“วันนี้เป็นวันดี ขอพูดเรื่องสบายไม่เป็นการเมือง...” นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวเป็นประโยคทักทายผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์ก่อนจะมีการเปิดบ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จให้ได้รับดู ภายใต้ชื่องาน “Open House Open Mind by Tarit นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี DSI มีความยินดี ขอเชิญเพื่อนสื่อมวลชนทุกสาขา ที่ร่วมงานกับ DSI ด้วยน้ำใจไมตรีมาโดยตลอด ร่วมงานเลี้ยงรับรองสื่อมวลชน ที่บ้านธนวรรษ” หลังจากที่ต้องซ่อมแซมและหมดเงินไปเยอะกับน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ช่วงท้ายปี พร้อมกับแนะนำสมาชิกในครอบครัวให้ได้ทำความรู้จักอย่างเป็นกันเองคือ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ หรือคุณจุ๊บ ผู้เป็นภรรยา ที่ได้อยู่กินกับคุณจุ๊บเองตั้งแต่ปี 2537 และนายธนวรรษ เพ็งดิษฐ์ ลูกชายมีคนเดียว ชื่อ น้องโจ๊กเกอร์ ปีนี้อายุ 16 ปี เรียนสาธิต ม.รังสิต ลูกชายคนเดียวของบ้านที่้เป็นหัวแก้วหัวแหวนของครอบครัว
“ที่ถูกใจเพราะติดสนามกอล์ฟ และมันก็ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ บรรยากาศก็ไม่เหมือน กทม.”
โดยการเปิดบ้านของนายธาริตครั้งนี้ค่อนข้างที่จะอยู่ลึกสุดในซอยหมู่บ้านเมืองเอก มีรั่วรอบขอบชิดซึ่งแยกจากบ้านอื่นๆ อยู่พอสมควร และเพิ่งสร้างมาได้ไม่นาน “บ้านหลังนี้พี่ออกแบบและตกแต่งเองหมดเลย” คุณจุ๊บเปรยที่มาของบ้านหลังนี้ เดิมทีทางครอบครัวเพ็งดิษฐ์เองอยากจะได้บ้านที่อยู่แบบสบายโล่งโอ่โถง จึงมองหาที่ดินจำนวนหนึ่งที่ราคาไม่แพงมากและสามารถมีกำลังซื้อ และก็มาได้ที่ถูกใจตรงนี้อย่างบังเอิญในราคาที่เหมาะสม แต่เป็นที่ดินเพียงอย่างเดียว ส่วนตัวบ้านนั้นต้องมาก่อสร้างกันใหม่อีกครั้ง จึงเป็นที่มาของการออกแบบบ้านแบบสไตล์โปร่งสบาย เน้นรับแขกที่แวะเวียนมาและการสังสรรค์พบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูง ใครจะรู้ว่ามือกฎหมายอย่างคุณจุ๊บเองจะถนัดการออกแบบบ้านได้!
ส่วนเรื่องความปลอดภัยในครอบครัวนั้นเนื่องจากวันนี้เอง สำหรับบทบาทของนายธาริตที่ต้องมีความระมัดระวังตัวพอสมควรในด้านต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ในครอบครัวเองด้วย คุณจุ๊บ มองว่าการป้องกันตัวทุกคนก็ทำอยู่แล้ว ถึงสามีไม่ใช่คุณธาริตก็ต้องป้องกันตัวเหมือนเดิมนะก็ถ้าคนมันจะทำร้าย ยอมรับว่าคุณธาริตก็ต้องมีการป้องกันตัว แต่คนอื่นที่คิดจะทำ ถ้าจะทำกับครอบครัว ก็ต้องทราบก่อนว่า
“ถ้ามีเหตุเกิดขึ้นกับภรรยาท่านธาริตดีใจตายเลย (หัวเราะ) ฉะนั้นพี่ไม่ใช่ประเด็น พี่สบายมาก (หัวเราะ) ยอมรับว่าเท่าที่เห็นมีการข่มขู่คุณ แต่ยังไม่มีใครข่มขู่พี่เลยนะ ทั้งที่เค้าก็รู้ว่าพี่คือภรรยาของท่านธาริต”
นายธาริต กล่าวยอมรับว่า บ้านต้องมีการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษบ้าง ติดอุปกรณ์บ้าง ตัวผมเองก็ต้องมี รปภ.ดูแล เราก็ต้องเป็นเด็กดีของเขา เขาก็จะได้ไม่ลำบากใจในการทำงานดูแลเรา ความเป็นส่วนตัวก็กระทบไปบ้างอันนี้ก็ต้องยอม
ส่วนเรื่องความเป็นห่วงย่อมต้องมีบ้างในฐานะคนในครอบครัวเดียวกัน แม้ว่าจะต้องทำงานภายใต้ความกดดัน มีความเกี่ยวพันในเรื่องการเมืองหลายอย่างที่มีความร้อนแรง คุณจุ๊บเองได้บอกเราว่า การทำงานกับรัฐบาลนั้นลำบากทุกรัฐบาล (หัวเราะ) และความจริงต้องตอบว่าสบายใจทุกรัฐบาล และก็ลำบากทุกรัฐบาล ซึ่งคุณจุ๊บได้ตั้งคำถามว่ามีอาชีพไหนสบาย บอกหน่อย เราเองในฐานะที่เป็นเมียก็รู้สึกลำบาก ลูกชายเป็นนักเรียนก็เรียนหนังสือลำบาก ที่ไม่ลำบากก็คือมันไม่ทำอะไรต่างหาก
นายนายธาริต กล่าวสำทับว่า มีทั้งส่วนที่ลำบากและสบายใจเท่ากันทุกรัฐบาล ในชีวิตรับราชการมาตั้งแต่ปี 2533 มาจนถึงปัจจุบันก็ผ่านมาหลายรัฐบาลเป็นเรื่องธรรมดา เราก็ต้องเข้าใจเราเป็นกลไก เราเป็นหน่วยงานของรัฐ เราก็ต้องทำงานให้รัฐบาล ต้องแยกกันนะครับว่าทำงานให้นักการเมืองกับทำงานให้รัฐบาลคนละอย่างนะ เราก็ต้องทำงานให้รัฐบาล ถ้าทุกหน่วยบอกว่า ไม่ขอทำงานให้รัฐบาลขอวางตัวเป็นกลาง จะเกิดอะไรขึ้น ก็ยอมรับว่าก็มีการเอางานมาปรึกษากับที่บ้านบ้าง เพราะภรรยาเองก็จบกฎหมายมาก็คุยกัน แต่โดยหลักส่วนตัวจะไม่เอาแฟ้มกลับมาบ้าน ที่บ้านเรายึดหลักประชาธิปไตย สองคนนี้เสียงข้างมาก (หมายถึงภรรยากับลูก ) ผมเสียงข้างน้อย (หัวเราะอารมณ์ดี)
ส่วนข้อสงสัยที่อาจจะทำให้เกิดกรณีศึกษาอย่างข้าราชการบางคนที่ติดรูปภาพ ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยในการทำงานนั้น เช่น ‘อาจจะมีภาพคนที่ประดับยศให้ พร้อมข้อความขอบคุณ’ นายธาริต กล่าวสวนยืนหนักแน่นในทันทีว่า ที่บ้านไม่มีปัญหาเรื่องรูปภาพที่ติดอยู่ที่บ้านแน่
ด้านคุณจุ๊บเองนั้น กล่าวเพิ่มเติมว่า เพราะบ้านนี้ไม่มีแม้กระทั่งรูปเจ้าของบ้าน ตนบอกว่าจะติดรูปเจ้าของบ้าน ลูกชาย บอกว่าจะบ้าเหรอ แขกมาที่บ้านก็เห็นตัวเป็นๆ ยังเอารูปเจ้าของมาติดอีก แล้วไอ้คนที่ถ่ายก็ไม่ได้สวยและหล่อ (หัวเราะ) ตนก็ไม่กล้าเลย สามารถให้พาชมทุกห้องในบ้านได้ เพราะเราเชื่อมั่นในระบบ ไม่ได้เชื่อมั่นในตัวบุคคล บ้านเมืองเรามาจนถึงทุกวันนี้ก็อยู่ดีมีสุข พอสมควร เพราะ ระบบเราดี ใครว่าแย่ๆ
นายธาริต กล่าวสนับสนุนด้วยว่า ตนว่ามันก็ยังเป็นระบบที่พอใช้ได้นะ และสิ่งที่จรรโลงเราได้ดีที่สุดคือกฎหมาย ตนเป็นนักกฎหมาย ดีที่สุดคือการเคารพกฎหมาย จะพูดอะไร ปรองดองก็พูด แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการเคารพกฎหมาย กรณีที่พอศาลตัดสินออกมาไม่ถูกใจก็ประท้วง อันไหนถูกใจก็เชียร์ ตนเห็นว่าไม่ควร เราอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ถ้ามองในมุมดีก็คงเชื่อว่าจะเกิดการปรับตัวอยู่ด้วยกัน อย่าไปมองว่าจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุนแรง ฉะนั้นในบริบทเดียวกัน
“เมื่อเราต้องทำงานให้รัฐบาล คนที่ชอบรัฐบาลในขณะนี้ก็ชมเรา คนที่ไม่ชอบรัฐบาลก็บอกว่า แล้วดีเอสไอไปทำงานให้รัฐบาลทำไม ก็ถ้าเราไม่ทำงานให้รัฐบาลแล้วเราทำให้ใคร ยันว่า ที่ทำงานให้รัฐบาลผมไม่กลัวจะหลุดจากตำแหน่ง เพราะผมก็ซี 10 แล้ว ย้ายไปย้ายมา ก็อยู่อย่างนี้ ผมมีความพร้อมตลอดในการย้าย ผมเหลืออายุราชการอีก 6 ปี มันจะอยู่อย่างนี้ไปตลอดไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น มันต้องมีการย้ายอยู่แล้ว แล้วหน่วยงานยุติธรรมก็สำคัญหมด”
และนี่คือคำยืนยันของนายธาริตและครอบครัวเพ็งดิษฐ์ ผู้ที่ต้องอยู่ตรงกลางทำหน้าที่เป็นกรรมการ แน่นอนการทำงานจะเป็นเครื่องมือตัดสินว่าของดีจริงจะตกน้ำไม่ไหล หรือเมื่อตกไฟแล้วลุกท่วมตัวกันแน่??.