ไปอ่านเจอบทความนี้เข้า แล้วให้รู้สึกเศร้า
กับอนาคตการศึกษาของเด็กไทย จริงๆ...
ที่มี รมต.ที่มีวิสัยทัศน์ เยี่ยงนี้...
เมื่อเช้า...ดูรายการทีวีเจอท่าน รมต.เสริมศักดิ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวเกี่ยวกับกรณีการจัดซื้อรถตู้โรงเรียนให้กับโรงเรียนในตำบล ประมาณว่ามอบให้แก่โรงเรียนที่เป็นศรีตำบลเพื่อให้เกิดแรงจูงใจให้นักเรียนในโรงเรียนใกล้ ๆ ที่มีขนาดเล็กจะได้อยากมาเรียนแล้วได้นั่งรถตู้ฟรี และสุดท้ายเมื่อโรงเรียนนั้นเล็กจนเด็กเรียนน้อยลง..เป้าประสงค์ในการยุบโรงเรียนขนาดเล็กอย่างที่วาดหวังแบบอัตโนมัติ
ในรายการพิธีกรดูเหมือนจะเกรงอกเกรงใจ..ไม่กล้าซอกแซกถามอะไรที่มันจะทำให้ท่าน รมต.ต้องออกการเอ๋อ...ดังนั้นฟังโดยรวมจากการอธิบายของคุณเสริมศักดิ์แล้วบอกตามตรงว่า “ผิดคาด!”
ที่บอกว่า “ผิดคาด!” ก็คือ ไม่น่าเชื่อว่า กรอบความคิดของคนระดับนี้จะคิดถึงกระบวนทัศน์ด้านการศึกษาไทยได้อย่างเห่ยๆ แบบนี้
คงไม่อยากจะไปเถียงกับท่านเรื่องที่ว่า... การจัดซื้อรถตู้โรงเรียนที่มีข้อครหาขนาดการทำเอกสารประกอบการอภิปรายซึ่งในทางรัฐธรรมนูญถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดทำร่างงบประมาณที่ต้อง ห้ามแม้กระทั่ง “ติ๊กผิด” แต่นี่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าพวกเล่นผิดกันซะหลายหน้า!
ที่เสียหน้าก็คือ...ใครจะเชื่อว่า งานระดับอภิปรายร่างงบประมาณระดับประเทศแต่ปลอยให้มีการพิมพ์ตัวเลขผิดกันเป็นหลักสองเท่า...ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าเป็นในสหรัฐอเมริกา...นอกจากทีมงานในการจัดเตรียมเอกสารจะต้องถูกระเห็จแล้ว...สส.หรือวุฒิสภาชิกที่เอาเรื่องผิดพลาดเหล่านี้มาอภิปรายคงต้องลุกขึ้นแสดงสปิริตขอเซย์กู้ดบายในตำแหน่งไปแล้ว
นี่ไม่รวมถึงประเทศหน้าบางอย่างเกาหลี..หรือญี่ปุ่นที่อาจถึงขั้นไปโดดตึกตาย...เพราะอายขายขึ้หน้าประชากับปัญญาแค่เรื่อง พิมพ์เอกสารยังย่ำแย่ขนาดนี้...ขืนมอบเงินภาษีจริง ๆ ยัดใส่มือให้ไม่พาลพวกทำหล่นเรี่ยราดเละเทะกันดอกหรือ?
วันนี้จึงอยากอยากฝากท่าน รมต. ได้เข้าใจว่า ...ขอให้เข้าใจและตีความหมายของคำว่า “รถโรงเรียน” และ ความสำคัญของ “รถโรงเรียน”ให้แตกจนเกิดปัญญาก่อน จึงจะเชื่อได้ว่ามีวิสัยทัศน์ในการนำพากระทรวงสำคัญที่จะมีหน้าที่ผลักดันสมองของชาติในยุคใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างคุ้มค่างบประมาณ
อย่างแรก.....นอกจากเข้าไป Google แล้ว Search คำว่า “อีโง่” ในหมวดภาพ ซึ่งวันนี้เชื่อว่าคนไทยมากกว่า 15 ล้านคนก็คงได้พบคำตอบกันเป็นที่แน่นอนแล้ว
สิ่งที่สองก็คือ....อยากฝากท่านให้ Search คำสองคำนี้ให้ดี จะพบสิ่งที่เป็นคำตอบที่กระทรวงศึกษาอาจได้รับรู้เกี่ยวกับกรณีรถตู้อัปยศ
คำแรก... ถ้าลอง Search ในภาษาไทยคำว่า “รถโรงเรียน” สิ่งที่จะพบก็คือ ภาพของรถคันสีเหลืองอร่ามที่สามารถรองรับนักเรียนได้หลาย ๆคน และเป็นรถที่ออกแบบมาเพื่อให้รับส่งนักเรียนได้อย่างปลอดภัย
แต่กลับกัน ถ้าลองเปลี่ยนคำใหม่เป็น Search คำว่า “รถรับส่งนักเรียน” ภาพที่ปรากฏข้างต้นคงใช้เป็นสถิติประดับสมองของเหล่า เสนาธิการประจำกระทรวงฯ และสพฐ ได้ว่า สภาพมันเป็นอย่างไร
คำที่สอง.... เมื่อลอง เปลี่ยนไป Search ภาษาอังกฤษ โดย พิมพ์คำว่า “School Bus” ผลก็คือ ภาพของรถบัสแข็งแกร่ง..สีสันเหลืองอร่ามสะดุดตา และคุ้มค่าที่จะฝากชีวิตลูกน้อยไปกับรถที่มันไม่ใช่กระป๋องที่ไม่รู้วันไหนลูกจะต้องกลายเป็นที่พักพิงสุดท้ายในโลกก่อนวัยอันควรแบบเมืองไทยชอบใช้กัน
แต่ที่น่าสนใจที่สุดและน่าละอายที่สุดก็คือ เมื่อ ลองเพิ่มคำว่า “Thailand” เข้าไปบวกกับคำว่า “School Bus” ภาพที่ปรากฏนับว่าสะท้อนให้เห็นภาพที่เวทนาของนักเรียนไทยในสายตาชาวโลกเพียงใด
ไม่น่าเชื่อว่า..ด้วยแนวคิดทางการศึกษาของไทย ที่นับวันมันจะบ้า ๆ บอ ๆ แบบที่ท่านพุทธทาสเคยพูดถึง “การศึกษาหมาหางด้วน” มาจนวันนี้ได้เลยจากสภาวะ “หางด้วน” มาจนกลายเป็น “กุดและแถมติดเรื้อนการเมือง”มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในโลกที่เค้าใช้สมองและความเป็นมนุษย์บริหารงาน...จะมองเรื่องเด็กเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และการจัดการศึกษาและกระบวนการจัดการเพื่อให้เด็กได้เติบโตอย่างชาญฉลาดนั้น ระบบการศึกษาเค้าคิดตั้งแต่เด็กเริ่มออกจากบ้านและกลับถึงบ้านเรียบร้อย!
แน่นอนว่า.... สิ่งที่จะเป็นหลักประกันของระบบการเรียนการสอนให้สามารถส่งประสิทธิผลแก่เด็กอย่างเป็นเลิศ มิใช่แค่การสอบวัดผล..ด้วยข้อสอบหรือการให้การบ้านเท่านั้น ทว่ามุมมองของนักสร้างระบบการศึกษาจะเริ่มตั้งแต่เด็กเริ่มออกจากบ้านกันทีเดียว
นโยบายการศึกษาในหลายประเทศของยุโรปให้ความสำคัญอันดับแรกคือการสร้างความปลอดภัยสูงสุดนับแต่เด็กออกจากบ้านด้วยการจัดรถโรงเรียนทีดี,ปลอดภัย,สะดวกสบาย และที่สำคัญ “ฟรี” ทั้งไปและกลับ
ในหลายประเทศ..จะมีคณะกรรมการด้านความปลอดภัยเกี่ยวการรับส่งนักเรียนโดยเฉพาะ ..ตัวอย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการรถรับส่งนักเรียนอเมริกัน (American School Bus Council) เพื่อเรื่องนี้เรื่องเดี่ยว
หน่วยงานเหล่านี้ ทำหน้าที่บริหารจัดการเรื่องรถรับส่งนักเรียน ที่ใช้หลักสำคัญที่ผู้ปกครองมีความสุขที่สุดเช่น
หลักประกันเรื่องความปลอดภัย....จากการใช้รถที่แข็งแรงและปลอดภัย
หลักเรื่องของกระบวนการตั้งแต่คัดสรรคนขับรถ, อุปกรณ์ความปลอดภัย,การตรวจสภาพรถและคนขับแบบตรวจเอาจริงและสม่ำเสมอ ฯลฯ เหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้เราเห็นว่า แม้แต่เด็กระดับไฮสคูลตัวโต ๆ ของเค้าก็ยังมีความสุขทีได้นั่งรถเหล่านี้
ในสหรัฐอเมริกา... รถนักเรียนถือเป็นรถอภิสิทธิ์(จริงๆ) เพราะเมื่อใครพบรถคันนี้ขับอยู่ด้านหน้าต้องใช้ความระมัดระวังในการขับอย่างสูงเช่นห้ามขับตามหลังใกล้เกินระยะกำหนด และเมื่อใดที่รถคันนี้จอดและป้าย STOP ถูกยื่นออกมา รถที่วิ่งตามหลังมาจะต้องจอดห้ามกระดิก...และต้องห่างด้านหลังรถนักเรียนในระยะที่ปลอดภัยกับรถนักเรียน
หลายครั้งที่รถยนต์ที่พบป้าย Stop ยื่นออกมาแล้วแค่ขยับรถไหลช้า ๆ ก็ถูกกล้องวงจรปิดที่ติดกับป้าย Stop บันทึกไว้แล้วส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพียงแค่นี้เจ้ารถยนต์คันนั้นก็ถูกใบสั่งส่งไปเรียกเก็บค่าปรับให้หายซ่าส์เรียบร้อย
ที่น่าภูมิใจก็คือ พ่อแม่ผู้ปกครองในประเทศที่มีระบบรถนักเรียน(อย่างถูกต้อง) มีความมั่นใจที่จะส่งลูกตัวเองให้ไปและกลับด้วยรถโรงเรียนอย่างพร้อมเพรียง เพราะสถิติที่ปรากฏจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางถนนอเมริกา ได้บันทึกไว้อย่างภาคภูมิใจในสมองของผู้บริหารด้านการศึกษาของเค้าเมื่อปี 2002 แบบย่อ ๆ ว่า
“มากกว่า 450,000.- คันของรถนักเรียนทีรัฐได้จัดบริการให้แก่เด็กอเมริกันทั่วประเทศ สถิติพบว่า เด็กนักเรียนอเมริกันมีความปลอดภัยมากถึง 8 เท่ากับการใช้รถของครอบครัวตัวเอง!
น่าเสียดายที่ ประเทศไทย เราดันมีผู้บริหารด้านการศึกษาที่ “รักนโยบายการศึกษา” มากกว่า “รักเด็ก”
เรามี ผอ.โรงเรียน ทีชอบยึดเอา “โรงเรียน” เป็นศูนย์กลางแทนที่จะยึดเอา “นักเรียน” เป็นศูนย์รวม เพื่อการแข่งขันกันสร้างอาคารเพื่อยกระดับกันว่า ใครใหญ่กว่า..ได้เลื่อนตำแหน่งมากกว่า โดยไม่สนใจว่า ห้องเรียนเด็กมันจะล้นเป็นปลากระป๋อง เพราะยิ่งล้นยิ่งถือเป็นการสนองตอบนโยบาย สพฐ.และเหล่านักศึกษาในกระทรวงฯ ที่ชอบรวมศูนย์มากกว่ากระจายอำนาจ และที่สำคัญ "ปริมาณ" มากเท่าใดก็เท่ากับการได้รับ "งบประมาณ" เข้ากระเป๋าโรงเรียนมากตามจำนวนพร้อมกับตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตและความก้าวหน้าในอนาคตราชการของผู้บริหารโรงเรียน
เสียดายที่ รถตู้ 1000 คันเหล่านี้ คิดยังไงก็ไม่สามารถสนองตอบความหมายของการเป็นรถรับส่งนักเรียนแบบคุ้มค่าและปลอดภัยได้ เพราะเงื่อนไขสำคัญสุดท้ายรถเหล่านี้มันจะกลายเป็นแค่ การตบรางวัลให้แก่บรรดา ผอ.โรงเรียน และคำครหาด้านการซื้อเสียงล่วงหน้าผ่านกาลเวลากับเหล่าแกนนำโรงเรียนชนบท ไว้นั่งไปประชุม,กินข้าวเที่ยง,หรือเลี่ยงพาก๊วนครูไปดูงานทัศนาศึกษา ก็เท่านั้น
และที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ.... การเสียชีวิตของ น้องเอย ในรถตู้กระป๋อง ก็จะไม่ใช่รายสุดท้าย..แต่ยังดำเนินความเศร้าให้เหล่า “เรื่องเล่าเช้านี้” ได้มีเรื่องราวทำกินต่อไป
http://www.oknation....3/06/04/entry-1
นำมาแป่ะให้อ่าน ประดับความรู้เฉยๆครับ
No comments...ดีก่า
Edited by Suraphan07, 6 June 2013 - 19:47.