ใครมั่วก็ดูกัน...
http://www.thaigov.g...งหาคม-2554.html
คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา
วันอังคารที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔
นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก
เว็บไซต์พรรคเพื่อไทย...
http://www.ptp.or.th...px?news_id=2623
กล่าวปิดแถลงนโยบายของรัฐบาล วันที่ 25 สิงหาคม 2554
ตอนหาเสียง...
http://www.siamintel...ingluck-policy/
โดยนาย จารุพงศ์ ย้ำว่าจะไม่เข้าไปรื้อระบบไตรภาคีค่าจ้าง ซึ่งนโยบายดังกล่าวอยู่ในช่วงปรึกษาหารือกับภาคธุรกิจเอกชนและจะมีการเสนอสิ่งชดเชยให้ผู้ประกอบการ เช่น การลดภาษีนิติบุคคล ภาษีเครื่องจักร และรัฐบาลจะเล็งการขยายตลาดการส่งออกให้กว้างขวางขึ้น
และสำหรับที่หลายฝ่ายกังวลเรื่องการใช้แรงงานเข้มข้นในบางอุตสาหกรรมที่มีค่าแรงที่สูงขึ้น รัฐบาลจะส่งเสริมให้ย้ายฐานการผลิตไปยังบริเวณประเทศชายแดนที่ติดกัน
นอกจากนั้นอีกนโยบายที่ได้รับความสนใจก็คือ การเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท สำหรับผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยจะปรับสำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจในเดือนตุลาคม 2554นี้
http://www.manager.c...D=9540000083207
5 นโยบายเร่งด่วน ทำได้ทันที
เมื่อถามถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจที่มุ่งตอบโจทย์แต่ละกลุ่ม และรัฐบาลสามารถทำได้ทันทีนั้น เขาประเมินว่า 5 นโยบายแรกที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์สามารถดำเนินการได้ทันที โดยคาดว่าเริ่มดำเนินการได้ไม่เกิน 1 มกราคม 2555 ได้แก่ หนึ่ง-ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท (ยังไม่มีข้อสรุปว่าได้ทุกคนหรือไม่ อาจได้เฉพาะแรงงานที่มีทักษะสูง ขึ้นอยู่หารือกับคณะกรรมการไตรภาคี) โดยงบประมาณที่ต้องใช้ดำเนินการได้ มาจากภาคเอกชนนำเงินคงเหลือจำนวน 7 เปอร์เซ็นต์ ที่ได้จากการลดภาษีนิติบุคคลที่รัฐบาลมีนโยบายลดเหลือ 23 เปอร์เซ็นต์จาก 30 เปอร์เซ็นต์
สอง - ปรับเงินเดือนข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ และผู้จบปริญญาตรีเริ่มต้นเงินเดือน 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการพลเรือน และข้าราชการประจำ และลูกจ้างทั่วประเทศ โดยนโยบายข้อนี้มาจากการเบิกงบประมาณจำนวน 10,000 ล้านบาท
สาม - ลดภาษีนิติบุคคลจาก 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 23 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นจำนวน 7 เปอร์เซ็นต์ โดยนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และปรับเงินเดือนข้าราชการและปรับเงินเดือนลูกจ้างจบปริญญาตรีทั้งสองข้อนี้ เป็นการนำเงินที่ผู้ประกอบการประหยัดได้จากลดภาษีไปปรับค่าแรงขั้นต่ำให้เป็น 300 บาท ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณโดยตรง โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ 2555
“เงินภาษีนิติบุคคลจำนวน 7 บาท เมื่อบริษัทฯ ไม่ต้องส่งให้รัฐเพื่อเสียภาษี เงินก้อนนี้บริษัทก็นำเอาไปปรับจ่ายเป็นค่าแรงให้กับแรงงานเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาทต่อคนได้ โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณในส่วนนี้ ดังนั้นจึงเป็นนโยบายที่สามารถดำเนินการและทำให้นโยบายเป็นจริงได้ไม่ยาก”
อย่างไรก็ตาม หากประเมินเป็นมูลค่ารายได้ต่อปีที่รัฐต้องสูญเสียไปใน 3-4 ปี เป็นตัวเลขที่มีเปอร์เซ็นต์ลดลงทุกปีเช่นกัน โดยปีแรก รัฐสูญเสียรายได้ติดลบประมาณ 90,000 ล้านบาท ต่อมาในปีที่สอง รัฐอาจสูญเสียรายได้ติดลบ ลดลงเหลือ 40,000 ล้านบาท ปีที่สาม รัฐอาจสูญเสียติดลบ ลดลงเหลือ 20,000 ล้านบาท และปีที่ 4 รัฐจะมีรายได้กลับมาเป็นบวก เนื่องจากตัวเลข GDP โดยรวมสูงขึ้น
ล่าสุด เมื่อวันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา อธิบดีกรมสรรพากร สาธิต รังคสิริ ออกมาขานรับ ว่า การลดภาษีนิติบุคคลจาก 30 เปอร์เซ็นต์เป็น 23 เปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องที่สามารถทำได้เลย และเป็นไปตามหลักสากล
สี่ - ให้เงินกองทุนเสริมบทบาทสตรีเฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้าน จำนวน 76 จังหวัด โดยใช้งบประมาณประจำปีจำนวน 7,600 ล้านบาท และ ห้า-เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุตั้งแต่ 60-80 ปี โดยแบ่งผู้สูงอายุออกเป็น 3ประเภท ได้แก่ อายุ 60 ปี เพิ่มเป็น 600 บาท อายุ 70 ปี เพิ่มเป็น 700 บาท และอายุ 80 ปี เพิ่มเป็น 800 บาท จากเดิมเบี้ยผู้สูงอายุกำหนดให้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ในอัตราเดียว คือ 500 บาทต่อเดือน เงินที่ใช้ในการดำเนินการส่วนนี้มาจากการเพิ่มงบประมาณประจำปีจากเดิมใช้ 36,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 41,000 ล้านบาท
“5 นโยบายนี้คาดว่าทำได้ทันที โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการไม่น่าจะเกิน 6 เดือนนับจากนี้ หรือมีผลดำเนินการในวันที่ 1 มกราคม 2554 เพราะบางข้อเป็นการเพิ่มงบประมาณจากเดิม อาทิ ให้เงินกองทุนเสริมบทบาทสตรีเฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้าน และเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุตั้งแต่ 60-80 ปี ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ความต้องการทั้ง 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กรรมกรผู้ใช้แรงงานและเกษตรกรชาวนา ชาวไร่ อันเป็นคนฐานใหญ่ของประเทศ