อย่าตัดแปะเลยครับ มันเปลืองเนื้อที่ทำให้ลายตา บอร์ดนี้หลายคนไม่ชอบการตัดแปะมิใช่หรือ เห็นด่าฝั่งตรงข้ามกันจัง
ถ้าอยากเสวนาด้วย ก็เรียบเรียงสิ่งที่ตนต้องการสื่อมาเถอะครับ แล้วถ้าจะหาเหตุผลมาประกอบ ก็ทำลิงค์ก็พอ
กรณีที่ดินรัชดา ทักษิณผิด หรือ ไม่ผิด วิทยุชุมชนคนเสื้อแดงน่ามาอ่าน
ฟังทักษิณ ชินวัตร พูดผ่านวีดีโอลิงค์ เมื่อ 17 สิงหาคม 2552 ใน คดีที่ดินรัชดาที่ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 2ปี ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องหนีคุกไปอยู่ต่างประเทศนั้น ขอเอามาขยายความเพื่อให้รู้กันว่าทักษิณโกหกหรือพูดจริง กันแน่
ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่า กฏหมายที่เอาผิดทักษิณ ชินวัตรนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2542 นะครับออกตามรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540
ในคดีที่ดินรัชดานี้เกิดเรื่องขึ้นมาเพราะคุณหญิงพจมาณ ชินวัตรไปประมูลซื้อที่ดินแปลดังกล่าวจากกองทุนฟื้นฟูฯ สถานะของคุณหญิงในขณะนั้นเป็นภรรยาของนายกรัฐมนตรีซึ่งตามกฎหมายสามีภรรยาถือว่าเป็นบุคคลๆ เดียวกัน เพราะฉะนั้นการที่ภรรยาไปซื้อก็จะถือว่าสามีซื้อเช่นกัน
สิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร พยายามบอกกับ สาธารณะชนจับประเด็นได้ดังนี้
1. คนซื้อตัวจริง (หมายถึงคุณหญิงพจมาณ) พิพากษาไม่ผิด แต่ผมเพียงแค่ลงชื่อยินยอมในฐานะสามีที่ต้องทำตามกฏหมายว่า ภรรยาจะทำนิติกรรม สามีต้องลงชื่อยินยอมด้วย แต่ถูกพิพากษาให้ผิด
2. เขาประมูลซื้อที่ดินรัชดาในราคาสูงสุด
3.เขาในฐานะ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อผู้ซื้อใดๆทั้งสิ้นแต่ถูกกล่าวหาว่า ทุจริต
จากทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าว ลองมาพิจารณากันว่า ทักษิณ โกหก หรือว่าพูดความจริงกันแน่
ก่อนอื่น มาดูเนื้อหาของกฏหมาย ที่พิพากษาให้จำคุกทักษิณ 2 ปี กันก่อน กฏหมายฉบับนี้คือ
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ).ประกอบรัฐธรรมนูญ (2540) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต(ปปช.)พ.ศ.2542
หมวด 9
การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม
มาตรา 100 ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดำเนินกิจการดังต่อไปนี้
(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดำเนินคดี
(2) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
มาตรา 100 ซึ่งมีเนื้อหาว่า สรุปว่า
ห้ามไม่ให้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เป็นคู่สัญญา หรือ มีส่วนได้เสียกับทรัพย์สินของรัฐหรือบริษัท ที่มีสัมปทานกับรัฐ
มาตรา 122 ซึ่งมีเนื้อหาว่า สรุปว่า
กรณี เจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำความผิดตาม มาตรา100 ให้ระวางโทษจำคุกไมเกิน 3 ปี และวรรคท้ายมีความว่า หากพิสูจน์ได้ว่า มิได้รู้เห็นยินยอมการกระทำของคู่สมรสที่ดำเนินกิจการตาม มาตรา100 ให้ถือว่า ไม่ผิด
เมื่อพิจารณาเนื้อหากฎหมายแล้ว กฏหมายเอาผิดได้ เฉพาะนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรี เท่านั้น เพราะฉะนั้นในกรณีนี้ ในข้อที่1 ที่คุณหญิงพจมาณไม่ได้ถูกพิพากษาให้มีความผิดไปด้วยเพราะคุณหญิงพจมาณไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือเป็นรัฐมนตรี ถ้าก่อนหน้านั้นทักษิณตั้งให้คุณหญิงพจมาณ เป็นรัฐมนตรีรับรองว่าถูกศาลพิพากษาให้ผิดเช่นกัน...
อีกประการหนึ่ง การกระทำของคุณหญิงพจมาณถ้าทักษิณพิสูจน์ได้ว่าไม่มีส่วนรู้เห็น เขาก็ไม่ผิด แต่ในข้อเท็จจริงเขาก็ยอมรับโดยปริยายว่า เขาได้ลงชื่อยินยอม ตามกฏหมาย ซึ่งถือว่า เขาได้รับรู้การกระทำของคุณหญิง พจมาณ คู่สมรสแล้ว
ตรงนี้ต้องเข้าใจนะครับว่า กฏหมาย ปปช.ปี2542 ตราไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ไปยุ่งเกี่ยวกับ ทรัพย์สินของรัฐ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม ป้องกันการเอาเปรียบผู้อื่นเพราะ มีอำนาจหน้าที่ในระดับสูงสามารถให้คุณให้โทษกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำ หน้าที่ดูแล ทรัพย์สินที่ประมูลได้ อีกทั้ง สามารถหาข้อมูลภายในเพื่อเอาเปรียบผู้ร่วมแข่งขันได้
ถ้าการประมูลที่ดินรัชดาในครั้งนี้ ทักษิณไม่ใช่เป็นนายกรัฐมนตรีแต่เป็นเพียงประธานบริษัทชินคอร์ป ทักษิณก็ไม่ผิด ตามกฏหมายฉบับนี้ครับ แต่ที่ผิดเพราะขณะนั้นเขาเป็นนายกรัฐมนตรี
ศาลไม่ได้พิพากษาว่าทักษิณทุจริตอย่างที่เขาพยายามเบี่ยงเบน แต่ศาลพิพากษาว่าทักษิณ มีความผิดตามกฏหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วย ปปช.มาตรา100(1)วรรค3 และมาตรา 122 วรรค1 หรืออธิบายอย่างที่เฉลิม อยู่บำรุงพูดในวันอภิปรายในสภาก็ได้ว่า ทักษิณไม่ได้ทุจริตแต่ทักษิณทำสิ่งที่กฏหมายห้ามไว้
เพราะฉะนั้นในประเด็นที่ 1 ที่ ทักษิณ พยายามพูดว่า คนซื้อไม่ผิด แต่ผมแค่ลงชื่อยินยอมตามกฏหมายกลับผิด นั้นจึงถือว่าเป็นการตลบแตลง พูดไม่หมดเนื้อความ แต่พยายามให้คนที่ไม่มีความรู้เข้าใจผิด ว่าถูกกลั่นแกล้ง
ในประเด็นที่ 2 ที่ ทักษิณ บอกว่า เขาให้ราคาประมูลสูงสุดนั้น ขอให้ข้อมูลที่มาที่ไปในเรื่องราคาที่ดินแปลงนี้ดังนี้
ที่ดินรัชดาที่ประมูลนี้มี 2 แปลงเนื้อที่ติดกันโดยกองทุนฟื้นฟูฯ ไปซื้อมาจาก บริษัทเงินทุนหลักทรํพย์เอราวัณทรัสต์
แปลงที่ 1 ราคา 2140 ล้านบาท
แปลงที่ 2 ราคา 2749ล้านบาท
รวมราคาที่ดิน 4889 ล้านบาท(สี่พันแปดร้อยแปดสิบเก้าล้านบาท)
เมื่อเกิดการประมูลมีการตั้งราคากลางเพียง 870 ล้านบาทและผู้ที่ประมูลได้คือคุณหญิงพจมาณ ชินวัตร ประมูลได้ในราคา 772 ล้านบาท
เรื่องนี้ที่ทักษิณบอกว่าเขาเป็นผู้ให้ราคาสูงสุดในการประมูลตอนนั้นเป็นเรื่องจริงครับ แม้คนในวงการต่างก็รู้กันว่าบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าท์ และ โนเบิล เดเวลลอปเมนต์ ที่เข้าร่วมประมูลด้วยถูกให้กระทำอย่างไรบ้าง รวมถึงอีกหลายบริษัทฯ ที่ร้องเรียนว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน โดยแจ้งให้เพิ่ม วงเงินมัดจำจากเดิม 10 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท ก่อนหน้าการประมูลเพียงวันเดียว เพื่อกีดกันผู้ประมูลรายอื่นเพราะเตรียมเงินมัดจำไม่ทัน
อีก ทั้งในการประมูลครั้งก่อน(ที่ดินแปลงนี้มีการประมูล 2 ครั้ง) เปิดการประมูล ทางอินเตอร์เนต ปรากฎว่าไมมีผู้เข้าเสนอราคาประมูลเลยนั้น ทั้งๆ ที่มีผู้วางเงินมัดจำแล้ว (10ล้านบาท) ถึง 7 รายจะร้องเรียนว่า เขาได้เสนอราคาแล้ว แต่ทำไม ข้อมูลถึงไม่ขึ้น ซึ่งมีข่าวโจทย์ขานการบล็อกสัญญาณอินเตอร์เนตของบริษัท ทีร่วมประมูลอย่างหนาหู แต่เรื่องพวกนี้ ไม่มีหลักฐานครับว่า เป็นความจงใจหรือว่าเป็นข้อบกพร่องทางเทคนิค
เรื่องปัญหาการร้องเรียนการประมูลทั้ง2ครั้งนี้ ไม่มีหลักฐานเอาผิดใครได้ เพื่อนๆ พิจารณาเอาเองจากพยานแวดล้อมก็แล้วกันครับ
เพราะ ฉะนั้น เรื่อง ที่ ทักษิณ บอกว่า เขาเป็นผู้ให้ราคาประมูลสูงสุด จากเดิมที่ กองทุนฟื้นฟูซื้อมา 4889ล้านบาท แล้วเขาประมูลไปที่ราคา 772 ล้านบาท นั้น เพื่อนๆ ก็พิจารณาเอาเองละกันครับว่า เขาได้ให้ประโยชน์แก่รัฐตามสมควรแล้ว หรือเขาเอาเปรียบรัฐซื้อที่ดินแปลงสวยราคาถูกกันแน่
ในประเด็นที่ 3 ที่เขาบอกว่า เขาไม่ได้ใช้ ตำแหน่งหน้าที่ นายกรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์นั้น
เพื่อนๆ ก็พิจารณาจากข้อมูลแวดล้อมทั้งหมดก็แล้วกัน ในปลายปีที่ทักษิณประมูลที่ดินแปลงนี้นั้น เขาสั่งวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสิ้นปี ตามปกติ เป็นวันหยุด ให้เป็นวันทำงาน กรณีนี้ถูกโจมตีว่าเพราะเขาเกรงว่าจะโอนที่ดินแปลงนี้ไม่ทันในวันที่ 30 ธ.ค. ซึ่งถ้าให้ล่วงเลยไปในปีถัดไปจะไม่ได้ลดภาษีจากการโอนที่ดิน เพราะกฏกระทรวงที่ออกมาเพื่อจูงใจให้มีการซื้อการขายที่ดินโดยลดภาษีการโอนที่ดินนั้นจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม
อีก ทั้ง เมื่อประมูลที่ดินดังกล่าวได้แล้วเดิมพื้นที่บริเวณดังกล่าวสร้างตึกสูงได้ ไม่เกิน 5 ชั้น แต่หลังจากเขาประมูลที่ดินได้ไปแล้ว กฏเกณฑ์นี้ก็ได้ถูกยกเลิกไป ทำให้ที่ดินบริเวณดังกล่าว ยกระดับราคาสูงขึ้นทันที
ทั้ง2กรณีนี้ ไม่มีใครรู้หรอกครับว่า ทักษิณ ทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง หรือ เพื่อความเหมาะสมในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ เหตุการณ์มันผิดปกติ 31 ธันวา ให้เป็นวันทำงาน หรือกรณีที่ห้าม ไม่ให้สร้างตึกสูงเกิน 5 ชั้นเพราะ ตรงนั้นเป็นที่ตั้งของศูนย์วัฒนธรรม หากบริเวณรอบๆ มีแต่ตึกสูงก็จะลดความสง่างามของศูนย์วัฒนธรรมไป ซึ่งหลักการนี้ เป็นหลักการเดียวกันกับ ห้ามบริเวณ อนุเสาวรีย์พระเจ้าตากสิน บริเวณ อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้น
ทั้งหมดทั้งสิ้นที่อธิบายมา เพื่อนๆก็พิจารณาเองนะครับว่า
สิ่งที่ ทักษิณ พูด นั้น จริง หรือ โกหก
http://teenoi.freeforums.org/topic-t691.html
โดย จงเจริญ