??
>> ทั้งสอง ขัดแย้งกันเพราะอะไร.??
.....( อยากรู้ ว่า สองคนนี้ ใครผิด...ใครถูก...?????)
ผิดถูก ไม่มีข้อมูลด้านความขัดแย้งครับ น้าฤาษี แต่แนวความคิด และพฤติกรรม ตามรายละเอียดข้างล่าง
บนเส้นทางการเมืองการทำงาน สุรนันท์ เวชชาชีวะ
สุรนันทน์เริ่มการทำงาน จากการเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน กองวางแผนส่วนรวม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและงานเอกชน ในกลุ่มบริษัทบ้านฉางและบริษัทธรรมนิติ
เริ่มต้นงานการเมือง จากการลงรับสมัครเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. 2538 และปี พ.ศ. 2539 สังกัดพรรคพลังธรรม แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง จากนั้นในปี พ.ศ. 2544 ปฏิบัติหน้าที่รองโฆษกพรรคไทยรักไทย และโฆษกพรรคไทยรักไทย ในปี พ.ศ. 2548 ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคไทยรักไทย รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แล้วจึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร[1] จนถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
เป็นหนึ่งใน 111 คนที่ถูกถอดสิทธิในการเลือกตั้ง ผันตัวเองเป็นผู้ดำเนินรายการ โดยเริ่มจาก "สุรนันทน์วันนี้" "The Commentator" (Voice TV) "คุยกันวันเสาร์" (TNN 24) เขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post และสยามรัฐ ปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2555 สุรนันทน์ยังได้ดำรงตำแหน่ง โฆษกประจำตัวของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย
บนเส้นทางการเมือง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เข้าสู่แวดวงการเมือง
อภิสิทธิ์ เริ่มเข้าสู่แวดวงการเมืองด้วยการเป็นอาสาสมัครช่วยหาเสียงให้กับพิชัย รัตตกุล ในเขตคลองเตย ช่วงปิดภาคเรียนที่กลับมาเมืองไทย ต่อมาได้เข้าช่วยงานด้านวิชาการในเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจให้กับชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น ก่อนจะลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็น ส.ส. กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2535 ขณะมีอายุได้เพียง 27 ปี ซึ่งนับว่าเป็น ส.ส. ที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น[21] และเป็น ส.ส.เพียงคนเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ภาคกลาง ท่ามกลางกระแส "มหาจำลองฟีเวอร์" กับการเป็นนักการเมือง "หน้าใหม่" ที่เพิ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรก
ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 อภิสิทธิ์เป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่วมปราศรัยและคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอก สุจินดา คราประยูร[21] ที่สนามหลวง และลานพระบรมรูปทรงม้า ในฐานะนักวิชาการ และตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในครั้งนั้นประกาศไม่เข้าร่วมรัฐบาลสุจินดา คราประยูร
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีผลงานทางการเมืองที่สำคัญ คือการจัดทำพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542[42] ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับแรกของไทย ที่ดำเนินการจัดทำจนสำเร็จในช่วงเวลาที่อภิสิทธิ์ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี[43] ที่กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เพื่อมอบสิทธิแก่เยาวชนไทยในการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้ทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 43 โดยอภิสิทธิ์มีบทบาทดูแลทั้งด้านนโยบาย หลักการและรายละเอียด รวมทั้งผลักดันให้ผ่านคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษา ของสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนได้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษา และได้ดูแลจนกระทั่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองและประเมินคุณภาพการศึกษาประกาศใช้
ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ สิปปนนท์ เกตุทัต อดีตกรรมการการศึกษาแห่งชาติผู้ทรงคุณวุฒิ และประธานกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เคยให้ความเห็นไว้ว่า อภิสิทธิ์เป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของ พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และการปฏิรูปการศึกษาของไทยอย่างทะลุปรุโปร่ง[21]
นอกจากนี้ อภิสิทธิ์ยังมีผลงานผลักดันกฎหมายและแนวคิดต่างๆ จำนวนมาก[44] เช่น กฎหมายข้อมูลข่าวสาร กฎหมายกระจายอำนาจแก่ท้องถิ่น กฎหมายคุ้มครองเสรีภาพสื่อมวลชน การผลักดันให้มี วิทยุชุมชนในท้องถิ่น การผลักดัน ให้มีองค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบ เช่น ปปช., ศาลปกครอง และ กกต. การเสนอมาตรการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูลการทุจริตของ หน่วยงานรัฐ หรือนักการเมือง การเสนอกฎหมายให้การฮั้วประมูลเป็นความผิดทางอาญา การเสนอกฎหมายองค์การมหาชน เพื่อให้การให้บริการของรัฐ มีความสะดวกคล่องตัว และการผลักดันแนวคิดเรื่องการสรรหาผู้บริหารระดับสูงในองค์กรภาครัฐ ด้วยระบบสัญญาจ้าง เพื่อให้สามารถสรรหาผู้บริหารระดับสูงที่มีคุณภาพ ทำงานอย่างอิสระ โดยได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม[ต้องการอ้างอิง]
ในวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวบีบีซี ที่ว่าอภิสิทธิ์ไม่เคยชนะการเลือกตั้ง ว่าผมได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรถึง 7 ครั้ง และมากครั้งกว่าพันตำรวจโททักษิณเสียอีก ผมไม่เคยปฏิเสธการเลือกตั้ง[45]
พ.ศ. 2555 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า
แต่กับข่าวนี้เห็นชัดเจนว่านายสุรนันท์ไม่เข้าใจและไร้เดียงสาสิ้นดี ที่ไม่รู้ว่าคุณสมบัติของคนที่เป็นผู้นำเบอร์หนึ่งต้องมีภูมิความรอบรู้ความสามารถสูงเพียงใดจึงจะได้รับการยอมรับจากคนในสังคมในเวทีโลก อันที่จริงต้องสำรวจตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองผิดพลาด หรือสิ่งที่ตัวเองบกพร่องแล้วแก้ไขถึงจะเป็นการแก้ไขที่ดี แต่การที่ออกมาแก้ตัวให้นายกฯหญิงจึงไม่ต่างจากคนที่ไม่ยอมรับข้อผิดพลาดที่มี แต่กับโทษคนอื่นเช่นเดียวกับเด็กชายโอ๊ดในคลิป "เรื่องนี้..ถึงครูอังคณาแน่" การขอร้องให้อย่าตั้งมาตรฐานผู้นำสูงเกินไปแต่ให้ยอมรับในตัวนายกฯแบบที่เป็น จึงเปรียบดังเป็นการลดค่าลดมาตรฐานตัวเองให้ต่ำลง
สุรนันทน์ แจงนายกฯ พูดผิดบ่อย เป็นเรื่องปกติของคน
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี
สุรนันทน์ แจง นายกฯ พูดผิดบ่อย เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ระบุอย่าหยิบเรื่องเล็ก ๆ มาวิจารณ์กัน แนะวิพากษ์เรื่องมีสาระดีกว่า
เมื่อวันที่ 10 เมษายน นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ โฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงถึงกระแสโจมตีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีที่พูดคำว่า ประธานาธิบดีมาเลเซีย แทนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน ว่า เป็นเรื่องที่ต้องกำชับฝ่ายการทำงาน เพราะใครก็ตาม รวมทั้งตน และพิธีกรที่ออกโทรทัศน์บ่อย ๆ บางครั้งก็ยังพูดผิดได้ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีก็เป็นคนคนหนึ่งเหมือนกัน ที่อาจคิดเร็วไปก็เลยพูดผิดได้เช่นกัน ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติปกติของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ก็ได้กำชับทีมงานไปว่า หากรายการเป็นเทปที่บันทึกไว้ ทีมงานก็ต้องตรวจสอบให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้มีคำพูดที่ผิดออกมา
ส่วนเรื่องที่ช่วงหลังมานี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ถูกโจมตีว่าพูดผิดบ่อย และล่าสุดก็ยังมีภาพกดโทรศัพท์ขณะร่วมพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพออกมาด้วยนั้น นายสุรนันทน์ กล่าวว่า จริง ๆ ไม่ควรนำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเป็นสาระ เพราะบางครั้งคนทำงานก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ อย่างเช่นในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ฯ วันนั้น นายกรัฐมนตรีก็พูดในสิ่งที่เป็นสาระมากมายหลายเรื่อง ซึ่งก็ควรนำสาระเหล่านั้นมาตั้งเป็นโจทย์แล้วเสนอแนะให้ความเห็นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า
นอกจากนี้ นายสุรนันทน์ ยังระบุด้วยว่า สำหรับฝ่ายไหนที่อยากวิจารณ์รัฐบาล ก็ขอให้วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องที่เป็นสาระจริง ๆ มากกว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่วิพากษ์ตามใจของตัวเอง ซึ่งรัฐบาลก็พร้อมจะรับฟัง โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงกับเรื่องการต่างประเทศที่ต้องช่วยกัน มากกว่าจะมาจับผิดกัน
ที่มาhttp://www.oknation....t.php?id=796228
Edited by kaidum, 10 May 2013 - 13:34.