http://www.manager.c...D=9560000098567
วันนี้ (8 ส.ค.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม.ที่มี นางอมรา พงศาพิชญ์ เป็นประธาน ได้มีการเผยแพร่ผลการตรวจสอบเพื่อมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายกรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ระหว่างวันที่ 12 มี.ค. 53 - 19 พ.ค. 53 หลังใช้เวลาการตรวจสอบเกือบ 2 ปี โดยรายงานดังกล่าวมีทั้งสิ้น 92 หน้า เนื้อหาแบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1.ความเป็นมา 2.บทบาท อำนาจ หน้าที่ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ การแสวงหาข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐาน ข้อจำกัดในการทำงาน 3.รัฐธรรมนูญ กฎหมายไทย พันธกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งประกาศ ข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง 4.การดำเนินการตรวจสอบ พร้อมความเห็นในแต่ละเหตุการณ์ 5.บทสรุป และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ทั้งนี้ สาระสำคัญของรายงานดังกล่าว อยู่ในส่วนที่ 4 การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในแต่ละเหตุการณ์ พร้อมความเห็นใน 8 กรณี คือ 1.กรณีสถานการณ์ก่อนวันที่ 7 เม.ย. 2553 ที่กลุ่ม นปช.ได้มีการเคลื่อนขบวนออกจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ไปยังสถานีดาวเทียมไทยคม ปิดล้อมและบุกเข้าอาคารรัฐสภา กสม.เห็นว่าการชุมนุมของ นปช.ตั้งแต่วันที่ 12-16 มี.ค. 53 เป็นการชุมนุมโดยสงบ อยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมีการขยายพื้นที่ชุมนุม มีการเคลื่อนตัวไปยังบริเวณราชประสงค์ พร้อมแสดงแนวโน้มการชุมนุมที่ไม่มีระยะเวลาสิ้นสุด ความเดือดร้อนปรากฏโดยทั่วเป็นเวลาเนิ่นนานเกินความจำเป็น ส่งผลต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การใช้กำลังความรุนแรงเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการตามข้อเรียกร้อง การชุมนุมดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการชุมนุมที่อยู่นอกเหนือขอบเขตที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองคุ้มครองไว้
2.กรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.ในวันที่ 7 เม.ย. 2553 และกรณี ศอฉ.สั่งระงับการออกอากาศสถานีโทรทัศน์พีเพิล แชนแนล และสั่งระวังการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออินเทอร์เน็ตบางส่วน กสม.เห็นว่าภายหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ได้เกิดเหตุหลายครั้ง โดยเฉพาะการระเบิดสถานที่สำคัญหลายแห่ง ตลอดเดือนมีนาคม ไปถึง เดือนเมษายน 35 อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข เป็นเหตุให้รัฐต้องขยายระยะเวลาการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง ออกไปอีก 2 ช่วง และกลุ่ม นปช.เริ่มขยายพื้นที่การชุมนุมไปยังบริเวณราชประสงค์ และพื้นที่ต่างๆ จึงเห็นว่าการที่นายกฯโดยความเห็นชอบของ ครม.ใช้อำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรงในเขต กทม.และจังหวัดใกล้เคียง พร้อมออกประกาศคำสั่งต่างๆ เพื่อดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงเป็นกากรระทำที่อยู่ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายให้อำนาจไว้ และเมื่อพิจารณาเจตนารมณ์การใช้มาตรการดังกล่าวก่อให้เกิดผลต่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าผลกระทบที่มีต่อบุคคลที่ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ จึงถือว่าเป็นความจำเป็นที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นการใช้อำนาจตามขอบเขตที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้สามารถทำได้
ส่วนการสั่งระงับการออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์พีเพิล แชนแนล และสั่งระงับสื่อสิ่งพิมพ์และอินเทอร์เน็ต นั้น เห็นว่าการจำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของสื่อ อยู่ในขอบเขตที่กฎหมายให้ไว้ โดยก่อนหน้าที่จะมีการสั่งระงับการออกอากาศสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวได้มีการเผยแพร่สัญญาณ ภาพ เสียง การชุมนุมของกลุ่ม นปช.มาก่อนที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ลักษณะการถ่ายทอด การปราศรัยของแกนนำเป็นการยั่วยุปลุกระดมมวลชนให้ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง ซึ่งรัฐไม่ได้มีมาตรการใดๆ เพื่อระงับเหตุหรือแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว จึงถือว่ารัฐมีความบกพร่องในการควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขาดการวางแผนที่ดีพอ และป้องกันแก้ไขสถานการณ์ ส่วนการปิดเว็บไซต์และสื่อสิ่งพิมพ์นั้น เห็นว่าเป็นการกระทำละเมิดเสรีภาพในการเสนอข่าว หรือแสดงความคิดเห็นของบุคคลหรือสื่อมวลชนเกินกรณีจำเป็น เพราะแม้รัฐจะใช้วิธีการปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเขาถึงข้อมูล แต่ไม่ถึงขั้นปิดกิจการสื่อมวลชน แต่รัฐก็ไม่มีการแยกแยะเนื้อหาสาระว่าเนื้อหาใดในเว็บไซต์มีผลกระทบหรือไม่กระทบต่อความมั่นคง ทำให้ข้อมูลบางส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องถูกปิดกั้นไปด้วย แม้เมื่อมีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว บางเว็บไซต์ยังถูกปิดกั้นอยู่
(ต่อ)