http://www.manager.c...D=9560000099107
"สนธิ" เสนอทางออกประเทศ ประชาธิปัตย์ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจลาออกจาก ส.ส. มาต่อสู้กับประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศ ลั่นพร้อมลืมเรื่องอดีตแล้วร่วมมือด้วยทันที โดยจะเป็นแค่ลูกน้องไม่ขอเป็นแกนนำ มั่นใจศักยภาพประชาธิปัตย์มีพร้อม มวลชนจะออกมาหลายล้านคน เชื่อเพื่อไทยต้องยอมเจรจาด้วย แล้วทุกคนจะก้าวข้ามพรรคการเมืองและทักษิณไปได้
วันที่ 9 ส.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ทางเอเอสทีวี ถึงการเคลื่อนมวลชนของประชาธิปัตย์ ว่า ประชาธิปัตย์เดินสายปลุกระดมม็อบ พอปลุกไปเรื่อยๆชักกลัว เพราะมันเริ่มจุดติด ทุกคนในพรรคกลัว อาจจะมีบางคนที่ไม่กลัวคือ นายนิพิฏฐ์ นายอลงกรณ์ นายวัชระ เพชรทอง นอกนั้นแล้วขี้กลัว ปากกล้าขาสั่นทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทีนี้เพื่อไม่ให้เสียหน้า เลยตัดสินใจให้เดินไปส่งที่สภา เพราะถ้าเขาต้องการจะนำมวลชนจริง ไม่ต้องการทะเลาะกับตำรวจ อย่างน้อยต้องเตรียมการว่าถ้าพี่น้องเข้าไม่ได้ให้ตั้งเวทีตรงนั้นเลย แล้วมีคนของตัวเองคอยดูแล ตั้งเวทีปราศรัย อย่างน้อยที่สุดนี่คือการแสดงออกว่าตัวเองต้องการจะนำมวลชน หรือจริงใจกับมวลชนจริงๆ แล้วคำถามมีอยู่ว่า ที่นายสุเทพพูดจะรอจนวาระ 3 ซึ่งข้อเท็จจริง ยังไงก็ผ่านเขาก็รู้ เพียงแต่ตรรกะประชาธิปัตย์ต้องการที่จะพูดเพื่อให้สาวกตัวเองมีความรู้สึกว่าได้พยายามที่สุดแล้ว แต่พยายามเต็มที่แล้วยังไง ก็แพ้อยู่ดี
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ประชาธิปัตย์พลาดมากในวันที่เข้าสภาวันแรก 7 ส.ค. ที่ไปบอกว่าขอเลื่อนวาระ ทันทีที่อีกฝ่ายยกมือชนะไม่เลื่อนให้ สิ่งที่ประชาธิปัตย์ต้องตัดสินใจเวลานั้นสำคัญมาก แต่เขาพลาด นั่นคือต้องเดินออกจากสภาทั้งหมด และมาเจอมวลชนของตัวเองที่อยู่ข้างนอก โดยการตั้งเวทีไว้และมาเจอ ถ้าเป็นเช่นนั้นในสภาจะเหลือเฉพาะพรรครัฐบาล รัฐบาลก็จะไปไม่เป็น พวกที่เก๋าอยู่ในสภาจะต้องห้ามไม่ให้เดินต่อเพราะมันขาดความชอบธรรม
ทีนี้การที่จะทำเช่นนี้ต้องคิดทะลุกรอบ และต้องพร้อมที่จะเสียสละ เพื่อที่จะเข้ามาเดินการเมืองทางมวลชน ประชาธิปัตย์นอกจากไม่ทำแบบนี้แล้ว ยังไปให้ความชอบธรรม โดยร่วมในกรรมาธิการเขาอีก ทั้งๆ ที่รู้ว่าในกรรมาธิการก็แพ้ นั่นก็เพราะประชาธิปัตย์ติดกับดักความกลัว คิดว่าถ้าเอามวลชนไปแล้วบุกเข้าสภาเดี๋ยวจะโดนดำเนินคดี ประชาธิปัตย์ถนัดแต่จะให้คนอื่นติดคุกแทน นอกจากนั้นยังติดกับดักในเรื่องการหลงตัวเอง ว่าตัวเองพูดเก่ง พูดแล้วคนจะฟัง ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ชอบพูด (ด่าตัวเองอยู่ป่าวหว่า?)
นายสนธิ ได้กล่าวเสนอทางออกของประเทศ ว่า ถ้าอยากจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ต้องไม่ยอมรับระบบเดรัจฉานในสภานี้ โดยหาทางที่จะให้ทุกฝ่ายมานั่งคุยกัน แล้ววิธีเดียวที่จะให้ทุกฝ่ายมานั่งคุยกันได้คือ พรรคประชาธิปัตย์ทุกคนต้องลาออกหมด แสดงความบริสุทธิ์ใจ แล้วมาเดินเกมการเมืองนอกสภา และประกาศชัดเจนเลยว่าระบบนี้มันไม่เวิร์ก ต้องปฏิรูปประเทศ ถ้าเป็นเช่นนั้นตนและพันธมิตรฯพร้อมจะร่วมสู้ด้วย โดยไม่ขอเป็นแกนนำ
"ผมพร้อมจะร่วม พันธมิตรฯ พร้อมจะร่วม แต่คุณต้องลาออกนะ ให้คุณนำ ผมไม่ต้องการนำ ผมเป็นผู้ตามคุณ ผมยินดีตามพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าคุณกล้าทำอย่างนี้ อาการเจ็บหลังของผมที่ผมโดนแทงทั้งหลัง และเจ็บหัวที่โดนยิงหัว ผมลืมได้ ผมทิ้งไว้ข้างตัวเลย เอาชาติมาก่อน ถ้าอย่างนั้นแล้ว ระดมคนทั่วประเทศไทย 7 วันต้องมีคนเป็นล้านมา วันนั้นเพื่อไทยต้องเคาะประตูแล้วขอคุยด้วย" แกนนำพันธมิตรฯ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ประชาธิปัตย์ไม่มีทางเลือก ต้องออกมานำแล้ว ไม่เช่นนั้นยกประเทศให้เพื่อไทยไปเลยแล้วกัน วันนี้ประชาธิปัตย์ต้องพิสูจน์ว่า ตัวเองไม่ใช่นักการเมืองแบบพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เดรัจฉานทางการเมือง ไม่ใช่เดรัจฉานในสภา ออกมาชำระตัวเสียใหม่ ประชาธิปัตย์ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ในอดีตผิดพลาดเยอะ แต่พวกตนพร้อมให้อภัย ตนพร้อมจะเป็นลูกน้อง จะลืมเรื่องมีดที่แทงหลังและปืนที่ยิงหัว เอาชาติไว้ก่อน เอาประชาชนคนไทยไว้ก่อน
แล้วถึงตอนนั้นคือการที่จะมากำหนดกติกาทางการเมืองที่ภาคประชาชนมีส่วนร่วม วันนั้นเป็นวันที่เจรจาได้หมดทุกอย่าง และอาจจะเป็นวันที่บอกว่าให้ทหารมาตั้ง หรือให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตั้งรัฐบาลรักษาการชั่วคราว 2 ปี เพื่อมาตกลงกติกาวิธีการกันใหม่ นี่คือทางออกของประเทศไทย วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างกลับไปสู่ที่ศูนย์แล้วเริ่มกันใหม่
ถ้าปล่อยให้เพื่อไทยปู้ยี่ปู้ยําประเทศต่อไป ความผิดจะอยู่ที่ประชาธิปัตย์ เพราะมีศักยภาพสูงสุดในการเปลี่ยนประเทศได้ มีถึง 12 ล้านเสียง พันธมิตรฯ มีแค่ 1-2 ล้านเสียงเอง และมีผู้นำที่มีบารมีพอ ขอแค่ใส่ความกล้าเข้าไป การสู้ในสภารอถึงวาระ 3 เป็นแค่การซื้อเวลาตายเท่านั้น แต่ในที่สุดก็ต้องตาย สู้ดิ้นออกมาก่อนและหาทางเกิดใหม่ดีกว่า
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เชื่อตนถ้าลาออกปั๊บ รัฐบาลเดินไม่ถูกเลย และมวลชนจะเยอะมากขั้นต่ำเป็นล้านและเผลอๆจะสูงถึง 2-3 ล้านคน อย่างน้อยที่สุดพันธมิตรฯ ไปแน่ นี่จะเป็นการเปลี่ยนประเทศจริงๆ และตนเชื่อว่าด้วยปริมาณคน ความรู้ของมวลชน คนชนชั้นกลาง ด้วยอะไรต่ออะไรที่พร้อมอยู่ มันจะทำให้พรรคเพื่อไทยต้องมานั่งโต๊ะเจรจา แล้ววันนั้นทุกคนจะก้าวข้ามพรรคการเมืองทั้งหมดและก้าวข้ามทักษิณด้วย นี่คือข้อเสนอทางออกของประเทศ