“สุทธิรัตน์ มุตตามระ” หวานใจ “อดีตพระมิตซูโอะ”
พลิกแผ่นดินหาเพื่อขจัดสิ้นข้อสงสัย “หญิงปริศนา” ที่ปรากฏกายเคียงข้างอดีตพระปฏิบัติชื่อดัง มิตซูโอ คเวสโก คือพี่สาวแท้ๆ ของอดีตเลขานุการรัฐมนตรียุครัฐบาลประชาธิปัตย์ วิทเยนทร์ มุตตามระ
แอน – สุทธิรัตน์ มุตตามระ คือชื่อของเธอ
ใช่ใครอื่นไกล, หากแต่เป็นที่คุ้นชินในแวดวงสังคมชั้นสูง, “สุทธิรัตน์” ในวัย 52 ปี ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือเดอะควอลิตี้ กรุ๊ป และประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิว เมดิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้นำเทคโนโลยีศูนย์ต่อต้านความชราครบวงจรภายใต้แบรนด์ คิว เมดิคอล เซ็นเตอร์
เมื่อปี 2554 เธอ กร้าวประกาศทุ่มงบราว 800-1,000 ล้านบาท ก่อตั้งเป็นโรงพยาบาลแพทย์ต่อต้านความชรา หรือโรงพยาบาลแอนไทน์เอจจิง (Anti-Aging Hospital) เพื่อผงาดขึ้นเป็นผู้นำด้านธุรกิจความงาม มาในวันนี้ ... เธอพิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง
“สุทธิรัตน์” จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ในปี 2522 จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพียงชั่วข้ามคืน, เธอกลายมาเป็นจุดรวมของสายตานับล้านคู่ ภาพที่แสดงในเฟซบุ๊ก “Suttirat Muttamara” เรียกความสนใจปนข้อเคลือบแคลงนานัปการ ลึกเข้าไปในอัลบั้มส่วนตัวของ “สุทธิรัตน์” ปรากฏ 11 รูปคู่กับอดีต “พระมิตซูโอะ” ในอิริยาบถเปี่ยมสุข
รูปแรกของเธอและคู่ โพสต์ขึ้นประจักษ์ต่อสาธารณะ เมื่อเวลา 17.47 น. ของวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นรูปขี่ม้าในประเทศฟิลิปปินส์ โดยรูปดังกล่าวถูกโพสต์ภายหลังที่เธอเขียนข้อความ เพียง 11 นาที “ขอบคุณสำหรับผู้ที่ไม่หวังดีต่อดิฉัน ที่กล่าวหาว่าดิฉันวางยา Blackmail อาจารย์มิตซูโอะ โดยมีเจตนาทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงทำให้อาจารย์มิตซูโอะผู้ที่มีเมตตา และความรักต่อดิฉัน จะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของดิฉัน ด้วยการเปิดเผยความจริงต่อสังคมเร็วๆ นี้ ขอบคุณอีกครั้ง” คือข้อความที่เธอเขียนขึ้น ก่อนตัดสินใจโพสต์รูปคู่ใน 11 นาทีให้หลัง จากนั้น “สุทธิรัตน์” ใช้เวลาอีก 6 นาที โพสต์รูปจนครบ
สำหรับสาเหตุที่เธอตัดสินใจต้องโพสต์รูป คาดการณ์กันว่าเป็นเพราะมีกระแสข่าวว่าพระมิตซูโอะจำใจลาสิกขา เพราะถูกผู้หญิงวางยาและถ่ายคลิปข่มขู่ ซึ่งรูปคู่ที่แสดงต่อสาธารณะชนนั้นเป็นไปในลักษณะตรงกันข้าม กล่าวคือทั้งคู่ดูมีความสุข สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดในเฟซบุกส์ของ “สุทธิรัตน์” ก่อนมีการโพสต์รูปคู่ คือเรื่อง “กำไรชีวิต” โดยต้องย้อนกลับไปถึงวันที่ 11 มี.ค. และความเคลื่อนไหวก่อนหน้าต้องย้อนกลับไปถึงวันที่ 25 ก.พ.
เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจและได้ข้อคิดจากเฟซบุ๊กของ “สุทธิรัตน์” ถูกเขียนขึ้นในวันที่ 15 ก.พ. ภายหลังวันวาเลนไทน์เพียง 1 วัน ความว่า ‘ความรัก..ที่ถูกหลักวิชา ก่อนจะรักใครให้รักตัวเองก่อน รักตัวเองไม่ใช่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวคือการเติมความไม่บริสุทธิ์ให้ตัวเอง รักตัวเองจะปรารถนาให้ตัวเองมีความสุข จึงต้องสร้างเหตุจะเติมแต่ความดี รักตัวเองอย่างถูกวิชชาต้องคลายความผูกพัน หยุดนิ่งอยู่ภายใน แล้วจะเป็นสุขด้วยตัวของตัวเอง รักตัวเองได้ฉันใด เราก็จะรักเพื่อนมนุษย์ได้ฉันนั้น”
วันที่ 13 ธ.ค.2554 “สุทธิรัตน์” โพสต์ความจากภาพยนตร์เรื่อง Notting Hill (1999) ความว่า “การพบกันเป็นความบังเอิญ .. การยิ้มให้กันเป็นความตั้งใจ”
นอกจากนี้ ในเฟซบุกส์ “Suttirat Muttamara” ยังมีการโพสต์รูปเกี่ยวกับการตักบาตรทำบุญร่วมกับครอบครัวและบุตรชาย รวมทั้งรูปตัวเองนุ่งชุดขาวอีกเป็นจำนวนมาก สะท้องถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
สำหรับ “พระมิตซูโอะ” ตามกระแสข่าวได้ลาสิกขาเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีผู้ใดสามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงของการตัดสินใจครั้งนี้ และไม่มีความชัดเจนว่าท่านลาสิกขา ณ วัดใด ถัดมาอีก 2 วัน คือวันที่ 10 มิ.ย. มูลนิธิมายาโคตรมี ได้ประชุมคณะกรรมการและแถลงข่าวยืนยันการลาสิกขาจริง อย่างไรก็ตามในวันดังกล่าวพบว่า ทั้งคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิมายาโคตรมี ไม่ยินดีเปิดเผยข้อมูลถึงสาเหตุที่แท้จริงของการลาสิกขา
พระอาจารย์หนูพรม สุชาโต รองเจ้าอาวาสและรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ลงนามในแถลงการณ์เรื่องการลาสิกขาของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา และได้เผยแพร่ต่อสื่อมวลชนในเวลา 20.30 น. ความว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่างๆ ว่า พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ลาสิกขานั้น วัดสุนันทวนาราม ขอยืนยันว่าเป็นความจริง ขณะนี้ท่านเดินทางไปต่างประเทศแล้ว โดยมีจุดหมายปลายทางที่ประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิดของท่าน โดยจะยังคงทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในฐานะของฆราวาสต่อไป ทั้งนี้ในส่วนของมูลนิธิฯ และโครงการต่างๆ ที่ท่านได้ริเริ่มไว้ คณะทำงานจะยังคงดำเนินงานไปตามปกติ เนื่องจากพระอาจารย์ได้วางรากฐานไว้แข็งแรงแล้ว ขอให้พวกเราทุกคนรักเมตตาต่อกัน และดำเนินงานประหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกันดังความประสงค์ของพระอาจารย์ไว้ให้จงดี
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ไม่ได้บอกในคำแถลงการณ์ก็คือ ก่อนหน้านี้มูลนิธิมายาโคตมีได้ร่างแถลงการณ์มาแล้ว 1 ฉบับ ซึ่งมีการระบุไว้ว่าสาเหตุของการลาสิกขามาจากปัญหาด้านสุขภาพ แตกต่างกับแถลงการณ์ฉบับที่เผยแพร่ซึ่งไม่ได้ระบุสาเหตุแต่อย่างใด นอกจากนี้เจ้าหน้าที่และกรรมการมูลนิธิฯ ท่าทีประหยัดถ้อยคำและจำกัดคำถามของสื่อมวลชน โดยจะตอบเพียง 3 ประเด็นเท่านั้น คือ 1.พระอาจารย์ลาสิกขาแล้วหรือไม่ 2.สาเหตุจากอะไร 3.การดำเนินการของมูลนิธิฯ หลังจากนี้
ดารณี บุญช่วย กรรมการและเหรัญญิกมูลนิธิฯ ระบุในวันแถลงข่าวว่า พระอาจารย์ได้ลาสิกขาจริงและได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่ได้แจ้งเหตุผลและไม่มีใครทราบว่าท่านลาสิกขาที่วัดใด ทั้งนี้ ระหว่างการซักถามรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้แจ้งให้ผู้สื่อข่าวหยุดสัมภาษณ์ และเชิญให้ร่วมรับฟังคำชี้แจงจากพระอาจารย์หนูพรม แต่ไม่ให้บันทึกภาพโดยเด็ดขาด
สำหรับการชี้แจงของพระอาจารย์หนูพรม ระบุว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าพระอาจารย์มิตซูโอะจะลาสิกขา โดยเพิ่งทราบเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา
เมื่อผู้สื่อข่าวซักว่า ท่านทราบถึงการลาสิกขาได้อย่างไร พระอาจารย์หนูพรม มีท่าทีครุ่นคิดก่อนตอบว่า ทางเราก็... (นิ่งคิด 3 วินาที) ลักษณะที่ท่านเดินทางกะทันหัน ท่านก็ไปนั่น จะให้ตอบยังไงดี
ถามย้ำว่า ทำไมท่านถึงทราบว่าพระอาจารย์มิตซูโอะลาสิกขา พระอาจารย์หนูพรม ตอบว่า อันนี้ก็ ... (เงียบ) อาจารย์ถามไปทางวัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานีจึงได้คำตอบ
ผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงสาเหตุการลาสิกขาและความเป็นมา รวมถึงการติดต่อกับพระอาจารย์มิตซูโอะหลายครั้ง แต่พระอาจารย์หนูพรม ยืนยันเพียงว่า เป็นไปตามแถลงการณ์ “คนไทยกับคนต่างชาติมีมุมมองต่างกัน เป็นธรรมดาของคนไทยที่ยึดติดตัวบุคคล ส่วนท่านก็อยากเผยแพร่คำสอนของศาสนาให้เป็นสากล คำสอนของท่านจะไม่ยึดติดกับพระพุทธเจ้า เพื่อให้ศาสนาอื่นสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาได้ และบางทีการเป็นฆารวาสก็เผยแพร่ศาสนาได้มากกว่า เพราะต่างชาติก็ไม่ได้ยอมรับพระ” พระอาจารย์หนูพรม ให้เหตุผล
ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน /วิทยา ปะระมะ
http://www.posttoday...อดีตพระมิตซูโอะ