บันทึกเรื่องเล่าจากท่านผู้อาวุโส...
ก่อนอื่นต้องทำการตกลงกันก่อนนะครับว่าเนื้อหาทุกส่วนมาจากแหล่งข่าวหลายแหล่งข่าว ทั้งไทย พม่า
ว้าแดงและไทยใหญ่ จริงหรือเท็จยังไงต้องใช้วิจารณญาณ หากเนื้อหาที่นำมาลงนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคง
ก็ให้ลบกระทู้นี้ทิ้งเลยครับ
ภาค ๑
เหตุการณ์ความตรึงเครียดระหว่างไทยกับพม่านี้จริง ๆ แล้วมันซับซ้อนยิ่งกว่าเถาวัลย์พันกันเลยละครับ
เมื่อเรามาลองคลี่เถาวัลย์ออกมาทีละจุด (แต่ไม่ครบทุกจุดนะ) ก็พอจะบอกเล่าได้ดังนี้
หลังจากที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้มีนโยบายในการพัฒนาประเทศ
หลายๆ ด้านที่เสนอต่อประชาชนไว้ตอนหาเสียง เช่น ๓๐ รักษาได้ทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น และ
หนึ่งในนั้นก็คือการปราบปรามยาเสพติดให้สิ้นไป คณะรัฐมนตรีได้มีการไปประชุมที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่ง
ได้มีการนำเสนอข้อมูลการผลิต และการลำเลียงยาเสพติดจากพม่าเข้าไทย โดยตัวการใหญ่คือว้าแดง
ซึ่งมีระดับความรุนแรงอยู่ในขั้นที่น่าเป็นห่วง สิ่งหนึ่งที่สร้างความตกละลึงให้กับ นายกและผู้เข้าร่วมประชุม
ก็คือ ภาพถ่ายทางอากาศแสดงการเติบโตของเมืองยอน ซึ่งว้าแดงควบคุมอยู่ ภายในเวลาไม่กี่ปี เมืองยอน
จากหมู่บ้านเล็ก ๆ กลายเป็นเมืองขนาดใหญ่มีการจัดสร้างถนนอย่างดี โรงพยาบาล และเขื่อนสำหรับผลิต
กระแสไฟฟ้า มีการอพยพประชาชนแถบชายแดนจีนมาอยู่ที่นี่ในจำนวนหลักแสนคน โดยรายงานในที่ประชุม
ระบุว่า เงินที่ใช้ในการสร้างเมืองยอนให้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาจากการผลิตยาบ้าแล้วส่งมาขายในประเทศไทยนั่นเอง
ในช่วงนั้นมักจะมีข่าวคนร้ายเมายาบ้า ก่อคดีสะเทือนขวัญหลายคดี จนได้มีการวางแผนในการขจัดยาเสพติดให้
สิ้นไปจากประเทศไทยอบย่างเร่งด่วน แต่ปัญหามันติดอยู๋ตรงที่ว่า แหล่งผลิตไม่ได้อยู่ในประเทศไทย หากแต่อยู่
ในเขตของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในเขตของพม่า ซึ่งชนกลุ่มน้อยครอบครองอยู่ รัฐบาลไทยจึงได้ประสาน
งานผ่านกระทรวงการต่างประเทศของพม่า เพื่อขอความร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติดร่วมกัน และต่อมาได้มี
การเยือนประเทศไทยของผู้นำระดับสูงของพม่า คือ พลเอก ขิ่นต์ ยุ้น และ หลังจากนั้นไม่นาน พลเอก หม่อง เอ
ก็ได้มาเยือนประเทศไทย หลังจากการเยือนไทยของพลเอกขิ่นต์ ยุ้นมีข่าวออกมาว่าพลเอก ขิ่นต์ ยุ้น อนุญาตให้
ทางการไทยทำการปราบปรามแหล่งผลิตยาเสพติดในเขตพม่าได้
ก่อนหน้าจะมีการเยือนไทยของผู้นำพม่าทั้งสองก็ได้มีการปะทะกันระหว่างกองกำลังผาเมืองกับกองกำลังว้าแดง
ที่ขนยาเสพติดบ่อยครั้ง ว้าแดงเสียทหารและยาเสพติดถูกยึดได้เป็นจำนวนมาก สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่ม
ว้าแดง ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่แข็งแกร่งที่สุดของพม่าแม่แต่รัฐบาลทหารพท่ายังขยาดจนต้องสัญญาหยุดยิง
โดยพม่าให้ว้าแดงครอบครองพื้นที่แถบเมืองยอนและบริเวณรัฐฉาน และไกล้เคียง นัยหนึ่งเพื่อต้องการใช้ว้าแดงใน
การปราบปรามกองกำลังไทยใหญ่ของเจ้ายอดศึก ซึ่งเป็นหนามแทงใจทหารพม่ามาช้านาน แต่ไม่สามารถปราบลงได้
กองกำลังว้าแดงได้เริมกำลังเข้าประชิดชายแดนไทยอีกทั้งยังมีการยิงประสุนปืน ค. เข้ามาในเขตไทยหลายครั้ง
โดยครั้งที่สร้างความขุ่นเคืองให้กับทางการไทยเป็นอย่างยิ่งคือยิงกระสุนปืน ค. เข้ามาในพระตำหนักดอยตุง ทำให้
ทหารไทยที่ทำการอารักขาได้รับบาดเจ็บ ทางการไทยได้ทำหนังสือประท้วงไปยังพม่า แต่ได้รับคำตอบว่าทางการพม่า
ไม่สามารถรับผิดชอบต่อเหตุดังกล่าวได้ เพราะเป็นการกระทำของว้าแดงไม่ใช่ทหารพม่า หลังจากนั้นไม่นานฐานของ
ทหารว้ากลุ่มดังกล่าวถูกทหารไทยใหญ่เข้าโจมตี ทหารว้าเสียชีวิตจำนวนมาก รัฐบาลทหารพท่าทำหนังสือประท้วงมา
ยังทางการไทยกล่าวหาว่า ทหารไทยใหญ่เข้าตีฐานทหารว้าโดยได้รับการสนับสนุนการยิงปืนใหญ่จากฝั่งไทย แต่ทาง
การไทยปฏิเสธว่าเป็นการยิงตอบเตือนและตอบโต้เนื่องจากมีกระสุนมาตกในฝั่งไทย
เมื่อวันที่ ๘ ก.พ. ทางด้าน จ.เชียงราย โดยมีการสู้รบกัน อย่างหนัก ระหว่างทหารรัฐบาลพม่ากับกองกำลังกู้ชาติ
ไทยใหญ่ หรือ กลุ่ม SSA.(โดยการนำของเจ้ายอดศึก) ฝ่ายทหารรัฐบาลพม่าระดม กำลังกว่า ๕๐๐ นาย จากกองพัน
ม.๔๔๒ และ ม.๕๒๖ บุกเข้าประชิด ฐานที่มั่นของกองกำลังไทยใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณเนินปางหนุนตรงข้าม บ้านไพร
เลาจอ หมู่ ๕ และบ้านแม่หม้อ ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ห่างจากชายแดนไทยประมาณ ๒ กม. วันต่อมา
ทั้งสองฝ่าย เปิดฉากปะทะกันไม่ต่ำกว่า ๕ ครั้ง มีรายงานว่าทหารทั้ง ๒ ฝ่ายเสียชีวิต ฝ่ายละไม่ต่ำกว่า ๑ คน และได้รับ
บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
วันที่ ๑๓ ก.พ. ทหารพม่าได้นำกำลังเสริมจากเมืองตูม ๗๐๐ นาย พร้อมอาวุธหนัก เพื่อหวังโจมตีฐานที่มั่นเนินปางหนุน
ให้แตกให้ได้ ขณะ เดียวกันฝ่ายไทยใหญ่ก็มีการเสริมกำลังจากส่วนหน้าอีก ๒ กองร้อย เพื่อตอบโต้พม่า ผลจากการ
ปะทะทำให้มีลูกกระสุนปืน ค.ข้ามเข้ามาตก ยังฝั่งไทย ๕ ลูก แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายแก่ชาวบ้านที่อยู่ตามแนว
ชายแดน นอกจากนี้ที่บริเวณดอยก่อวัน ตรงข้าม ต.เทอดไทย ยังมีการ สู้รบกันระหว่างกองกำลังกู้ชาติไทยใหญ่กับ
ทหารพม่า โดยทหารพม่า ได้เคลื่อนกำลังประมาณ ๒,๐๐๐ นาย เข้าประชิดชายแดนไทยด้าน ต.เทอดไทย ซึ่งอยู่ห่าง
จากชายแดนประมาณ ๘๐๐ เมตร หลังจาก นั้นได้ทำการขุดสนามเพลาะเพื่อเตรียมรับมือกับกองกำลังไทยใหญ่ และ
ได้ติดตั้งอาวุธปืน ค. ๑๒๐ , ปืนล็อคเก็ต ๑๐๗ วางตลอด แนวเป็นจำนวนมาก สำหรับการโจมตีฐานที่มั่นของกองกำลัง
ไทย- ใหญ่ มีรายงานว่าจะต้องใช้เวลานาน ๓ วันจึงจะทำได้สำเร็จ
และเมื่อวันที่ ๒๔ ก.พ ทางด้านท่าขี้เหล็ก ทหารพม่าได้เสริม กำลังตามตะเข็บชายแดนระหว่างเมืองท่าขี้เหล็กไปจนถึง
เมืองสาด ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ อ.แม่ฟ้าหลวง โดยได้ร่วมกับทหารว้าแดง จาก เมืองตุนและเมืองกลาง เข้าประชิดชายแดน
ด้าน อ.แม่ฟ้าหลวง ทุก จุดโดยเฉพาะเนินปางหนุน ทหารพม่าได้เข้าปิดล้อม ส่งผลให้กอง กำลังไทยใหญ่ไม่สามารถ
เคลื่อนไหวได้ และนอกจากนี้พม่ายังได้ให้ ทหารว้าแดงและลูกหาบทำการขุดสนามเพลาะลึกเข้าไปในกองกำลัง
ไทยใหญ่ จนถึงบ้านนายาว ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านก่อวันและเนินปาง หนุนเพียง ๑ กม. และพยายามที่จะขุดลึกเข้าไป
โดยไม่มีการเคลื่อน ไหวตอบโต้จากทางกองกำลังไทยใหญ่ แม้ว่าทางการพม่าจะมีการ ติดตั้งปืนใหญ่ ๑๒๐ มิลลิเมตร
และปืน ค. เข้าไปยังสนามเพลาะ
และที่ฐานบาลาหลวง ซึ่งเป็นฐานของพม่าที่ถูกกองกำลังทหาร ไทยใหญ่โจมตีไปก่อนหน้านี้ ก็ได้มีการเสริมกำลัง
เช่นกัน นอกจากนี้ ที่ท่าขี้เหล็กซึ่งมองเห็นได้ชัดจากฝั่งไทย ที่บริเวณถ้ำผาจง ก็พบว่า ทหารพม่าได้เคลื่อนกำลังพล
เป็นจำนวนมาก คาดว่าจะขึ้นไปที่ ดอยกูเต็งนาโย่ง เพื่อโจมตีกองกำลังทหารไทยใหญ่ที่อยู่กระจัด กระจายในบริเวณนี้
สำหรับการเคลื่อนไหวของกำลังกู้ชาติไทยใหญ่ หรือ SSA เจ้า ยอดศึก ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่บ้านเชียวไคร้
ใกล้เนินปาง- หนุน ตรงข้ามกับ อ.แม่ฟ้าหลวง โดยมีการนำชมอาวุธจำนวนมาก ที่ยึดได้จากทหารพม่าที่บุกเข้าโจมตี
รวมทั้งมีการนำธงพม่าที่ทหาร ไทยใหญ่ยึดได้จากการตีฐานทหารพม่าแห่งหนึ่งแตกมาจัดแสดงโชว์ สื่อมวลชนและ
ยังได้กล่าวว่า สาเหตุที่ถูกพม่านำพลประชิดในครั้งนี้ เพราะไปปิดกั้นเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า
จาก ทหารพม่าและว้าแดง ซึ่งขัดต่อนโยบายของSSA.ที่ต้องการปราบ ปรามยาเสพติด
และการปะทะกันครั้งนี้ ทางSSAต้องการให้ ทั่วโลกได้รู้ถึงศักยภาพของกองกำลังไทยใหญ่ และสักวันหนึ่งคงจะได้
ประกาศเอกราชอย่างแน่นอน หลังจากนั้น เจ้ายอดศึกก็ได้เดิน ทางเข้าตรวจเยี่ยมฐานก่อวัน เพื่อดูความเคลื่อนไหว
ของทหารพม่า และสอบสวนเชลยพม่าที่ถูกจับกุมได้เมื่อวันที่ ๒๑ ก.พ. หลังจาก การสอบสวนเสร็จแล้วก็ได้ปล่อยเชลย
ทหารพม่าไป พร้อมกับมอบ เสื้อผ้าและเงินจำนวน ๓,๐๐๐ บาท เพราะกองกำลังไทยใหญ่ไม่มี นโยบายที่จะฆ่าเชลย
และทหารพม่าที่อยู่ตามฐานต่างๆ เขาก็ไม่มี ส่วนรู้เห็นด้วย
ส่วนที่ฐานบาลางน้อย ที่ทหารพม่านำกำลังเข้าเสริมก็เป็นเรื่อง ของพม่า สำหรับสาเหตุที่เข้าโจมตี
เป็นเรื่องของยุทธการทางการรบ และทราบว่าทหารพม่าเสริมกำลังเข้ามากว่า ๒,๐๐๐ นาย ฝ่าย
ไทยใหญ่ก็จะดูท่าทีไปก่อน และจะไม่เปิดฉากโจมตีก่อนเพราะจะทำ ให้กระทบกับชายแดนไทย
และยังได้เปิดเผยอีกว่านับแต่นี้ไปไทยใหญ่ จะไม่รอให้ทหารพม่าโจมตีแต่ฝ่ายเดียว แต่จะเคลื่อนทัพ
ไปสู้กับพม่าบ้าง "
เราเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถสู้กับกองทัพพม่าได้เพราะต้องการประเทศของเราคืน" และSSA มี
นโยบายการต่อต้านยาเสพติด แต่กลับไปอยู่บนเส้นทาง การค้ายาเสพติดของพม่าจึงถูกพม่าโจมตี
SSA มีหนทางในการหาเงินบำรุงกองทัพด้วยวิธีการที่ถูกต้องตาม กฎหมายได้เงินราว ๑๐๐ ล้านจ๊าต
ต่อปี โดยไม่ยุ่งเกี่ยว กับยาเสพติด และเชื่อว่ารัฐฉานไม่ใช่เป้าหมายเดียวของ พม่า แต่พม่าต้องการ
โจมตีประเทศไทยด้วย
การเข้ายึดฐานที่มั่นของพม่าที่บ้านปะลางหลวง เป็นการปฎิบัติการที่แสดงให้เห็นว่าทาง SSA มีความ
พร้อม ที่จะตอบโต้กองกำลังทหารพม่าและว้าแดง ที่เข้ารุกราน แม้ว่าปัจจุบันจะมีการนำทหารจำนวน
มากมาประชิด กอง กำลังของSSA.ที่มีน้อยกว่าทุกพื้นที่ก็ตาม การที่ทหารพม่า เข้าประชิดชายแดนไทย
ครั้งนี้ เป้าหมายใหญ่ไม่ใช่การ ปราบปรามชนกลุ่มน้อยไทยใหญ่ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ไทยใหญ่มี
กำลังอยู่ที่เนินปางหนุนประมาณ ๕๐๐ นาย เท่านั้น แต่ทหารพม่ากลับนำอาวุธยุทโธปกรณ์ และกำลังพล
กว่า ๑๒ กองพัน ซึ่งเป็นกองกำลังร่วมระหว่างพม่า กับว้า และมีการระดมยิงปืนใหญ่ จรวดอาร์พีจี ที่สนาม
บิน เมืองสาดจำนวนมาก ฉะนั้นเป้าหมายการโจมตีไทยใหญ่ จึงเป็นเป้าหมายรอง ส่วนเป้าหมายจริงคือ
การบุกรุก โจมตีประเทศไทย เจ้ายอดศึกกล่าว
แหล่งข่าวระดับสูงของกองทัพภาคที่ ๓ เปิดเผยถึง สถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-พม่าว่า
หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ ๓ ได้ส่งกำลังทหาร พร้อมอาวุธ เข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อย และ
ช่วยอพยพราษฎรไทย ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนในจุดที่มีการสู้รบออกจากพื้นที่ เนื่องจากครั้งนี้
ทหารพม่าปฎิบัติการอย่างรุนแรงและ ต่อเนื่อง เพื่อหวังปราบปรามไทยใหญ่ให้ราบคาบลงในฤดูแล้งนี้
นอกจากนี้ก็ยังมีแผนที่จะบุกโจมตีทหารกะเหรี่ยง คะยาหรือกะเหรี่ยงแดง ทางด้าน จ.แม่ฮ่องสอน และ
เคเอ็นยู ของกลุ่มนายพลโบเมียะ ที่มีฐานที่มั่นอยู่ด้านตรง ข้าม จ.ตาก ในเวลาเดียวกันด้วย ทำให้
สถานการณ์การ สู้รบระหว่างทหารพม่ากับชนกลุ่มน้อย เคเอ็นยู ไทยใหญ่ และกะเหรี่ยงคะยา หรือ
เคเอ็นพีพี จะทวีความรุนแรงขึ้น
พล.ต.สมบูรณ์เกียรติ สิทธิเดชะ ผู้บัญชาการกอง กำลังผาเมืองได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ตรวจสถานการณ์
ตลอด แนวชายแดน อ.แม่ฟ้าหลวง ถึง อ.แม่สาย โดยเฉพาะที่ เนินปางหนุน , เนินกิ่วฮุ้ง และเนินกุเต็ง
นาหย่ง ที่ทหารไทย และทหารพม่าต่างตรึงกำลังที่ชายแดนกันอยู่ ซึ่งไทยได้ปิด ด่านตลอดแนว
โดยเฉพาะที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย เนื่องจากผลกระทบจากการสู้รบ ถ้าสถานการณ์คลี่คลายไป
ในทางที่ดีขึ้น ก็จะยกเลิกการปิดด่าน และยังได้บอกอีก ว่ามีทหารของพม่าประจำการอยู่จุดละ ๔๐๐-
๕๐๐ นาย โดยเฉพาะที่เนินปางหนุนซึ่งเป็นจุดปะทะ ระหว่างทหารพม่ากับกองกำลังไทยใหญ่ มีอยู่
ประมาณ ๔๐๐ นาย และได้โจมตีฐานที่มั่นของกองกำลังกู้ชาติไทยใหญ่อย่างหนัก
วันที่ ๑๓ ก.พ. มีรายงานว่า ทางกองกำลังทหารว้าแดงหลายกอง พันได้เคลื่อนพลเข้ามาสนับสนุน
กองกำลังทหารพม่าที่ จ. ท่าขี้เหล็ก และเมืองสาด และทหารฝ่ายไทยก็ได้มีการเสริมยานยนต์หุ้มเกราะ
รถถัง และรถกู้ระเบิด เข้าไปในพื้นที่ จ.เชียงราย รวมกันกว่า ๔๐ คัน นอกจากนี้ ยังมีการสับเปลี่ยนกำลัง
ตามแนวชายแดนอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ฝ่ายพม่ารายงานว่า ได้เสริมปืนใหญ่ในพื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็กอีก ๑๔
กระบอก
แล้วได้เคลื่อนกำลังพลจากเมืองเชียงตุง และกองกำลัง ว้าแดงจากกองพลที่ ๑๗๑ เมืองใหม่ ๔๖ เข้าสู่
ตะเข็บชายแดน อ. แม่ฟ้าหลวง-อ.แม่สาย จึงทำให้ฝ่ายพม่ามีกำลังไม่น้อยกว่า ๑๐ กองพัน การเสริม
กำลังดังกล่าว ทำให้ชายฉกรรจ์ที่อยู่ในเขตชุมชน ใหม่ที่เชียงตุง ห่างจากท่าขี้เหล็กไป ๑๕๐ กม. ถูก
ทหารพม่าเกณฑ์ ไปเป็นลูกหาบในการแบกอาวุธปืนเป็นจำนวนมาก ขณะที่ชาวพม่าที่ เป็นหนุ่มในเขต
รัฐฉานต้องหลบหนีทหารพม่ากันยกใหญ่
เนื่องจาก เกรงว่าจะถูกเกณฑ์ไปเป็นลูกหาบ ราษฎรชาวพม่าและชาวไทยใหญ่ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่
บ้านเชียวไคร้เก่าและบ้านเชียวไคร้ใหม่ เมืองสาด รัฐฉาน ได้อพยพหนีตายเข้ามายังฝั่งไทยจำนวน
๑๐๒ คน
๒๖ เมษายน ๒๕๔๕ เวลา ๐๗๐๐ ขณะที่ ชุดลาดตระเวน กองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ ๙๕๐ ซึ่งขึ้น
ควบคุมทางยุทธการกับ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ ๔ ลาดตระเวนในพื้นที่รับผิดชอบได้ตรวจพบ
กับผู้ต้องสงสัยแต่งกายคล้ายทหารกองกำลังต่างชาติ จำนวน ๒ คน บริเวณห่างจากบ้านโป่งไฮฯ
ไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๕๐๐ เมตร ซึ่งเป็นจุดที่ห่างจากชายแดนลึกเข้ามาในเขตไทยประมาณ ๑
กิโลเมตรเศษจึงได้จับกุมและควบคุมตัวไว้ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการซักถาม
ต่อมาในวันเดียวกัน เวลา ๑๕๐๐ กองกำลังอาสาสมัครทหารพม่าเชื้อสายมูเซอ ซึ่งมีฐานฯ อยู่ใกล้ๆ
กันกับที่ตรวจการณ์ของกองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ ๙๕๐ บริเวณช่องทางบ้านโป่งไฮ ได้เข้ามาข่มขู่
ขอตัวกำลังพล ๒ คน กลับคืนโดยใช้กำลังประมาณ ๓๐ ๔๐ นาย ล้อมที่ตรวจการณ์ฝ่ายไทยไว้ และ
อีก ๑๕ นาย ได้ขึ้นมาเจรจาด้วยวิธีรุนแรงและข่มขู่ โดยหัวหน้ากองกำลังอาสาสมัครทหารพม่าเชื้อสาย
มูเซอ ใช้ปืนพกจี้หน้าอกของอาสาสมัครทหารพราน หนูกาญน์ กิ่งวรรณ พยายามจะใส่กุญแจมือ
ฝ่ายไทยไม่ยอมกองกำลังฯ ดังกล่าว จึงใช้ปืนเล็กยาว AK ๔๗ ยิงขู่ลงพื้นดินตรงบริเวณหว่างขาของ
อาสาสมัครทหารพรานหนูกาญน์ฯ ๑ ชุด และกองกำลังฯ คนหนึ่ง ได้หันลำกล้องเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด
๔๐ มม. M ๗๙ ไปที่อาสาสมัครทหารพรานหนูกาณน์ฯ ระหว่างนั้น มีกองกำลังฯ อีก ๑ คน ใช้พานท้ายปืน
เล็กยาว AK ๔๗ กระแทกเข้าที่กกหูซ้าย ของอาสาสมัครทหารพรานหนูกาญน์ฯ ทำให้ได้รับบาดเจ็บกกหู
ซ้ายแตก
จึงเป็นเหตุให้อาสาสมัครทหารพรานหนูกาญน์ฯ หมดความอดทน และคิดว่าสถานการณ์ขณะนั้นคงไม่
ปลอดภัย และอาจถูกจับกุมไปเป็นตัวประกัน จึงได้ผลักอกหัวหน้ากองกำลังฯ ดังกล่าวได้หยุดการกระทำ
แล้วพูดว่า เรามีหัวหน้าใหญ่จะให้ตกลงกันกรณีที่คนของท่านถูกควบคุมตัว ซึ่งจากการสื่อสารกันไม่เข้าใจ
ฝ่ายตรงข้ามใช้ภาษามือประกอบท่าทาง หัวหน้ากองกำลังฯ ดังกล่าวได้ชูนิ้ว ๒,๓ นิ้ว ในลักษณะอีก ๒ - ๓
ชั่วโมง จะมาที่นี่อีกแล้วก็ถอนกำลังกลับไปยังฐานปฏิบัติการ ที่อยู่ตรงข้ามจุดตรวจการณ์ฝ่ายเรา
ในขณะเดียวกันหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ ๔ ได้นำตัวกำลังอาสาสมัครทหารพม่าเชื้อสายมูเซอ
ทั้ง ๒ คน ไปสอบสวนเพิ่มเติมที่ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ ๔ ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงราย
ต่อมาเวลา ๑๗๓๐ น. วันเดียวกันกองกำลังอาสาสมัครทหารพม่าเชื้อสายมูเซอ ได้นำกำลังมาปิดล้อมที่
ตรวจการณ์ฝ่ายเราบริเวณช่องทางบ้านโป่งไฮจำนวนประมาณ ๖๐ คน และยิงเครื่องยิงลูกระเบิดเข้าใส่
ฝ่ายไทย ๑๐ นัด โดยพยายามจะใช้กำลัง จากการสอบสวน นายจะซอ อายุ ๑๕ ปี และนายจะแกะ อายุ
๒๐ ปี ทั้ง ๒ คน ให้การว่าเป็นทหารประจำฐานปฏิบัติการ บ้านออเลาะ ซึ่งอยู่ตรงข้ามช่องทางบ้านโป่งไฮ
ประจำการมาแล้ว ๒ ปี
โดยได้รับการฝึกจากกองกำลังทหารพม่าเชื้อสายว้า ( UWSA ) ที่เป็นหน่วยควบคุมกองกำลังอาสาสมัคร
ทหารพม่าเชื้อสายมูเซอบริเวณนี้ และนายจะซอเป็นบุตรบุญธรรมของ นายจะไหไพจะซึ่งเป็นผู้นำหมู่บ้าน
ออเลาะ และเป็นหัวหน้ากลุ่มอาสาสมัครทหารพม่าเชื้อสายมูเซอ จากการสอบสวนของฝ่ายเราบุคคลดัง
กล่าวได้รับสารภาพว่าได้เข้ามาในลักษณะของการหาข่าวในเขตไทย จึงถูกจับกุมและควบคุมตัวการ
รุกล้ำอธิปไตยเข้ามา ของกองกำลังฯ ทั้ง ๒ คน ก็ทราบดีอยู่แล้วว่า บริเวณที่เข้ามารเป็นเขตไทย
เย็นเดียวกัน กองกำลังฐานออเลาะ กองทหารอาสาพม่า ๓๐ นาย พร้อมอาวุธครบมือเดินทางมาเจรจา
ขอตัวทั้งสองคนกลับแต่ทหารไทยไม่ยอม จึงเกิดการปะทะกันขึ้น ฝ่ายไทยใช้อาวุธ และเฮลิคอปเตอร์
๒ ลำยิงขับไล่ทำให้เหตุการณ์ บานปลาย เกิดการตรึงกำลังและเผชิญหน้ากัน
๒๗ เมษายน ๒๕๔๕ ทหารหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ ๔ กองกำลังผาเมือง ฐานบ้าน โป่งไฮ
จ.เชียงราย ปะทะกับกองกำลังทหารอาสาพม่าเชื้อสายว้าและมูเซอ ฐานออเลาะ เมืองยอน จ.ท่าขี้เหล็ก
ประเทศพม่า จุดปะทะห่างจากตะเข็บชายแดน ๒๐๐ เมตร สาเหตุจากกองกำลังทหารอาสาพม่า พยายาม
เข้าโจมตีฐานที่มั่นทหารพรานส่วนแยกบ้านโป่งไฮ เพื่อบีบฝ่ายไทยให้ปล่อยตัวเชลยว้า ๒ นายที่ถูกจับ
๒๘ เมษายน ๒๕๔๕ ทหารอาสาพม่าเชื้อสายว้าและมูเซอ ฐานออเลาะ ๕ นาย บุกเข้าหวังทำลายฐาน
ทหารพรานบ้านโป่งไฮ แต่ฝ่ายทหารไทยเห็นเสียก่อนจึงนำกำลัง ๗๐ นาย ไปตรึงพื้นที่ไว้ เกิดการยิง
ขับไล่ ฝ่ายว้าถอยร่นไป แต่นำกำลังมาเสริมอีก ๓๐ นายจนเกิดการปะทะกันขึ้น
วันเดียวกัน นายวิน อ่อง รัฐมนตรีต่างประเทศพม่า ส่งหนังสือผ่านโทรสารมายังนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว
๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕ มีการเจรจาระหว่างฝ่ายไทยและกลุ่มว้าแดง ในการประชุมคณะกรรมการชายแดน
ระดับท้องถิ่น(ทีบีซี) เพื่อพิจารณาปล่อยตัวเชลย ๒ คน การประชุมเลื่อนไปเป็นวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๔๕
๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ มีข่าวออกทางวิทยุพม่าว่าบริษัทหงปัง อิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต กิจการในเครือของ
กลุ่มว้า และเป็นแหล่งฟอกเงินที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของกลุ่มว้า ถูกทางการพม่าสั่งปิดแล้ว
๕ พฤษภาคม ๒๕๔๕ พล.ท.อุดมชัย องคสิงห์ แม่ทัพภาคที่ ๓ เปิดการฝึกซ้อมรบตามแผน "สุรสีห์ ๑๔๓"
ที่สนามฝึกจังหวัดทหารบกตาก เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจตามขั้นตอนตามแผนป้องกันชายแดน ซึ่งการ
ซ้อมจะมีถึงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ มีการเคลื่อนย้ายรถถัง รถสายพานลำเลียงพล ปืนใหญ่กระสุน
เบาวิถีโค้งและปืนใหญ่อัตถาจร ระบบเรดาร์เข้า รวมทั้งยานยนต์ต่าง ๆ หลายร้อยคันเคลื่อนย้ายทหาร
จำนวน ๓๐,๐๐๐-๔๐,๐๐๐ นาย เข้าไปในพื้นที่ รวมทั้งกองกำลังหน่วยเคลื่อนที่เร็วที่สามารถทำการรบใน
เวลากลางคืนเข้าไปในพื้นที่ นับเป็นการเคลื่อยย้ายกองกำลังขนาดใหญ่ที่สุดของกองทัพไทยนับตั้งแต่
เกิดเหตุการณ์บ้านร่มเกล้า
๖ พฤษภาคม ๒๕๔๕ แผนการซ้อมรบเริ่มขึ้น โดยมีพิธีเปิดที่ จ.เชียงใหม่ มีการลำเลียงรถถังโดยขบวน
รถไฟเข้าร่วมฝึก ทั้งอาวุธหนักและกำลังพลไปใน ๓ จังหวัด คือตาก ลำปาง และเชียงราย ส่วนทหารพม่า
เข้าไปตั้งกองบัญชาการปืนใหญ่ตามแนวชายแดนพม่า-ไทย เพื่อกวาดล้างยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย
มีอาวุธหนักหลายชนิดเข้าประจำการ
วันเดียวกัน กองกำลังว้าแดงทำหนังสือประท้วง รัฐมนตรีกลาโหมไทย ผ่านสถานทูตไทยในย่างกุ้ง ว่า
ทหารไทยยิงปืนถูกโรงเรียนทำให้นักเรียนบาดเจ็บ เมื่อครั้งเกิดการปะทะที่ฐานบ้านโป่งไฮ
๘ พฤษภาคม ๒๕๔๕ มีการประชุมคณะกรรมการทีบีซี เพื่อเจรจาแลกเปลี่ยนเชลยศึก ผลไม่ชัดเจน
ให้นำเรื่องเข้าหารือระดับสูงของทั้งสองฝ่าย๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ฐานของทหารว้าแดงตลอดแนว
ชายแดนไทยพม่าในเขตภาคเหนือ ถูกโจมตีอย่างหนักจากกองกำลังไทยใหญ่ ส่งผลทำให้ไทยใหญ่
เข้ายึดฐานที่มั่นทางทหารของพม่า - กลุ่มว้า จนถึงเช้าวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕ รวมทั้งสิ้น
๒๗-๒๘ ฐาน
ในช่วงเวลาดังกล่าวมีรายงานข่าวแจ้งว่า มีทหารไทยในสังกัดกองกำลังผาเมืองที่ถูกส่งเข้าพื้นที่ชายแดน
ด้าน อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ตรงข้ามพื้นที่ BP3 ประเทศพม่า (บริเวณที่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่าง
ทหารพม่า-กำลังกู้ชาติไทยใหญ่ (SSA) ของ พ.อ.ยอดศึก ตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๕) จำนวนราว
๕๐ นาย ได้ขาดการติดต่อกับหน่วยเหนือไป โดยยังไม่สามารถยืนยันสาเหตุได้
ขณะเดียวกันเริ่มเกิดข่าวลือหนาหูมากขึ้นว่า การปะทะกันระหว่างกำลังทหาร SSA กับทหารพม่า - ว้า
ในพื้นที่รัฐฉานตรงข้ามพรมแดนด้านแม่ฮ่องสอน - เชียงใหม่ และเชียงราย หลายวันที่ผ่านมา ทหารไทย
มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ยังมีการระบุออกมาถึงขั้นว่า มีการส่งกำลังทหารไทยเข้าไปร่วมปฏิบัติการ
ครั้งนี้ และหนังสือพิมพ์บางฉบับได้ถึงกับระบุชื่อของนายทหารระดับนายพันของหน่วยสงครามพิเศษที่ได้
เข้าไปควบคุมการปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย
๑๙ พฤษภาคม ๒๕๔๕ หนังสือพิมพ์ของไทยบางฉบับ และหนังสือพิมพ์ต่างประเทศบางฉบับ ได้ลงข่าว
ว่า ไทยกับ พม่าตกลงร่วมกัน หรือรัฐบาลไทยกับหม่องเอตกลงร่วมกัน ที่จะใช้กำลังกวาดล้างทหารว้า
ที่อยู่ตามแนว ชายแดนทั้งหมด
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๕ มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเข้าโจมตีฐานของว้าแดงแตกไปหลายฐานและมีฐาน
ของทหารพม่า ๔-๕ ฐานถูกโจมตีละลายทั้งฐาน ทหารในฐานทั้งหมดเสียชีวิต ในจำนวนนี้มีนายทหาร
ระดับยศพันโท ผู้บังคับการกองพัน และนายทหารระดับนายพันอีกประมาณ ๓-๔ นายรวมอยู่ด้วย
๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๕ รัฐบาลย่างกุ้งส่งโทรสารไปยังสำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนัก กล่าวหาว่า
ไทยสนับสนุนการก่อการร้าย รวมทั้งติดอาวุธให้กับกลุ่มกองกำลังกู้ชาติไทยใหญ่เพื่อโจมตีกลุ่ม
กองทัพว้าแดง เนื้อหาในแถลงการณ์บางตอนระบุว่า
เป็นที่น่าเสียใจที่นายทหารไทยให้ข้อมูลผิดๆ แก่สื่อมวลชน ซัดทอดความผิดแก่ชนชาติว้าฝ่ายเดียว
ขณะเดียวกันกลับสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายในแผ่นดินของตนเองจนนำมาซึ่งภาวะไร้เสถียรภาพใน
หลายๆประเทศในภูมิภาคนี้ พล.ต.จ่อวิน รองเจ้ากรมข่าวกรองทหารพม่า แถลงในวันเดียวกันอีกว่า
รัฐบาลย่างกุ้งพร้อมที่จะใช้มาตรการอื่นๆ นอกเหนือไปจากมาตรการทางการทูตเพื่อตอบโต้ไทย
รักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและดินแดนพม่า วาระเดียวกันนี้ เขายังปฏิเสธว่า พล.อ.หม่อง เอ ผู้บัญชาการ
ทหารบก และรองประธานสภาสันติภาพและการพัฒนา (SPDC) ไม่ได้ให้ไฟเขียวแก่ทหารไทยบุก
ถล่มแหล่งผลิตยาเสพติดของว้าแดง หลังจากเดินทางเยือนประเทศไทยเมื่อเร็วๆนี้
"พม่าไม่ยอมให้ทหารต่างชาติล่วงล้ำอธิปไตย ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น การกระทำของทหารไทยครั้งนี้
ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่เพื่อนบ้านกระทำต่อกัน" พล.ต.จ่อวิน กล่าว
ขณะที่นายทหารระดับสูงของไทยยืนยันว่า รถถัง และอาวุธหนักที่ดาหน้าขึ้นเหนือประชิดชายแดนนั้น
เป็นเพียงการซ้อมรบแต่สื่อโทรทัศน์ของพม่า กลับได้ออกข่าวระดมคนในชาติไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติพม่า
ว้า คะฉิ่น ฯลฯ ให้ร่วมกันขับไล่ "ข้าศึก" ที่รุกล้ำประเทศพม่าออกไป
ข้าศึกที่ว่านี้ พม่าระบุชัดแจ้งว่าหมายถึง ประเทศไทย เหตุผลเนื่องจาก ตลอดสัปดาห์มีกระสุนปืนจาก
รถถัง - ปืนใหญ่ ข้ามจากฝั่งไทย ไปตกในฝั่งพม่า แถบตรงข้าม อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่และบริเวณ
ตรงข้ามชายแดนด้านปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน จนทำให้ฐานทหารพม่าในพื้นที่แถบนี้ ถูกกองกำลัง SSA
ตีแตกและเข้ายึดฐานไปหลายแห่ง ที่สำคัญ กองกำลังกู้ชาติไทยใหญ่ (SSA) ที่เคลื่อนไหวอยู่บริเวณชาย
แดนตรงข้าม จ.เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน ไม่มีปืนใหญ่ และรถถังอยู่ และทหารพม่าเสริมกำลังด้วยรถถัง
แบบที ๖๙ จำนวนประมาณ ๑๐๐ คัน เข้ามาตรงข้ามจังหวัดแม่ฮ่องสอน
๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ทางการพม่าสั่งปิดพรมแดนพม่า-ไทยทั่วประเทศ ตั้งแต่เขตติดต่อ อ.แม่สาย
จ.เชียงราย- จ.ระนอง มีข่าวทหารพม่าจากค่ายเมือง กองพล ๓๓๑ ทางตอนเหนือของ จ.ท่าขี้เหล็ก ๓๐๐
นาย เข้ามาตั้งค่ายที่หมู่บ้านสามปี จ.ท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามผาช้างมูบ-ผาหมี ต.เวียงผางคำ อ.แม่สาย
จ.เชียงราย ตลอดแนวชายแดนตั้งแต่จังหวัดเชียงรายถึงระนองพบว่าในฝั่งพม่ามีการเสริมกำลังทหาร
อยู่ตลอดเวลา
ซึ่งชายแดนตรงข้ามจังหวัดเชียงราย,เชียงใหม่,แม่ฮ่องสอน มีกำลังทหารพม่าเข้าประจำการถึง ๑๔๙
กองพัน โดยเฉพาะชายแดนตรงข้ามอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามีการเสริมกำลังทหารเข้าไป
อย่างผิดปกติเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีการสู้รบกันอย่างหนักระหว่าง พม่ากับกองกำลังกู้ชาติไทยใหญ่
ขณะที่ชายแดนตรงข้ามจังหวัดตาก พม่าได้เสริมกำลังทหารเข้าไป ๕๐๐ นายพร้อมรถลำเลียงพล ๖๐ คัน
ส่วนชายแดนด้านจังหวัดระนอง นอกจากจะมีเรือรบ ๓ ลำ เข้าประจำการในฝั่งพม่าแล้ววันนี้ยังได้มีการ
ติดตั้งปืนใหญ่และจรวด แซมพร้อมระบบเรด้าห์ โดยมีพลจัตวา ต้าเอ้ ผู้บัญชาการภาคทหารบกพื้นที่
ชายฝั่งเป็นคนบัญชาการ และได้สั่งให้เพิ่มความเข้มในการตรวจตราน่านน้ำตลอดเวลาด้วย
ขณะเดียวกันบรรดาสื่อของทางการพม่า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ ก็ยังคงออกข่าวโจมตี
ไทยตลอดเวลา และได้มีการปลุกระดมมวลชนตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ต่อต้านไม่ให้ซื้อสินค้าไทย และ
ได้นำเข้าสินค้าจากประเทศจีน,สิงคโปร์ และมาเลเซียมาแทนที่ แต่ถึงกระนั้นพบว่าในฝั่งพม่า เริ่มขาด
แคลนสินค้าอุปโภคบริโภคกันแล้ว และที่มีเหลือขายอยู่ก็มีราคาแพง ๔-๕ เท่า บางคนต้องลักลอบข้าม
แดนมาซื้อในฝั่งไทย ซึ่งสร้างความวิตกให้ กับคนไทย และพ่อค้าตามแนวชายแดนอย่างมาก เพราะ
เกรงว่า จะถูกบุกมาปล้นสะดม
ทางการไทยสั่งทุกหน่วยเตรียมพร้อม และมีการเสริมกำลังทางอากาศ ส่งเครื่องบินรบแบบเอฟ ๑๖
ย้ายไปประจำการที่เชียงใหม่
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ รัฐบาลพม่าไฟเขียวให้ทหารพม่าที่ประจำอยู่บริเวณชายแดน สามารถยิงผู้ต้อง
สงสัยว่ามีอาวุธทุกคนที่ข้ามมาจากฝั่งไทยได้ทันที โดยสำนักงานบริการด้านกลาโหม เป็นผู้ออกคำสั่ง
วันเดียวกัน กลุ่มกะเหรี่ยงอิสระ(เคเอ็นยู) กองพัน ๒๐๑ เข้าโจมตีฐานที่มั่นทหารพม่าค่ายกะแนเล
ตรงข้ามบ้านน้ำตื้น ต.วาเลย์ อ.พบพระ จ.ตาก ทางการพม่ามีคำสั่งห้ามราษฎรพม่าข้ามมาฝั่งไทย
๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๕: มีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ๓๐-๔๐ นาย บุกเข้าโจมตีฐานกองร้อยทหารพรานที่
๓๒๐๖ บริเวณบ้านเมืองนะ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว โดยล้ำแดนเข้ามา ๗๐๐ เมตร ใช้อาวุธปืนและเครื่อง
ยิงลูกระเบิดยิงเข้าใส่ แต่ไม่สามารถยึดฐานของไทยได้ ทหารต้องอพยพคนไทย ๑๐๐ คน ไปอยู่ที่
โรงเรียนบ้านเมืองนะ เพื่อรอพิสูจน์ให้ทราบแน่ชัดว่าเป็นกำลังฝ่ายไหน
วันเดียวกัน ทหารไทย จับชายชาวพม่า ๓ คน ต้องสงสัยเป็นสายลับเข้ามาสืบข่าว แต่ปรากฏว่าเป็นเพียง
ชาวพม่าที่ลักลอบเข้ามาหางานทำ ทางการพม่าเสริมกำลังเข้าไปในพื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ตรงข้าม อ.แม่สาย
จ.เชียงราย จำนวนมาก โดยเฉพาะจุดผ่อนปรน ตั้งแต่บ้านเหมืองห้าถึงบ้านหัวฝาย มีการสร้างบังเกอร์
กระสอบทรายตลอดแนว และสั่งปิดจุดผ่อนปรนบ้านหัวฝาย
ขณะที่ฝ่ายไทย กรมทหารม้าที่ ๔ กองกำลังผาเมือง เพิ่มกำลังทหารเข้าไปยังพื้นที่ที่มีกองกำลังทหาร
พม่าอยู่บางเหตุการณ์เช่น ทหารไทยยืนคำขาดให้ทหารพม่าผสมว้าถอนทหารออกจากเนินปางหนุน
แต่ไม่ยอมถอน เลยโดนทหารไทยยิงปืนใหญ่ถล่มแบบถ่ายทอดสด ยังไม่ขอลงละกันครับ มันยาว
เหมือนกัน กลัวขี้เกียจอ่าน เพราะที่มาที่ไปก็ยาวเหมือนกัน
ส่วนภาค ๒
จะเป็นผลที่เกิดขึ้นคือ การถอนกำลังทหารไทยยุติการฝึกก่อนกำหนด มีการโยกย้ายนายทหารของไทย
และการปรับเปลี่ยนผู้บัญชาการของพม่าและการเปิดให้เข้าตรวจสอบเมืองยอน รวมทั้งแผนพัฒนา
เมืองยอนเพื่อยุติยาเสพติด โดยใช้ต้นแบบโครงการหลวงของไทยที่เคยใช้ได้ผลยุติการปลูกฝิ่นมาแล้ว
ซึ่งหลายคนคงจะทราบข่าวบ้างพอสมควร เลยไม่ขอเอ่ยในที่นี้ครับ
ตาลาย....