ราคายางต่ำจริงหรือ
ถนัด ตันสกุล
เศรษฐกรอาวุโส ส่วนเศรษฐกิจภาค
สานักงานภาคใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทย
ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สาคัญของไทย โดยในปี 2554 มีมูลค่าการส่งออกเกือบ 4 แสนล้านบาท เป็นอันดับหนึ่งของสินค้าเกษตรและเป็นอันดับสามของสินค้าส่งออกของไทย ปัจจุบันยางพาราได้ขยายพื้นที่ปลูกไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ปี 2554 ราคายางพาราได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากกิโลกรัมละ 180 บาท มาอยู่ที่กิโลกรัมละ 90 บาทในช่วงสิ้นปี ทาให้ในช่วงต้นปี 2555 เกษตรกรชาวสวนยางออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2555 รัฐบาลได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือออกมา แต่ประเด็นคาถามที่ยังคงมีอยู่คือ ราคายางพาราต่าจริงหรือไม่และมาตรการดังกล่าวจะมีผลต่อตลาดยางพาราอย่างไร
เป็นที่ทราบกันดีว่า ปัจจัยพื้นฐานที่กาหนดราคายางพาราคือความต้องการใช้(อุปสงค์) และปริมาณผลผลิต(อุปทาน) โดยปริมาณการใช้ยางของโลกจะขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นสาคัญ โดยปัญหาเศรษฐกิจ ของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ปริมาณการใช้ยางในปี 2554 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.4 ขณะที่ปริมาณผลผลิตยางของโลกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.5 ตามการขยายพื้นที่ปลูกในแหล่งผลิตที่สาคัญ
สาหรับปัจจัยอื่นๆ ที่กระทบต่อราคายางพารา ได้แก่
(1) การซื้อขายยางในตลาดล่วงหน้าโตเกียว (TOCOM) เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อราคายางในตลาดจริง รวมทั้งราคาซื้อขายในประเทศไทย
(2) ราคาน้ามัน เนื่องจากเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางสังเคราะห์ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 57 ของการบริโภคยางของโลกและสามารถใช้ทดแทนยางพาราได้ จากข้อมูลในอดีต ราคายางพารากับราคาน้ามันจะเคลื่อนไหวไปด้วยกัน ยกเว้นในปี 2553 และ 2554 ที่ราคายางพารามีความผันผวนสูงกว่าราคาน้ามันมาก เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนและ การเกิดภัยพิบัติสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น
(3) ปัจจัยอื่นๆ เช่น น้าท่วมใหญ่ในประเทศไทยส่งผลให้เกิดการสะดุด ของห่วงโซ่การผลิตโลก กระทบต่อความต้องการใช้ยางโลก เป็นต้น
แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาราคายางจะปรับตัวลดลง แต่ยังนับว่าอยู่สูงกว่าต้นทุนการผลิต สานักงานเศรษฐกิจการเกษตรแสดงต้นทุนการผลิตยางในปี 2554 อยู่ที่กิโลกรัมละ 46.57 บาท และราคายางที่ลดลงยังสูงกว่าราคาเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา(2545-2554) ที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 69.35 บาท ราคายางที่ปรับลดจึงไม่ได้ต่าจริง แต่ราคายางที่ลดลงอย่างรวดเร็วในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2554 ได้สร้างความกังวลให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาราคายางอยู่เหนือระดับ 100 บาทต่อกิโลกรัม ประกอบกับค่าครองชีพได้ปรับตัวสูงขึ้นและรัฐบาลได้ออกนโยบายที่อาจจะส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เช่น การเพิ่มค่าแรงขั้นต่าวันละ 300 บาท การลอยตัวราคาพลังงาน เป็นต้น รวมทั้งเกษตรกรชาวสวนยางส่วนหนึ่งได้ก่อหนี้เพิ่มขึ้นจากเงินที่คาดว่า จะได้รับในช่วงที่ยางราคาดี สะท้อนอยู่ในข้อมูลของสานักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งพบว่าครัวเรือนภาคใต้มีหนี้สูงขึ้น
เพื่อแก้ไขปัญหา ความผันผวนของ ราคายาง พารา รัฐบาลได้ออกมาตรการ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ยางพารา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 120 บาทต่อกิโลกรัมซึ่งเป็นระดับราคาที่เหมาะสมและยั่งยืน วิธีการคือ ให้ธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 0 วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้สถาบันเกษตรกร 5,000 ล้านบาท องค์การสวนยาง 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการรับซื้อยาง พารา ไปแปรรูปและรอขายในราคาที่เหมาะสม ซึ่งช่วยลดผลผลิต ยางพาราออกสู่ตลาดในช่วงที่ราคา ตกต่า โครงการนี้ มีระยะเวลา 1 ปี 3 เดือน (มกราคม 2555 - มีนาคม 2556) มาตรการดังกล่าวได้ส่งผลทางจิตวิทยาทาให้ราคายาง ขยับตัวสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 90 บาทเมื่อต้นปี 2555 เป็นกิโลกรัมละ 110 บาทใน เดือนกุมภาพันธ์ 2555 ประกอบกับราคาน้ามันยังอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม มาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง พาราของรัฐบาล คาดว่าจะได้ผลทางด้านจิตวิทยา ในระยะสั้น เท่านั้น โดยราคายางได้ปรับจากกิโลกรัมละ 90 บาท เป็น 110 บาท ส่วนในระยะยาวจาก การ คาดการณ์ของ IRSG ผลผลิตยางพาราในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีอัตราเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 4.96 ขณะที่ความต้องการใช้ ยางพาราโลก เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.94 ทาให้ ณ สิ้นปี 2559 จะมีผลผลิตยางจานวน 13,970 พันตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2555 (ผลผลิต 11,322 พันตัน) จานวน 2,648 พันตัน ส่วนความต้องการใช้มีจานวน 13,880 พันตัน เพิ่มขึ้นจาก ปี 2555 (ความต้องการใช้ 11,291 พันตัน ) จานวน 2,589 พันตัน อนาคตยางพาราจึงไม่น่าเป็นห่วง อาจจะ ผันผวนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวปริมาณ ผลผลิต และ ความต้องการใช้ ยางพาราจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยท้าทายอื่น ๆ อาทิ การใช้ยางสังเคราะห์ทดแทน ก็มีข้อจากัดทางเทคนิค การขยายพื้นที่ปลูกในประเทศ จีน ก็ถูกจากัดด้วยพื้นที่ที่ต้องมีภูมิอากาศที่เหมาะสม นอกจากนี้ การลงทุนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และ ราคาน้ามัน ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยบวกต่อราคายาง ดังนั้น เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้ายางพารา ในระยะยาว ทั้งภาครัฐและเอกชน จะต้องกระตุ้นการบริโภคยางภายในประเทศ เร่งหาตลาด ส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ และที่สาคัญต้องสนับสนุน การวิจัยและพัฒนา ผลิตภัณฑ์ยางภายในประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแทนที่จะส่งออกในรูปวัตถุดิบ เหมือนในอดีต ที่ผ่านมา
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จาเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
http://www.bot.or.th...ต่ำจริงหรือ.pdf